While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ด้านมืดของนักเรียนประจำ (เด็กเลว)


ลืมเรื่องฮอกวอตส์ไปสักพัก อันนี้เป็นโรงเรียนประจำในเมืองไทยครับ ไม่ใช่โรงเรียนพ่อมดในอังกฤษแน่ๆ ผมว่า เจ เค โรลลิ่ง คงไม่เคยอยู่โรงเรียนประจำหรอกครับ ถ้าคุณเคยอยู่โรงเรียนประจำ คุณจะมองมันออก
เนื่องจากผมลองเล่นมาหลายบทบาทแล้ว
- ไม่ว่าจะเป็นพ่อคน .. จากการฟังพ่อตัวจริงเล่าให้ฟัง แล้วเก็บมาเล่าต่อ .. ทั้งๆ ที่ผมไม่มีลูกสักคน (ที่เป็นคนน่ะนะ ถ้าหมาน่ะมีหลายคน .. แต่ข้อมูลอันนั้น ชัวร์นะครับ เพราะผ่านการตรวจสอบต้นฉบับจากพ่อตัวจริงมาแล้ว)
- สวมบทนักกวี .. จากจินตนาการ .. ทั้งๆ ที่ตัวจริง หาความโรแมนติคไม่ได้ สักกระผีก
- สวมบทคนอกหัก .. จากเรื่องที่อ่าน + หนังที่ดู + ชีวิตน้ำเน่าของคนอื่น  .. ทั้งๆ ที่รักใครไม่เป็น (ความจริง ผมอยากจะเล่นเรื่อง เรา 4 คน เรา 5 คน เสียด้วยซ้ำ มีจริงนะพูดเป็นเล่นไป ดูน่าสนุกดีด้วย แต่มันมึนครับ ซับซ้อนเกินไป เกินความสามารถผมน่ะ เพื่อนคนหนึ่งของผมอาจทำมันได้ ไว้ผมจะทาบทามให้เขาลองเขียนดู)
เลยชักจะเกิดความรู้สึกว่า ผมเริ่มตีบทแตกแล้วนะเนี่ย อ่านเองยังซึ้งเลย (คนมันหลงตัวเอง ก็แบบนี้แหละครับ เคยเป็นกันหรือเปล่า) .. วันนี้ผมจะขอสวมบท อดีตนักเรียนโรงเรียนประจำ ที่ต้อง กิน อยู่ หลับนอน ในโรงเรียน ที่สำคัญ มันเป็นโรงเรียนหญิงล้วนเสียด้วย ฮ่ะๆ .. แรงบันดาลใจมาจากวันรวมญาติที่ผ่านมา ผมมีน้อง 1 คนที่เรียนไม่จบ และอีก 2 คนที่เรียนจบภายใน 3 ปี เรื่องนี้เอามาจาก diary ของน้องคนหนึ่ง ซึ่งผมสนใจ ส่วนเขาก็ยินยอมพร้อมใจด้วย และผมเคยมีโอกาสได้ไปเหยียบที่นั่น มีโอกาสได้เห็นภาพจาก magazine ของโรงเรียน .. มาดูกันว่า ผมจะมั่วไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม ผมขอเล่าจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่งแล้วกัน ลองใช้แบบบุคคลที่ 2 ที่ 3 แล้วมันงงตัวเองน่ะครับ .. เอ แล้วผมจะแทนตัวเองว่าไงดี เอาเป็นฉัน ก็แล้วกัน .. มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะบ้าบอ ไร้สาระ แต่ผมจะพยายามจบแบบมีสาระนะครับ ถ้าไม่อยากเสียเวลา ก็ไม่ควรอ่านครับ จะได้ไม่ต้องมาด่ากันทีหลัง บาปกรรม บาปกรรม .. เอาล่ะ ก่อนอื่นต้องมาแปลงร่างกันก่อน
+ + +
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนที่พ่อกับแม่อยากให้ฉันเรียนโรงเรียนดีๆ โดยที่อาจจะลืมไปว่า ลูกตัวเองมันห่วยมาก ท่านจ้างคนแถวบ้านมาติวภาษาอังกฤษให้ แล้วฉันก็ดันสอบติด .. พร้อมๆ กับลูกพี่ลูกน้องของฉันอีกคน ที่โตมาด้วยกัน
มันเป็นโรงเรียนคริสต์ในกรุงเทพ เป็นโรงเรียนหญิงล้วน โด่งดังและไฮโซ มีหลักสูตรภาษาอังกฤษอย่างเดียว ในยุคนั้นมีไม่กี่ที่หรอก ไปเดากันเอาเองนะคะ .. ที่บอกว่าไฮโซ เพราะเด็กประมาณ 70 กว่าเปอร์เซนต์เป็นลูกคนรวย ที่เหลือก็มีอันจะกิน เพราะค่าใช้จ่ายมันค่อนข้างสูงค่ะ
พอสอบเข้าได้และพ่อกับแม่คำนวนกันแล้วว่า มีปัญญาจ่ายจนควายเรียนจบได้ ฉันและน้องก็ถูกนำตัวไปส่งเข้าหอของโรงเรียน ที่รองรับเด็กได้แค่ น่าจะประมาณ 30 ที่เหลือต้องไปหาหออยู่ข้างนอก มีเยอะค่ะที่มาจากที่ห่างไกล จากเชียงใหม่ เชียงราย ระยอง จากใต้ยังมีเลย ถึงยังไงพ่อแม่ฉันก็รู้จักลูกตัวเองอยู่พอสมควร เลยพยายามใช้เส้นสุดฤทธิ์ ให้ฉันกับน้องได้อยู่หอพักในโรงเรียน .. แล้วก็ได้อยู่ สมใจท่าน .. สมใจฉันด้วยไหม เดี๋ยวก็รู้ค่ะ แต่ที่แน่ๆ มันมีความปลอดภัยในระดับ 100 เปอร์เซนต์ และสร้างระเบียบวินัยให้เด็กๆ ได้ดี
ที่พักเป็นอาคาร 2 ชั้น แบ่งปีกซ้าย-ขวา ด้วยบันไดทางขึ้นชั้น 2 ด้านหนึ่งจะเป็นที่พักของซิสเตอร์ อีกด้านเป็นที่พักของนักเรียน ชั้นล่างจะเป็นห้องครัวและห้องอาหารของเด็กประจำ ถัดมาเป็นห้องทานอาหารของซิสเตอร์ และห้องทำการบ้านของพวกเรา ..
เด็กหอพัก จะได้รับการดูแลจากซิสเตอร์ผู้คุมกฎ (เว่อร์ไปนิดนะหล่อน) เราถูกแบ่งให้อยู่ร่วมกันห้องละ 3-4 คน ฉันได้อยู่ห้องเดียวกับน้องฉัน .. นี่ฉันต้องอยู่อย่างนี้หรือนี่ เห็นแล้วร่ำๆ อยากจะกรี๊ดให้ลั่นโรงเรียน .. ที่เรามีคือ 10 ห้องนอน ซึ่งใช้ได้ 9 ห้อง อีกห้องซิสเตอร์ท่านหนึ่งจะมานอนคุม ให้พวกเรานอนกันจริงๆ ไม่ใช่แอบเปิดวงไพ่ เล่นไฮโล หรือปาร์ตี้ยาอี (โทษที สมัยนั้นยังไม่มียาอี แต่ไพ่กับไฮโลมีค่ะ เหล้าบุหรี่ยังแอบมีกันได้เลย เหล้าถูกซ่อนอยู่ในขวดรูปรถสปอรต์แสนสวย น่าทึ่ง สงสัยมันขโมยของพ่อมันมา) ห้ามคุยกัน เมื่อถึงเวลา ทุกห้องต้องปิดไฟ แล้วนอนไป หลับไม่หลับก็เรื่องของเธอ ..
เตียงเดี่ยวมี 2 ชั้น ตกลงกันเอาเอง ใครอยากปีน ก็ขึ้นไปนอนข้างบน มีพัดลมโคจรตัวใหญ่ให้ 1 ตัวต่อห้อง ฟูกหนา 2 นิ้ว หมอนกับผ้าห่มคนละ 1 ชุด ตู้คนละใบ มีห้องอาบน้ำรวมข้างในแยกเป็น 10 ห้องเล็ก มีคนซักเสื้อผ้าให้ (ยกเว้นชุดชั้นใน) มีคนทำอาหารให้กิน 3 มื้อต่อวัน หลังกินเสร็จ เรามีการจัดกลุ่ม ผลัดกันล้างจานเป็นมื้อๆ ไป ได้กลิ่นมะนาวของซันไลท์ทีไร ให้หวนนึกถึงยามค่ำ ตอนทำหน้าที่ล้างจานทุกครั้งไป น้องฉันก็ยังเป็นอยู่เหมือนกัน
ที่นี่ .. ไม่มีทีวี ไม่มีแอร์ ไม่มีวิทยุให้เด็กๆ .. ซาวน์เบาท์ไม่ใช่ของต้องห้าม แต่ยุคนั้นมันถูกใช้กับเทปคาสเซทเท่านั้น ไม่ได้มีเครื่องเล่น mp3 อะไรเลย ความบันเทิงอย่างเดียวที่เรามี คือห้องสมุดที่เข้าได้ไม่จำกัด อ้อ มีหมากรุกกับหมากฮอสด้วย พี่คนหนึ่งเล่นหมากรุกเก่งมาก แต่เด็กๆ ส่วนใหญ่จะเล่นไม่เป็น ฉันเพิ่งศึกษามาบ้าง เลยได้มีโอกาสขอคำชี้แนะ พี่เขาก็ชี้แนะไปทีละมุม อดทนต้อนฉันได้ทุกวัน เพื่อสอนให้รู้ว่าถ้าฝ่ายตรงข้ามเดินมาอย่างนี้ ฉันต้องเดินยังไงถึงจะไม่โดนต้อนแล้วไปต่อได้ ต้องวางแผนแบบไหนถึงจะต้อนฝ่ายตรงข้ามได้ ผ่านไปหลายเดือนฉันก็เริ่มก้าวหน้า .. ที่วัดว่าพี่เขาเก่ง เพราะตอนที่มาเรียนในระดับมหาลัย ได้มีโอกาสเล่นกับคนที่เพื่อนๆ เห็นว่าฝีมือใช้ได้ แล้วฉันชนะค่ะ ภูมิใจ๊ ภูมิใจ ..
การเป็นเด็กหอ เราจะต้องดำเนินชีวิตตามเวลาเป๊ะๆ โรงเรียนอื่นก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน ทุกคนต้องตื่นตอน 6 โมงเช้า ทำเรื่องของตัวเองให้เสร็จ แล้วมาทานมื้อเช้าตอน 7 โมง ห้องทำการบ้านจะถูกปิดตอน 7.55 ถ้าลืมหนังสือ ก็ลืมได้เลย มันจะถูกเปิดอีกทีตอน 12.00-13.00 และ 16.00-22.00 มื้อเที่ยงตอนเที่ยงตรง มื้อเย็นตอน 18.30 พวกเราได้รับอนุญาติให้เดินเล่นรอบสนามยามค่ำ ที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม กับไผ่เลี้ยงอีกหลายกอ ก็แล้วแต่จินตนาการของแต่ละคนนะคะ อาจเป็นความสงบ ร่มรื่น เย็นสบาย กับเสียงใบไผ่เล่นลม อาจเป็นความหลอน วังเวง เย็นยะเยือก น่ากลัว แต่ที่แน่ๆ พวกเราจะเดินเป็นกลุ่มค่ะ ไม่เคยมีใคร เดินไปคนเดียวเลย ..
กีฬาที่มีคือแบดมินตัน มีสนามบาสหน้าโรงเรียน แต่ฉันก็ไม่ค่อยเห็นใครมาเล่นกัน สนามกว้างหน้าอาคารเรียนก็ไม่มีใครเอาฟุตบอลมาเล่นเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มีการดูแลสนามอย่างดี หญ้าขึ้นแน่น หนานุ่ม .. มันถูกใช้เป็นที่อ่านหนังสือ อาจเป็นเพราะรองเท้าส้นสูงที่ไม่อำนวยความสะดวกในการทำเช่นนั้น รองเท้าชนิดอื่นเป็นของต้องห้าม ห้ามใส่ ห้ามนำมา ถ้าเจอจะถูกริบ แล้วเราจะไม่ได้เห็นมันอีกเลย
และเมื่อโรงเรียนเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษทั้งหมด เลยมีกฎเหล็ก ห้ามพูดภาษาไทยในบริเวณโรงเรียน กฎนี้จะถูกควบคุมให้ดำเนินไปโดยคุณครูและรุ่นพี่ ที่จัดตั้งเป็นองค์กรลับขึ้นมา เราจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จนกว่าเราจะหลุดภาษาไทยออกมา แล้วมีใครสักคนเข้ามาถามเราว่า what’s your name ทีนี้ก็เสร็จล่ะ ชื่อของเราจะถูกบันทึกไว้แล้วเก็บสถิติไปเรื่อยๆ ครั้งแรกๆ จะถูกปรับ 5 บาท พอมากครั้งเข้า ฉันจำไม่ได้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ เราจะถูกคัดข้อความว่า เราเสียใจ เราจะไม่พูดภาษาไทยในโรงเรียนอีก เป็นภาษาอังกฤษหลายหน้ากระดาษ แล้วถ้ายังมีอีก เราก็จะต้องขึ้นไปอธิบายเหตุผลต่อหน้านักเรียนทุกคนในการเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า ด้วยเรียงความ 1 หน้ากระดาษ มันเป็นการประจานให้ได้อาย ก็ไม่ค่อยอายกันหรอกค่ะ .. มันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่เด็กๆ รู้จักกันเกือบทั้งหมด แต่รอยยิ้มของพวกเขาจะทำให้คุณสั่น ซึ่งฉัน เจอมาแล้วทุกขั้นตอน ประมาณ 30 เปอร์เซนต์ของเด็กปี 1 จะผ่านเรื่องนี้มาแล้ว (อ้อ ซิสเตอร์อธิการจะมีชื่อที่พวกเราตั้งให้อีกชื่อว่า หญิงเหล็ก แต่เราไม่เรียกให้ท่านได้ยินหรอกค่ะ)
การศึกษาที่นี่จะมี 3 ปีการศึกษา รับทั้งเด็กจบ ม.3 และ ม.6 เท่าที่ฉันรู้มีเด็ก ม.3 ประมาณ 60 เปอร์เซนต์ หลักสูตรของที่นี่ ไม่สามารถนำไปเทียบเท่ากับสถาบันไหนๆ ได้เลย แต่ประกาศนียบัตรได้รับการยอมรับจากบริษัทต่างชาติ จนมีการมาจองตัวเด็กกันถึงโรงเรียน ด้วยผลตอบแทนค่อนข้างสูง และภาษาอังกฤษจะแน่นปึ้ก รวมทั้งวิชาการด้านธุรกิจ เพราะงี้มั๊ง คนเลยอยากให้ลูกมาเรียน .. ในกรณีที่คุณจบ ม.3 มา และต้องการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี คุณก็ต้องไปสอบเทียบเอากับการศึกษานอกโรงเรียน หลายคนจึงเรียนจนจบ ม.6 แล้วค่อยมาต่อที่นี่กัน
นักเรียนส่วนใหญ่มาจากโรงเรียนคาทอลิก ซึ่งมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นดีถึงดีมาก มีมาจากโรงเรียนวัดบ้าง เช่นวัดทิวไผ่งาม ซึ่งก็ไม่ธรรมดา เอ โรงเรียนคาทอลิกก็เป็นโรงเรียนวัดเหมือนกันแหละนะ บางส่วนมาจากโรงเรียนประจำจังหวัดห่างไกล เช่นฉันเป็นต้น ที่ภาษาอังกฤษอย่างโง่ ไม่รู้สอบเข้าไปได้ยังไง งงจริงๆ .. ที่นั่นการแข่งขันเพื่อสอบเข้าเรียนค่อนข้างสูงนะ เด็กมาสอบเพียบเลย ..
สมุดพกที่ฉันได้รับครั้งแรก คุณครูประจำชั้นท่านลงความเห็นมาว่า พื้นฐานอ่อนมาก และเด็กทุกคนต้องเอาสมุดมาให้ผู้ปกครองเซนต์รับทราบด้วย .. ฉันโง่ จนคุณครูจับฉันนั่งหน้าโต๊ะของท่าน เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด มันก็ดีนะกับการนั่งข้างหน้าต่าง สำหรับห้องเรียนที่มีแต่พัดลม ครั้งหนึ่งในหน้าหนาว คุณครูใช้ให้ฉันดึงหน้าต่างปิดให้หน่อย ฉันก็ลุกไป โดยลืมชายเสื้อด้านหลังที่หลุดออกมา ท่านดึงเข็มขัดของฉันด้านหลัง แล้วจับชายเสื้อยัดให้ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนได้ทั้งห้องเลยค่ะ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศง่วงซึมให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ฉันว่าฉันเป็นคนค่อนข้างมีความมั่นใจในตัวเองสูงแล้วนะ (หน้าด้านน่ะแหละค่ะ) แต่ก็เขินจนหน้าแดง .. ท่านจะเรียกชื่อฉันด้วย 5 ตัวอักษรแรกในภาษาอังกฤษ เพราะการเรียกเต็มๆ มันยาวไปและออกเสียงยาก (ท่านเป็นชาวฟิลิปปินส์ค่ะ) ซึ่งฟังดูตลกมากเลย และมันเป็นชื่อใหม่ที่ฮาทีเดียว เพื่อนๆ ใช้เวลาพักใหญ่ในการทำความคุ้นเคยกับมัน กว่าจะเลิกหัวเราะทุกครั้งที่คุณครูเรียกชื่อฉัน จริงๆ แล้ว ฉันคิดว่าฉันคงน่าเอ็นดูด้วยแหละ เพราะฉันไม่ได้เป็นคนโง่ที่สุดในห้องนะ ถ้าวัดจากคะแนนสอบน่ะ
ที่นี่มี 2 อาคารเรียน เอาอาคารรองก่อนแล้วกันนะคะ ด้านล่างเป็นโรงอาหาร ด้านบนเป็นห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ประตูกระจกติดแอร์ ห้องเดียวค่ะของทั้งโรงเรียน ระเบียงด้านหน้ามีที่กว้างมาก แต่บันไดทางขึ้นแคบมาก แค่ 2 คนสวนกันกำลังดี พูดถึงคอมพิวเตอร์ ขอเล่าหน่อยเถอะค่ะ ให้คนที่ใช้ win7-win8 ได้เปิดหูเปิดตากันหน่อย ตอนนั้นมันเพิ่งมีเป็นรุ่นแรกๆ เรามีเครื่อง server 1 เครื่อง ขนาดครึ่งห้องเรียนเห็นจะได้ ส่วนเครื่อง client มีหลายเครื่องค่ะ ขนาดใกล้เคียงกับปัจจุบันเวลาเอานอนลง แต่หนาประมาณ 5 นิ้ว ลืมเรื่อง laptop ไปก่อนนะคะ อีก 10 ปีให้หลังมันถึงได้เกิดค่ะ เรามีจอโมโนโครมขนาด 15 นิ้ว ที่ด้านหลังยาวเกือบศอก เผื่อนึกไม่ออก ขณะใช้งาน พื้นจะเป็นสีดำ มีตัวอักษรเป็นสีเขียวค่ะ ระบบปฏิบัติการที่มีคือ DOS เวลาที่เราต้องการให้มันทำอะไร เราก็แค่ต้องใช้ command line ที่เขียนใน DOS สร้าง batch file ขึ้นมาสั่งมัน มีอะไรคุ้นหูคุณมั่งไม๊ .. การสอบคือการเขียนโปรแกรมคำนวนให้ทำงานตามโจทย์ที่คุณครูให้มา ซึ่งไม่ซ้ำกันเลย จะลอกใครก็ไม่ได้ ถ้าเรา run ผ่าน คุณครู run ผ่าน ได้ผลลัพธ์ถูกต้อง คำสั่งทุกบรรทัดถูกต้อง เรียงลำดับถูกต้อง ก็เป็นอันผ่านได้ค่ะ แผ่นดิสก์จะเป็นแบบอ่อนขนาด 5 นิ้วกว่าๆ ที่ต้องทนุถนอมกันไม่ให้มันงอ หรือ คุณอาจต้องเขียนมันใหม่อีกรอบ .. เกม pacman กับ starfield ก็ถือกำเนิดในยุคนั้น ฉันคิดว่านั่นน่าจะเป็นเกมคอมพิวเตอร์เกมแรก ที่เกิดขึ้นในโลกเลยล่ะค่ะ และมันน่าหลงไหลทีเดียว
มาที่อาคารเรียนหลัก มันมีทั้งหมด 3 ชั้น และไม่มีลิฟท์ ชั้นล่างสุดเป็นหอประชุมใหญ่ ด้านหลังมีศาลาขนาดใหญ่ ใช่ มีโต๊ะปิงปองด้วย ฉันเล่นปิงปองไม่เป็น แต่ชอบไปนั่งดูเขาเล่นกัน บางคนเล่นเก่งมากจนฉันนึกสงสัย ว่าไปฝึกจากไหนมา .. ขึ้นไปชั้น 3 เลยค่ะ เป็นชั้นสำหรับนักเรียนปี 1 มี 5 ห้องเรียน ชั้น 2 มี 5 ห้องเรียนเหมือนกัน เป็นของปี 2 อยู่ 3 ห้อง ปี 3 อีก 2 ห้อง พวกรุ่นพี่เริ่มมีอายุค่ะ เลยให้ขึ้นบันไดน้อยหน่อย เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแร้งไป โชคดี ที่ทุกชั้น มีห้องน้ำ 2 ห้อง .. คุณสงสัยแล้วใช่ไหม ว่าเด็กหายไปไหน
การเรียนที่นี่ เหมือนสมัยที่พ่อแม่เรายังเด็กเลยค่ะ การตัดเกรด อยู่ที่ 60 เปอร์เซนต์ ถึงผ่าน ได้ D-dog, 70=C, 80=B, 90=A ไม่มีการอิงกลุ่มค่ะ .. สำหรับคนที่ได้ต่ำกว่า 60 จะได้โอกาสเรียนซ้ำชั้น 1 ปี สำหรับปี 1 และปี 2 เท่าที่รู้ ปี 3 ไม่มีคนซ้ำแล้วล่ะค่ะ อยู่มา 5 ปีแล้ว มันก็น่าจะไปรอดแล้วนะ ถ้าเรียนมหาลัย ก็ได้วุฒิวิศวะหรือหมอไปแล้วแหละ
เด็กที่ต้องซ้ำชั้น คุณครูจะเรียกว่า repeater ก็คือ ไอ้พวกซ้ำชั้นนั่นแหละค่ะ คุณครูจะดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้พวกเขาผ่านมันไปได้ และจะให้เด็กกลุ่มนี้ช่วยชี้แนะเด็กใหม่ด้วย เด็กที่หายไป มีหลายกรณีค่ะ กรณีแรก ถอดใจในระหว่างภาคเรียน แล้วลาออกไป ในปีของฉัน มีไม่ต่ำกว่า 5 คน กรณีถัดมา ต้องซ้ำชั้น แล้วตัดสินใจว่าไม่ใช่ทาง ไปที่อื่นดีกว่า ฉันอยู่ในคนกลุ่มนี้แหละค่ะ กรณีสุดท้าย มันตกอีกทีน่ะ ก็ต้องออก เพราะโรงเรียนให้โอกาสแล้ว มันไม่ได้จริงๆ .. นี่เป็นสาเหตุหลักๆ ที่จำนวนเด็กลดลง ในชั้นเรียนที่สูงขึ้น ประมาณได้ว่าเด็กที่เรียนจบ มีไม่ถึงครึ่งของที่เข้ามา .. ฉันคิดว่า มันคงไม่ได้ยากไป เพราะถ้ามันง่ายกว่านี้ ชื่อเสียงของโรงเรียนก็คงป่นปี้ .. ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนที่นี่ 5 ปี กับเพื่อนสนิทอีกคน ที่ลาออกตอนอยู่ปี 3 ซึ่งเป็นปีที่ 4 ของเขาที่นี่ เพื่อไปเรียนวิศวะเครื่องกล ทำไมมันไม่คิดตั้งแต่อยู่ปี 1 วะ และไอ้บ้านี่ตลก แอบเอาหนังสือโป๊เข้ามาในหอ แล้วก็ต้องมานั่งหาที่ซ่อน เวลาซิสเตอร์ตรวจ ใต้ฟูกท่านยังเปิดดูเลย เขาเป็นเด็กกรุงเทพ แต่บ้านอยู่อีกด้านของเมือง เขาเคยให้ฉันไปที่บ้านเพื่อติวบัญชีให้ มันไกลมาก แต่ช่วงหลังเขาก็ออกจากหอ แล้วเดินทางไปกลับเอา
วิชาที่ต้องเรียนสำหรับปี 1 ก็มีจริยธรรม การติดต่อสื่อสาร การฟังแล้วทำความเข้าใจ วรรณคดีอังกฤษ (เช็คเสปียร์น่ะ) จดจำและทำความเข้าใจศัพท์ การอ่านออกเสียง การเขียนเรียงความ บัญชี ภาษาฝรั่งเศส พิมพ์ดีดไทย-อังกฤษ และคอมพิวเตอร์ .. ทุกวิชามันดูเหมือนจะไม่เท่าไหร่ ถ้ามันไม่ใช่ภาษาอังกฤษน่ะนะ มันต้องเก่งภาษาและต้องตั้งใจ ฉันไม่มีทั้งสองอย่าง .. ก็ไม่ทั้งหมดหรอกนะ ซิสเตอร์อธิการเคยบอกกับฉันว่า ฉันมีความตั้งใจ แต่ไม่มีความพยายามที่จะรักษาความตั้งใจนั้นไว้ อื้ม จริง .. และเป็นคำพูดที่ฉันไม่ลืมเลย
ทุกๆ เช้า พวกเราจะต้องเข้าแถวในหอประชุมใหญ่เพื่อเคารพธงชาติ แล้วสวดบทข้าแต่พระบิดาเป็นภาษาอังกฤษ มันแปลกดี เคยเรียนโรงเรียนรัฐที่ต้องสวดพุทธทุกเช้ามานาน จากนั้นซิสเตอร์อธิการอาจพูดอบรมนิดหน่อยเป็นบางวัน ตามด้วยการอธิบายตัวเองของคนที่พูดไทยมากครั้งเกินไป
วิชาแรกของทุกวันคือ ethic ศีลธรรมน่ะแหละค่ะ (เดี๋ยวนี้ยังมีสอนกันในโรงเรียนไหมเนี่ย) เด็กคริสต์จะถูกแยกไปเรียนพระธรรมเก่า ที่มีขนาด A4 หนาร่วม 3 นิ้ว โดยซิสเตอร์ท่านหนึ่ง เป็นวิชาเดียวที่เป็นภาษาไทย แต่ข้อสอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด (จริงๆ แล้ว มันก็เป็นข้อเขียนทุกวิชานั่นแหละ วิธีหลับตาจิ้มที่ฉันเคยใช้ เลยเอามาใช้ที่นี่ไม่ได้) เด็กที่นับถือศาสนาอื่น ก็ไปเรียนศีลธรรม จริยธรรม พวกเขาเจอภาษาอังกฤษค่ะ
มาพูดกันเรื่องมารยาท .. ฉันมาจากโรงเรียนประจำจังหวัด ห่างไกลแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนหญิงล้วนอีกน่ะแหละ และได้รับเกียรติจากอาจารย์หลายท่านว่า ฉันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับรุ่นน้อง ฉันว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นนะ เราต้องมีตัวอย่างที่ดีและที่ไม่ดีด้วย เหมือนในหนังจีนบอกว่า ไม่มีมารก็ไม่มีเทพ มันจำเป็นต้องมีนะคะครู .. อาจารย์เกือบทุกคนจะรู้จักฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่ฉันอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนจบ ม.6 เพราะยังเรียนได้ในเกณฑ์ปกติ อีกทั้งยังมีญาติใกล้ชิดเป็นอาจารย์หัวหน้าภาค .. ซึ่งบ่นกับแม่ของฉันว่า เจ๊รู้มั๊ย ซั้นต้องไปเถียงกับฝ่ายปกครอง เค้าจะเอาเรื่องมันแล้วนะ บอกให้มันทำตัวดีๆ หน่อย (ที่น่าขำคือวิชาภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ ฉันได้เกรด 1 ตลอด แถมภาษาอังกฤษตัวเลือก ฉันยังมีติด 0 ใน transcript ตอน ม.ต้น แต่ดันสอบเข้าที่นี่ได้ และทุกวันนี้ฉันต้องทำงานเกี่ยวกับตัวเลข)
สมัยนั้นเด็กรุ่นฉัน จะมีอาการเหี้ยน่ะค่ะ อาการแรดยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ถ้าใครออกอาการแรดมา ก็จะถูกประนามไปทั่ว ขอโทษนะคะที่ต้องใช้คำที่ไม่สุภาพอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่ใช้ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้ชัดเจนได้ พอหลังจากรุ่นฉันไปไม่กี่ปี อาการแรดก็เป็นที่ยอมรับของสังคม และถือเป็นเรื่องธรรมดา ฉันคิดว่าต้องโทษสื่อ ที่ทำให้มันดูเป็นเรื่องธรรมดา ทุกวันนี้เราเลยได้เห็นอาการแรด ไปทั่วเมือง .. เรื่องนี้มีที่มานะคะ ฉันได้มีโอกาสคุยกับญาติท่านหนึ่งที่ยังเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเก่าของฉัน ท่านบอกว่า เด็กเดี๋ยวนี้มันไม่ได้เหี้ยแล้ว มันแรด ไม่เหมือนพวกแก จนท่านต้องขอมาสอนเด็ก ม.1 แทน เพราะทนความแรดของเด็ก ม.3 ไม่ไหว .. ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็ดูๆ ลูกตัวเองด้วยนะคะ อย่าปล่อยให้มันแรดจนเกินงาม
ที่นี่เด็กๆ จะแรดไม่ได้เลยค่ะ ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม อาการกระโดกกระเดกก็จะถูกขัดเกลาเสียใหม่ โรงเรียนจะให้ความสำคัญในเรื่องมารยาท ความเป็นกุลสตรี (รู้จักกันไหมคะ) การพูดจาสุภาพอ่อนโยน และระเบียบวินัย เรื่องเหล่านี้จะถูกควบคุมให้เป็นไป โดยคุณครูและรุ่นพี่ค่ะ .. ในขณะที่ภาษาไทยมี เรา-เธอ, กู-มึง ภาษาอังกฤษมันมีแค่ I กับ you แล้วมันจะหยาบคายได้ตรงไหน ใช่ค่ะ แต่แค่น้ำเสียงที่ไม่สุภาพ จะทำให้เราถูกว่ากล่าวตักเตือนทันที การนั่งไขว่ห้างหรือนั่งแยกขาห่างกัน ก็ทำไม่ได้ ถ้าคุณตัดผมสั้นเกินไป คุณก็จะถูกเรียกขึ้นไปโชว์ตัวให้เด็กทั้งโรงเรียนดู ว่ามันสวยไหม ..
การด่าทอและตบตี ก็ไม่มีให้เห็นค่ะ อาจเพราะการด่ากันเป็นภาษาอังกฤษ มันไม่ได้อารมณ์ เลยไม่มีใครทำกัน เมื่อไม่มีการด่า ของก็เลยไม่ขึ้น ไปถึงจุดที่ต้องตบค่ะ ต่างกับอีกสถาบันหนึ่งที่ฉันได้ข่าวมาว่า ถอดรองเท้าส้นสูงมาตบกันหน้าตาแหก .. แรงสุดที่ฉันเจอมา เพราะไปกวนตีนเพื่อนคนหนึ่งมากไปหน่อย แล้วเขาดันโกรธจริงจัง .. เขาเดินมาที่โต๊ะฉัน ในห้องเรียน ethic แล้วพูดว่า ระวังจะไม่ได้กลับไปตายบ้าน .. แต่ก็เป็นภาษาไทย เห็นไหมคะ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ มันจะฟังแล้วไม่ได้อารมณ์แบบนี้หรอก
คุณครูทุกคนเป็นผู้หญิงค่ะ และเป็นชาวต่างชาติเกือบทั้งหมด มีครูไทยแค่ 3 คน เป็นคุณครูสอนวิชาพิมพ์ดีด คอมพิวเตอร์ และฝรั่งเศส ซึ่งพวกเราจะมีโอกาสได้ฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ ก็ตอนเรียนวิชาเหล่านี้แหละค่ะ ฉันยังจำคุณครูที่สอนฝรั่งเศสได้ เพราะการสอนฝรั่งเศสด้วยภาษาอังกฤษ เป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจริงๆ ท่านเป็นคนใจดีและมีความอดทนสูงมาก โดยเฉพาะกับเด็กโง่ๆ อย่างฉัน ท่านเป็นคุณครูตัวเล็กๆ อายุน่าจะราว 20 เศษ ท่านลาออกไปช่วงเทอม 2 โดยไปทำงานด้านการบิน แต่กลับมาเยี่ยมพวกเราครั้งหนึ่ง แล้วเราก็ได้เจอคุณครูคนใหม่ที่เป็นชาวฝรั่งเศส และพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงฝรั่งเศส ขนาดพวก repeater ยังนั่งเอ๋อไปเลยค่ะ เราไม่รู้ว่าขณะนั้นคุณครูพูดภาษาอะไรอยู่ ต้องปรับตัวกันพักใหญ่
คุณครูอีกท่านที่ฉันประทับใจ ท่านสอนวิชา vocabulary ท่านเป็นคนอินเดียร่างใหญ่ และมาสอนเรียนด้วยชุดประจำชาติทุกวัน เป็นกางเกงยาว เสื้อแขนยาว ชายเสื้อยาวเกือบถึงเข่า มีผ้าพาดไหล่ ท่านใส่แล้วดูดีมากเลยค่ะ เป็นชุดที่พวกเราชอบกันมาก หลายคนอยากจะใส่มันบ้าง ท่านไม่ค่อยยิ้ม แต่ก็ใจดี เมื่อไหร่ที่ท่านยิ้ม ไม่มีใครเลยที่จะไม่เผลอยิ้มตามท่าน ส่วนอังกฤษสำเนียงอินเดียของท่าน พวกเราต้องใช้เวลาปรับหูกันหลายคาบเหมือนกัน กว่าจะฟังออกว่าท่านพูดอะไร
คุณครูอีกท่าน ที่ฉันไม่อยากพลาดที่จะพูดถึง ท่านตัวเล็ก ชอบสวมกระโปรงยาวเกือบถึงข้อเท้า และอายุมากแล้ว สอนมาตั้งแต่ตอนคุณอาฉันเรียนที่นี่ล่ะมั๊ง ท่านเป็นคนอารมณ์ดีมากและขี้เล่น ประมาณว่า พรุ่งนี้วันหยุดไม่ต้องไปเที่ยวหรอก อยู่บ้านทำการบ้านกันนะ พร้อมกับให้การบ้านพวกเรามากกว่าปกติ 2 เท่า .. แต่ก็ไม่มีใครในพวกเราไม่พอใจเลยค่ะ วิธีการของท่าน ทำให้ทุกคนยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน .. ที่สำคัญ ท่านรู้จักคุณอาของฉันด้วย แล้วขู่ฉันบ่อยๆ ว่าจะฟ้องคุณอา เวลาที่ฉันทำตัวไม่ดี
การที่คุณครูมาจากหลายเชื้อชาติ ฉันเข้าใจว่า อาจเป็นวัตถุประสงค์ของโรงเรียน ที่จะให้เด็กๆ มีความสามารถในการฟังภาษา จากสำเนียงที่ต่างกัน ได้ในระดับดีเท่าๆ กัน
สัมพันธภาพระหว่างคุณครูกับนักเรียนที่นี่ แปลกกว่าที่ฉันเคยเจอมา ท่านจะเป็นทั้งคุณครู ทั้งญาติผู้ใหญ่ พี่สาว หรือแม้กระทั่งเพื่อน ในกรณีที่เรามีปัญหา ท่านมีวิธีพูดคุยที่จะไม่ทำให้เราต่อต้าน แต่เล่าปัญหาของเราให้ท่านฟัง แล้วเราจะได้คำแนะนำที่ดีกลับมา เหมือนเรามีจิตแพทย์หลายคนอยู่ในโรงเรียนเลยค่ะ .. แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กเหลิงหรอกค่ะ อย่างที่เคยบอก คะแนนอิงเกณฑ์อย่างเดียว ไม่มีคะแนนช่วยหรือคะแนนพิศวาส
เราจะเรียกคุณครูว่ามิสแล้วตามด้วยชื่อ คุณครูจะเรียกเราด้วยชื่อเฉยๆ ถ้าเราถูกเรียกว่ามิส แล้วตามด้วยชื่อ (คือ คุณ..น่ะค่ะ) แปลว่าเรื่องกำลังจะเกิด เป็นการแสดงความห่างเหินก่อนการดุด่าว่ากล่าว รวมทั้งเตือนว่าคุณเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ทำไมยังทำตัวอย่างนี้อยู่อีก
กลับมาที่หออีกที ความสนุกของเด็กหอ ก็คือการแหกกฎ ฉันว่าไม่ว่าใครก็อยากแหกกฎกันทั้งนั้นแหละค่ะ .. แรกๆ ฉันทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ฉันมาจากต่างจังหวัด เพื่อนๆ ก็คนธรรมดา ไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดี พูดจากูมึง เอ แล้วพวกเด็กคอนแวนต์ทั้งหลาย มันจะเป็นยังไงกันนะ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกค่ะ บางคนที่มาจากโรงเรียนประจำ จะค่อนข้างแสบกว่าฉันเสียอีก เล่นเอางงน่ะ ฉันคิดว่าพ่อแม่เขา ก็คงคิดเหมือนพ่อแม่ฉันน่ะแหละว่า ให้มาอยู่กับซิสเตอร์ มันก็เหี้ยไม่ออกเองแหละ ก็จริงค่ะ แต่ก็มีแอบๆ กันบ้าง เราแอบเข้าห้องคนอื่น ในวันที่ซิสเตอร์ผู้คุมกฎไม่มานอน บางวันท่านก็นอนห้องของท่านที่อยู่อีกฟากค่ะ .. เราจะเช็คเวลาที่ท่านมาเดินตรวจ แล้วสลายตัวก่อนหน้านั้น ท่านใช้เวลาเดิมทุกวันค่ะ ประมาณเที่ยงคืน
เราจะเปิดวงไฮโล หรือไพ่ป๊อก บางทีก็ดัมมี่ ไม่ได้เอาเงินกันหรอกค่ะ แพ้ก็กินน้ำ เล่นกันจนจุก เหล้าสำหรับให้ผู้ชนะจิบ ก็มันเป็นของต้องห้ามและหายากกว่าทองเสียอีก ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะคะ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะตกใจ เป็นเด็กกลุ่มน้อย แค่ 4-5 คนเท่านั้น บางทีพวกเด็กดีก็นึกสนุกมาเล่นด้วย แต่พวกเขาไม่กินเหล้านะ คุณคงรู้อยู่แหละว่า ลูกคุณจะเข้าข่ายรึเปล่า มันเหมือนมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น ระหว่างเด็กเกเรนะ เขาจะเจอกัน จะสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มทำอะไรแย่ๆ ด้วยกัน คำว่าคบคนพาล พาลพาไปหาผิด เป็นสัจธรรมจริงๆ ค่ะ
ยามค่ำ สัก 3 ทุ่ม ก่อนห้องทำการบ้านปิด ซิสเตอร์ไปพักผ่อนแล้ว ฉันกับเพื่อนอีก 2 คน ลัดเลาะไปด้านหลังอาคารเรียนหลัก เพื่อแอบสูบบุหรี่ มันคือความสนุก ที่สิ้นคิด มาถึงวันนี้ ฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไปทำไม ฉันเคยแอบสูบบุหรี่กับเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้อยู่หอ ตอน 7 โมงเช้า หน้าห้องคอมพิวเตอร์ โดยมีเพื่อนอีกคนดูต้นทาง พอมีคนขึ้นมา เขาก็รวบกระดาษที่เราวางไว้รองขี้บุหรี่ ส่วนฉันตกใจและพูดออกมาว่า วันนี้อากาศดีจังเลย แล้วเขาก็ด่าฉันทีหลังตอนเล่าให้คนอื่นฟังว่า กูรีบรวบเลย ไอ้เหี้ยนี่เค้าบอกอากาศดี .. เพื่อนคนนี้ มาจากโรงเรียนนานาชาติค่ะ เขาพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด เขียนภาษาไทยแทบไม่ได้ แต่คำด่าภาษาไทยชัดแจ๋ว อีกอย่างที่จำได้เกี่ยวกับเขาคือ มันสวยมากแต่เหี้ย เขาเป็น repeater ไม่ใช่ปัญหาจากภาษา แต่มัวแต่เหี้ยและไม่ตั้งใจ และเขาออกปีเดียวกับฉัน ..
ไม่นานหลังจากนั้น มีเสียงเล่าลือถึงการเจอผีในโรงเรียน จริงเปล่าไม่รู้ แต่ฉันกับเพื่อนก็ไม่เคยไปแอบสูบบุหรี่ตอนกลางคืนกันอีกเลย .. เรื่องผีคราวนั้น ทำให้พวกเราเด็กหอ อยู่กันอย่างขวัญผวา การเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน จะไม่มีใครไปคนเดียว ทั้งๆ ที่ห้องน้ำก็อยู่ห่างจากห้องพักห้องแรกแค่ 5-6 ก้าว ไม่มีใครเข้าไปอาบน้ำตามลำพังอีก ต้องไปอย่างน้อย 2 คน แล้วคุยกันตลอด ใครเสร็จก่อนก็ต้องรอ ที่ทำให้พวกเรากลัวกันขนาดนั้น อาจเป็นเพราะวันหนึ่ง เราเห็นซิสเตอร์เอารูปแม่พระมาตั้ง ตรงทางที่จะแยกไปด้านที่พักของซิสเตอร์ แล้วมีซิสเตอร์ที่เตรียมบวช เรียกโนวิชมั๊งคะ มาคุกเข่าสวดกันอยู่ 2 คน พวกเขาก็มาเรียนกับเราด้วย กับคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ พวกเราเลยจินตนาการกันไปใหญ่โต อีกทั้งบางคืน มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมา น้องฉันที่นอนชั้นบนเหมือนฉัน คลานข้ามที่กั้นมานอนเบียดฉัน แล้วบอกว่าขอนอนด้วย เขากลัว ดีเหมือนกัน ฉันก็กลัว เช้ามาทุกคนในหอแทบไม่ได้นอน พวกเราหวาดระแวงกันไปทั้งคืน และได้รับคำตอบว่า เจ้าอัลเซเชี่ยน 2 ตัวที่ซิสเตอร์เลี้ยงไว้ มันกัดไก่แจ้ตาย .. พวกเราได้แต่มองหน้ากัน ตายปุ๊ป เหม็นปั๊ปเลยเหรอวะ โห .. พวกเราได้กลิ่นแบบนั้น อยู่เกือบเดือน เป็นบางวัน กลางวันไม่มี เป็นเรื่องที่ทำให้ขวัญผวากันมาก เพราะโรงเรียนมีพื้นที่กว้างพอสมควร
อีกครั้งที่ฉันก่อเรื่อง เพื่อนคนหนึ่งที่ฉันค่อนข้างสนิท มันกลับบ้านไม่ได้ เพราะมัวแต่เดินเที่ยวห้าง เข้าผับ อยู่แถวโรงเรียนจนดึก จะเรียกแท็กซี่ไปก็กลัว จะให้พ่อแม่มารับก็ไม่กล้า มันแอบเข้าบ้านเป็นประจำน่ะแหละ ไอ้นี่ไงที่เรียน 5 ปี คงกะเอาให้แน่นล่ะมั๊ง .. เขาโทรหาฉันแล้วมารออยู่ข้างโรงเรียน ฉันกับเพื่อนอีกคนต้องลักลอบพามันเข้ามานอนด้วย และต้องให้มันนอนห้องฉัน เพราะเพื่อนอีกคนถูกกักบริเวน คงไปทำอะไรให้ซิสเตอร์ไม่ไว้วางใจ เลยโดนจับไปนอนห้องว่างด้านที่ซิสเตอร์อยู่ ..
มันยากไปหมด ตั้งแต่การเอามันขึ้นชั้น 2 ให้มันอาบน้ำ โดยไม่ให้ใครเห็น ยกเว้นเพื่อนร่วมห้อง คงต้องเห็นแหละ มันเรียนห้องเดียวกับน้องฉัน เลยนอนคุยข้ามหัวฉันไปมาอีก ฉันต้องนอนตะแคงข้างบังมันไว้ เพราะดึกๆ ซิสเตอร์จะมาเดินตรวจ เอาไฟฉายส่อง ประตูมุ้งลวดค่ะ ประตูไม้อนุญาติให้ปิดได้ในกรณีที่ฝนสาดเท่านั้น .. แถมยังต้องยอมให้มันใส่ชุดนอนของฉันด้วย มันยังบ่นอีกนะ ว่าตัวใหญ่เชียว ก็ฉันไม่ได้ผอมเหมือนแกนี่ แกจะแก้ผ้านอนไหมล่ะ ถ้างั้นก็ไปนอนพื้นเลย ฉันไม่เอาด้วยหรอกค่ะ ฉันต้องคอยดูต้นทางให้มันกลางดึก เกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาอีก เช้าอีกรอบ ต้องอาบน้ำอาบท่า ตอนนั้นฉันนึกสงสัยขึ้นมา แล้วถามมันว่าถ้าแกไม่ต้องอาบน้ำเช้าจะได้ไหมวะ มันบอกว่าแกจะบ้าเหรอ แล้วมันก็ไปอาบ ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีใครตื่น ซึ่งฉันต้องไปยืนแปรงฟัน นานมาก เพื่อดูต้นทางให้มัน ..
คิดไม่ออกว่าถ้าซิสเตอร์มาเจอจะเกิดอะไรขึ้น ช่วงที่พามันลงบันไดตอนเช้า พี่ปี 3 เดินขึ้นมา พี่เขาตกใจจนอุทานเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่เราพูดไทยได้ในเขตหอพัก ถ้าแปลเป็นไทยก็คงเป็น มึงมาได้ยังไง .. ครั้งนั้นน่าจะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นที่สุด การเอาคนตัวเท่าควายมาซ่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ .. แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่มันทำให้ฉันทึ่ง มันสวดบทวันทามารีอาได้ค่ะ แต่ตอนจบมันใช้ว่า .. โปรดภาวนาเพื่อ (ชื่อเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง) คนบาป .. ทำให้ทุกคนที่กำลังตั้งใจฟังว่ามันท่องได้จริงๆ ว่ะ ขำกันกลิ้ง
อดีตอันแสนเหี้ยของฉันจากโรงเรียนเก่า ไม่มีใครรู้ ไม่เล่า ใครจะรู้ แต่ฉันก็ได้รับความกรุณาจากเพื่อนคนหนึ่ง ที่เราสนิทกันมากตอนอยู่โรงเรียนเก่า เขามาเรียนจุฬา และโทรหาฉันบ่อยๆ .. ฉันมารับรู้ว่าเขากรุณาเล่าอดีตของฉันให้ซิสเตอร์ท่านหนึ่งฟัง ก็ตอนที่ซิสเตอร์อีกท่าน บอกพ่อของฉันเรื่องนี้ และให้พ่อเตือนฉันให้เลิกคบเขาเสีย เพราะเขาไม่มีความหวังดี ฉันงงอยู่พักใหญ่ แต่ก็เชื่อได้ เพราะซิสเตอร์โกหกไม่ได้หรอก เขายังมีหน้าโทรมาหาฉันอีก แต่ฉันก็ไม่อยากคุยกับคนตอแหลแล้ว
หลังจากเหตุการณ์นี้ ฉันก็ได้รับความใส่ใจเป็นพิเศษจากซิสเตอร์ จนแทบกระดิกตัวไม่ได้เลย ก็ดีเหมือนกันนะ ที่ได้รับการดูแลอย่างดีขนาดนั้น .. มีครั้งหนึ่ง ที่ซิสเตอร์ทุกท่านจะไปฉลองวัดที่อยุธยา ท่านมาเรียกฉันตอนเช้า ให้แต่งตัวแล้วไปด้วยกัน ท่านอาจกลัวว่าฉันจะสร้างปัญหาในขณะที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่เลย แต่ฉันก็ได้ไปเที่ยวกับซิสเตอร์กลุ่มใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต และเป็นประสบการณ์ที่ดี วัดนั้นอยู่ติดแม่น้ำ และบรรยากาศดีมากๆ
แล้วเด็กหอกินอะไรกัน .. นั่นสิ ก็อาหารธรรมดาค่ะ ต้ม ผัด แกง ทอด ปกติทั่วไป ที่ไม่ปกติสำหรับฉันคงเป็น ซุบเนื้อใส่ถั่วลิสง เกิดมาไม่เคยเห็น กินแล้วมันก็เลี่ยนๆ มันๆ อร่อยตรงไหนไม่รู้ อีกอย่างก็คือแกงส้มมะรุม ฉันนั่งมองฝักมะรุมอย่างงงๆ แล้วเลือกที่จะซดน้ำแกงอย่างเดียว รสชาดดีค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะจัดการกับไอ้ท่อนกลมๆ ยาวๆ นั่นยังไง มันก็ดูน่ากินอยู่ แต่บ้านฉันไม่เคยทำอะไรที่กินแล้วต้องเอากากออกมาทิ้ง ฉันขอกินอย่างอื่นก็แล้วกัน
ห้องอาหาร จะเป็นโต๊ะยาวๆ 3 ตัว มีเก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน มีซิงค์สำหรับให้พวกเราล้างจานกันเอง กับที่คว่ำจาน มีกระติกน้ำร้อนและชา กาแฟ โอวัลติน ใครอยากกินนม ก็ซื้อมาเอง มีตู้เย็นใหญ่ๆ ให้ 1 ตู้ และเครื่องทำน้ำดื่มให้เย็น เพื่อนคนหนึ่งที่ทำให้ฉันขำ เขาต้องกินนมก่อนนอน พอกินเสร็จก็ทำท่าจะไปละ ฉันถามเค้าว่าไม่กินน้ำเหรอ เขาว่าไม่ ฉันก็ถามเขาอีก แล้วแปรงฟันอีกทีปะ เค้าก็บอก นอนเลย ฉันต้องบอกเขาว่า บ้วนปากหน่อยสิ เดี๋ยวฟันผุหรอก เขาว่า เขาไม่รู้หรอก ทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็ยังแปลกใจว่า ฟันก็ดูแลดี ทำไมมันผุ เออมีแบบนี้ด้วยค่ะ
เรามีแม่ครัว 2 คน ที่ต้องเตรียมอาหารสำหรับเด็ก 30 กับซิสเตอร์อีก 7-8 คน พวกเราเลยช่วยท่านยกสำรับกับข้าวกัน กับข้าวจะมี 5-6 อย่าง 1 สำรับกินกัน 4-5 คน แล้วแต่จะนั่งกัน สำหรับมื้อเที่ยงจะเป็นอาหารจานเดียว บางครั้งที่แม่ครัวหมดมุข เราก็จะเจอข้าวผัดปลากระป๋อง หรือมาม่าผัด ซึ่งจะมีอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ทำให้เด็กหอบางคนหันหลังกลับ ไปใช้บริการโรงอาหารของโรงเรียนแทน น้องฉันอยู่ที่นั่น 3 ปี เขาไม่กินของ 2 อย่างนี้อีกเลย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันแสนจะภูมิใจในความโง่ของตัวเอง เรามีขนมหวานเป็นสาคูน้ำกระทิ ฉันกับน้องมาที่หลัง เราตักสาคูอย่างเดียว แล้วมานั่งกิน พอเพื่อนข้างๆ ทัก ฉันกับน้องก็ลุกจะไปเติมน้ำกระทิ เพื่อนอีกคนกำลังคนหม้อเล่นอยู่ แล้วเขาก็ตักได้จิ้งจกขึ้นมา 1 ตัว จากนั้นก็สนุกค่ะ ทุกคนวิ่งไปอ้วกกันใหญ่ จะอ้วกทำไม มันสุกแล้วแหละ เราไม่โทษแม่ครัวกันหรอกค่ะ ก็แหมจิ้งจกมันซวยเอง แต่หลังจากนั้น ถ้ามีอะไรที่เรามองไม่เห็น เช่นแกง จะต้องมีใครสักคน ไปคนหม้อดูให้แน่ใจ .. เรื่องนี้หลุดไปถึงโรงเรียน จนมีคนมาถามฉันว่า สาคูอร่อยไหม ฉันตอบอย่างภาคภูมิใจว่า อร่อย เพราะฉันไม่ได้เติมกระทิ ฉันก็กินได้จนหมดถ้วยแหละค่ะ
เรื่องทีวี ที่มันไม่มี สร้างปัญหาพอสมควรกับตอนอวสานของคู่กรรม หลายคนติดมัน และอยากจะดูตอนจบให้ได้ พวกเราขออนุญาติซิสเตอร์ โดยเตี๊ยมกับแม่บ้านไว้ก่อน ขอไปดูที่ห้องแม่บ้าน เมื่อซิสเตอร์อนุญาติ พวกเรา 10 กว่าคน เข้าไปนั่งอัดกันอยู่ในห้องท่าน มีการอิน น้ำตาไหล ขี้มูกไหลกันด้วย เดือดร้อนแม่บ้าน ต้องหาทิชชู่มาให้อีก .. ตอนนั้นฉันติดหนังฮ่องกงเรื่องนึง ที่ฉายคืนวันจันทร์-อังคาร แต่ฉันแก้ปัญหาโดยการให้น้องที่บ้านอัดวีดีโอไว้ให้ดู น้องฉันนี่ไม่มีปัญหาอะไรเลย เขาเป็นเด็กเรียน และไม่ชอบละครน้ำเน่า ตอนอยู่บ้านก็เอาแต่ดูข่าว แล้วอ่านหนังสือ .. คนแบบนี้ก็มีนะคะ
ฉันได้เพื่อนใหม่คนหนึ่งมาแบบแปลกๆ เขาฝากโน๊ตเพื่อนคนหนึ่งมาให้ บอกว่าอยากรู้จัก พอได้คุยกันเราก็คุยกันได้อย่างถูกคอ แอบคุยภาษาไทยกันหลังเลิกเรียนน่ะค่ะ ไม่งั้นคงไม่รู้จะถูกคอกับเขาได้ยังไง มันเป็นเรื่องของอาการถูกชะตาล่ะมั๊ง และเราเป็นคาทอลิกเหมือนกัน เขาเป็นเด็กเรียนและเป็น repeater เพื่อนคนนี้ดีมากๆ เขารู้ว่าฉันท้อ เขาเขียนโน้ตฝากมาให้กำลังใจเสมอ กัลยาณมิตรเป็นอย่างนี้นี่เอง
มาต่อเรื่องการป่วนยกหอ งานนี้เด็กดี เด็กไม่ดี เป็นเหมือนกันหมด มันเป็นช่วงก่อนสอบปลายภาคค่ะ พวกเราอยากจะอ่านหนังสือกันให้มากกว่าเวลาที่ซิสเตอร์กำหนดให้ วิธีการของพวกเราคือ ไปนอนตามเวลาน่ะแหละ รอจนซิสเตอร์มาเดินตรวจไปแล้ว ช่วงหลังซิสเตอร์ไม่ค่อยมานอนค่ะ หรือเป็นใจให้พวกเราก็ไม่รู้นะ .. พวกเราก็ดอดลงมาห้องทานอาหาร แล้วใช้กุญแจผีผ่านเข้าไป แอบดูหนังสือกัน งานนี้เป็นไปกันหมด ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง .. มันก็คงไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าไม่มีใครในกลุ่มพวกเรา ไปงัดห้องอาหารของซิสเตอร์ เออ มันแสบไหมล่ะ ..
วันนั้น กาแฟหมด หลายคนต้องการมัน เพื่อนคนหนึ่งเสนอว่าเอาของซิสเตอร์มากินก่อนดีกว่า และฉันไปกับเขา ถ้าเอากาแฟอย่างเดียว อาจไม่มีใครรู้ แต่ไอ้บ้านั่นเกิดอยากใส่นมข้นด้วย .. นมข้นจะถูกเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน โดยเปิดฝาด้านบนออกหมด แล้ววางในที่ใส่ที่มีฝาปิด เพราะเช้าซิสเตอร์บางท่านลงมาตั้งแต่ตี 5 แน่ะ เจ้านี่ตักนมหลายช้อน กะเอาอร่อยเค้าหล่ะ แถมยังทำหยดอีก ด้วยความรีบร้อน ฝาก็ลืมปิด วันรุ่งขึ้นมีการกวาดล้างหนู ซิสเตอร์ท่านคิดว่ามีหนูในห้องอาหาร ฉันกับเขามองหน้ากันอย่างเงียบเชียบ โชคดีที่ลืมปิดฝา หนูเลยรับผิดแทนไป
เทอมหลัง ฉันมาอยู่หอข้างนอกคนเดียว น้องยังอยู่หอของโรงเรียนจนเรียนจบ .. เป็นหอหญิงที่อยู่ห่างจากโรงเรียน 1 ป้ายรถเมล์ คราวนี้เลยเป็นอิสระและเกเรมากขึ้น มีไปดูหนัง ไปกินเหล้าบ้านเพื่อน เพื่อนที่เคยอยู่หอด้วยกันนั่นแหละ เขาก็ออกมาเหมือนกัน โดยไปอยู่บ้านพ่อเลี้ยงที่ตอนแรกเขารับไม่ได้ แต่เขารู้สึกว่าเขารับไม่ได้มากกว่า กับหอพักของโรงเรียน ที่เข้มงวดขนาดนั้น .. แต่ฉันไม่เล่าต่อล่ะ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเด็กประจำแล้วนี่ สรุปว่าฉันได้คะแนนเฉลี่ย 46 เปอร์เซนต์ และมันต้องซ้ำชั้น พ่อถามฉันคำเดียวจะอยู่ต่อหรือจะออก ฉันตอบว่าออก พ่อก็เลยไปคุยกับซิสเตอร์อธิการ ในขณะที่นั่งรอ รุ่นพี่คนหนึ่งก็เดินมาถามฉันว่า ได้กี่เปอร์เซนต์ แล้วอยู่ต่อไหม พอฉันบอกว่าออก เขาก็ว่าออกทำไม คนได้น้อยกว่านี้ยังอยู่เลย ก็ใช่ค่ะ มีเยอะด้วย แต่ฉันรู้สึกว่า ถึงฉันจะมีความประทับใจมากมายกับที่นี่ และคิดว่ามันเป็นที่ๆ ดีจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่ที่ของฉัน
ฉันมาเรียนต่อในระดับปริญญาตรี และจบการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.8 ฉันว่ามันก็ไม่เลวนักหรอกนะ สำหรับคนที่เคยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แค่เราพร้อมที่จะเริ่มใหม่ให้ดี ทุกครั้ง .. จากที่นั่น ฉันได้อะไรมาเยอะมาก ถึงจะอยู่แค่ปีเดียว ที่เห็นชัดๆ คงเป็นวิชาภาษาอังกฤษที่ฉันได้เกรด 4 ตลอดโดยไม่ต้องพยายามมากนัก การเลิกกลัวภาษาอังกฤษช่วยฉันได้มากจริงๆ บทเรียนของการต้องช้ำชั้น ทำให้ฉันสลับตำแหน่ง top กับรอง top กับเพื่อนอีกคนตลอดการศึกษา ฉันมีความเข้าใจเรื่องความรับผิดชอบได้มากขึ้น และเดี๋ยวนี้ฉันกลายเป็นสาวออฟฟิศที่แสนจะสุภาพเรียบร้อย .. จบค่ะ
+ + +
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า .. ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาสอนอะไรใคร .. แค่อยากสะกิดใจเด็กๆ ทั้งหลาย ให้เห็นคุณค่าของโอกาสทางการศึกษาที่พ่อแม่มอบให้น่ะครับ .. IQ มันไม่ได้เกี่ยวมากนัก มันเกี่ยวที่โอกาสและความพยายามเป็นประเด็นหลัก ถ้าไม่เชื่อลองไปทำโพลดูสิครับ (เดี๋ยวนี้เขาฮิตกันจะตาย อะไรๆ ก็โพล ความคิด ความเชื่อมั่นในตัวเองน่ะมีไหม)
คนบางคนฉลาดมาก เช่นเพื่อนคนหนึ่งที่ผมรู้จักตอนเรียนมัธยมต้น เขาได้อันดับหนึ่งของโรงเรียน แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ นั่นน่าเสียดายมากครับ .. ผมยังนึกขอบคุณพ่อกับแม่ ที่ส่งผมให้ได้เรียนหนังสือ ผมจัดว่าโชคดี ที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่เห็นความสำคัญของการศึกษา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่ถ้าลูกๆ อยากเรียนแค่ไหนก็จะกัดฟันส่ง ทำให้ผมได้มีโอกาสทำงานที่ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากนัก ผมเคยมองดูพนักงานในสายการผลิต หรือกรรมกรก่อสร้าง ที่จำเป็นต้องเหนื่อยยากมากกว่าผม เพื่อหารายได้เลี้ยงตัว ทำให้รู้สึกได้ถึงความโชคดีของตัวเอง .. และฟังเพลง เหนือคำบรรยาย ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
ถ้าคุณมีโอกาสอยู่ในมือแล้ว จงทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุด การรับรู้ถึงคุณค่าของการศึกษาในวัยที่ต่าง สร้างตัวแปรใหญ่ ที่จะทำให้อนาคตของคุณต่าง .. ความหมายของผมคือ ยิ่งคุณรับรู้ได้เร็วเท่าไหร่ คุณก็ควบคุมอนาคตของคุณได้ดีเท่านั้นล่ะครับ .. เพราะมันคือรายได้ที่แตกต่าง ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตแตกต่าง ในวันที่คุณต้องเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง.

ไม่มีความคิดเห็น: