While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

มังกรมีจริง ตามหลักวิทยาศาสตร์


แน่ใจเหรอ .. ผมแน่ใจ มาดูกันว่าผมมีข้อมูลอะไรอยู่ในมือบ้าง ถึงได้มั่นใจว่า มังกรมีอยู่จริง .. เรื่องราวต่อไปนี้ จำเป็นต้องใช้จินตนาการพอสมควร คุณเป็นคนไร้จินตนาการหรือเปล่า ? ไม่มีก็ไม่เป็นไร มีภาพอยู่ด้านท้าย ไปดูก่อนก็ได้ครับ
พูดถึงมังกร ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่ามันเป็นสัตว์ในเทพนิยาย เป็นเรื่องเล่าปรัมปรา จบแค่นั้น แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่ที่สงสัยต่อไปอีกว่า มันมีจริงหรือเปล่า อาจเป็นไดโนเสาร์พันธุ์ใดพันธุ์หนึ่งได้ไหม ทุกวันนี้มันยังอาจมีหลงเหลือซ่อนเร้นอยู่ในที่ๆ มนุษย์เข้าไปไม่ถึงหรือไม่ จะมีใครขุดเจอฟอสซิลที่ยืนยันการมีตัวตนอยู่จริงของสัตว์สายพันธุ์นี้ เหมือนสัตว์ในตำนานประเภทอื่นๆ หรือเปล่า
เราพบมังกรในตำนานจากทั่วโลก ตั้งแต่เรื่องเล่าของชาวบ้าน บันทึกอย่างเป็นทางการ ภาพวาดบนฝาผนัง ภาพแกะสลักนูนต่ำ ภาพจากกระจกสี รูปปั้น รูปแกะสลัก การ์กอยด์ แม้กระทั่งบันทึกข้อความที่บรรยายลักษณะของสัตว์ชนิดนี้ไว้อย่างละเอียด การค้นพบที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุมากกว่า 4 พันปี การพบเห็นที่ใหม่ที่สุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อราว 200 ปีก่อนนี่เอง เรามีเรื่องเกี่ยวกับมังกรมากมาย จากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีการติดต่อถึงกัน แต่กลับมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน พวกเขาเอามังกรมาจากไหน ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นมันจริงๆ
ผมชอบมังกรมาตั้งแต่เด็ก มันคลาสสิคมากในความคิดผม เดิมทีผมคลั่งมังกรจีนจนถึงกับอยากสัก แต่ด้วยความที่กลัวเข็ม แค่เห็นก็หน้าซีดปากสั่น เลยไม่ได้ทำ .. ปัจจุบัน ผมกลับชอบมังกรฝรั่งมากกว่า อาจเป็นเพราะการนำเสนอของภาพยนตร์ต่างๆ ที่แสดงภาพมังกรจีนในรูปแบบของเทพเจ้า ดูห่างไกล ไม่อาจแตะต้อง ในขณะที่มังกรฝรั่งมีความเป็นตัวตน สัมผัสได้ มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก ทำให้เราเข้าถึงได้มากกว่า .. เอาล่ะ ผมรักมังกร ผมรู้เรื่องมังกร (และมันร้อนวิชา) วันนี้ผมจะเอาเรื่องของมังกรมาร่ายยาวให้อ่านกัน จะได้รู้ซึ้งถึงชีวิตจิตใจและกายวิภาคศาสตร์ของมังกรกันไปเลย
ผมระบุที่มาของข้อมูลไม่ได้ (อีกแล้ว) เนื่องจากอ่านไปทั่ว ดูไปทั่ว แต่ผมก็จะพยายามใส่ไว้ให้ครบๆ แล้วกันนะครับ .. ผมยังมีความคิดแผลงๆ อีกอย่าง คุณคงเคยดูหนังประเภทที่มีการโคลนนิ่งทีเร็กซ์ เมกาโลดอน พรีเดเตอร์เอ็กซ์ .. ถ้าเราโคลนนิ่งมังกรได้ล่ะ หรือถ้าอยากมากๆ แล้วหาซากมังกรไม่เจอสักตัว ก็เล่นพันธุวิศวกรรมกันไปเลย มันคงจะเข้าท่า .. ผมว่าคงมีมหาเศรษฐีมากมายอยากเลี้ยงมัน (ค่าใช้จ่ายในการเพาะพันธุ์คงสูงมาก และคงเลี้ยงยากกว่ายูนิคอร์นเยอะเลย) จากนั้นใช้มังกรเป็นยานพาหนะแทนเครื่องบินส่วนตัว เช่นเรื่องเอรากอน แถมมีเพื่อนคุยที่ไม่ทำตัวยุ่งยากเหมือนมนุษย์ .. มังกรฝรั่งตามตำนานบางแห่ง พูดได้ครับ (จะเห็นได้จากภาพยนตร์หลายเรื่อง พยายามเอามาแสดงให้เห็น) แต่น่าจะเป็นการส่งกระแสจิต เพราะลักษณะทางกายภาพของปาก คงออกเสียงอย่างคนไม่ได้ ..
อีกนิด เรื่องเอรากอน ไปหาอ่านกันนะครับ มี 4 เล่ม สนุกและมันส์มากๆ ขอยืนยัน .. เพราะผมอ่านเล่ม 1 เป็นภาษาไทยเพียงเล่มเดียว ที่เหลือเล่นภาษาอังกฤษแม่งเลย ไม่ใช่ว่าเก่ง แต่รอให้เขาแปลเป็นไทยในอีกครึ่งปีไม่ไหว ขนาดว่าอ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ยังมันส์เลยครับ ใครชอบมังกร คุณต้องไม่พลาดเรื่องนี้ จินตนาการเขาถึงจริงๆ
ทีนี้ลองมาดูความหมายของมังกรกัน ก็มันตลกดี เลยอยากเล่าน่ะครับ โดยทั่วไปฝรั่งเขาให้ความหมายว่า เป็นสัตว์ในตำนาน เป็นสิ่งมีชีวิต (เขาใช้คำว่า creature น่ะ) ที่มีลักษณะคล้ายงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน เป็นเรื่องลึกลับในหลายวัฒนธรรม .. รากศัพท์ของคำว่า dragon มาจากภาษากรีก หมายถึง งูยักษ์ งูน้ำ หรือปลาทะเลยักษ์ และคำๆ นี้เพิ่งถูกนำมาใช้เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษในต้นศตวรรษที่ 13  นี่เอง แปลว่าคนอังกฤษเพิ่งเห็นมังกรเมื่อราว 700 ปีก่อน เหรอ .. ไม่นี่ ตำนานมังกรของอังกฤษมีมานานกว่านั้นมาก แล้วก่อนหน้านั้นเรียกอะไร เดี๋ยวต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม (แล้วมันจะจบไหมวะนี่)
เรื่องของมังกรที่เก่าแก่ที่สุดพบในบันทึกของชาวจีนราว 4 พันกว่าปีก่อน กล่าวถึงข้าราชการคนหนึ่งที่ทุ่มเทกายใจ แก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่องถึง 33 ปี โดยไม่เคยกลับไปเยี่ยมครอบครัวเลย (ถ้านักการเมืองไทยเป็นอย่างนี้บ้าง สักครึ่ง เมืองไทยคงเจริญ ไม่ชิบหายวายป่วงเหมือนทุกวันนี้ ว่าจะไม่กัดแล้วเชียว มันอดไม่ได้จริงๆ ครับ) สุดท้ายก็แก้ปัญหาได้สำเร็จ ชาวจีนยุคนั้นจึงเชื่อว่า เขาเป็นมังกรมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์ยาก มังกรในความเชื่อของจีนจึงเปรียบเสมือนเทพเจ้า เป็นสิ่งมงคล แต่ผมเคยเจอเรื่องของกำไลหยกรูปมังกร มีอายุราว 8000 ปีก่อนด้วยนะครับ
ชนชาติโบราณที่ไม่เหลืออยู่แล้ว อย่างชาวสุเมเรียน ราว 4 พันปีก่อน ก็มีเรื่องมังกรที่เป็นรูปแบบของเทพเจ้า ใช้ร่างกายตนเอง สร้างฟ้าและมหาสมุทร เช่นกัน
มาถึงพระธรรมเก่าของชาวคริสต์ อายุราว 3 พันกว่าปี มีการพูดถึงมังกรทะเล เป็นมังกรอีกสายพันธุ์หนึ่ง มีชื่อเฉพาะว่า เลเวียธาน เจ้านี่เกเรและดุร้าย ทำร้ายผู้คน พระเจ้าจึงทำลายเสีย ซึ่งคาดว่าอาจฆ่าไม่หมด เพราะภายหลังยังมีการพบเห็นมังกรลักษณะนี้อีก จากบันทึกของเรือเดินสมุทร นับแต่เราสามารถออกทะเลกันได้ จนถึงปัจจุบัน
ชาวแอชแท็กซ์ที่ป่าเถื่อน ฆ่าคนเป็นว่าเล่น ก็มีเทพเจ้ามังกรเหมือนกันครับ อันนี้อยู่ราวคริสตศตวรรษที่ 3 พวกเขาถือว่ามังกรเป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตร มีรูปร่างเป็นงูยักษ์มีขน (เอาเข้าไป) และต้องเซ่นสังเวยด้วยคนเป็นๆ การเพาะปลูกจึงจะได้ผลผลิตที่ดี ความซวยเลยตกอยู่กับพวกเชลยสงคราม มีสาวบริสุทธิ์ด้วยไหม ไม่รู้ครับ (แต่พวกชนเผ่าโบราณชอบใช้สาวบริสุทธิ์กัน ไม่รู้ทำไม มันเสียของนะ) .. ปัญหาคือ เขามีเทพเจ้าหลายองค์ แต่ละองค์ก็ต้องการคนเป็นๆ เลือดสดๆ ทั้งนั้น มีการตัดหัว ควักหัวใจทั้งเป็น .. โหดครับ
ที่กล่าวมานี้ เป็นตำนานแบบที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร มีภาพวาด มีการแกะสลัก มีการกราบไหว้บูชาและเซ่นสังเวยกันอย่างจริงจัง แต่ที่เป็นเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้านสืบทอดกันมา ก็มีอยู่เกลื่อนกลาดไปทั่วโลก ..
และเมื่อพิจารณาจากสถานที่รวมถึงยุคสมัยต่างๆ เราก็พบวิวัฒนาการของมังกรครับ ภาพลักษณ์ของมังกรในยุคแรกๆ รูปร่างจะเหมือนงูยักษ์ ไม่มีขา ไม่มีปีก ไม่มีเครา ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางท่านบอกว่ามันเป็น ไททันโอโบอา งูยักษ์จากยุคพาลีโอซีน อยู่ในสายพันธุ์โบเดีย เป็นงูขนาดใหญ่ไม่มีพิษน่ะครับ และคุณท่านเขายาวได้ถึง 15 เมตร หนักได้ถึง 2000 โล จากกระดูกที่ขุดพบนะครับ ไม่แน่ใจว่าไอ้ที่เจอมันใหญ่สุดแล้วหรือยัง .. เป็นต้นตระกูลงูเหลือมบ้านเรา (ถ้าหลุดมาถึงยุคนี้นะมึง) ตัวเขาใหญ่กว่าอนาคอนด้าที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเจอราว 10 เท่าน่ะครับ
ยุคพาลีโอซีน คือยุคที่อยู่ถัดมาจากยุคครีเตเชียส คือราว 65-23 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่มีคาร์บอนไดออกไซด์หนาแน่นกว่าปัจจุบันหลายเท่า อุณหภูมิของโลกสูงกว่าป่าดิบชื้นในปัจจุบันราว 3-4 องศาเซลเซียส ต้นไม้จะมีขนาดใหญ่มาก สัตว์เลือดเย็นก็ต้องตัวใหญ่มากๆ เช่นกัน จึงจะอยู่ได้ .. สิ่งที่เห็น เป็นไททันโอโบอาได้ไหม ก็มีความเป็นไปได้ครับ แต่เรารู้จักงูกันดี ทำให้นักชีววิทยาไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนว่ามันจะเป็นไททันโอโบอาไปได้ แต่มันควรจะเป็นสัตว์สายพันธุ์อื่นเสียมากกว่า .. อ้อ รู้กันไว้เสียด้วยว่า ถ้าคุณพยายามเพิ่ม Co2 ให้มันมากขึ้นไปเรื่อยๆ คุณจะตาย ต้นไม้จะกลับมาครองโลก .. และเราต้องทำใจกับความน่ารำคาญของพวกผู้เชี่ยวชาญ ที่มักจะอาศัยความเชี่ยวชาญ พูดแม่มันไปเรื่อยๆ
ยุคถัดมา มังกรก็กลายร่างมาเป็นเหมือนจิ้งเหลนยักษ์ คงเป็นวิวัฒนาการให้มีขา หรือแรกๆ ที่เห็น มัวแต่ตกใจจนไม่เห็นขา อันนี้ผมมั่วเอาแหละครับ แต่คนเรา เวลากลัวหูตาแหก ผีมันยังเห็นได้เลย ..  แต่ทุกยุค ทุกสมัย ทุกสถานที่ มังกรก็พ่นไฟได้มาตั้งแต่ต้น แม้แต่มังกรที่อยู่ในน้ำ .. ทำไมไม่พ่นน้ำล่ะ ก็มีแต่มังกรจีนเท่านั้นแหละครับ อาจเป็นเพราะการเอาน้ำมากๆ มาพ่น ยากกว่าการจัดการให้ร่างกายพ่นไฟได้น่ะครับ แต่เนื่องจากมังกรจีนเป็นเทพเจ้า จึงไม่ต้องมีความสมเหตุสมผลล่ะมัง
ในความคิดผม ผมเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์สายพันธุ์หนึ่ง ไม่ใช่เทพเจ้า และผมก็คิดไปถึงเรื่อง tree of life ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว แล้วค่อยพัฒนาแตกแขนงออกเป็นแต่ละสายพันธุ์ มังกรก็ต้องใช้กฏเกณฑ์เดียวกันนี้ด้วย แล้วมังกรมันควรจะมาจากไดโนเสาร์พันธุ์ไหนได้ล่ะ นักวิทยาศาสตร์เมืองนอกเขาในหลากหลายสาขา ก็ลงทุนศึกษามังกรกันอย่างจริงจังอยู่เหมือนกัน ถึงขนาดมีศาสตร์ด้านมังกรกันเสียด้วยซ้ำ (บ้าพอๆ กับชาวจีนเลยล่ะครับ ถ้าจะพูดแบบไม่ให้ปากแตก คงต้องบอกว่า มีความจริงจังในเรื่องที่สนใจศึกษา) ฝรั่งใช้คำว่า dragonology ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรครับ
จุดเชื่อมต่อ หรือเรื่องราวเก่าสุดที่สืบสาวได้ น่าจะมาจากช่วง KT event หรือปรากฏการณ์ KT อันย่อมาจาก Cretaceous–Tertiary เป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เกิดจากการที่อุกาบาตยักษ์พุ่งชนโลกที่คาบสมุทรยูคาทาน เมื่อ 65 ล้านปีก่อนในยุคครีเตเชียส ทำให้ไดโนเสาร์ตายกันเป็นเบือ แต่จากการค้นพบฟอสซิล ก็พบว่ายังมีไดโนเสาร์จำนวนหนึ่งรอดตาย และดำรงชีวิตต่อมาได้อีกราว 3 แสนปี จึงสิ้นสุดยุคครีเตเชียส เพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ใหญ่อีก สายพันธุ์ที่รอดมาได้จึงต้องวิวัฒนาการให้มีขนาดเล็กลง เช่น นกดึกดำบรรพ์ตัวใหญ่กว่าม้าและกินม้าเป็นอาหาร โชคดีที่นกปรับตัวได้ เราจึงยังมีนกให้ดูอยู่ทุกวันนี้ แต่เราก็ยังมีนกขนาดใหญ่หลงเหลืออยู่อีกหลายสายพันธุ์ .. คำถามคือ บรรพบุรุษของมังกร ก็รอดมาได้ด้วยใช่ไหม ผมเชื่อว่าได้ ก็เราเพิ่งเจอมังกรครั้งล่าสุดในช่วง 2-3 ร้อยปีมานี่เอง
และภาพรวมของมังกรก็มีความคล้ายคลึงกับไดโนเสาร์เสียมากกว่าจะเป็นสัตว์ยุคใหม่ ทำให้เราคงต้องยอมรับนับถือ ถึงความสามารถในการปรับตัว ผ่านยุคสมัย ในสภาพร่างกายที่แปลกแยกจากสัตว์ทั่วไป ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่คิดว่า มันจะสามารถมีชีวิตรอดมาได้ถึงช่วงพันปีก่อน .. เราจะเก็บเรื่องการพบเห็นไปสักพัก แล้วมาดูกันว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่มังกรจะมีชีวิตอยู่ได้ ในรูปแบบของมังกร
ไม่เคยมีใครเจอฟอสซิลของมังกร เช่นเดียวกับนกที่มีการพบฟอสซิลน้อยมาก เพราะนกบินได้ มันสามารถหนีออกจากสถานการณ์เลวร้ายได้ง่ายกว่าสัตว์เลื้อยคลาน .. ผมว่าลักษณะทางกายภาพของมังกร น่าจะมีความใกล้เคียงกับนกมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ก็มันบินได้ .. หลักฐานที่จับต้องได้ทั้งหมด มาจากบันทึก เรื่องเล่า รูปปั้น ภาพวาด แค่นั้น
แต่เมื่อหลายวันก่อน ผมเจอข่าวการพบโครงกระดูกของสัตว์ที่เชื่อว่าเป็นมังกรในประเทศจีน กระโหลกมีขนาดใหญ่ กระดูกมีโพรงคล้ายนก ลำตัวยาวมาก ที่แน่ชัดอย่างเดียวคือ มันไม่ใช่โครงกระดูกของสัตว์ชนิดใดในโลกที่เรารู้จัก แต่ก็ยังไม่มีใครกล้ายืนยันอะไร  ผมว่าเราคงต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์มาวิเคราะห์ แล้วจับใส่เนื้อใส่หนัง เหมือนที่เขาทำกับไททันโอโบอา เราถึงจะได้เห็นหน้าตาของมันกัน
เรามีบันทึกการพบเห็นมังกรในยุคใหม่ด้วยนะครับ เช่น ในปี 1800 มีคนนับสิบเห็นงูยักษ์ มีปีก มีเขา หัวเหมือนม้า ตัวยาวราว 15 เมตร เลื้อยอยู่กลางอากาศ ไล่จับนกกิน, ในปี 1882 คนนับร้อยในขบวนรถไฟ พูดตรงกันถึงการโจมตีของสัตว์ มีลักษณะเหมือนงูขนาดใหญ่ ความยาวราว 9 เมตร มีปีกเหมือนค้างคาว บินอยู่บนท้องฟ้า, ในจีน ปี 1641 คนราว 350 คน ชาวเมืองชานตง เห็นมังกรทองบินอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการพบเห็นเป็นรายบุคคล หรือการพบเนสซีที่คาดกันว่าเป็นมังกรทะเล .. เป็นไปได้หรือไม่ ที่ผู้คนทั้งหมดนี้จะเกิดอาการอุปาทานหมู่ ในสถานที่และเวลาที่ต่างกัน
เมื่อสิ้นคิด หาซากมังกรมาศึกษาไม่ได้ พวกเขาก็ใช้วิธีรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมังกรทั่วโลก นำมาวิเคราะห์ หาลักษณะทางกายภาพที่แน่นอน สัดส่วนที่แน่นอน และศึกษาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ในความเป็นมังกรที่ชาวโลกรู้จัก .. สุดท้ายเผยแพร่ออกมาเป็นภาพยนตร์ เรื่อง Dragons world, a fantasy made real เป็นรูปแบบของ docufiction คือเรื่องราวในลักษณะของสารคดีปนนิยายน่ะครับ เรื่องราวนำเสนอได้อย่างกินใจ ข้อความสุดท้ายเล่นเอาผมน้ำตาร่วง กับประโยคที่ว่า finally, mother and daughter now reunite. ผมมักจะอ่อนไหวได้ง่ายกับเรื่องสัตว์ๆ ไม่รู้ทำไม ในหนังที่เกี่ยวกับคน มันจะทำให้ผมรู้สึกได้แค่หดหู่ ก็เรารู้จักคนดี และคนมันดราม่า .. ผมไม่เล่าถึงการผูกเรื่องดีกว่า มันจะยาวเกินไป ถ้าคุณสนใจจะดู มันก็จัดเป็นหนังที่สนุกและมีครบทุกอย่าง ตั้งแต่แอคชั่น แอดเวนเจอร์ ไซไฟ ดราม่า ฝรั่งนี่เขาเก่งแฮะ 
จริงๆ แล้ว ก่อนที่คุณจะดู ผมอยากให้คุณดูเบื้องหลังการถ่ายทำเสียก่อน แล้วคุณจะซาบซึ้ง มากขึ้น กับความยากลำบากในการสร้างและการถ่ายทำ ด้วยเวลาที่มากกว่า 3 ปี การทำ research อย่างจริงจัง ทุกอย่างอ้างอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีการพูดขึ้นมาลอยๆ ..
แต่คงต้องอินโทรนิดหน่อย ป้องกันการโดนด่าในการเริ่มเรื่องอย่างไร้ที่มา .. เรื่องเริ่มจากการช่วยเหลือคนปีนเขา ที่ตกลงในปล่องปากถ้ำบนเทือกเขาคาร์เพเทียน โรมาเนีย ตำรวจพบศพแช่แข็งจากศตวรรษ์ที่ 15 และซากสัตว์ที่ไม่เคยพบมาก่อน พวกเขาตั้งแลปชั่วคราวขึ้นในบ้านกลางป่า แล้วขอให้นักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ลอนดอน เข้าไปช่วยตรวจสอบเบื้องต้น ก่อนการขนย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลอนดอนในภายหลัง .. เข้าเรื่องสักทีเว้ย
สิ่งที่พบ เป็นสัตว์เลื้อยคลาน มีรยางค์ 3 คู่ (รยางค์คือ ส่วนที่ยื่นออกมาจากร่างกาย พัฒนาเป็นอวัยวะใช้งาน จะพูดให้มันยากทำไมวะเนี่ย) เท่ากับมี 4 ขา ลักษณะของกล้ามเนื้อมีการใช้งานทุกขา แปลว่ามังกรเดิน 4 เท้า มีกรงเล็บขนาดใหญ่สำหรับการล่า และเป็นอาวุธป้องกันตัว มีหางยาวเกือบเท่าความยาวจากหัวถึงโคนหาง ปลายหางเป็นรูปลูกศร คาดว่าใช้เป็นอาวุธ และช่วยบังคับทิศทางในการบิน
ปีกทั้งสองข้าง มีลักษณะเป็นพังผืดคล้ายปีกค้างคาว แต่การที่สัตว์ใดๆ ก็ตามจะบินได้ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ยกได้ของปีก ความกว้างและความยาวของปีก กับน้ำหนักตัว .. ปีกมังกรตัวที่ว่า ยาวราว 6 เมตร น้ำหนักตัวราว 400 กิโลกรัม โดยประมาณจากขนาดที่เห็น สรุปว่ามีน้ำหนักมากเกินไป ปีกที่มีไม่สามารถยกตัวมันขึ้นจากพื้นได้ .. อ้าว ชิบหายแล้ว (เอามาตรวัดแบบไทยๆ ดีกว่านะครับ พูดเป็นฟุตเป็นปอนด์ ผมยังนึกภาพไม่ค่อยออกเลย)
หัวใจขนาดใหญ่และมี 4 ห้อง มีระบบไหลเวียนโลหิตที่ทรงพลัง สามารถดึงเลือดและออกซิเจนปริมาณมาก ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อทั่วร่างกายได้ในเวลาสั้นๆ และต่อเนื่อง ประมาณว่ามีซุปเปอร์ชาร์จเจอร์อยู่ในตัว เหมือนในนกทั่วไปที่บินได้นั่นแหละครับ แล้วในคนล่ะ คนก็มีหัวใจ 4 ห้อง เรามีพลังซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ด้วยไหม มีนะครับ เวลาโกรธหรือตกใจมากๆ เราถึงจะดึงมาใช้กัน
เลือดวิเศษดื่มแล้วจะทำให้เป็นอมตะ คนแม่มันก็บ้ากันไปเรื่อย ความเป็นไปได้คือ เนื่องจากเชื่อกันว่ามังกรมีวิวัฒนาการมาจากมังกรทะเล จึงเป็นไปได้ว่าเลือดมังกรมีโปรตีนชนิดพิเศษ เหมือนที่มีในปลาทะเลน้ำลึก อันจะช่วยในการป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวจากความเย็น ทำให้สามารถอาศัยอยู่บนเขาสูง ในถ้ำน้ำแข็ง หรือที่ๆ มีสภาพอากาศหนาวเย็นได้ โดยไม่แข็งตาย .. ผมได้ดูสารคดีเกี่ยวกับอาการไฮโปเทอร์เมียเมื่อหลายวันก่อน เมื่ออากาศเย็นมากๆ ร่างกายเราจะสูญเสียความร้อน แล้วเริ่มตัดอวัยวะภายนอกออกจากการส่งเลือดไปเลี้ยง เริ่มจากเส้นเลือดดำที่ปลายมือปลายเท้าปิดตัวลง ความร้อนจะถูกนำไปใช้รักษาอุณหภูมิของสมอง หัวใจ ไต แต่การเคลื่อนไหวไม่ได้ ทำให้ดิ้นรนออกจากสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี โชคดีที่วันนี้เรามียาป้องกันเลือดแข็งตัวสำหรับนักปีนเขาด้วย เปอร์เซนต์การตายจึงลดลง ยาที่ว่า ก็ศึกษามาจากปลาน้ำลึกนั่นแหละครับ
กระดูกมีโพรงอย่างเป็นระเบียบ มันคือรูปแบบของสัตว์ปีก กระดูกชนิดนี้มีความแข็งแรงพอ แต่น้ำหนักเบากว่ากระดูกสัตว์บกมากกว่าครึ่ง ดูเหมือนเจ้ามังกรของเราจะมีน้ำหนักน้อยกว่าที่เห็น แต่ก็เป็นต้นเหตุให้เราไม่เจอฟอสซิลด้วยเหมือนกัน เพราะกระดูกชนิดนี้ย่อยสลายได้เร็ว ถ้าไม่ถูกทับถมอยู่ในโคลนหรือเถ้าภูเขาไฟ แล้วโอกาสที่มังกรจะถูกอะไรถล่มทับตาย มีมากเท่าไหร่ล่ะ
นอกจากปอดแล้ว ยังมีถุงลมขนาดใหญ่อีกด้วย ใช้สำหรับกักเก็บก๊าซไฮโดรเจน อันได้มาจากกระบวนการย่อยอาหาร .. ในกระเพาะอาหารของสัตว์กินเนื้อทุกชนิด จะมีแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ย่อยสลายอาหาร คาดว่าในมังกร คงมีแบคทีเรียชนิดที่สร้างก๊าซโฮโดรเจนขึ้น จากนั้นอวัยวะพิเศษได้ทำการแยกและลำเลียงไปกักเก็บไว้ในถุงลม ก็ในเมื่อปลาไหลไฟฟ้ายังมีอวัยวะพิเศษสำหรับสร้างกระแสไฟฟ้าเลย แล้วทำไมมังกรจะมีบ้างไม่ได้ล่ะครับ
เนื่องจากไฮโดรเจนเบากว่าอากาศมาก (กี่เท่าผมจำไม่ได้แล้วแฮะ) มันจึงถูกใช้เพื่อช่วยเรื่องการลอยตัวในอากาศเป็นหลัก ปีกที่มีจึงมีขนาดที่เพียงพอต่อการยกตัวขึ้นจากพื้น บิน ร่อน บังคับทิศทาง และทำความเร็ว .. ความอ้วนที่เห็น จึงไม่ใช่ความอ้วนจากไขมันหรือกล้ามเนื้อทั้งหมด แต่มีปริมาณของก๊าซที่น้ำหนักเบากว่าอากาศอยู่เกือบจะเป็น 1 ใน 4 ของปริมาตรร่างกาย .. จบปัญหาเรื่องมังกรบินไม่ได้สักที
มาถึงส่วนหัว มังกรมีเขาแหลมด้วยครับ คงไว้ใช้ข่มขู่ศัตรู ใช้เป็นอาวุธ รวมถึงการหาคู่ .. มีฟัน 2 ประเภทคือ ฟันยาวปลายแหลม ที่พบได้ทั่วไปในสัตว์กินเนื้อโบราณ นอกจากนี้ยังมีฟันกรามร่วมด้วย มีพังผืดแข็งแรงปิดด้านบนเพดานปากติดกับช่วงคอ เหมือนที่พบในจรเข้ สิ่งเหล่านี้จะถูกนำมาอธิบายว่า มังกรพ่นไฟได้หรือไม่ อย่างไร ..
ย้อนกลับไปที่ก๊าซไฮโดรเจนในถุงลม มันไวไฟ ติดไฟได้ง่ายและดีกว่ามีเทน ช่องปิดที่เพดานน่าจะทำหน้าที่เป็นวาล์วเปิดปิดในการส่งก๊าซ แต่การที่ไฟจะจุดติดได้ จำเป็นต้องมีประกายไฟ มังกรไม่มีไฟแช็ค ถ้างั้นต้องทำยังไง ..
เขาพบผลึกหินในปากของมังกร จึงสันนิษฐานว่ามังกรคงกินหินด้วย อาจต้องการแร่ธาตุบางอย่างหรือให้ช่วยย่อยอาหาร ในสัตว์บางประเภทเราก็พบว่ามีการกินหินเข้าไปเพื่อช่วยในการย่อยอาหารอยู่เหมือนกัน และฟันกรามคงใช้เพื่องานบดนี้ เหมือนในกระเบนก็มีไว้เพื่อขบเปลือกหอย ผลพลอยได้คือทำให้เศษหินที่เป็นผลึกติดอยู่ที่ฟัน เมื่อต้องการพ่นไฟ ก็เอาฟันกระทบกันให้เกิดประกายไฟ แล้วพ่นก๊าซไฮโดรเจนออกมา จากนั้นความบันเทิงก็เริ่มต้น .. ก็ดูมีเหตุมีผลพอฟังได้ ส่วนวาล์วเปิดปิด นอกจากจะใช้เพื่อควบคุมปริมาณของไฮโดรเจนที่ส่งออกมา แล้วยังมีไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟย้อนกลับลงไปที่ถุงลม แล้วทำให้มังกรของเรากลายร่างเป็นพลุไปเสียเอง .. มีแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งทำได้คล้ายกัน แต่เขาปล่อยกรดบางอย่างออกมาทางก้น เมื่อทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่อุณหภูมิถึง 200 องศาฟาเรนไฮต์
เมื่อเป็นสัตว์ก็ต้องมีการสืบพันธุ์ พวกเขาคาดว่ามังกรออกลูกเป็นไข่ เหมือนนกหรือจรเข้ จากรูปร่างโดยรวมของมังกรที่เราพบเห็น มีแนวโน้มว่ามังกรน่าจะมีเชื้อสายเกี่ยวข้องกับไทโลซอรัส หรือเผ่าพันธุ์ไอ้เข้โบราณนั่นเอง เพราะอย่างนั้น มันจึงควรออกลูกเป็นไข่ และฟักไข่แบบเดียวกับจรเข้ แต่มังกรมีไฟ จึงน่าจะสะดวกกว่าในการจัดการกับอุณหภูมิของไข่ ทฤษฏีคือ การเอาหินล้อมไข่ไว้ พ่นไฟใส่หิน แล้วให้ความร้อนจากหินทำให้ไข่อบอุ่น วิธีนี้จะช่วยให้อุณหภูมิของไข่คงที่อยู่หลายชั่วโมง จากนั้นใช้ลิ้นเป็นเหมือนเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ (ใช้ลิ้นเป็นเซนเซอร์แบบงูและจรเข้) ที่จะต้องไม่ต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียส ไม่เช่นนั้นตัวอ่อนจะเสียชีวิต
มังกรต้องจำศีลด้วย อาจเป็นเหตุผลมาจากการขาดแคลนอาหารในช่วงฤดูหนาว ปัจจุบันเรายังคงพบสัตว์ขนาดใหญ่ต้องจำศีล เช่นหมีเป็นต้น .. ภาวะจำศีลแท้ (มีแบบเทียมด้วยครับ) ร่างกายจะมีอุณหภูมิลดต่ำลงจนเกือบจะเท่ากับอุณหภูมิภายนอก หัวใจเต้นช้ามาก การหายใจจะช้าลง ร่างกายจะอยู่ได้ด้วยไขมันและสารอาหารที่สะสมไว้ก่อนภาวะจำศีล ซึ่งกินเวลาหลายเดือน .. คาดว่ามังกร ถูกคนฆ่าตายในขณะจำศีลเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีการย่อยอาหารในกระเพาะ จึงไม่มีก๊าซไฮโดรเจน ทำให้บินหนีก็ไม่ได้ พ่นไฟก็ไม่ได้ เขี้ยวเล็บที่มี ถ้าเจอหมาหมู่ ก็สู้ไม่ไหว .. คนนี่มันเก่งนะ แมมมอธ ยังล่าได้เลย
สุดท้ายแล้ว เขาเลยสรุปออกมาว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีมังกรอยู่จริง มีความสามารถต่างๆ อย่างที่ผู้คนพบเห็นได้จริง มีทฤษฏีที่รองรับได้ ในแง่ของชีววิทยา พันธุศาสตร์ ฟิสิกส์ หรืออะไรก็ว่าไป เพราะทุกอย่างที่นำมาอธิบายเรื่องคุณสมบัติของมังกร ล้วนมีอยู่แล้วในสัตว์ตามธรรมชาติ
และถ้าจะแบ่งมังกรตามหลักภูมิศาสตร์ ก็แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1. มังกรตะวันออก เช่น มังกรจีน, พญานาคบ้านเรา จะมีลักษณะเหมือนงูขนาดใหญ่ มีขา 4 ขา มีเขี้ยวขนาดใหญ่ มีหนวดยาว มีแผงคอและแผงตามแนวหลังด้วย สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ดำน้ำได้ พ่นไฟได้
2. มังกรตะวันตก เช่น มังกรภูเขา ลักษณะลำตัวจะอ้วนสั้น หัวยาว มีเขี้ยว มีปีกเป็นพังผืดเหมือนค้างคาว หางยาว ปลายหางเหมือนใบหอก มี 4 ขา พ่นไฟได้ บินได้ .. บางตำนาน เราพบมังกรแบบพ่นไอเย็น แต่มันดูเหมือนจะหาอะไรมาอธิบายลักษณะทางกายภาพ ของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบนั้นไม่ได้ ยังอยู่นอกเหนือการทำความเข้าใจ เลยยังไม่มีใครพูดถึง แค่มังกรไฟก็คิดกันหัวแตกแล้ว ผมก็จะไม่พูดถึงเช่นกัน เพราะไม่รู้จะเอาข้อมูลที่ไหนมาพูด ไม่ว่ากันนะ ดีกว่าผมพยายามมั่วให้อ่านกัน เป็นไหนๆ
ถ้าแบ่งมังกรตามทฤษฏีวิวัฒนาการ จะแบ่งได้ 4 ประเภท
1. มังกรทะเล ต้องอ้างอิงกลับไปถึงปรากฏการณ์ KT ที่ทำให้อาหารหายาก เจ้ามังกรนี้เลยหันไปเล่นสัตว์น้ำแทน  (ช่วง KT สัตว์น้ำรอดมาได้เยอะกว่าสัตว์บกหลายเท่าครับ) แล้วเลยปรับสภาพร่างกาย ให้เหมาะสมกับการอยู่ในน้ำได้นานขึ้น สุดท้ายก็อยู่ในน้ำเหมือนปลาไปเลย เช่น ปีกสั้นลงเรื่อยๆ กลายมาเป็นครีบ หางแบนขึ้นคล้ายปลา ช่วยให้บังคับทิศทางและเคลื่อนที่ในน้ำได้ดีขึ้น แต่ถึงจะอยู่ในน้ำ เมื่อโผล่ขึ้นมาก็ยังพ่นไฟได้ครับ
วิวัฒนาการที่ว่านี้ ใช้เวลาเป็นแสนปีนะครับ ไม่ใช่พันปี หมื่นปี .. อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ ใช่ เรามนุษย์มันก็มีอายุเท่ากับแมลงวันแมลงหวี่ ในสายตาของเราน่ะแหละครับ
2. มังกรป่า วิวัฒนาการมาจากมังกรทะเลครับ เมื่ออุณหภูมิของโลกเย็นขึ้น สภาพบนพื้นดินดีขึ้น มีป่าไผ่ (ไผ่เป็นหญ้าชนิดหนึ่งนะครับ ไม่ใช่ต้นไม้) เราก็จะได้มังกรในป่าไผ่ของจีนเป็นที่แรก ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ตัวเรียวยาวขึ้น ผิวหนังเรียบลื่นขึ้น สีของผิวหนังดูคล้ายป่ามากขึ้น ปีกเล็กลง แต่ก็ยังมี พอที่จะช่วยในการร่อนได้ ในระยะสั้นๆ สามารถพ่นไฟได้ และพัฒนาวิธีการเลียนเสียงสัตว์อื่น เพื่อประโยชน์ในการล่า .. แต่ก็ยังมีมังกรอีกส่วนหนึ่ง ที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำต่อไป
3. มังกรทะเลทราย มีลักษณะเหมือนมังกรภูเขาแหละครับ แต่น่าจะมีน้อยมาก จะกินอะไรล่ะ แล้วก็ไม่เห็นมีใครพูดถึงรายละเอียด พูดแต่ว่ามันมี เพราะอย่างนั้นเราจะข้ามไปที่มังกรภูเขาเลยแล้วกันนะครับ
4. มังกรภูเขา ก็ที่ร่ายยาวๆ มานั่นแหละครับ ความจริงคือเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า มังกรภูเขามีวิวัฒนาการมาจากมังกรทะเลจริงหรือเปล่า หรือว่ามันอยู่บนบกมาตลอด มันมีความเป็นไปได้ทั้งสองทาง .. ภาพที่โด่งดังภาพหนึ่ง เป็นภาพ stained glass ทำด้วยกระจกสีน่ะครับ (มักจะพบได้ในโบสถ์คริสต์) ภาพนี้มาจากช่วคริสตศตวรรษที่ 15 มีชื่อว่า “ปีศาจแห่งยอดเขาสูง” .. คลาสสิคแฮะ
จากหลักฐานทั้งหมด สรุปได้คร่าวๆ ว่า มังกรถูกล่าอย่างหนักในช่วงคริสตศตวรรตที่ 15 อันเนื่องมาจาก การบุกรุกพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า การทำปศุสัตว์ .. ทำให้มังกรไม่อาจล่าสัตว์ป่าเป็นอาหารได้ตามปกติ เมื่อหิวก็ต้องเล่นปศุสัตว์ เลยโดนคนล่ากลับ กลายมาเป็นตำนานวีรบุรุษล่ามังกร ฆ่ามังกรได้จะเก่ง ผู้คนกราบไหว้บูชา .. ผมไม่คิดว่ามังกรเป็นเทพเจ้า แต่มองว่ามังกรเป็นสัตว์ การล่าเป็นไปตามสัญชาติญาณธรรมชาติ ต้องกินเมื่อจะอดตาย และต้องตายเพราะมาขโมยสัตว์ของเขา .. คน .. ที่ทำให้มังกรไม่มีที่ทำกิน ไม่มีทางเลือก แล้วใครเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ล่ะ .. ไอ้เรื่องมังกรบุกทำร้ายผู้คน ผมว่ามันเป็นเรื่องตอแหลว่ะ มันไม่มีมูลเหตุ ไม่มีแรงจูงใจ
คน มันพาลและเห็นแก่ตัว .. สัตว์กินแค่อิ่ม เรากินจนเกินพอ ยกตัวอย่างเล่นๆ เรื่องที่รู้แล้วกวนใจ บางคนที่เลี้ยงปลา มีบ่อปลาน่ะ เจอเหี้ย เจอนก ลงบ่อปลา ก็ฆ่ามัน ที่บ้านผมมีนกกระยาง 2-3 ตัว มีนกปากห่าง นกกินปลาสีสวย มีเหี้ยอีก 3 ตัว ก็ไม่เห็นว่าปลามันจะหายไปไหน แบ่งกันกินบ้างก็ได้ .. เหี้ย 1 ตัว คุณคิดว่ามันจะกินปลาได้วันละกี่ตัว แล้วมังกรหนึ่งตัวจะกินแกะได้วันละกี่ตัว ผมคิดว่ามันก็เหมือนสัตว์ใหญ่กินเนื้อทั่วไป กินครั้งหนึ่งก็อยู่ไปได้หลายวัน ไปฆ่ามันเสียสูญพันธุ์ ไอ้พวกฮีโร่ขี้หมาเอ๊ย
เรื่องจริงคือ .. ตลอดชีวิตของคนเรา เราไม่จำเป็นต้องฆ่าสัตว์สักตัว ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์สักชิ้น เราก็มีชีวิตอยู่ได้สบายๆ มนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ (แต่เรามีฟันตัดว่ะ ไว้จะหาพวกหมอมาอธิบายละกันครับ) ถึงเราจะต้องการโปรตีน มันก็ยังมีอยู่ในอาหารประเภทอื่นที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ การกินเนื้อสัตว์ของเรา สร้างปัญหามากกว่าจะสร้างผลดีให้กับร่างกาย ลองดูคนที่กินมังสวิรัติหรือชีวจิต พวกเขาสุขภาพดี แข็งแรง อายุยืน ลองตั้งคำถามว่า ทำไม
เนื้อสัตว์ให้พลังงานมากกว่าถั่วหรือนมหรือไข่ และทำให้อิ่มนานกว่าก็จริง แต่นอกจากโปรตีนแล้ว เรายังได้คอเลสเตอรอลปริมาณมหาศาลมาด้วย ที่จะต้องมานั่งออกกำลังเพื่อขนมันออกไป หรือไม่ก็จะได้มีโอกาสเส้นเลือดอุดตันตายเข้าสักวัน แล้วเราใช้พลังงานเท่าไหร่กันใน 1 วัน .. สำหรับนักกีฬา ชาย 1800 กิโลแคลลอรี่ หญิง 1500 .. คนที่ทำงานนั่งโต๊ะจนก้นบาน วันละ 8-9 ชั่วโมง ทำงานบ้านนิดหน่อย เดินรวมๆ แล้วสักวันละ 1-2 กม. ผู้ชายใช้ 1400 หญิง 1100 ที่เหลือเอาไปไว้ไหนกันล่ะครับ ตอนกินเคยลองนึกเล่นๆ กันรึเปล่าว่า ข้าว 2 ทัพพี = มาม่า 1 ห่อ = ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น ให้พลังงาน 240 กิโลแคลลอรีเข้าไปแล้ว เอาเถอะ ตัวใครตัวมันครับ .
อ้าวเฮ้ย .. เริ่มจากเรื่องมังกร ทำไมมาเรื่องสุขภาพได้ล่ะนี่ ...... กลับมาเรื่องมังกรกันต่อดีกว่า มันยังไม่จบง่ายๆ หรอกครับ
เริ่มกันด้วยกายวิภาคศาสตร์ของมังกรกันก่อนดีกว่า เห็นไหมว่าฝรั่งเขาจริงจัง



มังกรภูเขาครับ หน้าตาควรเป็นเช่นนี้ แต่สีอาจไม่ใช่ นี่สวยถูกใจผมที่สุดแล้วครับ แต่ยังดูมีความเป็นธรรมชาติอยู่



มังกรน้ำแข็ง ก็คงจะหน้าตาแบบนี้ครับ

มังกรจีน มีภาพให้เห็นไปทั่ว ดูกันจนเอียนน่ะแหละครับ แต่รูปสไตล์โบราณแบบนี้ คงไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก
มังกรสุเมเรียน

มังกรแอชแทกซ์
มังกรอียิปต์

เนสซี ที่คาดว่าน่าจะเป็นมังกรทะเลอีกชนิดหนึ่ง

เลเวียธาน อีกประเภทของมังกรครับ

ไฮดรา ก็เป็นมังกรอีกประเภทเช่นกัน มีหัวเยอะด้วยครับ

ไทแมต มังกร 5 หัวครับ
ไวเวิรน์ เหมือนมังกรภูเขา แต่มีแค่ 2 ขา

ยอมรับกันเถอะน่าว่ามันสวย และน่าหลงไหล .. ผมอยากเห็นมันบินว่อนอยู่บนท้องฟ้าจัง

12 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

อ่านแล้วประทับใจครับ มังกรว่าหายากแล้ว คนเขียนผมก็ว่าหายากนะ เรามันคนมีจินตนาการเหมือนกันครับ ไอสไตน์ยังบอดเลย จินตนาการสำคัญที่สุด ผมว่าผมเข้าใจคำพูดนี้แล้วครับ สูต่อไปครับ เป็นดำลังใจให้ ผมขอแนะนำนิยายดีๆสักเรื่งนะครับ pangea online ลองอ่านดูตรับ ผมว่า นิยายนี้มันใช่นะ 55 ค้นหาความจริงต่อไปนะครับ สารคดีมังดรข้างบนผมดูมาตังแตร ป1 ครับ ผมก็เชื่อว่นมีงกรมีจริงครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ประทับใจมากเลยค่ะพอดีเป็นคนชอบเรื่องพวกนี้แต่ไม่ค่อยรู้ข้อมูลเลยค่ะเลยลองหาดูขอบคุณสำหรับข้อมูลน่ะค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณเรื่องราวค่ะ ... พอดีเห็นในภาพข่าว BBC สัตว์มีลักษณะคล้ายมังกรนะคะ พบในถ้ำแห่งหนึ่ง ดูภาพและรายละเอียดใน Link ค่ะ ^^
http://www.bbc.com/travel/story/20150714-where-the-human-fish-lurks

victor phichaisrisawad กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ ทุกท่าน

Unknown กล่าวว่า...

ผิดพลาดเล็กหน่อยคับมังกรน้ำเเข็งไม่มีจริงเพราะมังกรมีเเค่ถุงเก็บเเก๊สกำเนิดไฟได้เท่านั้นไม่สามารถเก็บเเก๊สสร้างความเย็นได้ไม่เช่นนั้นมังกรอาจจะตายก็ได้

victor phichaisrisawad กล่าวว่า...

ขอบคุณครับคุณ Araya Shelbe ที่ช่วยแนะนำ แก้ไข

Unknown กล่าวว่า...

ค่ะเเฟนหนูบ้ามังกรมากจนติดตามสารคดีมังกรทุกอย่างการค้นพบทุกที่เลยติดมันมาเล็กๆน้อยๆค่ะ

Unknown กล่าวว่า...

เว็บอ้างอิงhttp://m.youtube.com/watch?v=eWk1E4e45j8 มังกรไวเวิลน์มี2สายพันธ์ครับแบบทั่วไปและแบบ2ขาหลัง. มังกรจีนที่พบเป็นมังกรไผ่ มังกรมีโอกาสรอดจากอุกาบาต70%เพราะบรรพบุรุษของมังกรอยุ่ในน้ำครับ. ผมอายุ13ผู้หลงไหลในมังกรครับ

Unknown กล่าวว่า...

จริงครับ. ถุงที่คุณบอกไม่ใช่ถุงไฟอย่างเดียวมันเรียกว่า “ถุงบินครับ”

Unknown กล่าวว่า...

หนังสือ Dragonology เคยอ่านล้ะ สนุกดีครับ
เนื้อมังกรอร่อยรึเปล่า

Unknown กล่าวว่า...

เพจรวบรวมข้อมูล รูปภาพและอื่นๆที่เกี่ยวกับมังกรครับ
https://www.facebook.com/KetoDrago/

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เคยคิดนะว่ามันก็สัตว์ชนิด1นะแต่ก็คิดๆอยู่ว่าไอ้การที่ไม่เจอฟอสซิลนี่จะอธิบายยังไงแต่เจอบทความนี้ไปต่อได้เลยแฮะ