While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พฤติกรรมยามถูกด่า


พอดีเพิ่งโดนด่ามาติดๆ กัน 2 วัน เลยได้มีโอกาส พิจารณาอาการ เมื่อโดนคนอื่นด่า อย่างจริงจัง วันนี้ผมอยากจะยกประเด็นของอาการ ด่า สำหรับคนด่า และคนโดนด่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในห้วงความคิดของแต่ละฝ่ายกันแน่ ..
แล้วมันจำเป็นตรงไหน ผมว่าจำเป็นนะ .. มันจะทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้น ถ้าเราเข้าใจว่าทำไมเขาต้องด่า เราก็จะไม่โกรธคนด่ามากนัก เวลาที่เราถูกด่า .. เราจะมีความเห็นอกเห็นใจคนถูกด่า เวลาเราด่าเขา และถ้ามันไม่ด่า ไม่ได้ เราอาจลดความรุนแรงลงได้บ้าง .. เพราะเราอาจตั้งคำถามกับตัวเองได้ก่อนว่า ไอ้การที่เราแค่ต้องการระบายความอัดอั้นตันใจของเราออกมา เราถึงกับต้องไปทำร้ายจิตใจคนอื่นเลยเหรอ ซึ่งบางทีอาจจะเกินเลยไปถึงการทำร้ายร่างกายกัน .. มันยังจะสามารถพูดจากันดีๆ ได้อยู่หรือเปล่า ..
เป็นเรื่องธรรมดาของ คนธรรมดา .. ที่จะรู้สึกพอใจ เมื่อสามารถควบคุมอะไรได้ ได้แสดงอำนาจเหนือกว่า ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของตัวเอง ราบรื่น สวยงาม .. ลองนึกกันดูดีๆ เถอะครับ เป็นกันทุกคนนั่นแหละ เพียงแต่คุณกล้ายอมรับไหมว่า คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ .. ถ้างั้นอะไร ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจล่ะ ก็คงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน เช่น การสูญเสียการควบคุม การตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่น การถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม เรื่องมันไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ..
ทั้งหมดนี่ผูกเข้ากับเรื่องๆ เดียว .. อัตตา / ตัวตน / ego ..รือใครจะใช้คำห่าเหวอะไรมาเรียกก็ตามแต่ แล้วเราอยากจะเอา ego ที่เป็นตัวปัญหาออกไปบ้างไหม ..  เรื่อง .. มันเกิด เพราะมีการกระทบตัวตนกัน ก็เท่านั้น
อีโก้ .. เขาว่ามีมากไปก็ทำร้ายตัวเองได้ง่ายขึ้น กลายเป็นคนที่แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ ฆ่ากันตายเพราะสิ่งสมมุติก็เยอะ .. มีน้อยไปก็ไม่งาม กลายเป็นคนไร้ศักดิ์ศรี .. แต่สำหรับบางคน บางเวลา ก็เลือกที่จะไร้ศักดิ์ศรีเพื่อประโยชน์อะไรบางอย่าง อันนี้ก็แล้วแต่ความคุ้มค่านะครับ .. แต่ที่แน่ๆ เราคงต้องการความพอดี ซึ่งคำว่าพอดีสำหรับแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน  แล้วจะวัดด้วยอะไร ก็วัดด้วยตัวเองน่ะแหละครับ ว่ามันชักจะเริ่มเกินเลยจากพฤติกรรมอันดีงามอันเป็นมาตรฐานที่สังคมยอมรับกันไปแล้วหรือยัง
เวลาโดนด่า คุณรู้สึกยังไงกันเหรอ .. อาการด่า มักมีแรงขับเคลื่อนมาจากเรื่องพื้นๆ เช่น ความขัดแย้งกับบุคคลอื่น, การสร้างความไม่พอใจให้กับบุคคลอื่น อาจโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่ เป็นผลให้เกิดความต้องการระบายความอัดอั้นตันใจออกมา ด้วยการด่านำไปก่อน มันเลยเป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ และพบเห็นได้ทั่วไป .. ซึ่งหากการด่า ยังไม่สามารถทำให้ผู้ด่าพึงพอใจได้ หรือมีการโต้ตอบ มันก็จะนำไปสู่การกระทำที่รุนแรงกว่า .. ซึ่งแต่ละฝ่ายจะแสดงออกถึงสันดานดิบในการปกป้องตัวเองออกมา ตั้งแต่การด่าโน่นแล้วแหละ
วิธีพื้นฐานทางจิตวิทยาที่จะทำให้สถานการณ์คลี่คลาย ก็แค่ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพอใจ หากเราบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการแล้ว .. มันคือการเอาทฤษฏีด้านการสงครามเมื่อ 2-3 พันปีก่อนมาใช้ (ซึ่งทุกวันนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกแล้วนะคุณ) ทำให้ฝ่ายตรงข้ามทะยานใจและคิดว่าตัวเองชนะ เพียงแต่ การคิดว่าชนะ อยู่ที่ใครคิด - ใครได้ประโยชน์จากงานนี้ .. ซึ่งบางทีคนที่คิดว่าชนะกับคนได้ประโยชน์ อาจเป็นคนละฝ่ายกันก็ได้ และนี่คือสถานการณ์แบบชนะทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง
การด่ามีกี่แบบ ผมจะเอามาพูดเท่าที่ผมคิดออกตอนนี้แล้วกันนะครับ มันก็คงเป็นทั้งหมดที่ผมเคยเจอมาในชีวิต ทั้งแบบที่ผมเคยใช้กับคนอื่น และแบบที่เคยถูกคนอื่นเอามาใช้กับผมนั่นแหละครับ ชีวิตจริงมันยิ่งกว่านิยายเยอะครับ .. ไอ้ที่แป๋นแหลนกันอยู่ในทีวี มีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้นะ .. แต่ยอมรับกันเสียดีๆ เถอะว่า มนุษย์มีความโปรดปรานความรุนแรงอยู่ในสันดานทั้งสิ้น .. เอาล่ะ มาดูวิธีด่ากันดีกว่าครับ เผื่อคุณจะเจอที่ถูกใจ เอาไปใช้สักวิธี
แบบแรก .. ด่ากระทบ ด่าลอยๆ อาศัยอากาศพาเสียงไป ไม่ระบุตัวผู้รับ .. อันนี้จะเป็นแบบนุ่มๆ สบายๆ ค่อนขอด กระแนะกระแหน กระทบกระแทกแดกดันไปเรื่อย เหมือนหมาเห่าใบตองแห้ง อาจเนื่องมาจาก ยังไม่อยากปะทะตรงๆ, ไม่อยากมีเรื่องรุนแรง, ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไปด่าตรงๆ, แค่นี้ก็พอใจแล้ว ได้ระบายนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี .. วันละนิดวันละหน่อย เดี๋ยวก็หมดเอง
ด่าพ่อล่อแม่ อันนี้ผมว่า คนด่าน่าจะพร้อมที่จะใช้กำลังแล้วนะครับ ถ้านึกสนุกด้วย ได้ลองกันสักตั้งก็คงดี หนังจีนบอกว่า ไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จัก .. ผมเคยมีเรื่องกับเพื่อนคนหนึ่งตอนอยู่มัธยมต้น เรื่องอะไรจำไม่ได้แล้วครับ แต่จำประโยคที่ทำให้ต้องปิดห้องเรียนต่อยกันหลังเลิกเรียนได้ เขาบอกว่า มึงไม่แน่จริงนี่หว่า แค่นี้แหละครับ ได้ต่อยกันปากแตกแล้วล่ะ พอผ่านไปไม่กี่วันก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิท แต่กรณีแบบนี้คงมีไม่มากนักหรอกครับ ผมจัดว่าโชคดีที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตอนอายุยังน้อย เท่านั้นเอง
ด่าอย่างสุภาพชน เช่น ตื้นเขิน ต้องแก้ไขใช่ไหม ทำไมไม่ทำ(สิ่งที่ควรทำเดี๋ยวนี้) ทำไมทำแบบนี้ เป็นรูปแบบของการด่าแบบสุภาพ ให้คิดเอาเอง รู้สึกผิดและแก้ไขเอง แต่กับบางคนก็อาจใช้ไม่ได้ผล ..
ด่าแบบให้เกียรติกัน เป็นรูปแบบของการหลอกล่อมั๊งครับ อันนี้ผมได้ใช้กับคนอื่นค่อนข้างบ่อย และใช้ได้ผลพอสมควร .. เป็นการด่าไปชมไป ประมาณว่าคุณสูงส่งนะ ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ คุณทำได้ดีกว่านี้น่า ผู้ถูกด่าอาจไม่ทันคิดว่าถูกด่าก็ได้ เพราะมัวแต่อีโก้ขึ้นพรวดๆ อยู่ แต่เขาก็จะลดท่าทีที่แข็งกร้าวลง และจบลงด้วยการพูดคุยกันได้ด้วยเหตุผลดีๆ
ด่าแบบมีเหตุผล จริงๆ แล้วมันก็คือการเอาเหตุผลมาคุยกันนั้นแหละครับ แต่อาจมีความรุนแรง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับรู้ถึงความต้องการในตอนแรก มันจึงต้องกลายเป็นความพยายามทำให้อีกฝ่าย ยอมรับในเหตุผลที่มีให้ได้ เป็นเรื่องที่ต้องลงแรง แต่ถ้าทำยังไงก็ไม่ฟัง หรือคนๆ นั้นอยู่นอกเหนือเหตุผลใดๆ ก็ลืมๆ เขาไปเถอะครับ นอกเสียจากสิ่งที่คุณต้องการจากเขามันจำเป็นจริงๆ และทำเป็นลืมเสียไม่ได้ ก็จงพยายามต่อไป โดยคุณอาจต้องใช้วิธีการอื่นร่วมด้วยเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการจูงใจ การข่มขู่คุกคาม ในที่นี้ผมหมายถึงการชี้ให้เห็นถึงผลได้ผลเสียจากการกระทำน่ะนะครับ ไม่ใช่ขู่ว่าจะไปดักตีดักยิงอะไรอย่างนั้น
ด่าแบบดูถูกดูแคลน มักจะถูกใช้โดยบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่าผู้ถูกด่า ประมาณว่า คุณเป็นอย่างนี้คุณก็คิดได้แค่นี้แหละ หรือคุณเป็นใครผมเป็นใคร เป็นการใช้ยศศักดิ์มาข่ม แสดงอาการยกตนข่มท่าน ดูถูกคน โดยอาจลืมคำว่าหัวโขน หรือคุณค่าของความเป็นคนไป เป็นรูปแบบของการข่มเหงรังแก ทำร้ายจิตใจ ทำให้ผู้ถูกด่ารู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า รูปแบบนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ผู้ด่าจะได้อารมณ์เดียวคือ ภาคภูมิใจในความสูงส่งของตัวเอง ส่วนผู้ถูกด่าจะได้หลายอารมณ์ครับ เช่นคิดว่า ฉันนี้ถูกกดจนแสนต่ำต้อย ฉันโดนดูถูกเหยียดหยาม อันนี้เป็นด้านลบครับ ด้านบวกก็มีนะ แต่ด้านลบอาจจะมาบังตาเสียหมด เวลาของขึ้น .. คือ เราจะได้ถูกถอดถอนอีโก้ออกไปบ้าง ซึ่งมันคือตัวการใหญ่ที่ทำให้ของขึ้นนั่นหล่ะ .. จะได้รู้ว่า เวลาที่เราต้องรู้สึกว่าเราต่ำต้อยด้อยค่า มันเป็นยังไง  และเราจะได้ไม่เอาไปใช้กับคนอื่น ได้ดูอารมณ์ด้านมืดที่พุ่งขึ้นมา .. มันเป็นโอกาสที่หายากจริงๆ นะครับ ทั้งชีวิตผมก็เจอคนใหญ่คนโตมาก็มาก แต่มีแค่ 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา ส่วนใหญ่แล้วยิ่งใหญ่โตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสุภาพอ่อนน้อมมากเท่านั้น ถ้าคุณเจอสภาพแบบนี้ คนรอบข้างจะมองว่าคุณเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร ส่วนคนด่าจะเสียภาพพจน์ไปเอง เพราะในสังคมไม่มีใครยอมรับคนที่ดูถูกคนหรอกครับ แม้แต่กษัตริย์ยังไม่ทำเลย ทรงอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก .. ถ้าคุณเป็นผู้ถูกด่าในกรณีนี้ ก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรมากนัก เอาประโยชน์จากสถานการณ์ดีกว่า ว่ามันสอนอะไรเราได้บ้าง
ด่าปกปิดความผิด มักจะเกิดในกรณีที่มีความผิดร่วมกับผู้อื่น พฤติกรรมนี้ค่อนข้างจะน่ารังเกียจพอๆ กับการดูถูกคนแหละครับ ส่วนมากมักจะเริ่มจากการใช้เสียงดัง แสดงท่าทีก้าวร้าวให้ดูน่าเกรงขาม เพื่อให้อีกฝ่ายงงไปก่อน จากนั้นก็โยนความผิดให้รับไปทั้งหมด หรืออาจเป็นการทำให้ความผิดของคนหนึ่งดูเป็นเรื่องเล็กน้อย และเอาความผิดของอีกคนมาขยายให้เป็นเรื่องใหญ่โต .. จัดเป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมและน่าละอาย จึงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่กล้าพอที่จะทำ แต่ก็ยังพอมีให้เห็นบ้าง .. หากคุณคิดจะทำอะไรเช่นนี้ ผมว่าอย่าทำเลยครับ มันไม่แฟร์ ที่จะเอาความผิดพลาดของตัวเองไปโยนให้คนอื่น เป็นการเอาตัวรอดที่น่าสมเพช คนเราเมื่อกล้าทำต้องกล้ารับ เกิดเป็นคนมันทำเรื่องผิดพลาดกันได้ คนที่ไม่เคยผิดพลาดคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่มีใครประนามคนที่กล้ายอมรับความผิดพลาดของตัวเองหรอกครับ เขาจะสรรเสริญต่างหาก ว่าคุณมีความเป็นลูกผู้ชาย/ลูกผู้หญิงเต็มตัว .. แต่ถ้าคุณตกเป็นเหยื่อในกรณีนี้และจำเป็นต้องรับเอา ไม่ว่าจะโดยเสน่หาหรืออะไรก็ตามแต่ ให้ถือเสียว่าทำบุญทำทานไปก็แล้วกัน คนด่าอาจรู้สึกดีและมีความสุขกับการได้ทำสิ่งเลวๆ ก็ได้นะ แต่สังคมเขาก็ไม่ได้โง่จนดูไม่ออกหรอกครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น .. ในกรณีที่คุณไม่ได้รักเขาจนยอมตายแทนได้ หรือไม่มีผลที่จะตามมาอันเกิดจากการใช้อำนาจในทางไม่ชอบ คุณก็ควรแยกประเด็นให้เขาเข้าใจว่า เขาควรรับผิดชอบในส่วนของเขาด้วยนะ ผิดไม่เอาจะเอาแต่ชอบ แล้วเอาขี้มาโยนให้คนอื่น มันเหมือนการเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น ทำแบบนี้ไม่สมควรนะ
ด่าแล้วเข้าตัว อันนี้ขำๆ ครับ คือไม่ดูก่อนว่า สิ่งที่เอามาด่าคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่หรือทำอยู่ คนฟังอาจไม่พูดอะไร แต่จะค่อนข้างตลกว่า ทำไมมึงไม่ดูตัวเองบ้างวะเนี่ย .. อันนี้เป็นเรื่องต้องห้ามครับ ถ้าไม่อยากเป็นตัวตลกก็อย่าทำ หรือถ้าไม่อายตัวเองก็ทำเถอะครับ
ด่าเพื่อให้พัฒนาตัวเอง อันนี้เป็นความหวังดีนะ .. ส่วนมากจะมาจากญาติสนิท มิตรสหาย ครูบาอาจารย์ หรือคนที่รักใคร่นับถือกัน ต้องการเห็นเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อาจเป็นแบบนุ่มนวลอ่อนโยน อาจรุนแรงเร้าใจ อาจเป็นการสร้างสถานการณ์กดดัน หรืออาจเป็นการทดสอบอะไรเราบางอย่าง เพื่อให้บทเรียนเราบางเรื่อง ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการของผู้ด่า แต่นี่เป็นการด่าที่ให้ประโยชน์ ถ้าเขาไม่รัก ไม่หวังดี เขาคงไม่กล้าเสี่ยง ที่จะสะท้อนตัวเราให้เราได้รู้ ได้พิจารณา เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมบางอย่างให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งมันจะดีต่อตัวเราเองน่ะแหละ เพราะอย่างนั้นเมื่อโดนด่า อย่าเพิ่งโกรธครับ ลองฟังทั้งหมดก่อน แล้วหาให้เจอว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อสารอะไรกับเรา
ผมเคยถูกบอกว่า ความคิดแคบ สะอึกเลยครับ .. แต่มันก็ทำให้เรากลับมาดูตัวเองว่า เราคิดแบบแคบๆ ที่ตรงไหน มีตรงไหนไหมที่เราจะทำให้มันกว้างขึ้นได้อีก เราต้องเปิดมุมมองของตัวเองในรูปแบบของจิตวิทยามวลชนเลยไหม แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไรกับการไปศึกษาเรื่องแบบนั้นรึเปล่า มันจะกลายเป็นขี่ช้างไปจับกบไหม .. กบและตั๊กแตนกระโดดได้เหมือนกัน แต่กบดูเหมือนจะจับได้ง่ายกว่า เพราะตัวใหญ่กว่า คุณว่าไหม ... บางทีมันก็แค่ การให้ความสำคัญกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่างกัน มันอาจเป็นความคิดเห็น มุมมอง และการตีกรอบให้กับเรื่องแต่ละเรื่องต่างกัน เท่านั้นหรือเปล่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของคนที่มีที่มาไม่เหมือนกัน อาจไม่ต้องใช้คำพูดที่รุนแรงขนาดนั้นก็ได้ เพราะการบอกว่าคนอื่นด้อยความคิด ค่อนข้างจะเป็นการทำลายอีโก้กันเลยทีเดียว .. มันอาจจริง แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันรุนแรงเกินไปอยู่ดี แต่เขาคงกำลังสอนอะไรบางอย่างให้ผมอยู่ ผมเชื่ออย่างนั้น .. และผมต้องทบทวนเรื่องความคิดเสียใหม่
อุปนิสัยในการด่าของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ เรื่อง สภาพแวดล้อม พื้นฐานทางความคิด และการควบคุมตัวเองของบุคคลนั้นๆ นั่นแหละ ทีนี้ ถ้าการระบายบางอย่างออกมามันง่ายๆ เหมือนการหายใจออกหรือตดสักครั้ง มันก็คงดีเนอะ แล้วทำไมเราไม่ลองทำกันดูล่ะครับ นี่ผมพูดจริงนะ เผื่อว่าทำกันได้ เราก็จะเสียเวลาหงุดหงิดกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วน้อยลง โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนัก และยังไม่ต้องสร้างความรู้สึกเลวร้ายให้เกิดขึ้นระหว่างกันด้วย .. ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ ก็อย่าด่ากันเลยครับ มันเหมือนตักน้ำรดหัวตอ หาประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ คุยกันดีๆ เถอะครับ จะได้ไม่มีเรื่องให้ต้องแค้นเคืองใจกัน
และ โลกมันก็เลวร้ายอย่างนี้แหละ .. เด็กคนหนึ่งบอกผมเมื่อกี้ ฟังแล้วน่าตกใจ มันเหมือนการมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป แต่ถ้าคิดให้ดีมันก็จริงนะ .. การไร้ความยุติธรรม ดูจะเป็นเรื่องเลวร้ายในความคิดผม โชคผมไม่ดีที่ความยุติธรรมไม่มีอยู่ในโลก ผมเคยใช้คำถามนี้กับคนมากมาย คนใหญ่โต คนมีอายุ ข้าราชการระดับสูง และได้รับคำตอบเดียวกันว่า ความยุติธรรมไม่มีหรอก มันมีแต่ความเหมาะสม เหมาะสมสำหรับใครก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ .. แต่คนก็พยายามจะมั่วๆ กันไปว่า เนี่ย กูยุติธรรมแล้วนะ .. ก็เอาเถอะ ถึงยังไงเราก็ต้องอยู่ในโลกที่มีแต่เรื่องเลวร้ายอยู่ดี แล้วมันจะชินกันไปเองแหละครับ
สุดท้าย ผมว่าเราคงต้องมองอะไรๆ ด้วยมุมมองของใจที่ใสสะอาด ไร้อคติ ปราศจากความรัก หรือความเกลียดชัง แล้วเราก็จะเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างเด่นชัดและถูกต้อง เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้บ้าง .. ขอให้สนุกกับการวิเคราะห์ความคิดของตัวเองและคนอื่นในขณะที่ด่ากัน นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น: