While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สะกดจิตตัวเองเถอะ จะได้ไม่ต้องหาหมอ

ผมไม่ได้เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาตั้ง 5 เดือน ความคิดก็ติดขัดเหมือนกันแฮะ มัวแต่ป่วย โน่น นั่น นี่ มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างยากลำบาก แต่ผมก็ผ่านมันมาแล้ว ตอนนี้รู้สึกสบายดี พอที่จะกลับมานั่งเขียนอะไรได้ (ถ้าอ่านแล้วงง ก็อย่าได้ถือสา ผมเตือนแล้วนะ)
เรื่องการสะกดจิตตัวเอง ผมพอรู้มานานแล้ว ว่าเป็นการใส่คำสั่งลงไปโดยตรงกับจิตใต้สำนึก เพื่อปรับเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรม ... แต่ มันเป็นการรู้แบบผิวเผินน่ะครับ พอจะเอาตัวรอดมาได้ในสภาวะจิตใจที่ผิดปกตินิดหน่อย พออาการหนักเข้า จึงต้องศึกษาเบื้องลึกกัน การจะทำอะไรกับจิตที่แสนละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่ต้องระวังครับ การรับข้อมูลโดยที่ไม่ตั้งใจ ไม่ผ่านการกลั่นกรอง ก็สร้างความเสียหายให้มันมากพออยู่แล้ว สรุป คุณกำลังอ่านบทความที่คนใกล้บ้า เขียน
ทำไมล่ะ ในเมื่อการไปหาหมอ มันเสียเวลา เราควรหาทางจัดการกับตัวเองก่อน ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆ จิตแพทย์จึงเป็นทางเลือกถัดไป เราควรพยายามช่วยตัวเองให้ได้ ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ค่อยให้คนอื่นช่วย ผมเชื่ออย่างนั้นนะ และถ้าวิธีการมันถูกต้อง เราปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มันจะไปมีอะไรที่ทำให้ผลผิดพลาดได้ เรื่องนี้ดีหน่อย ตรงที่มันเป็นระบบปิด จึงค่อนข้างง่ายในการจัดการ
ผมขอบอกกล่าวให้ชัดเจนก่อนว่า ผมไม่ใช่นักสะกดจิต ไม่ใช่หมอโรคจิต ผมแค่อ่านไปทั่วๆ เพื่อใช้งานจริง เมื่อมันได้ผลก็เอามาเล่าต่อ เผื่อว่ามันจะง่ายและได้ผลกับคุณ มันเป็นรูปแบบผสมผสาน ใช้ สิ่งที่รู้ และตรงนี้ไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติ ถ้าคุณต้องการวิชาการหรือศาสตร์ด้านใดด้านหนึ่งก็ไม่ควรอ่าน เพราะสิ่งที่ผ่านหัวคุณไป มันจะฝังอยู่ตรงนั้น เชื่อเถอะ บางเรื่องก็อันตรายเกินไป
เรากำลังพูดถึง การโน้มน้าวจิตใจตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่สมองเราคิดได้ว่าดีกับตัวเราเองแน่ๆ ถ้าคุณสังเกตุตัวเองดูดีๆ คุณจะเห็นว่า หลายเรื่องที่เราคิดได้แต่ใจมันไม่ยอมเชื่อ มันก็รื้อคิด วิ่งเข้าหาเรื่องที่จะทำให้เราเป็นทุกข์อยู่เรื่อย หรือบางสถานการณ์ที่เราจำต้องอยู่กับมัน จัดการกับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือเลี่ยงได้แต่ไม่เลี่ยงจะด้วยเหตุผลด้านคุณธรรมหรืออะไรก็ตามแต่ การรับสภาพไม่ได้ อาจกลายเป็นเรื่องอึดอัดใจที่หนักหน่วง เราควรทำให้ตัวเองรู้สึกดีกว่านั้นไหม เพื่อจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีสติและมีเหตุผล
แน่นอนว่า เราสามารถสั่งความคิดมันทื่อๆ ได้ แต่มันเป็นการกดไว้ คุณลองนึกถึงการบอกให้คนอื่นทำสิ่งที่คุณต้องการ การสั่งทื่อๆ ก็ทำได้ แต่การโน้มน้าวให้เขาทำด้วยความเต็มใจ มันให้ความรู้สึกที่ดีกว่าต่อทั้ง 2 ฝ่าย มันเหมือนกันแหละครับ
เรา มีจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก อันนี้ใครๆ ก็รู้ เราเรียนกันมาตั้งแต่ ม.ต้น ซึ่งที่มากไปกว่านี้ คงลืมหมดแล้ว งั้นเรามาทบทวนพื้นฐานจิตวิทยากันสัก 4-5 บรรทัด ..
สมมุติ เราแทนค่าของจิตทั้งหมดเท่ากับ 100%
จิตสำนึกคือสิ่งที่เรารู้ว่า เรารู้ เราเข้าใจ เราคิดวิเคราะห์ได้ ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งนักวิชาการท่านว่า เรามีมันแค่ 7-10% .. น่าตกใจนะ เรารับรู้ด้วยสติสัมปชัญญะน้อยเหลือเกิน
อีก 90 กว่าเปอร์เซนต์ของจิต เขาโยนไปให้จิตใต้สำนึก ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมทางใจ ทางกาย ทางความคิด และระบบประสาทอัติโนมัติ นี่จึงเป็นเรื่องควรใส่ใจ การสั่งสมเรื่องแย่ๆ เข้าไปในหัว ในความรู้สึก ในแต่ละวันที่ผ่านมาของการดำเนินชีวิต มันทำให้เรามีความทุกข์ได้ ป่วยได้ ตายได้ .. จบพื้นฐานเรื่องจิตวิทยา
ผม สามารถจัดการกับคนอื่นได้ ในระดับที่ตัวเองพึงพอใจ มันจึงเป็นปัญหาใหญ่ ถ้าผมจัดการกับตัวเองไม่ได้ มันจะกลายเป็นเรื่องตลกเกินไปไหม ผมว่า ผมยอมไม่ได้ว่ะ และนี่คือสาเหตุที่ผมมาสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทีนี้เราต้องมารู้จักกันก่อนว่า ไอ้จิต 2 อย่างนี่ มันมีศักยภาพแค่ไหน มีขีดจำกัดยังไง เราจึงจะรู้วิธีปฏิบัติกับมันให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด ด้วยเวลาที่น้อยที่สุด นี่เป็นเรื่องจำเป็นต้องรู้ เหมือนการต้องรู้จักผู้คนที่คุณต้องปฏิสัมพันธ์ด้วยนั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าต้องปฏิบัติกับเขาอย่างไร จึงจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความพึงพอใจหรืออะไรที่มากกว่านั้น
จิตสำนึก คือสมองส่วนที่คิด เรียนรู้ ทำความเข้าใจ ใช้เหตุผล วิเคราะห์ มันหมายถึงการรับรู้และประมวลผลในขณะที่เรารู้ตัวดี ปัญหาคือจิตสำนึกติดต่อกับจิตใต้สำนึกไม่ได้ มันจึงต้องใช้วิธีการพิเศษที่จะให้มันรับข้อมูลที่เราป้อนให้ ด้วยการสื่อสารทางเดียว
จิตใต้สำนึก คือส่วนที่การรู้ตัวเข้าไปไม่ถึง มันรับรู้ทุกสิ่งที่ผ่านเข้าไป จดจำไว้ และเชื่อว่าเป็นจริง ปัญหาคือ มันโง่ คิดไม่ได้ วิเคราะห์ไม่ได้ แต่ส่งผลกลับออกมาทางวิธีคิด อารมณ์ อุปนิสัย พฤติกรรมการแสดงออกทุกอย่างของเรา และยังมีผลกับระบบประสาทอัตโนมัติในร่างกายเรา (ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ การทำงานของสมอง) ซึ่งถ้ามันอยู่ในทิศทางที่ดีอยู่แล้ว ก็คงไม่สร้างปัญหาอะไร
แต่ถ้าคุณมาเจอบทความนี้ คุณคงมีปัญหาที่อยากแก้ไข อยากจัดระเบียบความคิดตัวเองใหม่ อยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของตัวเอง ผมมานั่งเขียนเรื่องนี้ได้ก็เพราะความต้องการข้างต้นนั่นแหละ บทความนี้จึงเน้นเรื่องการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนนิสัยไม่ดีของตัวเอง ที่มันทำให้คุณภาพชีวิตเราแย่หรือมีความสุขน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ผมเชื่อว่าเราทุกคนโตพอที่จะรู้ว่าอะไรดี ไม่ดี ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง ซึ่งเราจะเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีและถูกต้องมาใช้เป็นคำสั่งกับจิตใต้สำนึก ผมจึงจะไม่พูดถึงคำสั่งเฉพาะที่แต่ละคนต้องการแตกต่างกัน แต่จะพูดถึงวิธีการสั่งให้ได้ประสิทธิผลแทน
นักสะกดจิตบำบัดทั้งไทยและต่างประเทศ พูดเหมือนกันว่า สภาวะที่ได้ผลที่สุดคือช่วงตกภวังค์ มันคือช่วงต่อระหว่างตื่นกับหลับ ถ้าเราไม่คิดจะทำด้วยตัวเอง ก็ไปหาเขา บอกสิ่งที่เราต้องการ เขาจะพาเราลงภวังค์ แล้วใช้คำสั่งกับจิตใต้สำนึกเรา ผมว่า ผมทำเองดีกว่า ไม่ยุ่งยาก ไม่เสียตังค์ จะทำเมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้ ตามใจผม
อันดับแรก คือการเปิดจิตใต้สำนึกสู่การรับรู้ ถ้าเปิดไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสั่ง มันไม่รับ ... ข้อมูลบอกว่า จิตใต้สำนึกจะรับคำสั่งได้ดีที่สุดในช่วงต่อระหว่างตื่นกับหลับ รองลงมาคือตอนเผลอ ถัดมาคือตอนที่มีสมาธิจดจ่อ .. จะสังเกตุได้ว่า มันคือช่วงเวลาที่จิตว่างจากความคิด ดังนั้น เราควรใส่คำสั่งที่ต้องการตอนใกล้วูบหลับหรือตอนเพิ่งตื่น ตอนเผลอกับอารมณ์และความคิดของตัวเอง หรือตอนมีสมาธิกับอะไรสักอย่าง ฟังดูง่าย แต่ลองสิ มันยากที่จะรู้ตัวตอนนั้น แล้วเอาคำสั่งยัดลงไป
ผมว่า ที่พอจะเป็นไปได้ตามธรรมชาติ คงเป็นตอนเพิ่งตื่น แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เราเรียนรู้ได้ว่า เราต้องระวังความคิดก่อนนอนให้ดี รวมไปถึงการสะกดจิตตัวเองหรือโดนคนอื่นสะกดจิตโดยไม่รู้ตัว มันจะกลายเป็นการฝังเรื่องที่ไม่ดีกับเรา ลงไปในจิตใต้สำนึกโดยที่เราไม่รู้ แล้วมานั่งหงุดหงิดว่า กูเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง .. เอาล่ะ ถ้าเรามาลองฝึกให้มันมีโอกาสมากกว่าตอนเพิ่งตื่นจะดีไหม จะได้ไม่เป็นไปตามยถากรรม ทำไมไม่รู้ ผมเกลียดคำนี้จัง ผมคงไม่ค่อยชอบอะไรที่คาดเดาไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ยิ่งการควบคุมตัวเองไม่ได้ มันเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ
เข้าเรื่อง .. การสั่งจิตใต้สำนึกต้องใช้ 2 อย่างเท่านั้น คือ สติที่มีคำสั่ง กับจิตที่ว่างพอจะรับคำสั่ง แต่ถ้ามีสติ มันก็ไม่เผลอสิ งั้นเรามาเล่นเรื่องภวังค์กับสมาธิกันก่อน เรื่องเผลอ เราจะฉวยโอกาสเอาจากมัน ซึ่งวันๆ มีจำนวนครั้งที่เผลอ บานเต ผมดูๆ แล้วการฝึกสมาธิมันง่ายที่สุด ครบถ้วนที่สุดในความคิดผม
ให้หาที่สงบ ทำใจให้สงบ แล้วป้อนคำสั่ง คุณจะเจอข้อความนี้ในหลายๆ บทความ .. มันก็ดี แต่ผมว่ามันไม่น่าสนใจพอ มันมีข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่มากเกินไป ผมอยากสั่งมันทุกครั้งที่ผมนึกได้ นั่นคือ เมื่อเผลอคิด แล้วเรารู้ตัวว่ามันเผลอคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้ว นั่นคือสติมา เรารู้ว่ามันเป็นโอกาส เราก็สั่งมันทันที (เราได้ประโยชน์จากความเผลอตรงนี้ไง) แล้วตามลมหายใจตัวเองเพื่อเพิ่มสมาธิอีกนิดหน่อย สั่งต่อไปอีกสัก 4-5 ครั้ง มันจะรู้สึกเบื่อคำสั่ง ก็หยุด อย่าฝืนทำต่อ มันจะกลายเป็นบังคับ แล้วคุณจะเจอการต่อต้านจากภายใน งานมันจะยากขึ้น
ถ้าผมจะใช้ช่วงก่อนหลับและตอนเพิ่งตื่น ผมจะมีโอกาสแค่วันละ 2 ครั้ง สำหรับผมถือว่าน้อยเกินไป เรื่องนี้ผมเอาสมาธิมาช่วยสร้างภวังค์สั้นๆ เพื่อใช้คำสั่งกับจิตใต้สำนึก ถ้าคุณเคยนั่งสมาธิ ส่วนนี้คุณไม่ต้องอ่าน แต่ถ้าไม่เคย ผมขอแนะนำสมาธิง่ายๆ เข้าง่าย ออกง่าย ลงภวังค์ง่าย มาให้คุณลองเริ่มฝึกดู ... (การฝึกสมาธิจะช่วยเพิ่มสติให้ด้วย มันจะดีขึ้น ไปด้วยกัน)
เริ่มจากตามลม แล้วก็ตามลม แค่นั้นเลย ลมอย่างเดียว อยู่กับลมหายใจของคุณเอง รับรู้ถึงลมที่วิ่งผ่านเข้าออกรูจมูกอยู่ตลอดเวลา พักนึงไม่เกิน 5 นาที คุณจะรู้สึกว่าลมหายไป แต่ยังรู้สึกได้ว่ามันมีอยู่ จากจุดนั้นอีกสักพัก ไม่เกิน 5 นาทีอีกแหละครับ มันจะเกิดอาการวูบ ดิ่งลง นั่นหล่ะภวังค์ที่พอใช้งาน สั่งมันได้เลย .. เริ่มจากฝึกที่บ้านเงียบๆ ก่อนนอน (ของมันต้องฝึกปูพื้นกันครับ) นอนบนเตียงก็ได้ ง่วงก็หลับต่อได้เลย ไม่มีอะไรต้องซีเรียส พอคล่องแล้ว คุณทำตรงไหนก็ได้ผลเร็วเท่ากัน ไม่ว่ามันจะหนวกหูขนาดไหน และจะใช้เวลาสั้นลงเรื่อยๆ จากเริ่มรู้ลมหายใจจนถึงภวังค์ สุดท้ายตามลมเข้าออกแค่ครั้ง 2 ครั้งมันก็นิ่งพอ ว่างพอ เมื่อไม่มีอารมณ์ ไม่มีความคิด เราก็สั่ง ง่ายๆ อย่างนั้นแหละครับ ความยุ่งยากมีไว้ให้เรื่องมันยากขึ้นและดูขลังเท่านั้นเอง เสียเวลา ไม่มีประโยชน์อะไร
ผมเป็นโรคนอนไม่หลับมาพักใหญ่ ต้องพึ่งยานอนหลับ ผมใช้วิธีนี้ตามด้วยคำสั่งว่า จงหลับ 2-3 ครั้ง ผมก็หลับยาวถึงเช้า ยานอนหลับไม่จำเป็นอีกแล้ว แก้ปัญหาสุขภาพทางกายได้หนึ่งเรื่อง บังเอิญเรื่องของผมมีเยอะน่ะ .. ผมทำอย่างนี้แล้วได้ผล จึงเชื่อว่ามันถูกต้อง ถ้าคุณทำตามแล้วไม่ได้ผล ก็ลองหาวิธีอื่นดูครับ ที่แปลกใจคือ ผมแค่ทำเล่นๆ เองนะ ไม่คิดว่ามันจะได้ผล
ที่ผมเคยรู้มาก่อนหน้านี้คือ การบอกตัวเองบ่อยๆ ด้วยเรื่องที่ไม่ใหญ่โตมันก็ได้ผลจากความเผลอของตัวเองนั่นแหละ แต่พอแก่ตัว ย้ำคิดย้ำทำ วิธีการพื้นๆ มันใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว ที่แย่คือ จิตใต้สำนึกมันดันไปเปิดให้กับเรื่องที่ไม่ควรนี่สิ เช่น ความโกรธ เป็นต้น .. แย่ และควบคุมไม่ได้
ทีนี้มาว่ากันด้วยเรื่องคำสั่ง .. ที่ต้องไม่ลืมคือ จิตใต้สำนึกมันรับอย่างเดียว คิดอะไรไม่ได้ ดังนั้นคำสั่งจึงต้องสั้น ง่าย และเป็นรูปประโยคปัจจุบัน
ไม่ใช้คำปฎิเสธ เช่น ไม่ อย่า ... อย่าลืมขีดจำกัดของจิตใต้สำนึก ที่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องซับซ้อน การใส่อย่าหรือไม่เข้าไปของคุณจะส่งผลตรงข้ามกับความต้องการ ระวังด้วยครับ ถ้าจะไม่ทำอะไร ให้ใช้คำว่า เลิก หยุด .. ลองมาพิจารณาความหมายของคำกันดูครับ หยุด คือไม่ทำชั่วคราวนะ ถ้าเลิก คือจะไม่ทำตลอดไป คุณจะเอาแค่ไหนกับพฤติกรรมทางความคิดและการกระทำของตัวเอง ก็ใช้คำให้ตรงตามความต้องการ ในกรณีที่คุณจะทำอะไรให้เป็นนิสัย คุณก็ใช้คำกิริยาของการกระทำนั้นตรงๆ ไปเลย
ให้ใช้คำสั่งเดี่ยว ห้ามใช้ชุดคำสั่งโดยเด็ดขาด มันรับไม่ไหว มันจะเอ๋อ ไม่รับ ไม่ได้ผล เสียเวลาเปล่า ... ดีที่สุดคือ จงใช้คำสั่งเดียว ต่อเนื่องจนได้ผล ค่อยเปลี่ยนคำสั่ง และเริ่มจากง่ายไปยาก ที่อ่านๆ มาเขาว่าต้องทำต่อเนื่องถึง 20 วัน จนชัดเจนว่าพฤติกรรมเปลี่ยน ถ้าว่ากันด้วยจิตวิทยาด้านพฤติกรรม แค่ 14 วันก็เพียงพอที่จะส่งผลระยะยาว อาจจะแล้วแต่ความดื้อด้านของแต่ละคน แต่อันนี้ผมไม่ทำตามนะ ผมใช้คำสั่งที่แตกต่างในเวลาห่างกัน ก็โอเคนี่ ถ้าผมเชื่อหลักการ ผลที่ได้อาจดีกว่านี้ สมบูรณ์แบบกว่านี้ก็เป็นได้ ผมเป็นคนใจร้อนน่ะ ซึ่งผมไม่รับรองผลกับคุณในสิ่งที่ผมทำ มันอาจใช้ได้กับผมคนเดียว หรือผลที่ได้อาจไม่ยั่งยืน คุณควรเชื่อสถิติจากคนไข้หลายๆ พันคนที่เข้ารับการบำบัดด้วยการสะกดจิต
การเขียนติดไว้หลายๆ ที่ ในที่ๆ มองเห็นง่ายในบ้านตัวเอง ก็น่าจะดี แต่ผมก็ไม่ได้ทำเช่นกัน แค่นี้ที่บ้านก็คิดว่าผมไม่ปกติแล้ว ถ้าคุณไม่ลำบากใจที่จะทำ ก็ลองทำดู มันเป็นการเอาประโยชน์จากตอนเผลอๆ ของคุณเอง อาจช่วยให้บรรลุผลได้เร็วขึ้น
คำสั่งควรเป็นยังไง ยกตัวอย่าง ถ้าผมอยากผอม การบอกตัวเองว่าอยากผอมคงไม่ช่วยอะไร แต่เรารู้วิธีการที่จะทำให้น้ำหนักลดลง ลดไขมัน ลดขนมหวาน กินเป็นมื้อๆ ออกกำลัง นี่คือคำสั่ง ถ้าพ้นมื้อแล้วมันหิว อย่าบอกตัวเองว่าไม่หิว(มันจะเข้าใจว่า กูหิว) จงบอกว่าอิ่มแทน .. หรือถ้าเกลียดใคร เห็นหน้าแล้วเดือดดาลทุกที ก็แค่บอกตัวเองว่าเลิกเกลียด ผมว่าถ้าจะบอกว่าชอบ มันคงฝืนความรู้สึกกันเกินไป ในเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก พฤติกรรม ก็ใช้วิธีเดียวกัน ทดลองดู แล้ววัดผลด้วยตัวเองว่าคุณรู้สึกดีขึ้นไหม มันได้ผลจริงรึเปล่า คุณเริ่มอยากทำในสิ่งที่คุณสั่งรึยัง ทำมันอย่างมีความสุขมากขึ้นไหม การต้องทำกับการอยากทำและทำมันอย่างมีความสุข ต่างกันเยอะนะครับ สำหรับผม
ตอนนี้ ผมทำสำเร็จอยู่ 2-3 เรื่อง เช่น
เลิกโทษตัวเอง ในเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ ก็หลายเรื่องอยู่
ปล่อยวางเรื่องที่เราจัดการไม่ได้ แต่ก็หนีไม่ได้ ผมทุกข์ร้อนน้อยลงกับเรื่องนั้นๆ จนกลายเป็นรู้สึกเฉยๆ แค่ ต้องเกี่ยวข้อง
นอนให้หลับ อันนี้ง่ายมากๆ
หมดความต้องการทางเพศ ผมหมายความรวมถึงความยินดีในเพศตรงข้าม ตั้งแต่เห็นความงามไปยันเรื่องเซ็กส์เลยนะ (กรุณาคิดกว้างๆ จะได้ไม่รู้สึกว่าผมหยาบคายเกินไปที่เอาเรื่องเพศมาพูดตรงนี้)
พฤติกรรม คงเป็นเรื่องถัดไป เดี๋ยวผมค่อยๆ คิดดูก่อน ว่าอะไรควรเป็นเรื่องแรกที่ต้องปรับเปลี่ยน
3 ข้อแรกเรื่องจริงครับ ลองแล้ว ได้ผลแล้ว แค่ 2-3 วันเอง แต่ผมยังไม่วางใจ จะสั่งมันไปเรื่อยๆ ด้วยคำสั่งเดิมๆ ไปก่อน .. สำหรับเรื่องเพศ ผมพิมพ์เอาฮาน่ะครับ .. แต่ มันก็น่าสนใจนะ.

ไม่มีความคิดเห็น: