While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ว่าด้วยเรื่อง facebook


เท่าที่จำได้จากการอ่านเมล์เมื่อนานมาแล้ว คุณ mark zukerberg คือคนที่ทำให้ facebook เกิดขึ้นมาในโลก เขาใช้มันเป็นครั้งแรกในการ upload รูปเพื่อนร่วมรุ่นมหาลัย Harvard ผ่านมาไม่รู้กี่ปี (ไม่ต้องสนใจ มันไม่สำคัญหรอกครับ) ปัจจุบัน มีคนใช้งานมันมากกว่า 800 ล้านคนทั่วโลกเมื่อตรวจสอบย้อนหลังไป 2 สัปดาห์ มี wall post ถึง 1 ล้าน 5 แสนข้อความ ภายในเวลา 20 นาที เฉพาะในเมืองไทย มีคนใช้งานมันประมาณ 8 ล้าน 7 แสนคน ช่วงอายุที่ใช้มากที่สุดอยู่ในกลุ่มนักศึกษา คือ 18-24 ปี .. จบเรื่องสถิติ ตื่นกันยังครับ โอ้..หลับยกห้อง..

แน่นอน..ผมเห็นด้วย ว่ามันเป็น social network ที่ดี (ดีกว่าแต่ก่อน ที่มีแต่ ICQ บางคนอาจเกิดไม่ทันนะ) แต่อย่าลืมว่า ของทุกอย่างที่มีด้านดี ก็จะมีด้านเสียด้วย ขึ้นอยู่กับการใช้มัน นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องระวัง ผมเชื่อว่าทุกคนที่ใช้ ได้ประโยชน์จาก facebook อย่างใดอย่างหนึ่งแน่ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่ใช้มัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยระหว่างเพื่อน หรือญาติพี่น้อง ที่อาจไม่สะดวกที่จะมานั่งโทรศัพท์คุยกัน, การ upload ภาพมาแบ่งให้เพื่อนดู (ผมเองก็แว่บไปดูรูปหลานชายบ่อยๆ), การเล่นเกม ที่มีมากจนลายตา (อาจเพื่อความสนุก ผ่อนคลาย หรือฝึกทักษะอะไรบางอย่าง ก็ว่ากันไป), พ่อค้าแม่ค้า มานั่งโฆษณาขายของ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเปิด website, การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น, การให้ความรู้, การประชาสัมพันธ์องค์กร,การให้ข้อมูลข่าวสาร และอื่นๆ อีกมาก เท่าที่ idea ของคน จะคิดได้

ทีนี้เราจะมาพูดถึงแต่ข้อดี โดยไม่พูดถึงข้อเสียเลย มันก็คงไม่เข้าท่า เหมือนเราเลือกที่จะรับเอาแต่เรื่องดีๆ ไม่ยอมรับรู้เรื่องแย่ๆ เลย เกิดเป็นคน มันเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ แล้วข้อเสียมันเกิดขึ้นมาได้ยังไงล่ะ หลักๆ แล้วมันก็เกิดจากการบริโภคที่มากเกินไปนั่นแหละครับ แต่ก็โชคดี ที่เรายังมีวิธีตรวจสอบตัวเองอยู่ ลองมาดูกันครับ ว่าคุณไปถึงจุดไหนแล้ว เช่น คุณเล่นมันเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่เป็นอันหลับอันนอน ไม่เป็นอันเรียน ไม่เป็นอันทำงาน, คุณเล่นทุกเกมที่มี หมกมุ่นอยู่กับมัน ถ้าไม่ได้ดังใจ คุณจะเริ่มหงุดหงิด อารมณ์เสีย ต้องทำทุกอย่างให้ชนะให้ได้ ไม่ว่าจะต้องรบกวนเพื่อนกี่คน, ใจคุณจดจ่ออยู่กับมัน อยากจะ post อยาก comment วุ่นวายไปหมดอยู่ตลอดเวลา, เพื่อนใน facebook มีอิทธิพลกับตัวคุณมากขึ้น ในด้านอารมณ์ รสนิยม และความคิด ถ้าคุณมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แสดงว่าคุณเริ่มเสพติดมันแล้วแหละ สิ่งเสพติด อะไรก็ไม่ดีทั้งนั้นล่ะครับ คุณอาจจะเถียงว่า อ้าว..เขาก็ใช้กันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่จริงหรอกครับ คุณลองพิมพ์ http://www.facebook.com/vajiramedhi หรือ http://www.facebook.com/ebgang ดูสิครับ

แล้วเราควรใช้มันยังไงล่ะ อันนี้ผมอ่านๆ มาจากหลายที่นะครับ รวบรวมมาอีกที เอาเรื่องมารยาทในการใช้กันก่อนดีไหมครับ
1.       ใช้อย่างสุภาพ ยังไงล่ะ คือไม่ใช้คำพูดที่ ถ้าพ่อแม่ครูอาจารย์มาเห็น แล้วจะรู้สึกเสียใจที่อุตส่าห์สอนมันมา หรือถ้าลูกมาเห็นแล้วเราจะไม่ยอมให้เขาเอาไปใช้ต่อน่ะครับ
2.       ไม่ post ข้อความ ที่จะทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น อันนี้มันเป็นเรื่องศีลธรรมน่ะนะ แล้วแต่ความมากน้อยที่แต่ละคนมี จะเอามาตรฐานสังคมเป็นเกณฑ์ ก็คงพอได้
3.       ไม่ upload รูปลามก อนาจาร ไว้ให้เวบโป๊เขาทำกันไปเถอะ อย่าไปแย่งงานเขาเลย หรือรูปที่ไม่เหมาะสม (ประมาณกันเอาเองนะครับ มันพูดยากอยู่) มันจะทำให้คนอื่นมองว่าคุณ เป็นคนไม่รู้กาละเทศะ เสียภาพพจน์เปล่าๆ
4.       ลองจับเวลาดู ว่าคุณใช้ facebook วันละกี่ชั่วโมง มัน balance กับกิจกรรมอื่นๆ ที่มนุษย์มนาควรจะทำ ในแต่ละวันหรือเปล่า
5.       อย่าไปแอบใช้ในเวลาเรียนหรือเวลาทำงานเลยนะครับลูก มันจะทำให้เสียสมาธิ ที่คุณจะต้องใช้ ในสิ่งที่สำคัญกว่า
6.       อย่าใช้ facebook ในเวลาที่คุณควรให้ กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หรือคนในครอบครัว นึกถึงใจเขาใจเราบ้างก็ดีนะครับ
7.       อย่าใช้ facebook เป็นเครื่องมือในการก่อกวนคนที่คุณไม่ชอบขี้หน้า ถ้ามีอะไรไม่พอใจ ผมว่าถอดรองเท้า เอามาตบกันไปเลยดีกว่า ตัวต่อตัวมันส์กว่าเยอะ
8.       อย่าเอารูปที่น่าอายของเพื่อน มา post เพื่อแกล้งเขา ลองคิดว่า ถ้าเป็นเราจะเอาหน้าไปไว้ตรงไหน ยัดใส่กระเป๋าไว้ก่อนเหรอครับ
9.       อย่าตั้งชื่อ group ที่มีความล่อแหลมในเรื่องของทัศนคติหรือรสนิยม อะไรที่คุณไม่ชอบ คนอื่นเขาอาจจะชอบก็ได้นี่ ต่างคนต่างใจนะครับ

พอละ เดี๋ยวจะเป็นการไปทำร้ายจิตใจใครเข้า อันนี้ผมหวังดีจริงๆ นะ ไม่ได้มีเจตนาจะว่าใครให้เจ็บช้ำน้ำใจนะครับ อย่าเพิ่งร้อนตัวไป.. ทีนี้ เราจะมาพูดกันต่อถึงเรื่องที่จะใช้ facebook ยังไงให้ปลอดภัยและไม่สร้างความรำคาญให้กับตัวเองและผู้อื่น จริงๆ แล้ว มันก็สามารถตั้งค่าอะไรได้พอสมควรแหละครับ แต่ตัวผมเอง ก็ใช้มันแบบโง่ๆ มาตั้งนาน กว่าจะคิดได้ว่าควรตั้งค่าอะไรสักหน่อย ควรระวังอะไรสักนิด ถ้าใครทำอยู่แล้ว ก็อย่าว่าผมมาสอนหนังสือสังฆราชเลยนะครับ ส่วนนี้..สำหรับคนที่ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ก็แล้วกัน
1.       เอาเรื่อง add เพื่อนกันก่อนดีกว่าครับ อยากแนะนำว่า ก่อนที่คุณจะรับใครเป็นเพื่อน ตรวจสอบเขาสักนิดนึง ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน facebook เขาเป็นรูปแบบไหน เป็นเพื่อนกับคนที่เรารู้จักดีหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องมีเรื่องมาให้กวนใจได้ทีหลัง add ไปแล้ว ต้องมานั่ง remove อย่างน้อยมันก็เสียเวลา
2.       ใช้การเรียกดูแบบ high secure (https) เท่านั้น เพื่อป้องกันการดักจับข้อมูลในขณะที่เราส่งไป server
3.       ตั้ง password ที่คนอื่นจะเดาไม่ได้ คุณคงไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายกับการตั้งค่าใน facebook ของคุณหรอกมั๊ง คุณสามารถไปเช็คระดับความปลอดภัยของรหัสผ่านได้ที่ www.passwordmeter.com
4.       ตั้งค่าให้มีการแจ้งเตือน เมื่อมีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ mobile ใหม่ เข้ามาใช้งาน account ของคุณ
5.       ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ควรเป็นความลับ เช่น ที่อยู่ ที่ทำงาน เบอร์โทรศัพท์ email address ของคุณ, ชื่อ-นามสกุล อายุ โรงเรียนของลูก, แผนการท่องเที่ยวหรือตารางการเดินทางไปที่อื่นของคุณ เพื่อป้องกันมิจฉาชีพใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ได้ โดยคุณอาจตั้งค่าไม่ให้แสดงข้อมูลบน timeline หรือให้เห็นแบบ only me ก็ได้ครับ เพื่อความปลอดภัยของคุณกับครอบครัว
6.       ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับคนอื่น ให้เอาเครื่องหมายถูกที่ช่อง keep me log in ออก และเลือก never remember password for this site กับ browser ที่ถามด้วยครับ
7.       ระวัง facebook ปลอมด้วยนะครับ หน้าตาจะเหมือนกันราวกับแกะ ดูที่ url นะครับ ต้องเป็น https://www.facebook.com ตามด้วยชื่อ facebook ของคุณ ก็ไม่มีอะไร serious หรอกครับ เขาแค่จะขโมยข้อมูลของคุณเอาไปใช้ประโยชน์เท่านั้นแหละ
8.       ตั้งค่าเกี่ยวกับการเชื่อมต่อกับบุคคลอื่น เช่น อนุญาติให้ใครเห็นข้อมูลที่เรา post ได้บ้าง, ค้นหาเราได้จากแหล่งไหนบ้าง, ใครมีสิทธิ์ส่งข้อความให้เราได้ ทำนองนี้ล่ะครับ
9.       กำหนดให้ใครสามารถ post บน timeline หรือ tag เราได้บ้าง ถ้าคุณเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงๆ ก็ปิดไปเลย ให้เขา comment ได้อย่างเดียว จะได้ไม่รก wall ของคุณด้วย
10.   ตั้งค่า application หรือ game เช่น ถ้าเราไม่ชอบเกม ก็ block คนที่ชอบชวนเราเล่นเกมซะ จะได้ไม่ต้องไปรับคำเชิญจากเค้าบ่อยๆ ให้รำคาญใจ
11.   ตั้งค่าเกี่ยวกับการโต้ตอบกับบุคคล หรือ block คำเชิญให้ทำอะไร หรือพวกคำถามประเภท did you know คนนั้นไหม คนนี้ไหม เป็นเพื่อนกับ คนนั้น คนนี้นะ บางทีเพื่อนเราบางคนเขาอัธยาศัยดี เขาก็รู้จักคนไปทั่ว มีเพื่อนใหม่อยู่เรื่อยๆ ถ้าเราไม่อยากรับเมล์พวกนี้ ก็ block ซะ
12.   เปิด-ปิด ระบบค้นหาจากภายนอก พวก search engine น่ะครับ พวกคนที่ไร้มารยาท จะได้ไม่สามารถมาป่วน facebook ของเราได้
13.   ตั้งค่าเลือกที่จะติดตามการ update เฉพาะกลุ่มคนที่เราสนใจ

ใกล้จบละครับ (โห..โคตรยาวเลยว่ะ) มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนน่ะครับ มันเลยต้องค่อยๆ พรรณนากันไป ประเด็นสุดท้ายแล้วครับ แล้วมันมี facebook แบบที่สร้างสรรค์จริงๆ ไหมลุง มีสิครับ ที่ผมเจอๆ นะ มีทั้งที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา การเรียนการสอน (คุณครูมาเล่นเองเลยด้วยแหละครับ) การประชาสัมพันธ์ ทางศาสนาก็มีนะครับ ที่เห็นก็มีของ พระไพศาล วิสาโร, ท่าน ว.วชิรเมธี มาให้ความรู้ด้านพุทธศาสนา ของคาทอลิกไม่พูดละกัน เดี๋ยวจะหาว่า มาเผยแพร่ศาสนาอะไรตรงนี้เนี่ย -- facebok ยังไงก็มีประโยชน์ครับ แต่ประโยชน์ที่จะได้ มันก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณนั่นแหละครับ

ไม่มีความคิดเห็น: