ผมมีโรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่งมาให้ลองพิจารณากันดูเป็นกรณีศึกษานะครับ
อาจเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกของท่าน .. ผมจองโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งไว้แล้ว
แต่รอภาคการศึกษาเต็มๆ
เลยให้เค้าลองไปเตรียมอนุบาลเพื่อให้เค้าเรียนรู้เรื่องหน้าที่ของการไปเรียน
การต้องห่างแม่ ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบโรงเรียน
พอเข้าอนุบาลจะได้พร้อมที่จะเรียนรู้ได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวอีก
ค่าเล่าเรียนของที่นี่
ผมเลือกจ่ายเป็นรายเดือนเพราะไม่แน่ใจว่าดีจริงไหม ตกเดือนละประมาณ 5500 บาท
ค่าแรกเข้าหกพันกว่าบาท (เป็นค่าชุด ผ้ากันเปื้อน ค่ากระเป๋า) รับเด็กเวลา 8.00-15.00
ถ้าไปก่อนหรือมารับหลังเวลาจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คุณพ่อคุณแม่แอบดูลูกได้
ผ่านช่องกระจกบานเล็กๆ ถ้าดูนานเกิน 2-3 นาที
คุณครูก็จะเดินมามองหน้าลักษณะกดดันให้ไป ไม่ให้เห็นวิธีการปฏิบัติกับเด็ก
ซึ่งช่องนี้เด็กไม่สามารถสังเกตเห็นผู้ปกครองได้
พอลูกเริ่มไปเรียน
ผมก็ต้องเริ่มแปลกใจว่า เอ..ลูกเราเค้าก็รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ใช้เหตุผลคุยกันได้
ทำไมพอกลับจากโรงเรียนมีอาการพูดไม่รู้เรื่อง ไม่มีเหตุผล มีความก้าวร้าว
ต่อต้านโดยไม่มีสาเหตุ ต้องใช้เวลาปรับกันเป็นชั่วโมงถึงกลับมาเป็นคนเดิม
เป็นอย่างนี้ทุกวัน .. ลูกเราเปลี่ยนไป .. ผมก็ไม่เข้าใจทั้งๆ
ที่ผมเป็นคนอ่านตำราเลี้ยงลูก พวกหนังสือวิธีเลี้ยงลูก
จิตวิทยาเด็กที่เขียนโดยนักจิตวิทยาเด็กหลายสิบเล่มมาตั้งแต่ก่อนลูกจะเกิด
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดที่ผ่านการวิจัยมาแล้วกับเด็กทั่วโลก
ผลก็เป็นที่น่าพอใจ และผมยอมรับไม่ได้ที่อยู่ๆ
ลูกจะมีพฤติกรรมด้านลบโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ที่บ้านก็เหมือนเดิมนี่นา
ผมโทรไปคุยกับคุณครูที่โรงเรียนก็ได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจน
โดยอ้างใบสัญญาตอนมอบตัวเด็กว่า ผู้ปกครองต้องยอมรับได้ว่า เด็กที่มาอยู่ใหม่อาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในช่วงสัปดาห์แรกๆ
เช่น งอแง อ้อน เป็นหวัด ไม่บอกเมื่อขับถ่าย
ซึ่งเป็นพฤติกรรมชั่วคราวอันเป็นธรรมชาติช่วงปรับตัว
โชคดีว่าผมมีญาติที่จบปริญญาโททางด้านจิตวิทยาและเป็นผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลมีชื่อแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
ผมเล่าให้ท่านฟังและขอให้ท่านช่วยวิเคราะห์สาเหตุ
มันก็คล้ายการทดสอบทางจิตวิทยาที่ใช้กับผู้ใหญ่เพียงแต่เด็กตอบสนองอย่างซื่อๆ
สรุปว่าลูกผมเจอคุณครูประเภทใช้คำสั่งบังคับ ไม่ใช่การจูงใจ
มันง่ายแต่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการปฎิบัติกับเด็ก มันเป็นการสร้างความเครียด
ทำให้เด็กเก็บกด เด็กจะทำอะไรไม่ได้แล้วเก็บมาระบายออกที่บ้าน
ท่านลองสังเกตุความเปลี่ยนแปลงของลูกท่านให้ดี
ผมยังให้ลูกไปเรียนเพื่อให้เค้าเรียนรู้เรื่องความอดทน เราคิดว่าจะลองดูไปก่อน
แต่เค้าไม่เคยเล่าเรื่องที่โรงเรียนแปลว่าเค้าไม่มีความสุขกับการไป แต่ไปเพราะรู้ว่ามันคือหน้าที่ของเด็ก
วันนึงคุณแม่เค้าไปรับก่อนเวลาเลยรู้ว่าคุณครูเปลี่ยนชื่อให้ลูกเราด้วย
แล้วเด็กจะสับสน สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไหม ผมไปคุยกับคุณครู
ได้รับคำตอบว่าชื่อที่คุณครูเอามาใช้เรียกลูกผม”มันน่ารักดี” มันก็น่าคิด ถึงวุฒิภาวะของคนเป็นครู ทำไมคิดอะไรหยาบๆ แบบนี้
เราตั้งใจตั้งชื่อเรียกให้ลูกไม่ใช่เรียกอะไรก็ได้
ถึงจะไม่ให้เกียรติเด็กก็ควรจะให้เกียรติพ่อแม่เด็กบ้าง แล้วยังมีวิธีหาเงินแปลกๆ
คือจัดให้มีการแสดงของเด็ก แล้วมีจดหมายแจ้งผู้ปกครองทำนองว่าจะเข้ามาดูก็ได้
แต่ท่านอาจเป็นต้นเหตุให้ครูควบคุมเด็กไม่ได้ ไม่ควรเข้ามาดูให้รอซื้อ DVD ที่ทางโรงเรียนจัดทำไว้ขายให้ทีหลัง อ้าวก็เราไม่ได้อยากดูลูกคนอื่นนี่
เขาว่าเน้นความสนุกเท่านั้น
ปกติการแสดงของเด็กก็เพื่อให้เด็กกล้าแสดงออกด้วยไม่ใช่เหรอ นี่มันตั้งใจขายชุดกับ
DVD ชัดๆ หลังจากงานนี้ทางโรงเรียนยังชักจูงว่า จะมีงานวันเด็ก
และงานกีฬาสี ต่ออีกซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกัน
ก็เป็นกรณีศึกษาที่ผมเจอมาเอง
พอผมให้ลูกเลิกไปเรียนหลังจากทนดูมา 2-3
เดือนแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นและมีแนวโน้มว่าจะแย่ลง
เค้าก็กลับมาเป็นเด็กมีเหตุผลโดยไม่ต้องมานั่งปรับกันหลังเลิกเรียนอีก ไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
ลูกเราทั้งคน ถือเป็นความเสียหายรุนแรง เด็กที่อยู่ในช่วงของการเรียนรู้ จดจำ
เชื่อมโยง วิเคราะห์ ถ้าเค้าต้องเรียนรู้ในสิ่งผิดๆ มันจะติดตัวเค้าไปจนโต
เป็นเรื่องน่ากลัว
.. เรื่องนี้ ผมเขียนจากการพูดคุยกับน้องชายหลายชั่วโมง ถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น