While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำไมต้องคิดก่อนพูด + ทักษะในการพูด



เพราะการพูด บ่งบอกถึงความคิด .. ความคิด บ่งบอกถึงความเป็นตัวคุณ
ผมต้องเจอกับคนที่พูดไม่คิดบ่อยๆ และมีปริมาณมากด้วย ผมเลยรู้สึกว่า ยังมีคนอีกมากนะ ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และมันไม่ดีเลย .. คุณรู้ไหม คำว่า พูดไม่คิด เป็นคำด่าที่ค่อนข้างรุนแรงพอๆ กับคำว่า ชุ่ย .. เพราะมันเหมือนการแสดงความบกพร่องในการคิดสิ่งที่เหมาะสม ขาดศักยภาพในการคิดที่ดี ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและตัวเอง มุมมองแคบ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เอาพฤติกรรมของเด็กเล็กมาใช้ สุดท้าย .. ถ่อย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะเอามาด่าคนที่พูดไม่คิด แต่มันเป็นสิ่งที่ผู้ฟังทั่วไปเอามาตัดสินว่าผู้พูดเป็นคนอย่างไร .. การพูดเป็นสิ่งสำคัญ รองลงมาจากเรื่องของภาษากาย ด้วยสัดส่วน 40 ต่อ 60 .. เพราะมันบ่งบอกถึงตัวตนของบุคคลนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิสัยใจคอ ทัศนคติ มุมมอง กระบวนการคิด ความหยาบในการคิด ที่มา การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา สารพัดเรื่อง .. ทีนี้คุณคิดว่า เราควรให้ความสำคัญกับการพูดแล้วหรือยัง .. ส่วนภาษากายหรือการแสดงออก ก็สำคัญไม่แพ้กัน และโกหกไม่ได้ด้วย แต่คงต้องยกไปประเด็นหน้า หรือผมอาจไม่พูดถึงมันอีก เพราะมันเป็นเรื่องที่กว้างมากๆ
คุณอาจบอกว่า ฉันไม่สน ก็ฉันทำได้แค่นี้ .. มันเป็นคำพูดที่ง่ายไป และคนฟังเขาก็ไม่ได้รู้สึกแค่ว่า คุณแย่ .. แต่เขาจะประเมินคุณไปหลายๆ อย่าง รวมถึงสงสัยว่าพ่อแม่คุณสอนมายังไงด้วย เราอาจจะไปโทษคุณครูก็ได้ แต่ถ้าพิจารณากันให้ดี คุณครูมีผลต่อเด็ก น้อยกว่าพ่อแม่ ในการปลูกฝังทัศนคติ นิสัยใจคอ .. คนเลี้ยงต่างหาก ที่สร้างให้บุคคลนั้นๆ เติบโตมาเป็นอย่างผู้เลี้ยง เขาถึงมีคำว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ไงครับ .. คุณอยากให้ใครๆ คิดว่าแม่คุณเป็นยังไงล่ะ ผมเคยเจอคนที่แม่กับลูกต่างกันราวฟ้ากับดินมาแล้ว ถ้าผมไม่รู้จักแม่เขา ผมคงคิดว่าแม่เขาก็เหมือนเขาน่ะแหละ ใครๆ ก็คิดอย่างนั้นนี่
แต่การพูดที่ดี ไม่ได้มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม มันเป็นเรื่องของพรแสวงล้วนๆ .. พ่อผมเป็นนักพูด พูดสารพัดงาน ทั้งวิทยากร ทั้งพิธีกร ซึ่งไม่ใช่อาชีพหลักของท่าน อาชีพหลักของท่านคือผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาการคิดและการพูด .. แต่มันไม่ได้มาสู่ผมในสายเลือด ผมยืนยันได้ .. ผมต้องเรียนรู้ ต้องทำความเข้าใจ ต้องฝึกวิธีการคิด ผมแค่โชคดีนิดหน่อย ที่มีคนสอนเรื่องวิธีคิด วิธีพูดอยู่ใกล้ๆ คนที่มีประสบการณ์ตรง .. แต่มันไม่ได้มีอุปสรรคใดๆ เลย ถ้าเพียงแต่คุณสนใจที่จะทำให้มันดีขึ้น ทุกวันนี้ เรามีหนังสือ มีอินเตอร์เนท ผมเชื่อว่าครูของคุณต้องเก่งกว่าครูของผมแน่ๆ
การพูดเป็นทักษะอย่างหนึ่ง คำว่าทักษะ หมายถึงสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้ ทำให้ดีขึ้นได้ ในการพัฒนาทักษะในการพูด มีเงื่อนไขคือความเป็นคนปกติ อย่าพูดว่าตัวเองโง่เลย เพราะมันจะย้อนกลับไปบอกอะไรๆ ในตัวคุณ ตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นนั่นแหละ .. คุณลองดูคนที่สติปัญญาต่ำกว่าปกติ หรือมีความผิดปกติทางสมอง พวกเขายังสามารถพัฒนาศักยภาพในการคิด การพูด การแสดงออก ให้ดีขึ้นได้เลย สมองของคุณแย่กว่าพวกเขาหรือเปล่าล่ะ ถ้าใช่ คุณก็คงต้องทำใจ ..
แต่ถ้าไม่ใช่ และคุณคิดว่าการพูดของคุณยังไม่ดีพอ คุณอยากจะทำให้มันดีกว่านี้ เพื่อให้การพูดของคุณบรรลุวัตถุประสงค์ คุณก็ควรเริ่มคิดให้มากขึ้น ก่อนพูดอะไรออกมา .. การพูดที่ดีแล้ว หมายถึงคำพูดของคุณ สามารถสร้างความพึงพอใจให้ผู้ฟัง ไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำลายความสัมพันธ์ คนฟังรู้สึกเชื่อถือ ยอมรับความคิดของคุณ โน้มน้าวผู้อื่นได้ และสามารถพูดให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ คุณทำเรื่องเหล่านี้ได้ทั้งหมดหรือยัง .. สงสัยเหรอ ผมก็ยังทำไม่ได้ทั้งหมดหรอกครับ เลยต้องพัฒนามันต่อไป และผมอยากให้คนอื่นได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วย เพราะเราทุกคนสามารถทำมันได้อยู่แล้ว โดยที่คุณไม่ต้องมี IQ สูงกว่าใครเลย
ทักษะในการพูดที่ดี มีผลมาจากทักษะในการฟัง การอ่าน และการคิด ถ้าเราจะแยกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน มันก็จะเป็น
-  การฟัง การอ่าน คือกระบวนการรับข้อมูลเข้าไป เก็บไว้ใช้เป็นวัตถุดิบ รวมถึงความสามารถในการรับรู้ อันนี้ก็ฝึกได้
-  การคิด คือกระบวนการเชื่อมโยง วิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผล ซึ่งจะทำได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับ วัตถุดิบที่คุณมี + ความสามารถและความเร็วในการคิด รวมถึงความสามารถในการคิดให้รอบด้านด้วย
-  การพูด การแสดงออก คือกระบวนการแสดงผลลัพท์ที่ได้ ออกสู่สายตาประชาชน
ทำให้พอสรุปได้ว่า การพูดคุยกับเพื่อนฝูง ไม่ใช่วิธีทางเดียวในการพัฒนาทักษะของการพูดและการคิด .. ผมไม่ได้บอกว่า การคบคนที่มีระดับความคิดเท่าๆ กันเป็นเรื่องไม่ดี ในความเป็นจริง เราต้องพบผู้คนมากมาย ที่มีความหลากหลายในระดับการคิด คุณจะเลือกคุยเฉพาะกับคนบางกลุ่มก็ได้ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเสียดาย เพราะคนแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ในการคิดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละเรื่อง อาจด้วยสังคม การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา ประสบการณ์ชีวิต ซึ่งจะมีอะไรๆ ให้เราได้เรียนรู้ ถ้าเราใส่ใจ
แต่ในรูปแบบของการพัฒนาทักษะในการคิด มันมีความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งคือ การพูดคุยกับคนที่คิดน้อยกว่าเรา จะทำให้เราคิดน้อยไปด้วย .. การพูดคุยกับคนที่คิดเท่าๆ เรา เราก็จะคิดได้เท่าเดิม .. ถ้าเราคุยกับคนที่ฉลาดกว่า เราต้องคิดให้ทันเขา ช่วยให้เราคิดได้มากกว่าเดิม .. มันเป็นรูปแบบบังคับ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ คุณจะคุยกับฝ่ายตรงข้ามไม่รู้เรื่อง
ผมไม่ได้หมายความว่า คุณต้องคุยกับคนที่ฉลาดกว่าเท่านั้น อย่างที่บอกข้างต้น คนที่คิดน้อยกว่าคุณ อาจมีบางเรื่องที่เขาคิดได้มากกว่าคุณก็ได้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขาสนใจ มีความรู้ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ สิ่งที่จะช่วยได้คือ พูดคุยกับคนทุกประเภท ดูกระบวนการคิด การพูด ของเขา แล้วเอาแต่สิ่งที่ดีมาปรับใช้ หรือถ้ามันไม่มีอะไรดีสักอย่าง คุณก็จะรู้ว่า สิ่งที่ดูไม่ดี ไม่ควรพูด ไม่ควรทำ คืออะไร และไม่ไปพยายามทำตัวแย่ๆ อย่างเขา
การศึกษา ฐานะ อาชีพ หน้าที่ การงาน ตำแหน่ง ไม่ได้เป็นตัววัดว่าเขาจะพูดได้ดี อย่าใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นบรรทัดฐาน .. คุณอาจเคยเห็นบางคนพูดจาก้าวร้าว หรือฟังแล้วให้ความรู้สึกห่วยแตก .. ในกรณีที่คุณใหญ่โตมากแล้ว และไม่แคร์ใคร ก็ทำเถอะครับ .. แต่อย่าลืมว่า เหนือฟ้า มีฟ้าเสมอ และการมีศัตรูจะทำให้ชีวิตคุณต้องยุ่งยากกว่าการไม่มีศัตรูเยอะเลย .. แล้วดาราที่คุณคลั่งไคล้ล่ะ ก็ดีนะครับ การดูหนังก็เหมือนการอ่านหนังสือ แถมมีผลให้เห็นเร็วดีด้วย ดาราตอนอยู่นอกจอ  เขาก็ต้องระวังการพูด การกระทำ ให้ดูดีอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน คุณจะเอาอย่างบ้างก็ได้
การอ่านก็เป็นเรื่องสำคัญ การพูดเอากลับคืนไม่ได้ การเขียนก็เช่นเดียวกัน แต่มันมีหลักฐานหลงเหลืออยู่ด้วย เพราะอย่างนั้น บทความต่างๆ นิทาน นิยาย สารคดี หนังสือทุกชนิด จะมีการกลั่นกรองมาแล้วในระดับหนึ่ง มันถึงต้องมีผู้เขียนกับบรรณาธิการไงครับ ตัวผู้เขียนเอง คงไม่ได้แค่คิด เขียนออกมา แล้วจบ แต่เขาต้องมีการทบทวน จัดการกับข้อความที่ไม่เหมาะสม ตรวจสอบข้อมูลและรายละเอียด บรรณาธิการก็ต้องตรวจสอบอีกครั้ง .. การรับข้อมูลที่มีการตรวจสอบแล้ว ดีตรงมันเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างจะมีความถูกต้องสมบูรณ์ จัดเป็นวัตถุดิบที่ดี ยิ่งถ้าเป็นข้อมูลโดยนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ ก็ยิ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ นำมาใช้ต่อได้ในโอกาสที่เหมาะสม และทำให้คุณดูน่าเชื่อถือไปด้วย .. พ่อผมบอกว่า หนังสือทุกเล่มมีประโยชน์ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง .. ถ้าคุณกำลังนึกถึงหนังสือ playboy มันมีประโยชน์ต่อสมองในการสร้างจินตนาการนะคุณ
กระบวนการคิดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะพูดกับใคร .. คำพูดพล่อยๆ บางคำ จะทำให้คนอื่นเสียอารมณ์ เสียความรู้สึก และอาจกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต รวมไปถึงการเสียภาพลักษณ์ของคุณในสายตาคนอื่นด้วย คุณรู้เหรอ ว่าพวกเขาจะมีผลอะไรกับตัวคุณในวันข้างหน้าได้บ้าง คุณอยากดูดีหรือดูแย่ล่ะ .. ผมเคยเห็นคนที่พูดแล้วสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง หรือทำให้ตัวเองต้องพบกับความยุ่งยากมากขึ้น ทั้งๆ ที่ถ้าคำพูดของเขาเป็นอีกอย่าง หรือไม่พูดอะไรเลย เรื่องมันจะง่ายกว่านั้น
การพูดเพ้อเจ้อ ก็เป็นเรื่องดีนะครับ สนุกดี ไร้สาระ หาเรื่องใส่ตัวก็ได้ แถมยังเป็นบาปในทางพุทธด้วย เพราะมันจะทำให้ฟุ้งซ่าน ขาดสติ เสียสมาธิ แต่คนเราก็ต้องการเรื่องบันเทิงนะ ไม่รู้สิครับ เราสามารถหาความบันเทิงจากเรื่องอื่นได้รึเปล่า ที่มันจะให้ประโยชน์ไปได้พร้อมๆ กัน และไม่ทำให้คนอื่นต้องเสียเวลาไปกับเรา หรือต้องมามีบาปร่วมกับเราด้วย .. การพูดที่ดีก็สร้างความบันเทิงได้นะครับ อยู่ที่คุณจะพูดยังไง
เรามักจะเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า คนที่ชอบพูดเพ้อเจ้อจนเป็นนิสัย คือมีความสามารถพิเศษเรื่องนี้เลยน่ะครับ .. เมื่อถึงเวลาต้องพูดอะไรที่มีสาระ มักจะทำได้ไม่ค่อยดี .. เขาจะไม่สามารถจับประเด็นที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการได้อย่างแน่ชัด ไม่สามารถเรียบเรียงความคิด สื่อสารออกมาอย่างเป็นขั้นตอนและสร้างความน่าเชื่อถือได้ ซึ่งจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่า คนๆ นี้หลงประเด็น น่ารำคาญ พูดจาวกวน พูดไม่รู้เรื่อง หรือทำให้คนอื่นเสียเวลา .. ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากการฝึกฝนกระบวนการคิดของเขา ฝึกแบบไหนก็ได้แบบนั้น .. ก็คงไม่เป็นไร ถ้ามันไม่ใช่เรื่องงาน เรื่องการเคลียร์ตัวเองกับคนที่มีผลต่อตัวคุณ การขออนุมัติเงินก้อนใหญ่ หรือการไม่รับงานที่ไม่ใช่เรื่องของคุณ .. อย่างดูดี
ผมคงบอกไม่ได้ว่า คุณต้องคิดยังไง เขาถึงได้ว่า การคิด มันสอนกันไม่ได้ .. เนื่องจากรายละเอียดมันมาก คนแต่ละคนมีเงื่อนไข ความต้องการ ทัศนคติ ไม่เหมือนกัน ทั้งตัวผู้พูดและผู้ฟัง อีกทั้งสถานการณ์ก็แตกต่าง ตัวแปรมันเยอะเกินกว่าที่จะเอามาสรุปเป็นข้อๆ ได้ .. แต่สิ่งที่สรุปได้แน่นอนคือ การดูผู้ฟัง คุณต้องรู้ให้ได้ว่า (โดยฝึกการรับรู้และการคิด ให้เร็วและละเอียด) เขาต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เขาคิดแบบไหน อารมณ์เขาเป็นยังไง สถานการณ์เป็นอย่างไร การพูดแต่ละแบบที่คิดขึ้นมาได้ จะให้คุณให้โทษยังไง รวมถึงการรักษาภาพพจน์ที่คุณบรรจงสร้างขึ้นในใจของฝ่ายตรงข้าม อย่าทำให้มันพังครืน เพราะมันไม่มีทางสร้างขึ้นใหม่ให้ดีได้เท่าเดิม ดีไม่ดี ไม่มีทางเสียด้วยซ้ำ เพราะในบางสถานการณ์ การพูดบางอย่าง จะฝังใจผู้ฟังแล้วทำให้เขาคิดว่าคุณเป็นคนเช่นนั้นไปตลอด นี่เป็นจริงในทางจิตวิทยา
เราสามารถสร้างคำพูดดีๆ ได้ โดยการให้ความสำคัญกับการคิด ฝึกมันตลอดเวลา จนมันกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติ แล้วสมองคุณจะทำงานได้ไวกว่าอาการปากเปราะ .. คุณอาจนึกถึงเรื่องภาษากาย ที่ผมพูดถึงในตอนต้น และมองว่ามันมีผลถึง 60 เปอร์เซนต์ แต่ผมอยากบอกให้รู้ว่า การพูด หลอกคนได้ง่ายกว่า .. ภาษากาย ถ้าคุณไม่เข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง คุณจะไม่มีทางหลอกคนอื่นได้เลย .. แต่ทั้งสองอย่างนี้ต้องใช้ร่วมกัน ถ้าภาษากายดีแต่คำพูดไม่ดี มันก็ไม่ช่วยอะไร .. วิธีง่ายๆ คือ คุณต้องเชื่อในสิ่งที่คุณพูด คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ คุณเข้าใจมันดี  การแสดงออกก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันเอง คุณลองนึกเล่นๆ ว่า คุณพูดสิ่งที่ไม่ดี แถมการแสดงออกก็ไม่ดี มันจะเลวร้ายขนาดไหนในสายตาผู้ฟัง แล้วถ้าคุณทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามละ ผลที่ได้ก็ย่อมตรงกันข้ามเช่นกัน
ในกรณีที่คุณยังไม่สามารถหาอะไรที่มันดูดีมาพูดได้ การหุบปากเสียจะเป็นการดีกว่า ถึงใครจะถามว่าคุณเป็นใบ้เหรอ มันก็ยังดีกว่าการพูดออกไปแล้วทำให้ตัวเองต้องดูแย่หรือเดือดร้อนทีหลัง หรือเป็นการตัดความช่วยเหลืออันพึงมีพึงได้ออกไป เพราะการพูดนั้นทำให้คนฟังรู้สึกว่าคุณอวดดี บางทีเขาจะหาทางเล่นงานคุณด้วย อันนี้มันกลายเป็นการพูดเพื่อสร้างศัตรูไปแล้ว .. และบางทีประโยคแรกที่คุณจะได้ยินเมื่อคุณพูดจบอาจเป็นคำด่ากลับ หรือคำถามน่ารักๆ เช่น แม่ไม่สอนเหรอ .. คุณต้องตัดสินใจเองแล้วว่า คุณจะเป็นคนที่พูดได้ หรือได้พูด
และนี่คือคำตอบว่าทำไมเราจึงมี 2 หู 2 ตา มีสมองอันเบ้อเริ่ม แต่มีปากอันเดียว .. เพราะวิวัฒนาการเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดที่จะได้จากอวัยวะเหล่านี้ คือ อ่านให้มาก ฟังให้มาก คิดให้มาก พูดให้น้อยและพูดให้ดี อย่าพูดในสิ่งที่จะทำให้ปากต้องได้รับความเสียหาย .

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เยี่ยมมากครับเป็นความรู้ที่ดีมากๆ สามารถอธิบายได้ตรงประเด็นแล้วนำไปปรับใช้ได้จริง ขอบคุณโลกนี้ที่มีคนแบบคุณ