While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ความรักหัวควยภาค 2 รักออนไลน์จ้า

เรื่องนี้เป็น case study ที่ผมใช้เวลาศึกษาราว 4 ปี! (คือโง่ทน โง่นาน ภูมิใจจัง) เมื่อวิเคราะห์จนกระจ่าง ผมจึงตัดสินใจเขียน เผื่อแบ่งบทเรียนที่ได้ ให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น หรือจะบันเทิงก็ไม่ว่ากันครับ
การวิเคราะห์พฤติกรรมและคำพูดของคนทั่วๆ ไป ผมเขียนสอดแทรกไว้ในเรื่องอื่นเยอะแล้ว ซึ่งมั่นใจว่าไม่อ่อนด้อย แต่นี่เป็นคนอีกประเภทที่ผมไม่เคยเจอ สถานการณ์อีกแบบที่ไม่เคยเล่น เลยโดนเข้าไปเต็มตีน
ดังนั้นเรื่องนี้ผมจะพยายามไม่ดราม่า แต่อาจมีด่าแบบกระจายคอร์ด ซึ่งจะพูดถึง
- ความรักที่ผมเจอมา ทำไมมันจึงให้ความรู้สึก หัวควย
!
- พฤติการณ์ผิดปกติในคนที่คุณคบหาแบบชู้สาว
- จะขุดสันดานอีกฝ่ายออกมาดูได้อย่างไร
หากท่านใดอยากเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เชิญได้เลยครับ
ผมกล้าที่จะรัก! หลังจากไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับใครมา 20 กว่าปี ที่พลาด ส่วนหนึ่งอาจเพราะขาดประสบการณ์ อีกส่วนเป็นเพราะผมไว้ใจ ยังมีตัวแปรอื่นพาผมสู่ความหายนะ ความจริงเขาอาจโคตรดีในกลุ่มคนประเภทเดียวกับเขา แล้วทำไมไม่ไปเล่นกับคนแบบเดียวกัน ที่จะรับสภาพอย่างนั้นได้ แล้วทำไมผมเชื่อทุกคำพูดของเขา ทั้งที่บางอย่างมันขัดแย้งจนเห็นได้ชัด นี่เรียกเชื่อใจเขามากกว่าเชื่อสายตาตัวเอง ก็สมควรแล้ว
เมื่อเริ่มต้น มันดูดีจนผมควรฉุกคิด อะไรที่ดูดีเกินไปมักไม่จริง แต่ผมกลับไว้ใจเพราะเคยรู้จัก ลืมคิดไปว่าช่วงเวลายาวนานอาจเปลี่ยนคนให้ไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย (จากหน้ามือเป็นหลังตีน!) นี่คือโง่อินโทรดักชั่น สู่ช่วงเวลาเฮงซวยที่สุดในชีวิต ตรรกะดำดิ่งลงนรก
เรื่องนี้ผมต้องถอดอัตตาเขียน เพราะแต่ละประเด็นมันทำให้ผมดูโง่จนไม่น่าเชื่อ ผมรักฝังหัว ไม่ใช้เหตุผลอะไรทั้งสิ้น ผมให้ ไม่เคยต้องการอะไรจากเขา ไม่ตั้งเงื่อนไข จะดูแลแม้ไม่ได้ครอบครอง จะรักเขาตลอดไป ช่างเป็นรักบริสุทธิ์ราวรักของลูกหมาตัวน้อยๆ
แล้วผลเป็นยังไง ผมถูกเขาทำลายความรู้สึก ความคิด และตัวตน ผมถูกผัวเขาเหยียดหยามและยอมอยู่เฉยๆ เพื่อให้เขาสบายใจ (ควายสุดๆ ไปเลยจ้า) ผมทำตัวราวสากกระเบือที่โกรธไม่เป็น แต่ในใจอยากยิงมันทิ้ง ถ้าไม่คิดว่ามันไร้ค่าเกินกว่าที่ผมควรเอาตัวไปแลกด้วย ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าจะทำยังไงให้หายแค้น ทำให้ตายมันง่ายไป จัดคนไปกระทืบให้พิการ กรรมก็จะเกิดกับผม สวะเยี่ยงนั้นควรค่าหรือ ผมเลยได้แต่แค้นใจจนลืมไปเอง ทุกวันนี้ผมไม่รู้สึกอะไรกับมันสักนิด ไม่นึกถึง ไม่แค้นเคือง เหมือนโลกของผมไม่เคยมีมันอยู่เลย
ผมเริ่มรู้ตัวว่าโง่มานานมากละแต่ไม่ยอมหายโง่สักที ช่างเป็นความโง่ที่เด็ดเดี่ยวมั่นคง ผมใช้เวลานานมากกับรักหัวควยนั่น คำถาม ผมโง่ขนาดนั้นด้วยตัวเองหรือโดนปั่นหัวให้โง่กว่าที่ควรจะเป็น ก็คงไม่ต่าง ถ้ามันโง่พอให้เขาปั่นหัวเอาได้ง่ายๆ หากจะพูดให้ดูโง่น้อยลงหน่อยก็ต้องบอกว่าผมเจอเซียน คนที่โตมาบนพื้นฐานของความตรงไปตรงมาจะไปตามทันได้ยังไง
คนเรามักวัดคนอื่นด้วยตัวเราเองเสมอ นั่นทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่ายที่สุด
เมื่อได้เห็นมากพอ ใคร่ครวญซ้ำจนแน่ใจว่าไม่มีทางผิด ความหลงแบบไร้สติที่เคยบดบังภาพจริงจึงหายไป จนเห็นทั้งเจตนาและไม่เจตนา ในทุกถ้อยคำ ทุกการกระทำ อย่างที่ควรจะเห็น เราคุยกันมากเกินไป แต่ผมกลับไม่ลืมคำพูดและการกระทำของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ .. คำพูดเลื่อนลอยที่ผมเคยเชื่อหมดใจว่ามันจริง
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมสังเกตพฤติกรรมและความคิดผ่าน chat application การพิมพ์คุยกันมันมีเวลาให้เลือกเฟ้นถ้อยคำ เรียบเรียงรูปประโยคให้สวยงาม ครอบคลุมความหมาย สื่อสารชัดเจน แค่เสี้ยววินาทีก็มากพอที่จะคิดอีกสักทีสองที แก้ไขให้สละสลวยตรงประเด็น ผู้อ่านไม่สะดุดใจ มันจะไม่เหมือนการพูดต่อหน้าที่ต้องตอบโต้ทันที ไม่อาจซ่อนเร้นกิริยา สีหน้า แววตา ทิศทางที่กลอกตา มือไม้เป็นยังไง ซึ่งจะบอกได้ว่าสิ่งที่พูดเป็นจริงหรือไม่ เชื่อได้แค่ไหน (แนะนำหนังสือร่างกายไม่เคยโกหก สำหรับการเริ่มต้นครับ)
การพิมพ์จึงเหมือนได้เปรียบกว่าการพูด แต่นั่นจะทำให้คุณได้เห็นวิธีการคิดของอีกฝ่าย ที่น่าจะกลั่นกรองข้อความและคิดว่าดีแล้ว ถ้าเราเห็นว่ามันยังดูแปลกๆ ก็น่าสนใจ อย่างแรกที่เด่นชัดคือเขาอาจคิดหยาบเกินไป ซึ่งน่ากลัวต่อการคบหา
คุณอาจเห็นความสับสน รีบร้อน มึนงง ลังเล ตอบได้เลยไหมหรือต้องถามใครก่อน นั่นจะบอกได้เบื้องต้นว่าเขากำลังเล่นอะไรอยู่ ซึ่งต้องรู้ว่าลักษณะการทำงานของเขาเป็นยังไง (มันมีผลต่อการคิด การกระทำ) ให้สังเกตการใช้ถ้อยคำ วิธีการ ระยะเวลาตอบโต้ ความเร็วช้าในการพิมพ์ การหยุด ความผิดปกติในการพูดคุยเนื้อหาแต่ละเรื่อง เปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่น สังเกตไปเรื่อยๆ คุณจะได้บทสรุปที่ชัดเจน แล้วมันใช้ได้กับทุกคนที่พูดคุย เรียกว่าคุ้มค่าแก่การเสียเวลาเรียนรู้
ครั้งหนึ่งเขามาเยี่ยมผมตอนนอนโรงพยาบาล (กับมัน ที่ตอนนั้นเขายังไม่ได้คบกันรอบที่ 4 และมันยังมีเมียคาบ้านอยู่) เมื่อไลน์ขึ้นข้อความ เขารีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านอย่างกระตือรือร้น เขาเคยทำอย่างนั้นกับผมเหมือนกัน พอเบื่อเขาก็ปิดการแจ้งเตือน มีอยู่ครั้งผมแค่ถามว่า เป็นไงบ้าง โอเคไหม เขาไม่อ่านมันเป็นเดือนๆ แค่เปิดให้มันขึ้นว่าอ่านแล้วยังไม่ทำ ผมซึ้งเลย ช่วงแรกที่เขาเปลี่ยนไปผมเคยถาม เปลี่ยนวิธีใช้ไลน์เหรอ เมื่อเขาถามว่ายังไง แล้วบอกผมว่างานล้นมาก ผมจึงไม่เคยถามอะไรอีก คำตอบของเขา มันมากกว่าที่ผมถามเสียอีก

ผมเขียนเรื่องนี้เพราะ 1.เอาไว้เตือนตัวเอง 2.เพื่อเตือนคนอื่น
การต้องกลายเป็นตัวตลกโง่ๆ เสียเซลฟ์ เสียน้ำตา มันไม่เคยสนุก หลายเรื่องที่ผมทำด้วยใจ มันเหนื่อย มันยาก ยังต้องเจ็บช้ำน้ำใจ โดนดูถูกเหยียดหยามจนอีโก้พลุุ่งพล่านอยากฆ่าคน มันคงไม่กลายเป็นประสบการณ์ที่เสียเปล่าถ้าจะช่วยให้คนอื่นไม่ต้องมาพลาดแล้วโดนอย่างผม ถ้ามันจะทำให้คุณได้ฉุกคิดเมื่อเจอสถานการณ์คล้ายคลึงกัน
เรื่องแรกที่ผมอยากบอกคือ ถ้าใครหลอก(หรือโกหก)เรา แปลว่าเขาคิดว่าเราโง่ ซึ่งเขาอาจคิดผิด การยอมเชื่อมักเกิดจากความไว้ใจ คุณจะอภัยได้ไหมถ้ามีใครเหยียบย่ำความไว้ใจของคุณหรือคิดว่าคุณโง่ก็ตามแต่ สำหรับผม อยากลืมมันไปให้หมดมากกว่า

ผมมีช่วงโปรหวานสัสกับเขาเหมือนกัน มันเริ่มจากอีกคนทักมาทางไลน์ที่ผมไม่ค่อยเปิด เป็นอาทิตย์ผมมาเห็นจำมันได้ ด้วยไม่คิดว่าเพื่อนยามเด็กจะสารเลวได้มากกว่าเก่า ผมจึงคุยกลับไป นั่นคือเคยเจ็บแล้วให้อภัย แก่คนที่ไม่สมควร เลยได้รู้ซึ้งอีกรอบ
มันผู้นั้นภายหลังได้เป็นผัวเขา ซึ่งเป็นคนประเภทเดียวกัน ย่อมเหมาะสมคู่ควร เข้าใจกัน มันยังเหยียบย่ำผมน่าดู คน 2-3 คนสนุกสนานกันใหญ่ในโซเชียล ตามด้วยติ่งอีกจำนวนหนึ่ง ผมนิ่งเฉย ไม่โต้ตอบเพราะเห็นแก่เขา ในขณะที่เขาไม่เคยห้ามปรามมันเลย คุณเคยเจอคนแบบ กูชนะแล้วต้องเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้แพ้ให้จมดินไหม ผมไม่เคยเจอว่ะ ผมกับพวกเขามาจากสังคมที่แตกต่างกันมากจริงๆ ความหมายของคุณธรรมในความคิด ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ภายในวันนั้นเขามาขอเป็นเพื่อนในเฟส เราเริ่มคุยกันในแมสเซนเจอร์ แล้วเขาก็ขอไลน์กับเบอร์โทรภายในไม่กี่นาที (มันเร็วมาก) ผมจำได้ว่ามันเป็นวันศุกร์ใกล้เลิกงาน วันเสาร์คุยกันนิดหน่อย พอวันอาทิตย์เขาโทรมาคุยพักใหญ่ (เร็วเกินไป ผมคงไม่กล้า) เมื่อเขาบอกว่ายังโสดผมแค่แปลกใจ เพราะคิดว่าคงแต่งงานไปนานแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้สนใจ (ซึ่งควรสนใจ คนโสดสารรูปอย่างนี้ ต้องมีเหตุผล) ส่วนไอ้นั่น เขาเล่าว่าไม่ได้คบกันอยู่ ผมจึงคุยเรื่อยเปื่อยไป ด้วยความวางใจว่าเขาก็เหมือนน้องคนหนึ่ง ใครจะคิดว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความชิบหาย (ในวงเล็บคือจุดผิดปกติที่ผมควรเห็นแต่แรก แต่เสือกไม่เห็น)
ตอนนั้นผมยังไม่ใช้สมาร์ทโฟนเพราะชอบความสงบเป็นส่วนตัว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใครนอกเวลางาน ก่อนหน้านั้นผมมีหมาเป็นลูก เวลาทั้งหมดที่บ้านเป็นของพวกเขา หลังพวกเขาจากไปกันหมด ผมให้เวลากับหนังสือ สารคดี ดนตรี สารพัดที่ผมสนใจ ไลน์ที่ผมใช้จึงเป็นไลน์พีซีที่ทำงาน เพื่อนคนหนึ่งที่อเมริกาเป็นคนลงทะเบียนให้ผ่านโทรศัพท์ของเขา ด้วยเหตุผลว่า กูจะได้คุยกับมึงบ้าง
เขาเริ่มคุยมาเรื่อยๆ ทั้งวัน ผ่านไปไม่กี่วันก็บอกจะส่งสมาร์ทโฟนมาให้ จะได้คุยตอนกลางคืนได้ ผมบอกไม่ต้อง ผมซื้อเอง ก่อนจะซื้อยังใช้แมสเสจส่งข้อความคุยกัน! แล้วผมก็ไปยืมโทรศัพท์แม่มาคุย ผมเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อเขา วันนี้นึกแล้ว เขาคงตลกที่ผมช่างว่าง่ายเหลือเกิน
การแสดงออกที่เขาทำให้ผมรับรู้คือ เขาให้ความสำคัญ ใส่ใจ คิดถึงผมตลอดเวลา บอกว่าติดผมเหมือนติดยา เราไลน์คุยกันเช้ายันเย็น โทรคุยกันทุกคืน ไลน์ต่อยันเขานอน (นั่นคือส่วนที่ผมรู้) จะไปไหนทำอะไรก็เล่าให้ผมฟัง เขาใช้ความต่อเนื่องของพฤติกรรมทำให้ผมเคยชินกับการมีเขา
ความน่ารัก ฉลาด ช่างพูด ช่างคิด ช่างอ้อน และความสัมพันธ์เก่า ทำให้ผมไม่ถือสา สุดท้ายก็อ่อนไหว ถ้าไม่ใช่เขาผมคงรำคาญด่าไล่ไปตั้งแต่ต้น เขาเริ่มพูดจาเกินเลยในอาทิตย์ที่ 3 กลายเป็นผมไม่ยับยั้งชั่งใจยิ่งกว่า อาจเพราะมันเป็นแค่คำพูด แต่ก็ทำให้ผมเข้าใจผิด คิดว่าเรารักกัน
ทำไมผมต้องพูดอย่างนั้น ทั้งที่ผมแน่ใจว่าไม่ได้เข้าใจผิด
เพราะสำหรับเขามันไม่ใช่ความรัก มันคือความสนุกเท่านั้น ถ้าเขาบอกผมแต่แรกว่าเรามาสนุกกันเถอะ ไม่จริงจังนะ ผมคงแค่บอกเขาว่า งั้นมึงไปเล่นที่อื่นเถอะ อย่าทำกูเสียเวลาเลย มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในใจผม แต่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น  เขาทำให้ผมรักหมดใจแล้วทำลายมันโดยไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้เขาทำอย่างนี้กับใครมากี่คน แล้วคนพวกนั้นรู้สึกอย่างผมไหม อาจไม่ ถ้าเป็นคนแบบเดียวกับเขา
เขาพูดทีหลังว่า เราไม่เคยคบกัน ไม่เคยรักกัน ตอนนั้นผมมึนงง แล้วคำพูดแบบคนรักมันคืออะไร กับคนที่มีชีวิตจิตใจ เราจะเปลี่ยนสถานภาพไปเรื่อยๆ ได้หรือ (วันนี้มึงเป็นเพื่อน อีกวันเป็นพี่ แล้วกลายเป็นคนรัก พอกูเบื่อ มึงก็กลับไปเป็นเพื่อนนะ) มันคงง่ายสำหรับเขา แต่ไม่ได้ง่ายสำหรับผม  เมื่อผมไม่อาจเปลี่ยนไปมาตามใจเขาได้ ก็ไม่ต้องเป็นอะไรไปเลยแล้วกัน
ผมไม่เคยพูดหรือทำกับคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนอย่างที่เขาทำ มันต้องมีระยะห่างที่เหมาะสม ใช้เรื่องพูดคุยที่เหมาะควร ผมอาจหยาบคายแต่ไม่เคยแทะโลมใคร ผมไม่ใช่พวกปากว่ามือถึง ผมหัวโบราณไม่เคยยุ่งเกี่ยวลึกซึ้งกับคนที่ผมไม่ได้รัก แต่คงไม่ใช่กับคนบางจำพวกที่มีรักหวือหวา มันเกิดขึ้นง่ายดาย จบง่ายดาย ผมไม่รู้นั่นเรียกว่ารักได้ไหม หรือแค่เกมส์สนุกที่สร้างความบันเทิงไปเรื่อย ผมขาดประสบการณ์เพราะไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ไม่เสียเวลากับเรื่องพรรค์นี้ มันไร้สาระ
เขาคงทำแบบเดียวกันกับทุกคน ผมก็แค่อีกคนที่ไม่ได้พิเศษกว่าใคร ผมงงตัวเองที่มันผิดวิสัย ปกติผมไม่ไว้ใจใคร ผมอ่านหนังสือเชิงจิตวิทยาค่อนข้างมาก สามก๊กก็หลายรอบ เมื่อเติบโตผมไม่ค่อยเสียรู้ใคร มีความระวังตัวกว่าคนทั่วไป แล้วผมพลาดได้ยังไง
หลักๆ คงเป็นเพราะความสัมพันธ์เก่า ยามเด็กเราค่อนข้างคุ้นเคยคล้ายพี่น้อง เขามักคุยโน่นนี่ให้ผมฟัง นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมไว้ใจ ลืมคิดไปว่าเขาไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้ว อีกส่วนเพราะไม่เห็นเหตุผลที่เขาจะทำร้าย ผมวัดเขาด้วยมาตรฐานของคนปกติที่ไร้เหตุจูงใจ เราไม่เคยมีความแค้น และคงไม่มีใครยอมเสียเวลากับสิ่งที่จะไม่เอา ใครจะรู้ว่าเขาเป็นโรคจิต
การที่เราจะทำให้ใครสักคนรักเรา โดยที่เราไม่เคยคิดที่จะรักเขา จากนั้นทำร้ายแล้วปล่อยให้เรื่องราวคาราคาซัง สร้างภาระทางใจให้อีกฝ่าย คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ได้จะต้องใจร้ายแค่ไหน ผมคิดไม่ออกว่ามันได้ประโยชน์อะไรนอกจากเสียเวลา
ประมาณ 2 เดือนกับโลกหวานแหวว ผมจำได้ว่าหลังวันเกิดเขาไม่นาน เขาก็เปลี่ยนพฤติกรรมที่มีต่อผม คงมีใครกลับเข้ามาในช่วงเบริดเดย์เขากระมัง คนที่น่าสนใจกว่าผม เขาเริ่มห่างไปด้วยข้ออ้างว่างานยุ่ง เครียด ผมก็ควายพอที่จะสวมวิญญาณสุภาพบุรุษ คอยห่วงใย ถามไถ่ หารู้ไม่ว่าเขารำคาญ เบื่อแล้ว ผมทักไปทุกเช้าอย่างที่เขาเคยทำมาตลอด แต่บางทีเขาไม่อ่าน ไม่ตอบ ผมยิ่งห่วงว่าเป็นอะไรไหม ผ่านไปอีก 2 อาทิตย์ คืนนั้นเขาไลน์มาบอกผมว่า เจอคนหล่อ ดูแพง ในร้านอาหาร
มันแปลว่าอะไร เขากำลังดูถูกว่าคนอย่างผมไม่คู่ควรกับเขาหรือ เขาคิดว่าผมอยากยุ่งกับเขานักรึไง ถ้าเขาไม่พาผมข้ามความเป็นเพื่อนไป เขาเคยพูดว่าเขาเป็นคนเข้ามาเอง เขารับได้ทุกอย่างที่เป็นผม ให้ผมบอกน้องว่าเขาเป็นหมาตัวใหม่ กระทั่งนามสกุลผมน่าใช้ จะใช้ยังไงดี คุณจะเอารูปใครไปไว้ตรงกลางแล้วเอารูปตัวเองล้อม คุณจะเล่นแบบนี้กับเพื่อนคุณไหม ผมเป็นโรคหัวใจเขาก็รู้แต่ต้น ซึ่งผมเชื่อว่าเขาจะเห็นใจ ไม่เล่นสนุกให้ผมต้องเสียใจ ผมโลกสวยมากใช่ไหม หรือก็แค่คนอ่อนโลกที่น่าสมเพชอีกคน
ตอนนั้นผมยังคิดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เขาคุยมาก็ดีใจ บอกไปว่าคิดถึงเหลือเกิน แต่เขาบอกว่า พูดอย่างนี้เขาอึดอัด แบบนี้เขาไม่คุยนะ ผมงงแดก คำว่าคิดถึงที่เขาเคยใช้กับผมวันละหลายครั้ง กลายเป็นเรื่องอึดอัดไปแล้วหรือ ก็โอเค ผมจบแบบน้ำตาร่วง วันรุ่งขึ้นผมไม่ทักไปแบบที่เคยทำ แต่เขากลับคุยมาตอนสายๆ ตัดพ้อต่อว่าที่ไม่คุยไปเหมือนเดิม จะเลิกคุยก็ได้นะ ผมอ่อนเป็นลูกหมาทันที แล้วมันเลยไม่จบ เขายังคงให้ความหวังแม้มันโคตรเลื่อนลอย เราคุยกันแบบกระท่อนกระแท่น นานๆ ครั้งที่จะคุยกันยาวๆ คล้ายเรื่องที่เขาเคยหามาพูดคุยได้ทั้งวัน มันหมดไปแล้ว
สิ่งที่เขาบอกผมตลอดหลายปีคือ เขาไม่ได้มีใคร งานยุ่ง เหนื่อย เครียด แต่ผมมารู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่ เวลาที่เคยให้ผมคนเดียว(ไม่รู้จริงรึเปล่า) เขาเอาไปใช้กับคนอื่น เขามีใครต่อใครสนุกไปเรื่อย ในขณะที่ผมนั่งห่วงว่าเขาจะโอเคไหม ก็เป็นอยู่อย่างนั้นจนเขามีผัวเป็นตัวเป็นตน ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกกับผมด้วยตัวเอง มันยากนักหรือ หรือแค่มันจะโง่ต่อไปก็ช่างหัวมันปะไร ผมจบของผมเพราะการไปยุ่งเกี่ยวกับคนมีผัวแล้วมันเป็นเรื่องผิดประเวณี ไม่ถูกต้อง และน่ารังเกียจอย่างยิ่ง
ผมเคยทำเรื่องโง่สัสไป 2 ครั้ง ผมอยากให้บางสิ่งเป็นตัวแทนผมอยู่ข้างเขา ซึ่งดูเหมือนเขาก็ยินดี ผมทำทั้งที่รู้ว่าจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่าโง่ใช่ไหม ผมโง่กว่านั้นที่คิดว่าเขาจะเห็นคุณค่าของน้ำใจ แต่คนที่ทั้งชีวิตมีแต่ได้รับ มันคงเป็นเรื่องธรรมดา ไร้ค่า และอาจมองสิ่งที่ผมทำด้วยใจเป็นเรื่องตลก มันกลายเป็นเรื่องขำขันในหมู่คนสนิทของเขาด้วยซ้ำ
ถามหน่อยเถอะ ถ้าเจ้าของเรื่องไม่ตลก คุณจะกล้าตลกกับเรื่องของมันไหม กลุ่มเพื่อนผมไม่มีใครกล้าทำ
เขาเอาของที่ผมให้ไปลืมบ้าง ทำตกบ้าง ผมเห็นโพสแล้วสงสัย ของที่ผมให้ด้วยใจ มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลยกระมัง จึงทิ้งขว้างไม่ใส่ใจ เพื่อนเขาก็ออกมาเฮฮาขำขัน ในขณะที่ผมรู้สึกราวถูกรองเท้าตบหน้า เมื่อมันไม่ได้สำคัญอะไร ผมจะทำให้ตัวเองเจ็บไปเพื่ออะไร ถ้าผมไม่ได้ให้ก็ไม่ต้องเสียใจกับวิธีที่เขาปฏิบัติต่อมัน ยิ่งการเป็นตัวตลก มันดูโง่และแย่เกินรับไหว
ช่วงหวานแหววผมเคยเอารูปที่เขาให้มานั่งทำคลิปใส่เพลงซิมโฟนี่ให้เขา เขาว่าเขามีเพลงนุ่มกว่านี้และส่งที่อีกคนทำให้ผมฟัง มันไม่ได้มีแต่ผมที่ทำอะไรให้เขา ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เพราะเขาทำให้ผมรู้สึกว่าผมสำคัญกว่าใคร ผมได้แต่หวังว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะเป็นจริงสักเรื่อง ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น

มันยืดเยื้อ ยาวนาน เหนื่อยกับความโง่ ไม่ว่าจะโง่จริงหรือทำตัวโง่ๆ ให้เขาสบายใจ พอแล้วจ้า ผมหยุด เลิกสนใจ ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่พูดคุย ไม่รับรู้เรื่องของเขาไม่ว่าทางไหน เป็นปีที่ผมไม่อะไรเลย ทั้งที่ยังนึกถึงอยู่ทุกวัน ความน่ารักกับความเหี้ยมันสลับกันไปในหัวผม นี่คงเป็นสิ่งที่เขาเจตนาให้เกิดขึ้นในใจคนที่เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยกระมัง
ผมมีอะไรอยู่ในคอม มือถือ เยอะทีเดียว รูปแรกยันรูปสุดท้ายที่เขาส่งให้ ไม่ว่าจะรูปเขาหรือรูปอะไร ที่เขาคงจำไม่ได้เพราะส่งไปทั่ว มันอยู่มานานปี ผมไม่เคยเปิดดูให้ปวดใจ แต่ลบไม่ลงเพราะยังอาลัย กลายเป็นราวกับผมคิดจินตนาการเองไปหมดว่าเขาเคยพูดอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องด้วยสักคน คนลืมแล้วก็แล้วไป
หลังคุยกันครั้งสุดท้ายหลายเดือนก่อน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นบอกว่า ผมพร้อมจะลืม ไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว เลยลบแม่มให้หมด เพื่อไม่ให้เสือกไปเจอในวันที่ผมลืมทุกอย่างหมดสิ้น เหตุผลอีกอย่างคือ ผมกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักนิด ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรู้จัก ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ผมลบรูป ข้อความ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เพลงหัวควยที่เขาเคยชวนฟัง ที่ภายหลังเขาบอกว่าแค่ให้ฟังเพลงที่ชาวบ้านเขาฟังกัน อ่าว ตอนนั้นมึงไม่ได้พูดอย่างนี้นี่ .. ก็ช่างเถอะ
หลายปีที่ผมจมอยู่อย่างนั้น กับสารพัดความรู้สึกที่เกิดขึ้น รวมถึงความแค้น แต่ผมไม่อยากจองเวร ไม่อยากจะอะไรกับคนพรรค์นี้อีกแล้ว เหนื่อยชิบหาย ผมเลยเล่นไสยศาสตร์ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล ขอขมาเจ้ากรรมนายเวรที่มันไม่มีตัวตน!
แต่ยังไม่ลืมอยู่ดี ผมโง่ฝังหัว การหายสาบสูญไปจากโลกของอีกฝ่าย ไม่เห็นอะไรที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้ผมลืมได้สักวัน ว่าผมเคยอยู่ในสภาพย่ำแย่แค่ไหน เคยมีคนอย่างเขาเข้ามาในชีวิต คำว่ารักหมดใจมันเป็นยังไง เคยโง่ได้แค่ไหน เจ็บได้เท่าไหร่ ไม่ว่าจากน้ำมือของเขาหรือคนที่อยู่ข้างเขา จะกี่คนก็แล้วแต่ ผมเลยได้รู้ว่าความรู้สึกของคนเรา จะมากแค่ไหนก็ทำให้กระอักเลือดแบบในหนังไม่ได้
ขยายความคำว่าเพลงหัวควยนิดนึง จะได้เข้าใจตรงกัน ในมุมมองของผม มันคือเพลงคุณภาพต่ำ ที่ผู้แต่งมีความรู้ทางดนตรีเท่า he มด! ตัวดนตรีไม่มีเหี้ยอะไร ใช้ทักษะ beginner ก็เล่นได้ เรียบเรียงท่วงทำนองได้ห่วยสัส เสียงร้องไร้พลัง เนื้อหาขาดตรรกะ เพ้อฝัน ใช้ถ้อยคำลวกๆ ขาดความงดงามที่ควรมีในงานศิลป์ภาษา เพลงพรรค์นี้ผมไม่ฟังให้เสียหู แต่คนฉาบฉวยจะชอบ เพราะมันฉาบฉวยอย่างว่า

เอาล่ะ เรามาศึกษาวิธีคัดเลือกคู่ขากันเลยดีกว่า! กับประโยคอมตะจากเดอะมัมมี่ภาค1 จงใช้หัวคิด อย่าใช้ควยคิด ผมหวังว่าคุณจะสแกนเรื่องพวกนี้ก่อนตกหลุมรักใคร ถ้ารักไปแล้วมันก็ยากที่จะเห็น
จงมองดูอย่างไร้อคติ ถ้าเกลียดก็จบไป แต่ถ้ารักเราจะยอมรับได้ในความเป็นเขา แม้บางเรื่องเคยเห็นว่าไม่ถูกต้องรับไม่ได้ มันจะเกิดอาการถ้าเป็นมึงไม่เป็นไร จากนั้นคุณจะเห็นผิดเป็นชอบ ซึ่งไม่เคยมีใครได้ผลดีจากอาการเช่นนี้ นอกจากจะได้ทำลายตัวเองทีหลัง ดังนั้นอย่ารีบชอบใคร อย่ารีบอ่อนไหวจนปล่อยให้ความรู้สึกมาบดบังตรรกะ
การเข้าถึงตัว ถ้ามีใครเข้าหาคุณแบบน้องคนหนึ่ง (คนส่วนใหญ่จะลดความระมัดระวังเมื่อนับญาติ) แสดงออกให้คุณวางใจว่าเขาปลอดภัยและเปิดเผย (ดูไม่อันตราย ไม่ซ่อนเขี้ยวเล็บ ถึงเขาร้าย คุณจะวางใจว่ากูได้เห็น) จากนั้นชื่นชมคุณจนออกนอกหน้า  (เมื่ออีโก้ขึ้น ย่อมเผลอเรอ) พูดบ่อยๆ ว่าชอบคุณ ติดคุณ คิดถึงคุณ อยากอยู่ใกล้ๆ (ทำให้รู้สึกมีความสำคัญ จะหลงเชื่อว่าเขาต้องการเราจริง) แสดงความเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา ขี้อ้อน ที่คุณไม่ถือสาเพราะมันเป็นน้อง (เขามีโอกาสเข้าใกล้และทำลายกำแพงคุณง่ายขึ้น) ผมว่าเจออย่างนี้เข้าไป 100 ทั้ง 100 ไม่น่ารอด ก็ระวังเถอะ ถ้าคุณปล่อยให้ใครเข้าถึงตัว เท่ากับคุณยอมปลดเกราะให้เขาจ้วงแทงเอาตามใจ ถ้าเขาไม่ทำก็จัดเป็นบุญคุณ จงกราบเขาซะ!
แบคกราวน์ อดีตเป็นยังไงไม่สำคัญ วันนี้เธอมีแต่ชั้นก็พอ น้ำเน่า! คนเราอาจเปลี่ยนสันดานได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน ในคนที่เปลี่ยนได้ ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของสันดานที่มี คนส่วนใหญ่อดีตเป็นยังไง อนาคตจะเป็นอย่างนั้น เพราะพฤติกรรมมันมาจากสันดาน คือรสนิยม เป็นความโหยหาที่จะทำซ้ำแบบเดิมๆ เพื่อให้ได้ความบันเทิงในรูปแบบเก่า ด้วยความเสพติด เคยชิน ปัจจุบันที่บอกว่าเลิกเจ้าชู้แล้ว เป็นจริงหรือโกหก คนโกหกทุกคนทำชั่วเป็น การให้โอกาสคนเคยเลวมันก็ดี แต่ถ้าไม่จริงขึ้นมาจะแย่ อันนี้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ สถานการณ์ การวิเคราะห์ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำเหี้ยอะไรอีกเช่นเคย
ความสนใจหลากหลายแค่ไหน มันจะบ่งบอกว่าคนผู้นั้นรอบรู้หรือไม่ คนรู้กว้างมักเปิดใจได้ง่ายกว่า ยังจะมีเรื่องสนทนาได้หลากหลาย จากนั้นให้ลงลึกว่าหลักๆ เขาสนใจเรื่องอะไร เชี่ยวชาญด้านไหน ชอบอะไรเป็นพิเศษ อ่านหนังสือไหม ประเภทไหน ชอบดนตรีแนวไหน กีฬา งานศิลป์ บทกวี ชอบเรื่องน้ำเน่า หลักการ ปรัชญา หรือผู้คน ความเชื่อมีเหตุผลหรืองมงาย คุณธรรมศีลธรรมระดับไหน สิ่งที่เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจคืออะไร
ทั้งหมดนี่จะบอกตัวตนว่าเขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงไหม วันๆ มั่วอยู่กับอะไร ใส่ใจคนอื่นหรือเปล่า หรือยอมเสียเวลาใส่ใจใครเพื่อให้คนเหล่านั้นมาใส่ใจเขา  จิตใจอ่อนไหวตามใจกู อ่อนโยนจริง หรือหยาบกระด้าง เอาแต่ใจแค่ไหน เห็นหัวกบาลใครรึเปล่า จริงจังกับอะไรบ้าง ทุ่มเทได้แค่ไหนเพื่อความบันเทิง และจะคุยรู้เรื่องได้นานแค่ไหน การเช็คเรื่องพวกนี้จะช่วยให้คุณไม่ตกเป็นเหยื่อ
ผมเชื่อใจแม่ม ไม่เช็คอะไรสักอย่าง ทั้งที่บางอย่างแย่เกินไป แต่พอรักแล้วเลยไม่รังเกียจไง ที่ฮาคือเขาบอกว่าไม่ได้คุยกับใครเลย ผมก็เชื่อ ทั้งที่เขาพิมพ์ในโทรศัพท์เร็วกว่าผมใช้คีย์บอร์ด ยังใช้สัญลักษณ์ตัวอักษรเป็น ผมไม่สะกิดใจสงสัยสักนิดว่าพฤติกรรมกับคำพูดมันไม่ตรงกัน
เป็นคนปกติหรือไม่ คนโรคจิตกับคนปกติมันอยู่ร่วมกันไม่ได้ เขาจะไม่รู้ตัวว่าบ้า ตรรกะล้มเหลว เขาจะไม่รู้สึกผิดกับอะไร ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรผิด อย่างดีก็คุยกันไม่รู้เรื่องอีก (อย่าหวังว่าเขาจะน่ารัก พูดรู้เรื่อง เหมือนตอนเขาจีบคุณ)  อย่างแย่คุณก็ประสาทแดก แปรปรวนตามอารมณ์เขาไป แล้วถ้าคุณโยนเขาทิ้งไม่ลง มันก็จะยาวนานหน่อย
เป็นผู้ใหญ่พอไหม มันหมายถึงคนผู้นั้นมีความสามารถในการใช้เหตุผลได้มากแค่ไหน เด็กมักไร้เหตุผล เขาจะทำทุกอย่างตามแต่ใจ เขาจะเชื่อว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนอื่นต้องเป็นอย่างที่เขาต้องการ จึงจะเป็นผู้ใหญ่อย่างเขา แล้วเขาจะยอมรับ คนกลุ่มนี้จะขาดเสถียรภาพทางความคิด การพูด การกระทำ นั่นเป็นการสำคัญผิด และจะทำให้คนที่ชอบเขาหรือยอมลงให้เขา รวนตาม
เปราะบางเกินไปไหม คนบางประเภทเวลาทำกับคนอื่น ไม่รู้สึกอะไร คิดว่าอีกฝ่ายต้องทนได้ ยิ่งรักกูยิ่งต้องทนกูได้มากกว่าคนทั่วไปอีก แต่ใครแตะตัวเองไม่ได้ พวกเขาจะรู้สึกรู้สากว่าความเป็นจริง ปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงกว่าคนปกติ เจอแบบนี้เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะครับ คนกลุ่มนี้ค่อนข้างจะนึกถึงตัวเองมากเกินไปและอาจมีปัญหาทางจิต
อยู่ไกลกันมากไหม มันหมายถึงจะมีโอกาสได้พบกันบ่อยแค่ไหน สถานภาพในการคบหาสามารถอัพเกรดไปจนแต่งงานได้หรือไม่ หรือเอาไว้คุยเล่นแก้เหงาให้เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ มันใกล้พอที่เราจะดูแลกันได้ไหม ไม่ใช่เราได้แต่เป็นห่วงเป็นใยจากที่ห่างไกล แต่มีอีก 2-3-4 คน ถึงเนื้อถึงตัวเขา เช้าถึงเย็นถึง พาไปดูหนัง ยัดห่า สารพัด ซึ่งถ้ารู้แต่ต้นเราคงขยะแขยงไม่ให้เข้าใกล้
ถ้าเจอคนไกลมาติดพัน ให้ลองคิดว่าจะมีโอกาสได้อยู่ร่วมกันจริงหรือ โอกาสลากไปฟันก็ยากกว่าคนใกล้หลาย 10 เท่า ดีไม่ดีเขาฟาดกันไปตั้งนานแล้วเรายังไม่รู้! ดังนั้นซีเรียสรี่! ผมแนะนำว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนไกล ปล่อยคนอื่นดูแลหิแม่มไป เราไม่ต้องเหนื่อยยาก
ถ้าใครบอกคุณว่าเหงา มันจะฟังดูน่าสงสารใช่ไหม วิญญาณฮีโร่มา ชั้นสละเวลาคุยเป็นเพื่อนเธอก็ได้ อย่ารีบเป็นนักบุญครับ ลองหาคำตอบให้ชัดเจนก่อนเผลอไผลไปรักเขา ว่าไอ้ที่บอกเหงา มันเหงาหรือเงี่ยน และสบายใจได้เลยครับ เพราะ 2 อย่างนั้นใครๆ ก็ช่วยได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรัก คุณอาจถามตรงๆ เพื่อไม่ต้องเสียเวลาสร้างความรู้สึกห่าเหวอะไร ถ้าแนวเดียวกัน ก็ไปหาที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเสียให้สบายตัว วันไนท์สแตน ดีเสียอีกไม่ต้องมีภาระผูกพัน ไม่ต้องรับผิดชอบ
อย่าปล่อยให้ใครมายั่วให้อยากแล้วจากไป มันจะเสียเชิงชาย ผมเหรอ ได้จับมือเขา 2-3 ครั้งเท่านั้นแหละ มีโอกาสลวนลามยังทำไม่ได้ ก็พ่อสอนมาว่าต้องให้เกียรติผู้หญิง เลยแค่คิดก็ละอายใจ ถ้าคุณมีคนรุ่นพ่อเป็นต้นแบบ มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ ซึ่งวิธีคิดทำนองนี้ทำให้น้องๆ ที่ทำงานประนามผมว่า ก็มัวแต่จับมืออยู่อย่างนี้น่ะสิเขาถึงหนีไปมีผัวกันหมด .. อื้ม
รู้ผิดชอบชั่วดีชัดเจนไหม เราอยู่ในโลกสีเทากันก็ใช่ แต่ถ้าดำ-ขาวไม่รู้ชัด จะใช้ชีวิตให้อยู่ในทำนองคลองธรรมได้อย่างไร พระท่านว่าธรรมชาติของจิตไหลลงต่ำ มันจะต่ำลงไปเรื่อยถ้าเราไม่ฉุดมันขึ้นมา เรื่องชั่วๆ จึงไม่ต้องพยายามไง แต่อย่าลืมว่าเราอยู่ในสังคม คำครหาจะไม่เกิดขึ้นกับเราคนเดียว แต่ลามปามไปถึงพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ไม่สั่งสอนมึงบ้างเหรอ อย่ายอมเป็นคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี อย่าคบหาคนแบบนั้น มันจะทำให้คุณต้องแปดเปื้อนด่างพร้อย ไม่ว่าจากการคบหาหรือคล้อยตาม
สังคม ผู้คนที่คบหา แคบกว้าง หลากหลายอย่างไร สภาพสังคมจะสั่งสอนบางสิ่งที่เป็นทักษะจำเป็นในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ถ้าสังคมแคบมาก อาจประเมินได้ว่าเขาคบหาแต่คนประเภทเดียวกัน มันอาจทำให้วิธีคิดถดถอย พวกเขาจะคิดตามกัน เพราะรู้เท่ากัน คิดเท่ากัน ใครจะค้านเล่า หรือก็คบกันได้อยู่เท่านี้ ตักเตือนขัดแย้งเดี๋ยวมันเลิกคบ แล้วจะมีใครยอมรับกูได้อีก สิ่งที่ตามมาแน่ๆ คือเห็นผิดเป็นชอบ แล้วเรื่องถูกต้องดีงามในกลุ่มพวกเขาก็อาจไม่ถูกต้องกับคนภายนอก ที่มีความปัจเจกหรือรู้ความกว่า
ถ้าสังคมกว้าง มันจะการันตีได้ว่าเขาต้องรู้จักการปรับตัวเข้าหาคนอื่น ไม่โดนตามใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกไม่ได้เพราะจะไม่มีใครเอา รู้จักความถูกต้อง เหมาะสม กาละเทศะ ความเห็นใจ การมีน้ำใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
การคบหาคนที่อยู่ในสังคมจริงจะต่างจากคนที่ขลุกอยู่แต่ในโลกเสมือนตรงที่ คนในสังคมจริงจะต้องเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติกับผู้อื่น เขาไม่สามารถพูดอะไรพล่อยๆ ออกมาได้ การคิด การพูด การกระทำ จะต้องผ่านการไตร่ตรองเสมอ เพราะมันมีผลที่จะย้อนกลับมาที่ตัวเขาท่ามกลางผู้คน เรื่องดีจะได้รับการชื่นชม เรื่องไม่ถูกต้องจะถูกประจานให้อับอายขายหน้า คนเหล่านี้จะถูกสอนให้คิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุผลรองรับ มีการวางตัวที่ถูกต้องเหมาะสม เรื่องเหล่านี้เรียนรู้ได้จากสังคมเท่านั้น
ผมกับเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ไม่ว่าความคิด ทัศนคติ จิตใจ ผมไม่ชอบเรื่องฉาบฉวยเพราะมันเสียเวลาเปล่า แต่เขาชอบเพราะมันไม่ต้องรับผิดชอบอะไร  ผมเป็นคนคิดละเอียด แต่เขาบอกเขาเป็นคนไม่คิดมาก คุณต้องวิเคราะห์เรื่องคิดมากคิดน้อยด้วย เพราะมันอาจหมายถึงคนผู้นั้นคิดหยาบกับคนอื่นมากเกินไป คุณควรเรียนรู้เรื่องพวกนี้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่มารู้หลังจากรักเขาไปแล้ว รักคนพรรค์นี้โคตรลำบาก
อย่าดัดจริตเป็นคนดี ไม่เป็นไร ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปแค่ไหนฉันก็รับได้ การคิดแบบนี้กับคนที่ไม่ควรค่า จะได้เจออย่างสาสม (เว้นไว้แต่คนประเภทเดียวกัน) นี่เป็นอีกส่วนที่ผมพลาด เพราะดัดจริตอย่างว่า การที่คนเปลี่ยนไป มันมีประเด็นให้ต้องคิด ว่าอันไหนเป็นตัวตนจริง อันไหนเสแสร้ง คนเราไม่อาจปิดบังตัวตนได้นานนัก สันดานมันจะโผล่ออกมาให้เห็น เขาอาจไม่ผิดที่เป็นคนพรรค์นั้นมาทั้งชาติ แล้วมันจะไม่เคยมีในเสี้ยวความคิดว่าเขาผิดต่อเราด้วย เขาจะคิดว่าฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้ ดังนั้นมันจึงผิดที่ตัวเรา ในการพยายามไปยอมรับสิ่งนั้น จงก้มหน้ารับกรรมให้สาสมกับความโง่ดันทุรังของตัวเองเถิด
มองหาความจริงในคำบอกเล่า เขาเคยถามผมว่ารักมั๊ย คุณจะใช้คำถามแบบนี้กับใคร แล้วเราก็เริ่มไปไกลจนกลับไม่ได้ วันที่เขาแสดงออกว่าลืมสิ่งที่เคยพูด ผมงงมากนะ เราลืมสิ่งที่เราเคยพูดได้หรือ ผมไม่ลืมสักคำเพราะผมมีเขาเท่านั้น แล้วถ้าเขาพูดคุยแบบเดียวกันกับคนหลายคนล่ะ แน่นอนว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรไว้กับใคร ผมรู้ว่าหลายครั้งที่เขาส่งรูปหรือเล่าเรื่อง เขาไม่ได้ทำกับผมคนเดียว เพราะเขาไม่แน่ใจว่าคุยเรื่องนี้กับผมแล้วหรือยัง แต่ผมไม่เคยพูดอะไร หลายเรื่องผมรับรู้อย่างเจ็บปวด และโง่พอที่จะพิสูจน์ตัวเองว่ารักเขามากจนทนได้
จงสังเกตุช่วงเวลา คนทำงานจะมีเวลาแบบเดิมๆ เวลาที่ว่าอาจเป็นเวลาทั้งหมดที่เขาว่าง หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของเวลาว่างที่เขาจัดสรรให้เรากับคนอื่นๆ ถ้าอยู่ๆ เวลาเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน ความใส่ใจไม่เหมือนเดิม แต่เรื่องเล่าช่างน่าเห็นอกเห็นใจ งานเยอะขึ้น กดดันมาก เปลี่ยนเวลาก็ไม่ได้ ไม่มีเวลาให้เหมือนเดิมอีกแล้ว (แต่กูเห็นมึงแรดๆ อยู่ในโซเชียล) งั้นก็ต่างคนต่างไปเถอะครับ ไอ้การเป็นคนแสนดี เธอจะมีชั้นคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ คุณอาจกำลังถูกหัวเราะเยาะอยู่ว่าไอ้นี่หลอกง่ายจัง ที่สำคัญ มันไม่ช่วยให้คุณเป็นเทวดาขึ้นมาได้ รังแต่จะทำให้คุณกลายเป็นปีศาจเก็บกดมากขึ้นทุกวัน เลิกซะ ถอยห่างออกมา อย่าใจอ่อนกับคำพูดเชิงคาดหวังว่าเราจะเข้าใจ นอกจากคุณอยากเจ็บปวดตลอดไป ไม่ต้องไปถามไถ่ให้มากความ คุณจะไม่ได้คำตอบที่แท้จริงหรอก อย่าเสียดาย เริ่มต้นแย่นานไปจะดีได้อย่างไร มีแต่ยืดเยื้อเรื้อรัง
เรื่องเล่าน่าเห็นใจอาจมีอีกมากมาย ผมเห็นอกเห็นใจเขาไปหมด คิดว่าเข้าใจว่าเขาเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร ผมถึงไม่เคยโกรธที่เขาทำไม่ดีกับผม เขาเคยบอกว่าผมรู้จักเขาดี ผมยิ่งบ้าบอเสนอหน้ารับภาระดูแลจิตใจ ผมไม่กล้าทำอะไรให้เขากระทบกระเทือนเพราะกลัวเขาจะเสียใจ ผมรับเอาทุกอย่างไว้ ยอมเจ็บปวดเพื่อเขา ยอมฟังเขาเล่าถึงชายอื่น ยอมเป็นอะไรก็ได้แค่เขานึกถึงบ้างก็พอใจ มันเป็นความรู้สึกที่เหี้ยสุดๆ! โลกนี้จะมีกี่คนที่โง่เท่าผม
จงดูว่าเขาปฏิบัติกับคุณยังไง ดีกับคุณเท่าที่คุณดีกับเขาไหม เขาควรค่ากับความจริงใจของคุณหรือไม่ ถ้ามันไม่ใช่ก็หยุดซะ อย่าทำตัวซื่อบื้อ ด้วยการพยายามพิสูจน์ตัวเองกับเขา ว่าเราสามารถดีต่อเขาไปได้ตลอดกาล ไม่ว่าเขาจะเหี้ยกับเราสักแค่ไหน มันจะไม่มีค่าอะไรกับใครหรอก คุณแค่ได้สังเวยตัวเองก็เท่านั้น
แยกคนดีกับคนเลวให้ออก เมื่อคุณทำดีกับคนเลว มันจะเป็นเรื่องสูญเปล่า เข้าตัว และทำให้คุณถูกกลืนกินไปด้วยสักวัน ไม่ว่าคุณจะใช้ความพยายามขนาดไหน ทฤษฎีอาจบอกว่า จงเปลี่ยนคนเลวด้วยความดี ผมลองมาหลายครั้งแล้วทำไม่ได้ คุณจะลองดูก็แล้วแต่
เลิกเชื่อมั่นว่าการดีกับคนเลวไปเรื่อยๆ สักวันเขาจะดี นั่นมันนิทานสอนเด็กสมัยโบราณ ใช้ได้กับบุคคลที่พื้นฐานจิตใจไม่แย่เกินไปนัก ถ้าจะสอนเด็กทำนองนี้ คุณควรสอนว่าจะดีกับใครต้องให้ถูกคน ถูกกาละ ถูกเวลา และควรหยุดเมื่อไหร่ ไม่งั้นมันจะมีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
ผมเคยหวังว่าเขาจะดีกับผมเหมือนตอนที่เขาทำให้ผมรัก แต่นั่นไม่ใช่ตัวจริงของเขา อย่าคิดว่าจะเปลี่ยนใครได้ ไม่ว่าคุณจะรักเขาแค่ไหน อยากให้เขาดีแค่ไหน ที่ควรทำคือปล่อยเขาไปให้เร็ว ไม่ต้องไปห่วงว่าเขาจะอยู่ไม่ได้ คุณคิดว่าตัวเองเป็นเทวดาหรือ แต่ละคนจะมีโลกที่มีคนแบบเดียวกันคอยใส่ใจ เขาจะสบายดี แต่ถ้าคุณดันทุรัง คุณนั่นแหละจะต้องตายเอง
เรื่องของเราใครรู้ได้ไหม เขาบอกผมว่า เรื่องของเราอย่าให้คนอื่นรู้เลย มันจะมีแต่คนหวังดี นี่คงเป็นประโยคประจำที่เขาใช้กับทุกคนกระมัง ผมไม่เคยอยากจะประกาศตัวเองออกไปอยู่แล้ว เลยไม่สนใจ ถ้าใครเจอประโยคแบบนี้ ขอให้ฉุกคิดสักนิด คนที่ประกาศตัวในโซเชียลว่า ชั้นโสดจ้า แต่พฤติกรรมไม่สอดคล้อง จะซ่อนใครไว้จากสังคมของเขาเสมอ มันแปลได้ว่า ฉันอยากเล่นกับใครก็เล่นไป เลิกเล่นเมื่อไหร่ไม่ต้องเคลียร์ ไม่เสียภาพพจน์ ฉันพร้อมเปิดรับคนใหม่ๆ ได้เสมอ แต่ละคนจะไม่ถูกเปิดเผยออกสื่อ เพื่อฉันจะมีโอกาสคบหาเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีผัวเป็นตัวเป็นตน ซึ่งก็ต้องใช้งานได้เยี่ยงทาส ว่างจัด และเชื่องกว่าหมา
ถ้าติดตาม คุณจะเห็นพฤติกรรมของแต่ละคนรวมทั้งรีแอ็คชั่นของเขา บางคนเข้ามาแล้วหายไป แล้วกลับเข้ามาอีก สลับเป็นช่วงกันไป ผมเป็นหนึ่งในนั้นย่อมดูออก คนแบบนี้จะมีเพื่อนมาก เรทติ้งมีความสำคัญต่อเขา เขาจะทำตัวน่ารักกับทุกคน ให้ความหวังทุกคน ไม่เคยตัดขาดใคร แต่ไม่เคยสนใจว่าคนที่เขาเล่นด้วยจะรู้สึกยังไง เขาจะคิดแต่ว่าฉันต้องมีความสุขสิ มันก็คงไม่ผิด ถ้าจะสุขโดยไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์แล้วสนุกกับมัน
ทำมาหากินอะไร แต่ละอาชีพจะมีทักษะเฉพาะที่ต้องใช้ แม่ค้าต้องปากหวานได้ ตอแหลเป็น เซลล์แมนมักโกหกและไม่เลือกวิธีการ บ้างใช้วิธีสกปรก การทำซ้ำทุกวัน พฤติกรรมจะกลายเป็นสันดานที่หยั่งรากลึกลงไปโดยไม่รู้ตัว แต่คุณต้องรู้ว่าคุณเจอคนประเภทไหน ยากง่ายระดับใดในการกรองความจริงออกมา มีโอกาสผิดพลาดสักเท่าไหร่ ที่จะทำให้เราเข้าใจคลาดเคลื่อน ทั้งหมดที่คุณต้องทำ ควรค่าแก่การเสียเวลาด้วยหรือไม่
จงมองหาความชัดเจน เพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยบอกผมว่า กูไม่เคยเจอใครสับสนแม่มทุกเรื่องอย่างมึง ก็จริง ผมมักไม่คิดอะไรรอบเดียว ผมเคยชินกับการวิเคราะห์หลายทางเลือก แต่สุดท้ายผมก็ชัดเจนในเรื่องที่ทำ สิ่งที่เขาปฏิบัติกับผม ปราศจากความชัดเจนใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่เคยพูดว่าเขาไม่ต้องการผมแล้ว ไม่เคยพูดอะไรให้ผมเข้าใจว่ามันจบแล้ว ความหวังจางๆ ถูกสร้างขึ้นเมื่อผมเหน็ดเหนื่อยจนถอดใจ ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมไม่ตัดขาดให้ชัดเจน มันจะได้จบๆ กันไป ไม่เรื้อรัง

ผมกลายสภาพเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังทุกเรื่องที่เขาอยากเล่า คล้ายถังขยะใบหนึ่ง ไม่เคยสนใจว่าบางเรื่องมันทำให้ผมเจ็บ ผมใส่ใจแต่หวังจะให้เขาสบายใจ ยังภูมิใจที่เขาเล่าให้ฟัง มีให้ผมไปค้นคว้าอะไรให้ซึ่งมันไม่ได้สำคัญกับเขา แค่หางานให้ผมทำแล้วคงดูว่ามันจะทำไหม เขาส่งกุหลาบหินมาให้ผม 10 กว่าต้นที่กลายเป็นงานเป็นการ เพราะผมโง่พอที่จะเลี้ยงดูมันอย่างดี ทั้งที่เขาไม่ได้สนมันเท่าไหร่ เขายังเล่าถึงคนหลายคนในนามของคนๆ เดียว ที่ผมแน่ใจภายหลังว่าเป็นคนละคน ผมไม่รู้ทั้งหมดนั่น เขาทำเพื่ออะไร
เมื่อมีสติพอที่จะคิด ผมรู้สึกโง่เง่าจนอับอายขายหน้า
ผมสงสัย เขามองผมเป็นอะไรจึงทำร้ายผมได้ ผมเชื่อว่าเขารู้ตัวแต่ต้นว่าจะทำอะไร ผลจะเป็นยังไง ถ้าเขาเห็นผมเป็นอะไรที่มีความหมายสักนิดเขาคงไม่ทำ เขาในความคิดผมคือทุกสิ่ง แต่ผมในความคิดเขาคงเป็นแค่คนเคยรู้จักที่ผิวเผิน ไม่ต้องสนใจความรู้สึก แต่มันคงโง่จนน่าสงสารเลยเก็บไว้ดูเล่นขำๆ กระมัง เขาผ่านเรื่องราวแบบนี้มามาก ผมคงไม่ได้แตกต่างจากใคร เขาเคยพูดว่าผมเป็นคนสำคัญ มันคงเป็นคำพูดพล่อยๆ อีกคำ ที่ใครๆ ก็สำคัญไปหมด
ผมเคยเห็นคนหลายคนโพสโซเชียลทำนอง ชั้นไม่ผิดนี่ ชั้นแค่ปฏิเสธไม่เป็น คำพูดแนวนี้บอกอะไรในตัวตนของคนเหล่านั้น ผมมองว่าเห็นแก่ตัว คิดน้อยเกินไป ชอบที่จะได้รับการใส่ใจจากคนอื่น ทั้งที่ตัวเองไม่ได้สนใจใครสักเท่าไหร่ ชอบให้โลกอยู่รอบตัวกู ใครให้น้ำใจหรือสิ่งของ พวกเขาจะคิดว่าได้ก็ดีแต่ไม่มีความซาบซึ้ง ยังจะโชว์ได้ว่ามีคนชื่นชมฉันขนาดนี้นะ เห็นไหมฉันควรค่าแก่การใส่ใจ คนเหล่านี้จะไม่นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่น จากการตอบโต้ที่ไม่เหมาะสมของตัวเอง ทุกครั้งที่เห็นการโพสแนวนี้ ผมมักรู้สึกรังเกียจความคิดชุ่ยๆ แบบนั้น
ผมอาจวัดจากตัวเอง ที่จะไม่รับเอาสิ่งที่ผมไม่ได้ต้องการจริงๆ ยิ่งถ้าเจตนามันไม่ตรงกัน ผมจะรู้สึกผิดถ้าทำให้คนอื่นเข้าใจผิดในตัวผม การปล่อยให้เขาคิดไปเองว่าผมมีใจ ไม่ได้ว่าอะไรที่เขามีใจ ทำให้ผมกังวลกับความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นในใจเขา รู้สึกต้องรับผิดชอบในการกระทำที่ไม่ชัดเจนตัวเอง ดังนั้นคนที่เข้ามาหาผมในช่วง 20 กว่าปีนี่ จะเจอด่า! มันจะจบไปอย่างขำๆ แล้วยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ พวกเขาจะรู้ชัดว่าผมไม่ต้องการความสัมพันธ์ในรูปแบบนั้น แล้วทำไมเขาไม่โดน

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ผมเจอเขาในโรงเรียนแห่งหนึ่ง มันคล้ายรักแรกเห็น ภาพที่ผมยังจำได้ เขาเดินมากับเพื่อนอีก 2 คน ผมตะลึงมองทั้งๆ ที่เขาไม่ได้สวย มันคงเป็นกรรมเก่าแน่ๆ ผมไม่เคยแสดงออกอะไร ความชอบถูกเก็บซ่อนไว้อย่างเงียบเชียบ เมื่อมีโอกาสคุยกัน ดูเหมือนเขาจะเห็นผมเป็นพี่ เล่าเรื่องมากมายให้ฟัง ผมเลยกลายเป็นพี่ให้เขาไป ทั้งที่ผมใจเต้นโครมครามเมื่อเขาวัดมือเขากับมือผม
จนครั้งหนึ่งที่ผมเมาแล้วล่วงเกินเขา หลังจากนั้นผมไม่กล้าสู้หน้าเขาอีกเลย เขาไม่พูดอะไร คล้ายไม่ถือสา เราไม่เคยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น หลังจากผมออกมาจากที่นั่น เราไม่เคยติดต่อกันอีก นานๆ ครั้งจะได้ยินเรื่องของเขาจากน้องผมบ้าง นั่นคือพื้นฐานในอดีตของเรื่องราวปัจจุบัน มันคงเป็นกรรมที่ผมหนีไม่พ้น ได้แต่หวังว่าผมจะชดใช้ไปหมดแล้ว ทั้งกายทั้งใจ

บางทีผมสงสัย มันมีช่วงเวลาที่ผมเป็นสุขจริงๆ บ้างไหม ก็มีนะ ช่วงโปรนั่นไง แม้ตอนนั้นจะรู้สึกแปลกๆ แต่ผมไม่ใคร่ครวญ เพราะหลงและขาดสติ วันนี้ผมนึกสงสัย ทั้งหมดที่เขาเคยพูด มีสักคำที่เป็นจริงไหม ในขณะที่ผมให้ความจริงใจ จริงจัง สำหรับเขาคงเป็นเรื่องเล่นสนุกเท่านั้น ความบันเทิงบนความรู้สึกของคนอื่น คนดีๆ ที่ไหนจะสนุกกับมันได้ ส่วนอาการทางจิตหนักแค่ไหน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมอีกแล้ว
ตลอดหลายปีที่ผมเป็นห่วง ไม่ว่าความรู้สึก ความเป็นอยู่ สภาพจิตใจ เพราะไม่รู้ว่าเขาสบายดีและไม่ได้ต้องการความห่วงใยของผม มีคนที่เขาอยากให้ห่วงอีกบาน คนที่เขาให้ความสำคัญ ทั้งหมดที่ผมปฏิบัติต่อเขา มันไม่เคยมีค่าอะไรเลย
ครั้งสุดท้ายที่คุยกัน ผมรู้ชัดว่ามันโล่งกลวงไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมงงว่าคุยมาทำไม ผมไม่อยากคิดอะไรที่แย่กว่า คุณเคยน้ำตาไหลเมื่อคนที่คุณคิดว่าดี เขาไม่ได้ดีอย่างที่คิดไหม ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยได้รู้จักตัวจริงของเขารึเปล่า

ผมเริ่มสงสารตัวเอง 4 ปีที่ผมนึกถึงแต่ความรู้สึกเขา ไม่เคยสนว่าตัวเองต้องโดนอะไรบ้าง เขาไม่ได้สนสิ่งที่ผมเป็นให้เขา สิ่งที่เขาคาดหวังให้ผมเป็น มันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น ความสัมพันธ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับผมอีก ผมเบื่อหน่าย สะอิดสะเอียน กับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความทรงจำอาจหายไปบางเวลา แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ เหมือนมันเจ็บจนเคยชิน
กลายเป็นวันนี้ผมทนเรื่องดราม่าไม่ได้สักเรื่อง ผมจะโกรธขึ้นหัวจนคุมตัวเองไม่ได้ แล้วด่าออกไปแบบไม่รู้ตัว ครั้งหนึ่งผมเล่าให้เพื่อนสนิทฟังแล้วมันถามว่า มึงโกรธอะไร กูไม่เห็นมีอะไรน่าโมโห คนดราม่าไม่ผิดที่คิดว่าดราม่ากับผมได้ (ก็มันเคยฟังได้) ผมผิดเองที่รับไม่ได้และไม่อดทนกับเขา
ผมเคยอดทนกับคนอื่นได้มาก ซึ่งผมว่ามันไม่ช่วยอะไร การที่เราทนได้ มันหมายถึงเขาจะให้เราทนตลอดไป เพราะมันทนกูได้ไง แต่จะไปทำตัวดีๆ กับคนที่ไม่ทน แล้วคุณได้อะไร ได้บุญจนขึ้นสวรรค์หรือได้ใจที่แย่ลงเรื่อยๆ จนลากคุณลงนรก ผมเจอบางคนแปลกกว่านั้น เขาจะบอกว่ารักเรา ห่วงเรา ซึ่งผมก็เห็นว่าจริงและซึ้งใจอยู่ แต่ที่เขานึกถึงไม่ใช่ความรู้สึกผม กลับเป็นความรู้สึกตัวเอง ผมก็จะห่างๆ ออกมาหน่อย จะได้ไม่ต้องไปรองรับอารมณ์ใคร

ถ้าอ่านมาจนจบแล้วคุณยังไม่นึกถึงตัวเองก็ลองไปฟังเพลง inside ดูครับ ภาษิตจีนว่าไว้ ไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินลงโทษ อย่าหวังว่าโลกนี้จะมีใครร่ำไห้ให้เรา เราควรเห็นใจตัวเองให้มาก ผมได้พิสูจน์แล้ว ซึ้งแล้ว ยังสมเพชตัวเองเสมอที่โง่ไม่ปรึกษาใคร
มันดีที่ได้กลับมาเป็นตัวเองอีกที ทั้งที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย ตัวตนผมถูกทำลาย ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะกลับไปเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองได้อย่างที่เคยเป็น ตรรกะที่ผมเคยเชื่อว่าใช้ได้ดีกลับผิดพลาด ผมสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง ยังเชื่อใจคนอื่นน้อยลงอีก
ผมเริ่มพูดคุยกับผู้อื่นเท่าที่จำเป็น ออกห่างจากคนไม่ปกติด้วยความรู้สึกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องไปดูแลใคร ผมเบื่อหน่ายสังคมที่ต้องแยกเรื่องจริงออกจากเรื่องเท็จ ไม่เห็นประโยชน์ในการปรับตัวเข้าหาใคร ในเมื่อคนส่วนใหญ่ก็นึกถึงแต่ตัวเองและไม่ได้คิดจะปรับตัวเข้าหาใครกันอยู่แล้ว ผมเหนื่อยที่จะเรียนรู้ความต้องการของผู้คนและตอบสนองมันเมื่อผมแคร์ สถานการณ์บางอย่างอาจเปลี่ยนคุณไปตลอดกาล ซึ่งมันดีกับผม เพราะเดิมผมค่อนข้างสันโดษ ไม่ใช่สัตว์สังคม
ผมอาจต้องขอบใจคนหลายคน ที่สอนให้ผมรู้จักคนอีกประเภทที่ผมรังเกียจมาทั้งชีวิต ถ้านี่เป็นสิ่งที่ผมจะต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง มันก็โอเค ข้อสรุปคือ มากคน มากเรื่อง ปราศจากความสัมพันธ์ ก็ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องไม่จำเป็น ผมว่าคนเรายิ่งรู้มาก ยิ่งคบหาผู้คนน้อยลง เพราะเห็นตัวตนของคนอื่นชัดเจนขึ้น
แล้วผมเขียนทำไมถ้าอยากจะลืมให้หมดสิ้น เพราะผมต้องเคลียร์ความคิดตัวเองด้วยหลักการและเหตุผล หาให้เจอว่าเขามีอะไรให้ผมรัก แทบไม่มี! ผมคงแค่ฝังหัวว่ากูรักอีนี่ แล้วทำทุกอย่างเท่าที่การรักและศักยภาพของผมจะทำได้ ซึ่งโคตรปัญญาอ่อน ผมจำเป็นต้องรีเซ็ทความคิดโง่ๆ นั่น!

ผมเคยบอกเขาว่า ตายไม่ฝังนะ แล้วชั้นจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพทีหลัง ผมพูดจริงและจะทำถ้าผมไม่ตายไปก่อน ผมได้แต่คาดหวัง ว่าเราจะไม่ต้องเฉียดมาเจอกันอีกไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน
ชั้น-เธอ! เหมือนคนโบราณคุยกัน! เราเริ่มคุยกันด้วย พี่-ชื่อเขา พอรักกันก็เป็นแปะ-ซิ่ม เมื่อเขาเลิกเล่นกับผมแล้ว ผมก็ใช้ชั้น-เธอ ในขณะที่เขายังเรียกผมแปะอยู่บ่อยๆ (น้องที่ทำงานเอามาเรียกตามอยูู่ 2-3 คน ให้มันเลิกก็ไม่เลิก) ถ้ายั๊วะกันขึ้นมาก็มีมึง-กูบ้าง เขาเคยให้ควยผมครั้งนึง จำไม่ได้ว่าไปพูดอะไรให้เขาหงุดหงิด ซึ่งผมขำลั่นเมื่อเปิดมาเจอ ด้านมืดของเขาก็ยังน่ารักอยู่ดี
ผมไม่รู้ว่าผมกับเขามีความผูกพันกันบ้างไหม เมื่อแรกรักเขาเคยบอกว่าระหว่างเราจะใช้คำจำกัดความอะไรได้ ผมเป็นทั้งเพื่อน พี่ คนรัก เหมือนเป็นทุกอย่าง ให้รู้ว่าสำคัญมากก็พอ ซึ่งเขาคงลืมคำพูดเหล่านั้นไปหมดแล้ว เราเลยไม่เคยเป็นอะไรกันนอกจากคนเคยคุย.

Inside : tobias sammet : edguy
We're the little creatures deep inside your mind
Some call us their fantasy but some do never find
We can teach philosophy but still we must commend...
The state of our existence right into your hand
Welcome to this place in here come overstep all your fears...
Where have you all been once when I was alone?
When I was a hero in their crazy wicked show
You've sent no little spark into my darkened view of life.
Did not make me ask for what is wrong and what is right
And still I regret to be here.

ไม่มีความคิดเห็น: