While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

i-phone / i-pad --- มันคือ smart phone / notebook ย่อส่วน หรืออุปกรณ์ intrend กันแน่


(คนมีลูกควรอ่านนะ)

มันคล้ายๆ กับจะเป็นวัฒนธรรมใหม่ของคนไทยกลุ่มใหญ่ในศตวรรษที่ 21 เดี๋ยวนี้ไม่ว่าคุณจะหันไปทางไหน คุณจะได้เห็น i-phone, i-pad ไปทั่ว อย่างกับมันเป็นพระเบญจภาคี ถ้าจะให้ดี ควรเอาสร้อยทองคำหนักสัก 10 บาท มาร้อยห้อยคอด้วย จะได้คู่ควรกับการกราบไหว้บูชาให้มันเป็นเรื่องเป็นราวไปเสียเลย

เรามักจะได้เห็นกันว่า ถึงจะมีเวลานิดหน่อยก็ต้องงัดมันขึ้นมา เหมือนมันเป็นที่พึ่งทางใจ .. การกระทำพวกนี้ เราจะไม่ได้เห็นในคนโตๆ พวกผู้ใหญ่เริ่มมองเห็นว่า เด็กๆ เดี๋ยวนี้ *อยู่กับตัวเองไม่ได้* มันไม่เหมือนคนรุ่นก่อน (ที่ทุกวันนี้เขาก็ยังทำอยู่) ที่คุณสามารถใช้เวลา ที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ สังเกตและเรียนรู้พฤติกรรมของผู้คน หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว ผมนึกถึงรายการทีวีรายการหนึ่งที่เคยดูนานแล้ว เขาเชิญ doctor ท่านหนึ่งมาพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ท่านว่า กระทั่งในชั้นเรียนของท่าน นักศึกษายังแอบกรีดนิ้วไปมา หรือเพื่อนๆ ที่มากินข้าวด้วยกันนอกบ้าน คนเป็นๆ นั่งร่วมโต๊ะ แทนที่จะพูดคุยกัน ต่างคนต่าง online อยู่ในโลกเสมือน แล้วทำไมไม่ต่างคนต่างกินข้าวที่บ้านไปล่ะ จะได้ไม่ต้องขับรถมาให้เมื่อย เปลืองน้ำมัน  เสียเงิน เสียเวลา ถ้าเรื่องในโลกเสมือน มันสำคัญขนาดนั้น .. อืม..นั่นสิ

ผมมีหลานชายเล็กๆ อายุ 3 ขวบ ซึ่งพ่อของเขาอนุญาติให้ใช้ i-phone ได้เฉพาะที่บ้าน วันละไม่เกินครึ่งชั่วโมง เด็กๆ จะชอบมันมาก เพราะมันไม่ต้องใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กเหมือนการใช้ mouse แล้วทำไมต้องจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่ มันอาจเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ สำหรับคนมีลูก ที่อาจไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน เหตุผลคือ เด็กต้องเรียนรู้ความจริงในระยะเวลาอันจำกัด เราจะใช้เวลาอย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ คนที่มีลูกจะรู้ว่า คุณต้องยัดทุกอย่างเท่าที่มี และที่ต้องขวนขวายมา ใส่หัวพวกเขา เขาจะรับทุกอย่าง คิดตาม และทำการเชื่อมโยง หรือที่เรียกกันหรูๆ ว่า mind map น่ะ เพราะอย่างนั้น ยิ่งเขามีข้อมูลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ช่วงขวบปีแรกๆ จะเป็นช่วงนาทีทอง ที่จะใส่ทุกเรื่อง ทุกด้าน เข้าไป เป็นการบังคับให้สมองและเซลล์ประสาทของเขา พัฒนาขึ้นรองรับทักษะในการเรียนรู้ เขาจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเรา ที่บางเรื่อง เราก็ไม่ get เอาซะเลย มันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ด้วยความทุ่มเท ทั้งเรื่องของเวลา เงิน แรงกาย แรงใจ เพื่อเขาคนนั้น

ทีนี้ไอ้เจ้า i ทั้งหลายนี้ มันเป็นแค่โลกเสมือน ที่ให้ได้แค่ความบันเทิงเท่านั้นสำหรับเด็ก วันละครึ่งชั่วโมงก็มากเกินพอแล้ว เวลาที่เหลือ เขาต้องเล่น ของเล่นที่ช่วยเพิ่มพัฒนาการไปพร้อมๆ กับฟัง Mozart ต้องดูสารคดีเกี่ยวกับสัตว์และธรรมชาติ แล้วก็พาเขาไปสวนสัตว์ด้วยนะ มันถึงจะได้ประสิทธิผลมากขึ้น ต้องไปเที่ยวที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทะเล สวนสาธารณะ สวนสนุก งานมหกรรม ไปพบเห็นสิ่งต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ สร้างกระบวนการคิด ทั้งด้านตรรกะและจินตนาการ รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน 9ล9.. ต้องไปกินข้าวนอกบ้าน อันนี้ก็สำคัญนะ คุณอาจจะเคยเห็นบ่อยมากๆ ที่พ่อแม่นั่งกินช้าว โดยให้ลูกนั่งเล่น i-pad แล้วก็นั่งป้อนกันไป มันก็กินข้าวได้สะดวกดี ลูกไม่กวน แต่มันน่าเสียดายเวลา มันจะดีกว่าไหมถ้าเรายอมเสียสละความสะดวก ยอมที่จะยุ่งยากมากขึ้นอีกนิดนึง เพราะมันมีอะไรเยอะแยะที่จะสอนเขาได้บนโต๊ะอาหาร ตั้งแต่การตักข้าวกินเอง ต้องกินพร้อมคนอื่นนะ ถ้าไม่กินตอนนี้คุณต้องรอมื้อถัดไป จะไม่มีอะไรอีกนอกจากนมนะ ตัวอาหารมันคืออะไร ทำมาจากอะไร เป็นสัตว์ประเภทไหน เขาเลี้ยงมายังไง ยาวครับ หรือมารยาทบนโต๊ะอาหาร การมีน้ำใจ การแบ่งปัน พฤติกรรมของเด็กอื่น ทำไมเค้าทำอย่างนั้น มันเหมาะสมไหม ที่ถูก ควรเป็นอย่างไร สารพัดเรื่อง อย่าบอกว่าคุณไม่มีเวลาหรือเหนื่อยเลย เขาเป็นลูกคุณ มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของคุณ ที่จะพาเขาไปให้ถูกทาง .. อ้อ ..คุณต้องศึกษาจิตวิทยาเด็กด้วยนะ ไม่งั้นคุณจะไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับเขา ไม่รู้วิธีจูงใจให้เขาชอบหรือสนใจในสิ่งที่คุณกำลังพยายามทำให้เขาอยู่

กลับมาที่ผู้ใหญ่หรือเด็กโตๆ ผมก็เข้าใจนะ ผู้ใหญ่เดี๋ยวนี้ธุรกิจมันมาก และดูเหมือนจะต้องดูแลมันอยู่ตลอดเวลายังกับเด็กแบเบาะ ยิ่งถ้าเล่นหุ้น เล่นทอง มันก็ต้องเช็คราคาขึ้น-ลง กันตั้งแต่ตลาดเปิด ไปจนถึงตลาดปิด ทั้งตลาดเอเชีย ยุโรป อเมริกา ต้อง update ข่าวเศรษฐกิจและการเมือง ว่ามันจะส่งผลกับบริษัทไหม ไหนจะต้องใช้อีเมล์ take care ลูกค้า ที่ดูเหมือนมันจะไม่หลับไม่นอนกันซะเลย พวกพ่อค้าแม่ค้า ก็ต้องคอยเช็คสินค้า รับออเดอร์ เด็กโตๆ ก็ต้องหาข้อมูลทำรายงาน ต้องดู u-tube ฝึกภาษา ต้องใช้ dictionary online ต้องเล่นเกมพักสมอง ต้องเช็ค status ใน facebook เพื่อสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น เหนื่อยไม่ใช่เล่น ก็น่าเห็นใจนะ

แต่บางทีเราก็ต้องนึกถึงเรื่องกาละเทศะด้วย มันหมายถึง เวลา สถานที่ สถานการณ์ และโอกาสที่เหมาะสม ก็เอาเถอะ กาละเทศะสำหรับแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน ความคิดเรื่องความเหมาะสมมันก็ไม่เหมือนกันอีก ยังไงเสียมันก็เป็นอีกความคิดเห็นหนึ่งเท่านั้น ใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้ กรุณาใช้วิจารณญาณกันเอาเองก็แล้วกัน ว่าจะใช้มันสร้างประโยชน์ หรือทำให้เวลาเสียไปเปล่าๆ .

ไม่มีความคิดเห็น: