While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2562

Gibson ที่ชื่อ อาจื่อ! (edited 09/02/2019)

เรื่องนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการหาซื้อกีต้าร์มือสองอยู่ด้วย ตั้งแต่วิธีตีกรอบความต้องการของตัวเอง เลือกรุ่นยังไงให้เหมาะสมกับเราที่สุด การหาของให้เจอ ตรวจสอบ ทดลองเสียง วิเคราะห์สภาพการใช้งานของเจ้าของเก่า!
กว่าจะได้อาจื่อมา ยากลำบากเสียจนไม่น่าเชื่อ มันจึงควรค่าแก่การจดจำจนผมอยากเขียน และไหนๆ จะเขียนก็ควรใส่ข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์กับผู้อื่นไปด้วย ผมได้อาจื่อมาเมื่อวันที่ 29 ธันวา 2018 ตอน 4 ทุ่มกว่า! เป็น Gibson Les Paul Standard ปี 98 มือสอง สภาพเกือบ 100% ของอายุ 20 ปี คงไม่มีมือหนึ่งหลงเหลืออยู่แล้วกระมัง ถ้ามี จะเก็บรักษาไว้ได้ในสภาพดีอย่างนี้ไหม และราคาคงทำให้ผมต้องคิดหนักกว่านี้อีกเยอะเลย เพราะพอซื้อมา ตัวเลขจะเหลือแค่ 60% .. จริงเร้อ ที่ยากจะไว้ใจที่สุด ก็ตัวกูนี่แหละ!
เจ้าหนูนี่ลำตัวเป็นมะฮอกกานีตันๆ ไม่ weight relief, ปะหน้าด้วยเมเปิลลายแปลกกว่าชาวบ้านเขา แต่ balance และซ่อนจุดที่ไม่บาล๊านซ์ไว้แถว humbucking จัดว่าปราณีตทีเดียว, ใช้ 490R(neck) กับ 498T(bridge) humbuckers (พอปี 2000 เป็นต้นมาเขาปรับรุ่นไปอีก ซึ่งผมจะไม่คุ้นเสียงละ), fingerboard เป็น rosewood สีเข้มราวกับที่เขาใช้ใน std custom! สีเข้มอายุมากกว่าสีอ่อน ดีตรงเกรนละเอียด ซึ่งตามทฤษฎีบอกว่าให้ sustain ดีกว่าเกรนหยาบที่อายุไม้น้อยกว่า แล้วหูเราแยกได้ขนาดนั้นไหม ผมว่ามันคงไม่ต่างกันมากมายในรุ่นและปีเดียวกัน นี่เป็นเรื่องของความรู้สึกต่อข้อมูลที่ได้รับ
จะว่าไปในรุ่นเดียวกัน แต่ละตัวให้เสียงไม่เหมือนกันเป๊ะหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่า ไม้ชิ้นนั้นมาจากส่วนไหนของลำต้น ดินตรงนั้นเป็นอย่างไร เข้าถึงแหล่งน้ำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละปีมันต้องเจอสภาพอากาศแบบใด แล้วคุณจะควบคุมมันยังไง
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม tom murphy จะต้องไปเลือกกีต้าร์ตัวที่เสียงดีๆ มาทำเก่า มาตรฐานคำว่าดีของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ มันเป็นรสนิยม ความละเอียดอ่อน ละเมียดละไม เผื่อคุณยังไม่รู้ หมอนี่เป็นมือหนึ่งในการทำกีต้าร์ให้เก่าของบริษัทกิ๊บสัน งานของเขาได้รับการยอมรับจากชาวโลก และแพงสัส
ดังนั้นจะซื้อกีต้าร์ ยังไงก็ต้องลองเสียงทุกตัวที่เขามีให้ลอง แล้วเลือกตัวที่ภาพรวมได้ใจเราที่สุด ถ้าคิดจะเล่นด้วยนะครับ ในกรณีที่สะสมอย่างเดียวก็ไม่จำเป็น
โชคชะตาฟ้าลิขิตจะได้โผล่หน้ามามีบทบาทก็ตอนนี้แหละ ถ้าคุณเคยหาซื้อกิ๊บสันสักตัวไม่ว่ามันจะราคาไหน คุณคงเข้าใจ ต่อให้บินไปเลือกในญี่ปุ่นหรืออเมริกา ก็ใช่ว่าจะได้แบบที่คุณใฝ่หา สินค้าระดับนั้นตัวท๊อปๆ จะถูกจองไปตั้งแต่ยังไม่วางจำหน่าย ผมนึกถึงรถ จะผลิตออกมากี่ร้อยกี่พันคัน ในรุ่นเดียวกันมันก็ต้องเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว กีต้าร์แต่ละตัวกลับมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใครเลย ในกรณีมือสอง เราคงต้องเน้นสภาพก่อนลายไม้ วิธีคัดกรองเบื้องต้นอาจไม่ต่างกันเท่าไหร่ คุณแค่ศึกษาก่อนว่าของมือหนึ่งต้องเป็นอย่างไร แล้วหาจุดที่ไม่ใช่ เพื่อตัดออกจากตัวเลือก
แล้วทำไมต้องรุ่นนี้ ความจริงปี 9x สำหรับผมก็โอเคหมด มันเป็นเรื่องของรสนิยมด้านเสียงล้วนๆ เลยครับ ผมชอบเสียงที่เรียกว่า แผดได้ใจ แต่ใสกิ๊ง ซึ่งขอเป็นเสียงที่ได้จากการต่อแอมป์ตรงๆ เพราะไม่อยากสะสมเครื่องช่วยอีกอย่าง effect ธรรมดาก็ราคาหลายพัน แบบหลอดอย่างดีตัวเป็นหมื่น ผมเงินเดือนไม่มากไม่อยากลำบากนานๆ .. แต่การยอมลำบากเก็บเงินซื้อกีต้าร์ตัวต่อไป มันมีแรงจูงใจที่ดีและมีเหตุผลรองรับอย่างเพียงพอ
อีกประเด็นคือ ถ้าคุณมีกีต้าร์ดีๆ กับแอมป์ดีๆ การพ่วง effect จะทำให้เสียงมันดรอป ไม่ว่าสายพ่วงจะดีแค่ไหน เพราะมันไปผ่านวงจรอีกไง ต่อให้เป็น effect หลอดก็เถอะ ผมเทียบง่ายๆ กับสายสัญญาณเสียง เขาจะใช้กันสั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แม้มันจะเป็นสายเกรดสูง เพราะต้องการให้สัญญาณมัน lost น้อยที่สุด
ผมเข้าใจเรื่องนี้เพราะน้องผมมี effect เกิน 10 ตัว ส่วนใหญ่ก็ของ boss นั่นแหละ ที่ซื้อสะสมเพราะตอนเด็กๆ เราไม่มีตังค์ซื้อกีต้าร์กับแอมป์แพงๆ ทำให้เสียงที่ได้มันไม่ถึง ต้องเอา effect เข้ามาช่วย ซึ่งปัจจุบันถ้าเอาราคามันมารวมกันก็ซื้อ LP Std สภาพดีๆ ได้ตัวกว่าๆ แต่ในความเป็นจริงมันรอไม่ได้ ช่วงเวลา 20-30 ปี มันนานเกินรอ
นี่ผมยังกลัวอยู่ว่า ชีวิตหลังจากนี้ผมจะเก็บเงินสอยกีต้าร์ไปเรื่อยๆ รึเปล่า! ตอนนี้ในใจ ตัวถัดไปน่าจะเป็น LP Std custom Reissue ‘59 หลังจากนั้นคงเป็น Fernandez MG480! ในแผนการ คาดว่าน่าจะเก็บเงินซื้อมือสองได้ปีละตัว! (เหี้ยแล้วกู) เจ้าตัว R ‘59 ผมพูดกับน้องว่า ปีหน้าไหม คนละครึ่ง เขาตอบแบบไม่ต้องคิดว่า ได้เลย!
ส่วน MG480 น้องผมไม่เห็นด้วยอย่างจริงจัง ผมคงต้องเล่นตามลำพัง เขาบอกว่า มึงลองไปจับดูก่อน เดี๋ยวก็รู้ งานฮิเดะซิกเนเจอร์ในเมืองไทยมีไม่มากครับ(จะถึง 10 ตัวไหม) ในญี่ปุ่นมีเป็นพันๆ ตัว แต่คนรักจริงเขาก็ไม่ขาย ถ้าจะเอาให้ได้คงต้องเล่นมือหนึ่งโดยให้ธีระมิวสิคนำเข้าให้ แต่การเล่นกีต้าร์มือหนึ่ง เปอร์เซนต์ของราคาซื้อ-ขายแทบไม่ต่างจากรถเลย! เพียงแต่มันหยุด ไม่เหมือนรถที่มูลค่าหายไปเรื่อยๆ ถ้ามองจากราคาและสภาพคล่อง กิ๊บสันคงเทียบได้กับโตโยต้า แล้วกีต้าร์ที่ไม่ติดตลาดจะเทียบกับรถยี่ห้ออะไรดี!
เอาแล้วไง โบนัสปีหน้ากู! เรามันเป็นพวกรักษาคำพูดเสียด้วย ถึงจะพูดเล่นก็ต้องมั่นใจว่าทำได้จริงจึงเอามาเล่น อาการของคนพูดจากลับกลอกเปลี่ยนไปมาตามใจฉัน เพ้อฝันฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ จะน่ารำคาญมากสำหรับผม มันคล้ายคนเหลาะแหละ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ผมจะไม่ยุ่งกับคนประเภทนี้ถ้าไม่จำเป็น เพื่อไม่ต้องวุ่นวายไปกับเขา
ที่นี้ ก่อนการตัดสินใจว่าจะซื้ออะไร มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปศึกษาว่าไม้และฮาร์ดแวร์แบบไหน ให้เสียงยังไง เมื่อเจอที่ใช่ ค่อยเจาะลึกลงไปว่าไอ้แบบที่เราชอบ มันถูกผลิตออกมาในรุ่นใด ช่วงปีไหนบ้าง ทำให้เราโฟกัสได้แคบลง ช่วงแรกที่ผมยังไม่รู้ว่าจะ scope ยังไง มันกระจัดกระจายมากครับ Gibson ผลิตกีต้าร์ออกมาปีละ 7-8 รุ่น ลองคูณปีเข้าไปสิ!
ผมพบว่า เกินจากปี 9x เสียงมันบางลง แต่อคูสติคดีขึ้น เสียงเป็นกลางมากขึ้น ลดข้อด้อยบางเรื่องของกีต้าร์ยุคก่อนหน้านั้นลงไป แต่ก็สูญเสียเอกลักษณ์บางอย่างของเสียงไปด้วย มันเป็นยุคที่เน้นเรื่องการตลาด! อันนี้ดูได้จากนโยบายของบอร์ดบริหารในช่วงปีนั้นๆ รวมทั้งวิเคราะห์ลักษณะของงานที่ผลิตออกมา ว่าต้องการพรีเซนส์อะไร ด้านไหน
ทีนี้ พอวิธีการผลิตเปลี่ยน เสียงที่ได้ก็เปลี่ยนไปด้วย มันจึงแตกไม่กระชากใจ ริทึ่มไม่หนักกระโหลก คือเขาพยายามเลียนแบบเสียงดั้งเดิมให้มากที่สุด ซึ่งถูกต้องแล้ว เพียงแต่ผมไม่ชอบอะไรที่วินเทจ! ผมชอบกิ๊บสันแบบฮาร์ดคอร์!!! (ซึ่งหาได้ในปี 9x เท่านั้น) แล้วต้องมาเจอกับมาร์แชลด้วย
มันก็มีเหตุผลครับว่าทำไมต้องกิ๊บสันกับมาร์แชล เอกลักษณ์ของมาร์แชลหลอดมันให้เสียงแหลมปรี๊ดบาดใจ ส่วนเอกลักษณ์ของกิ๊บสันคือมะฮอกกานีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น พอรวมกันมันจะกำลังดี ไม่แผดจนแสบดาก ไม่หวานอ้วกแตก ไม่อ้วนปั้กจนให้ความรู้สึกจุกแน่น
ผมพยายามทำความเข้าใจก่อนว่า การผลิตกีต้าร์รุ่นแรกๆ อยู่ในยุคของดนตรีแนวไหน ค่านิยมด้านเสียงในยุคนั้นเป็นยังไง เท่าที่อ่านมาเขาว่ากันว่า LP std custom reissue ‘59 เป็นตัวที่ได้รับความนิยมสูงสุด งาน LP std ปี 59 ทำได้ดีที่สุดเนื่องจากมันปรับปรุงมาจาก feed back ของผู้ใช้ปี 57,58 คอมันบางลง ทำให้เล่นง่ายขึ้นมาก นักดนตรีดังๆ ในยุคนั้นเลยมักเลือกใช้ของปี 59
คุ้นๆ นะ เหมือน Colt M1911A เลยแฮะ นั่นก็ดีที่สุดเหมือนกัน เพราะพัฒนาจากการใช้งานของทหารอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 งั้นรุ่นที่ไม่มี A ก็เป็นรุ่น beta ให้ทดลองใช้ในสงครามสินะ(โห โหดสัส) แต่ก็มีคนไม่น้อยชอบจุดเด่นของ glock และโดยส่วนตัวผมชอบ smith มากกว่า กีต้าร์เลยมีหลายยี่ห้อให้เลือกไง แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป ดังนั้นกลุ่มคนที่เล่นดนตรีและพอมีกำลังซื้อ จึงมักจะไม่ได้มีกีต้าร์แค่ตัวเดียว
ราคา std cust R‘59 ในอีเบย์ อยู่ที่ราว 130,000 - 700,000 บาท ขึ้นอยู่กับมือหนึ่งหรือมือสอง ผลิตในปีอะไร ลายไม้ใกล้เคียงปี 59 แค่ไหน เป็นซิกเนเจ้อของใครด้วยไหม ทำเลียนแบบให้เก่าเหมือนของใคร โดยใคร เลือกเอาที่ชอบๆ เลยครับ
ทำไมผมเอา LP std 59 มาพูดเยอะทั้งที่ผมจะซื้อ std 9x เพราะรูปทรงของ 59 มันสมบูรณ์แบบแล้วไง มันจึงถูกนำมาใช้เป็นต้นแบบของงาน std เรื่อยมา ที่จะต่างออกไปคือเรื่อง option!
ผมอ่านเจอในเวบบอร์ดที่เกี่ยวกับกีต้าร์ คุณ quetaro เขาแนะนำให้ไปลอง reissue 57,58,59 ทั้ง 3 รุ่นพร้อมๆ กัน แล้วจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน เขาบอกว่าขนาดของคอมันหนาในปีแรกแล้วบางลงในปีถัดมา ซึ่งมีผลมากต่อเสียงที่ได้ เขาสรุปไว้ว่า R7=สาวอวบ, R8=หุ่นดี, R9=พริตตี้ อธิบายความแตกต่างได้อย่างสุภาพ! เป็นผมจะใช้คำว่าคออ้วน ซึ่งค่อนข้างเป็นคำหยาบคาย!

ทีนี้มาว่ากันด้วยเรื่องของ ฟิงเกอร์บอร์ด
มีข้อควรระวังของกิ๊บสันที่ผลิตในปี 2011-2012 ที่ผมรู้มาคือในปีนั้นๆ ไม่ควรเล่นทุกรุ่น ยกเว้น custom ซึ่งมาตรฐานของรุ่นจะใช้ ebony และยังมี stock อยู่เยอะ
แต่รุ่นที่ใช้โรสวูด เราจะเจอฟิงเกอร์บอร์ดไม้ต่อ+ประกบ เพราะบริษัทกิ๊บสันโดนยึดไม้ฟิงเกอร์บอร์ดที่หนาเกินไป(rosewood) เลยต้องไปเอาแบบบาง 2 แผ่นมาทั้งต่อทั้งประกบ พอโรสวูดหมดก็ไปเอาเมเปิลยัดเข้าตู้อบขนมเพื่อใช้แทนชั่วคราว แล้วเรียกมันเพราะๆ ว่า Baked Maple!
เขาว่าเมเปิลเผาให้เสียงและสีเหมือนโรสวูด อบดี สีไม่ลอก ลองนึกถึงกีต้าร์ที่ลดต้นทุนโดยอบไม่ดีพอ ไม้มันก็จะไหม้ไม่ลึก หรือบางทีเอาสีทาแม่ม! เล่นๆ ไป สีหายเป็นร่องนิ้ว (เมื่อก่อนผมว่ามันดูขลังดี แต่เมื่อรู้ว่ามันเกิดจากความไม่รอบคอบในการผลิต เลยกลายเป็นรู้สึกว่า สะเพร่า! ทำไมไม่คิดกันวะว่าปัญหาที่จะตามมาคืออะไร) ผมยังไม่เจอ baked maple เลยยังไม่ได้ลอง ไม่แน่ผมอาจชอบมัน ไม้ไหม้ๆ คงให้กลิ่นคล้ายเบอร์เบิ้นจากถังไม้โอ๊คเผา แต่เราไม่ควรเอาเบอร์เบิ้นมาทาฟิงเกอร์บอร์ด เดี๋ยวไม้แตกขึ้นมา จะชิบหายแบบเอาไม่อยู่
ถ้าคุณมองว่า double fingerboard หรือ baked maple มันเป็นของหายาก น่าสะสมเหมือนเหรียญรุ่นที่ผลิตน้อยๆ .. ก็แล้วแต่ .. ดูตลาดก่อนแล้วกันครับว่าคนเล่น gibson เขาเล่นจุดไหนกัน เกิดวันหนึ่งอยากหรือจำเป็นต้องปล่อยขึ้นมา จะได้ไม่เจ็บตัวมากในภายหลัง
ทีนี้ผมจะลองลามปามไปยี่ห้ออื่น ให้คุณได้เห็นตัวอย่างเพิ่มขึ้น เช่น fender คอขาวกับคอดำ
- คอขาวใช้เมเปิ้ล ให้เสียงสว่าง คมใส เช่น
yngwei, eric clapton
- คอดำใช้โรสวูด ให้เสียงหนา ขุ่น เช่น
iron maiden
แล้วทำไมถึงไม่เอา ebony มาใส่ standard เพราะมันให้เสียงแหลมคมเกินไปจนไม่เหมาะสม ความเด่นของ ebony คือมันดำ! นอกจากความดำสวยด้วยลายเสี้ยนที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ มันยังให้เสียงกังวาลและให้ sustain ที่ดีกว่าโรสวูด แต่มันจะพอดีเมื่อไปจับคู่กับคอและบอดี้ที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น
เมื่อเอามาใส่ standard เสียงพุ่งไปดาวอังคารเลย เคยมีลองใส่มาบางรุ่น ผลคือขายไม่ออก! แต่การเอาไปใส่กับ custom  ทำไมจึงพอดี ..

ผมเทียบไว้แค่ 3 แบบนะ เพราะผมสนใจแค่นี้
1. custom (งานผลิตพิเศษ) --> custom reissue (ทำเลียนแบบงานพิเศษรุ่นเก่า)
2. Les Paul standard (งานธรรมดา)
3. Les Paul standard custom reissue (ผลิตพิเศษเพื่อเลียนแบบงานธรรมดารุ่นเก่า)
1. custom ธรรมดา รุ่นโบราณ ตัวมันจะหนาด้วยมะฮอกกานีทั้งดุ้น ให้เสียงหนาตึ้บแต่ขุ่นคั่ก เลยต้องเอาความกังวาลใสของ ebony เข้ามาช่วย ..
ปัจจุบันก็กลายเป็น “custom reissue ธรรมดาใช่ไหม พอไม่มีไม้ดีเท่าสมัยก่อน(เนื้อแน่น น้ำหนักเบา) เขาเลยใช้ weight relief กับลำตัวโดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้มันเบาลงและเพิ่ม resonance ของเสียง(อ่าฮะ), ใช้เมเปิลปะลงไปซึ่งจะให้ความงาม เพิ่มมูลค่า และช่วยคอนโทรลเสียง, pickup เป็นรุ่นเดียวกับพวก std 9x, fingerboard บางรุ่นใช้ richlite บ้างใช้ ebony ทั้งหมดนี้ทำเพื่อปรับแต่งเสียงให้คล้ายคัสตอมรุ่นเก่าๆ ให้มากที่สุด .. เลือกให้สนุก!
ริชไลต์คืออะไร ผมก็เพิ่งรู้จักเหมือนกัน มันคือกระดาษกับ phenolic resin ผสมกัน (ก็สารประกอบฟีนอลไง พูดให้มันยากทำห่าอะไร ดีแม่มไม่เล่นภาษาลาติน) เอามาอัดขึ้นรูปด้วยกรรมวิธีที่เขาคงไม่บอกเรา ได้วัสดุชนิดใหม่ ให้ชื่อว่าริชไลต์ มีความหนาแน่นสูงแต่ไม่มีลายเสี้ยน(คงลื่นๆ เนอะ) ให้เสียงคล้ายอีโบนี่ แต่สัมผัสและความรู้สึกที่ได้ย่อมแตกต่าง บ้างว่าทำมาเพื่อให้เป็นตัวเลือก เพราะต้นทุนต่ำ ทำให้ราคาถูกลงได้
2. Les Paul standard ลำตัวเป็นมะฮอกกานี(อีกเกรด)ที่มีเมเปิลปะหน้าเพื่อเพิ่มความคมใส ใช้คู่กับโรสวูดก็ลงตัวและเพียงพอ ( studio บางรุ่นเก่าๆ ไม่มีเมเปิลปะหน้า ราคาก็ลงได้อีก) ทีนี้ที่ต้องดูคือ ช่วงปีไหนใช้ weight relief อย่างไร และที่สำคัญ รุ่นของ pickup ที่เอามาใช้
3. Les Paul Standard Custom reissue ปกติใช้ฟิงเกอร์บอร์ดโรสวูด แต่ไม้ลำตัวที่เขาพยายามเลียนแบบ คือไม้โบราณคุณภาพดี แน่น น้ำหนักเบา ทีนี้ผมสรุปได้ในใจว่าปี 2013 ขึ้นไปน่าเล่นสุด เพราะก่อนหน้านั้นกิ๊บสันโดนคนด่าเยอะ เรื่องการปรับเปลี่ยนอะไรบ้าๆ บอๆ ไปเรื่อย เช่นปี 2012 บางรุ่นใช้ลามิเนต 2 ชั้นมาทำฟิงเกอร์บอร์ด! พอคนไม่นิยมก็เปลี่ยนกลับไปใช้ของเก่าในปี 2013 (ทำไมผมนึกถึงธนูปีกลามิเนตที่ซื้อจากจีนมาวะ มันใช้ได้อยู่แหละ แต่ก็จะให้ความรู้สึกฮาๆ ดีครับ)

นอกจากฟิงเกอร์บอรด์ มันยังมีตัวแปรเรื่อง pickup เพิ่มเข้ามาด้วย custom และ standard custom จะไม่ใส่ pickup ที่มี output แรงๆ แต่เน้นเอาเสียงจากคุณภาพไม้ล้วนๆ แล้วไปเร่ง gain ที่แอมป์ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของเสียงแบบที่เรียกว่า เสียงชวนฝัน! ส่วนสแตนดาร์ด 9x มาจะยัด output แรงๆ ครับ พอมาเจอการพันแอมป์ให้เสียงแตกพร่า ก็แจ่ม!
แล้วทำไมผมไม่อยากเล่น LP std ปี 60-89 ล่ะ ขอบอกก่อนว่าอันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ ผมก็ศึกษามาจากการอ่านอย่างหนักนั่นล่ะครับ เมื่อได้ข้อสรุปก็เอาไปใช้ในการตัดสินใจเลือก แล้วเอามาเล่าต่อ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่มาตรฐานและเทคโนโลยีในการผลิต วัสดุที่นำมาใช้(ที่ไม่ใช่ไม้) handcraft งานอเมริกัน ไม่ควรนำไปเทียบกับงานญี่ปุ่นนะคุณ เครื่องจักรที่มีในแต่ละยุค วิธีการต่อเชื่อม ฝัง วัสดุอุปกรณ์ และซุ่มเสียงที่ได้ จากภาพรวมทั้งหมดทำให้คนนิยมเก็บของปี 9x กัน การสวนกระแสอาจดี แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้กับทุกเรื่อง ที่เหลือคือโอกาสที่จะเจอ
เขาว่ากันว่าหลังปี 60 สเป็คมันเริ่มแย่ลงจนถึงปี 94! .... และแล้ว Gibson ก็เปลี่ยนผู้บริหาร มีการปรับกระบวนการผลิตใหม่ เน้นไปที่เรื่องของคุณภาพมากกว่าการตลาด เพิ่มการผลิต Reissue ในโรงงาน Custom shop บ้างล้อกันว่ากิ๊บสันมียุคมืดที่โคตรยาวนาน ข้อมูลตรงนี้ทำให้ผมตัดสินใจได้คร่าวๆ ว่า
- ถ้าจะเล่น
LP std ผมจะเลือกเล่นปี 94-99 (5-7 หมื่น) .. สบาย!
- ถ้า
LP std custom (1-1.4 แสน) ผมจะเล่นปี 2013 ขึ้นไป .. ก่อนซื้ออาจื่อกะกู้น้อง แต่คราวหน้าหาร 2 ละ!
- ตัว
custom เฉยๆ คงไม่เล่น เพราะเสียงมันไม่ใช่แบบที่ผมชอบ
- ของทำเก่าไม่เล่น ผมว่ามันแพงเกินคุ้ม และผมไม่ชอบ ดูแล้วไม่สบายตา ยังจะดูแลรักษายาก ของใหม่ๆ น่าดู น่าลูบคลำกว่ากันเยอะ
ผมทึ่งมากเลย แต่ละคนศึกษากันลึกซึ้งจริงๆ จำกันได้ยังไงวะ เช่น ปีไหนเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทกิ๊บสัน ช่วงปีไหนกิ๊บสันทำอะไรกับงานของตัวเอง ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมดูครับ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งรู้ยิ่งสนุก ที่ผมขำลั่นบ้านคือมีกิ๊บสันรุ่นแพนเค้กด้วยว่ะ คิดได้ยังไง! เสียงมันจะทรมานใจขนาดไหน!

นอกเหนือจากย่อหน้าก่อนๆ สิ่งที่ผมกับน้องมองและคิดคือ จุดเด่นของงานเลสพอลสแตนดาร์ดก่อนปี 2000 ยังไม่มีการใช้ weight relief เพื่อลดน้ำหนัก ปัจจุบันมีการเจาะไม้หลายรูปแบบแล้วแต่รุ่นและปี เพื่อรองรับความต้องการของคนที่บอกว่า กิ๊บสันหนักชิบหาย พี่ปราชญ์เอาไปเทียบกับครก! ฝรั่งเทียบกับสมอเรือ! ส่วนผมนึกถึงเครื่องตัดหญ้า!
ต้นเหตุของความหนักคือคุณภาพของไม้เป็นส่วนใหญ่ ไม้เกรดดีมากๆ จะมีเกรนละเอียด น้ำหนักเบา แต่ราคาสูงเกินกว่าจะเอามาใช้ในรุ่นสแตนดาร์ดธรรมดา เพราะมันจะดึงราคาให้สูงเกินไป ซึ่งปกติก็เหยียบแสนเข้าไปแล้ว เขาจึงคัดไปใช้กับรุ่น Reissue ในโรงงาน custom ให้มันกลายเป็นของราคา 2-3 แสนขึ้นไปแทน
ย้อนไปก่อนปี 5x การผลิตยังไม่มาก เขาสามารถเลือกไม้มะฮอกกานีเกรดพรีเมี่ยม น้ำหนักเบา ซึ่งมีน้อยและหายากมาทำกีต้าร์ ยังมีการลดน้ำหนักวัสดุที่ไม่ใช่ไม้ในบางรุ่น มันก็จะหนักราว 3.7-4.2 โล หลังจากนั้น demand เริ่มมาก ไม่ค่อยมีไม้เกรดเดิมเหลือให้เลือก น้ำหนักกีต้าร์บางตัวเลยปาเข้าไป 5-6 โล (ผมปลูกไว้ต้นนึงเหมือนกัน ทรงมันสวย)
ไม้ตันๆ จากปี 9x จะมีน้ำหนักราว 4.6-5.0 โล เสียงที่ได้เป็นเสียงจากไม้เน้นๆ แถมมันไม่วินเทจ การยัด pick up ที่มี out put แรงๆ ลงไป ให้เสียงบาดหูได้อารมณ์สุดๆ ผมกับน้องอาจชอบแบบนี้เพราะเราเริ่มฟัง rock + heavy metal ตั้งแต่ปลาย 80 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่ดนตรีเริ่มเปลี่ยนแนว เราก็จะเจอการโมกีต้าร์+แอมป์+เครื่องช่วย ที่ทำให้เสียงแตกเป็นเม็ดๆ มันเป็นค่านิยมด้านเสียงของดนตรีแนวหนึ่งในยุคนั้น ที่ผมชอบ
งานสแตนดาร์ดปีใหม่ๆ ใช้ output แรงกว่าแบบเก่า เสียงที่ได้จะออกแนวสมัยใหม่ เสียงจากไม้ไม่ค่อยชัด จนคนบางกลุ่มไม่คุ้นหู เลยกลับไปเล่นของยุคเก่ากัน การไม่เจาะไม้ยังมีผลต่อเสียงค่อนข้างมากด้านความหนักแน่น ดุดัน และมีมวลอย่างเห็นได้ชัด
โดยส่วนตัวผมหลงไหลเอกลักษณ์เสียงจากยุค 9x ที่ใช้ effect น้อยๆ กับกำแพงมาร์แชล(หัวแอมป์ตัวเป็นแสน ตู้ที่เอามาตั้งเรียงเป็นกำแพง มีดอกลำโพงขนาดใหญ่ ใช้ขับเสียงได้อย่างทรงพลัง) ทั้งหมดนี้ช่วยกันส่งรายละเอียดของเสียงออกมาได้อย่างครบถ้วน คนเล่นทั่วไปไม่มีกำแพงมาร์แชลกันอยู่แล้ว เลยต้องหากีต้าร์ที่พอใจที่สุดเท่าที่จะหาได้ตามกำลังที่มี ใช้แอมป์ดีที่สุดที่ซื้อไหว ใช้หูฟังอันละหมื่น สายแจ็คเส้นละหมื่น!
ผมทิ้งคำถามไว้เล่นๆ แล้วกัน ลองไปสังเกตดูครับว่าทำไมนักดนตรีจึงมักใช้ gibson ไม่ว่าเขาจะเล่นดนตรีแนวไหน
ที่โชคดีคือผมเป็นคนสรรหาฟังไปเรื่อย จนมากพอที่จะรู้ว่าชอบเสียงแบบไหนกันแน่ หาตัวเองให้เจอก่อนนะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเงินหลายรอบ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้มักไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง จากนั้นก็วิ่งไล่ไปเรื่อยๆ
ความจริงผมชอบเสียง fernandez MG480x แบบที่ฮิเดะแห่ง X Japan เล่นที่สุด มันให้เสียงโรคจิตดี รุ่นนี้เป็น neck through body ผมชอบจัง ราคาป้ายแดงเลยปาเข้าไปแสนสี่ เพราะความเป็น neck through body, เป็น Hide Signature, ฮิเดะออกแบบลายเอง และเขาใช้มันเล่นบ่อยที่สุด ทีนี้มันยังมีตัวแปรเรื่องแอมป์และเครื่องช่วยเข้ามาเกี่ยว ซาวนด์เอนจิเนียของวงนี้เก่งมากนะ คุณเคยเห็นคอนเสริตที่ไหนคุมเรื่องเสียงได้ดีเท่านี้ ยังมีเหตุผลอะไรอื่นอีกพอควรที่ผมไม่คิดซื้อ fernandez หรือ burny เป็นกีต้าร์ตัวแรก (นี่ง่ะใช้คำว่า ตัวแรก เพื่อเหลือทางให้ตัวเองไป อีกละ)

มันจึงมีหลายเงื่อนไขที่ผมใช้ตัดสินใจในการหากีต้าร์สักตัวที่เหมาะกับตัวเอง
1. เสียง .. แน่ใจไหมว่าใช่ที่สุด ได้ลองกี่รุ่นในที่เดียวกัน ใช้แอมป์ตัวเดียวกัน setting แบบเดียวกัน ลองอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบเสียงกันไปตัวต่อตัว เพื่อให้ไม่ติดใจ ไม่งั้นมันจะไม่จบ แล้วจะเหมือนที่น้องผมเจอ กีต้าร์งอกไปเรื่อยๆ! แต่นั่นเขาศึกษาไง ซื้อมาเพราะชอบ ชื่นชม เล่น รื้อ โมดิฟาย อาจื่อก็โดนรื้อไปแล้วเพื่อบำรุงรักษา เจ้าของเดิมดูแลและเก็บรักษามาดีมาก แต่มีบางจุดเล็กๆ ที่ผมคิดว่าเขาไม่รู้ เลยไม่ได้ทำ หรืออาจไม่กล้าถอดเพราะกลัวมีตำหนิ
น้องผมบอกว่า มึงมีบุญนะเนี่ย อยากได้ก็ได้เลย แถมได้ของดี กุอยากได้มากี่สิบปีแล้ว ทำไมไม่คิดจะซื้ออย่างจริงจัง ทั้งที่รวมๆ ของที่มีก็ซื้อได้หลายตัว แต่ข้อดีคือ เขาได้เล่นของหลากหลาย ได้เปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละยี่ห้อ ได้ศึกษาแบบทดลอง รื้อ เปลี่ยนชิ้นส่วน ไวริ่งแม่มใหม่ โยก pickup เทียบกับไม้ลำตัวแต่ละแบบ เช่น basswood, elder(กีต้าร์ไม้กายสิทธิ์!), mahogany ต่อสลับไปมา
ส่วนคนที่ซื้อเก็บเพื่อหวังทำกำไรในภายหลัง จะไม่กล้ารื้ออย่างแน่นอน เชื่อเถอะ ไม่ว่าคุณจะพยายามสักแค่ไหน มันก็จะมีร่องรอยเหลือทิ้งไว้อยู่ดี ซึ่งจะต้องอธิบายให้ผู้รับซื้อฟังได้ว่ารื้อเพราะอะไร แน่นอนว่าไม่มีทางได้ราคาแบบของมือหนึ่ง กรณีนี้เล่นไม่ได้เลยนะ อาจได้แค่ลูบๆ คลำๆ เพราะมันมีใบรับประกันสายมาจากโรงงานด้วย ถ้าเปลี่ยนสายคือจบ กลายเป็นกีต้าร์มือสองทันที
มีตัวหนึ่งที่ผมขำ เขาลองของโดยไปซื้อของจีนมาราคา 8,500 รื้อฝังเฟรทใหม่ เปลี่ยนโน่นนั่นนี่จนเกินค่าตัวไปหลายเท่า เพื่อดูว่าเปลี่ยนให้หมดแล้วมันจะดีได้ไหม ก็พอได้นะ อย่างน้อยลำตัวมันตัน เขาเลยบอกผมว่า มึงอยากเปลี่ยนอะไรมันมีขายหมด กุมีเครื่องมือครบ ราคากลางๆ อย่าง pickup semo duncan รุ่นต่ำสุดคู่ละหกพัน สะพานรองสายกับตัวยึดหมื่นนึง ลูกบิด grover 3,500 อยากได้ slash signature, agus young(ACDC), jimmy page, dave mastaine มีหมด
ร้านตัวแทนจำหน่ายอยู่ริมคลองหลอด(หลังกระทรวง) ซึ่งเขาขายของแท้แน่ๆ ผมบอกชื่อร้านก็ได้ จิ้นเฮงหลี น้องผมเคยเจอตัวเจ้าของ เขาให้คำแนะนำแบบคนรักกีต้าร์ หลงไหลในเสียงกีต้าร์ ทำเอาน้องผมประทับใจแล้วกลายเป็นลูกค้าประจำไปเลย
อ่ะ! ถ้าอยากเปลี่ยน มีของแท้ให้เปลี่ยน มีแหล่งซื้อที่ง่ายต่อการเข้าถึงด้วย แล้วจริงๆ ควรเปลี่ยนไหม
ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมรู้ชัดอย่างหนึ่งว่า ถ้าจะซื้อกิ๊บสัน อย่าได้ลองกับแอมป์หลอดมาร์แชลเป็นอันขาด แม่มจะเสียงดีทุกรุ่น จนตัดสินใจเลือกไม่ได้ ขอลองกับแอมป์ยี่ห้ออื่นที่ไม่เข้ากัน เพื่อจะได้ฟังเสียงกีต้าร์ชัดๆ ข้อมูลนี้ได้มาจากการสังเกตุวิธีที่ร้านปฎิบัติกับเรา จัดเป็นความเก่งและรอบรู้ของเขาเลย
2. น้ำหนัก .. LP standard ’9x จะหนักประมาณ 10.2 ปอนด์ ก็ราว 4.63 กิโลกรัม ไหวหรือเปล่า อันนี้ต้องถามว่าคุณเอาไปนั่งเล่นหรือยืนเล่น แบบที่น้องผมถามน่ะแหละ ผมพลันนึกถึงเครื่องตัดหญ้าตราม้าบินที่ทั้งทนทั้งประหยัดน้ำมัน มันหนักราวๆ นี้แหละ สะพายบ่าข้างเดียวเหมือนกันอีกด้วย ผมเทียบความรู้สึกได้เลย ที่ 10 นาทีแรกยังเฉย 20-40 นาทีต่อมาคือหนักเหี้ย หลังจากนั้นจะเรียกว่าทรมานสัส! และกว่าน้ำมันจะหมดถังปาเข้าไปชั่วโมงครึ่ง  บางทีมันส์ แรงยังไม่หมดก็มีต่ออีก แล้วกีต้าร์ล่ะ?
ถ้าจะใช้สายสะพายกับกีต้าร์ที่มีน้ำหนักขนาดนี้ คุณต้องซื้อตัวยึดแบบพิเศษป้องกันการหลุด หล่น คอหัก (ที่มีพลาดกันบ่อยๆ) ต้องใช้กันเป็นปกติครับ เพราะรูที่หนัง ใช้ๆ ไปมันยืดได้ ผมคงนั่งเล่นอีกนาน ดังนั้นจะมีแต่ต้นขาขวาที่ต้องรับน้ำหนัก ถ้าจะเอาน้ำหนักเบาให้ได้ ก็ต้องไปยอมรับเรื่องการเจาะไม้แบบต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมายแล้วแต่รุ่นและปี .. ไม่เป็นไร ผมเก็บเงินสักปี 2 ปี น่าจะซื้อสายสะพายดีๆ ได้สักเส้น! (เท่าที่รู้ราว 3 พันอัพ)
แต่น้ำหนักกลับกลายเป็นข้อได้เปรียบของคนหาของปี 9x เพราะมันหนัก คนจึงจะใช้มันเล่นน้อยหรือแทบไม่เล่นเลย นักดนตรีสะพายยืนเล่นไม่ไหว ต้องขายทิ้ง(แต่ของกลุ่มนี้จะโดนมาเยอะ) บางคนอยากได้เฉยๆ ซื้อมาเก็บแล้วขายออกเพื่อได้ทุนบางส่วนไปเล่นตัวใหม่ที่อยากได้กว่า ยังมีคนที่เล่นบ้างเล็กน้อย แต่ชอบจนซื้อมาชื่นชม แล้วดูแลรักษาอย่างดี อย่างเจ้าของเก่าของอาจื่อเป็นต้น
3. ความปราณีตกับเอกลักษณ์ของงานรุ่นนั้นๆ รับได้ไหม ถ้ามันผิดไปจากที่ควรจะเป็น ก็ไม่ใช่ ผมไม่ซื้อ
เบื้องต้นผมไม่ได้โฟกัสเรื่อง binding เพราะเรายังไม่รู้ว่าจะไปเจอรุ่นไหนที่เสียงมันได้ สภาพได้ ราคาได้ พอเจอตัวที่ใช่และ binding ยังสมบูรณ์ ก็จัดว่าผมโชคดีสุดๆ ละ การทำ binding ค่อนข้างซับซ้อน เขาจะไม่ฝังเฟรทเต็มหน้าฟิงเกอร์บอร์ด แต่เหลือพื้นที่ไว้หุ้ม binding แล้วปาดให้เสมอขอบฟิงเกอร์บอร์ดกับเฟรท มันเป็นงานปราณีตที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ จึงทำให้ราคาแพงกว่ารุ่นที่ไม่มี
มีบางปีเท่านั้น ที่ binding จะหุ้มลงไปปิดไม้ปะหน้าอย่างมิดชิด อาจื่อเป็นหนึ่งในนั้นและสภาพไบน์ดิ้งยังสมบูรณ์มาก อีกตัวที่ผมเจอก่อนหน้านั้นเป็น Gold Top สภาพดี แต่ binding มีรอยกระเทาะที่ริมเฟรทหายไปจุดหนึ่ง ไม่มีรอยกระแทก ขูดขีด มีรอยแลคเกอร์ร่อนตามอายุโซนหนึ่ง เราก็ข้ามไปดูตัวอื่นก่อน ใช่ครับมันซ่อมได้ แต่มันจะไม่ใช่ของเดิมๆ ไง ถ้าเลือกได้ ผมคงไม่ซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมอีก ที่สำคัญ ผมชอบความคลาสสิคของลายไม้มากกว่า
ลายไม้ ยังมีผลต่อราคา เพราะกิ๊บสันใช้เมเปิลปะหน้า ซึ่งเขาบอกว่ามันมีผลต่อเสียง มีหลายเกรดแยกใช้ไปกับกีต้าร์แต่ละรุ่น ผมอ่านเจอบทความที่เขาอธิบายเรื่องลายไม้ ได้ค่อนข้างเคลียร์ คุณไปอ่านต่อเองนะ ผมคงไม่บังอาจแปล เพราะภาษาอังกฤษผมมันก็งูๆ ปลาๆ แค่พอเข้าใจได้คนเดียว เอาแบบคร่าวๆ คนเล่นกิ๊บสันมักเล่นลายขวางสวยๆ กัน(AAAA) ผมกลับชอบลายตามยาวแบบอาจื่อ! นี่คืออีกหนึ่งความคลาสสิคของกิ๊บสัน แต่ละตัวจะมีเอกลักษณ์ของลายไม้ที่ไม่เหมือนใครเลย
เจ้า R9 ตัวที่เราเล็งไว้ มีทั้งลายขวางและลายยาวที่สวยสุดๆ สภาพเกือบ 100% แถมมีเอกสารครบ (มันเลยแสนสี่ไง) แค่นั่งดูรูปก็เคลิ้มแล้วครับ คุณเคยชื่นชมอะไรแล้วมีความสุขแม้ไม่ได้ครอบครองไหม ผมบอกมันผ่านหน้าเวบว่า รอก่อนนะลูก ปีหน้าเจอกัน อีกปีก็รู้ว่ามันจะใช่ของๆ เรารึเปล่า
รุ่นของลูกบิด ยี่ห้อ สี รูปแบบ ผลิตที่ไหน ก็ควรรู้ ถ้ามันผิดรุ่น ผิดแบบ คือยำมา คุณอาจลองถามดูว่าของเดิมๆ ยังอยู่ไหม เพราะกิ๊บสันบางรุ่นให้ที่ปิดสวิทช์ 3 ทางอีกแบบมาในกล่อง หากไม่ใช่กรณีนี้ ไม่จำเป็นก็อย่าเล่น ผมเข้าใจ ว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยม บางคนชอบลำตัวแบบนี้ คออย่างนี้ แต่ไม่ชอบทิวลิป ไม่ชอบปิคอัพ อาจเอามาโมได้ มันเลยกลายเป็นซิกเนเจอร์ของคนนั้นคนนี้ออกมาให้เราเห็นไงครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ดี และเป็นที่ยอมรับได้
กีต้าร์ซิกเนเจอร์ คือการที่นักดนตรีซื้อมันมาปรับแต่งใหม่ ให้ได้เสียง รูปลักษณ์ ในแบบที่ตัวเองต้องการ พอออกอัลบั้มมาแล้วดัง เสียงเข้าหูคน เพลงได้รับความนิยม ก็จะมีคนกลุ่มที่คลั่งไคล้พอ มีเงินพอ และพร้อมจะซื้อตัวเลียนแบบ บริษัทผลิตกีต้าร์ก็มองเห็นช่องทางทำการตลาดเพิ่ม จึงมาขอซื้อไอเดียไปผลิต แล้วให้เครดิตคนคิด ยกตัวอย่างเช่น จิมมี่เพจซิกเนเจ้อ ราคามือสองราวแสนกว่า มือหนึ่งคาดว่า 3 แสนกว่า หรือของไมค์ บลูมฟิลด์ ลิมิเตด ทำให้เก่าโดยทอม เมอร์ฟี่ มือสอง 330,000 มือหนึ่งคง 7-8 แสน ตัวนี้แพงเพราะเป็น collector’s choice edge by tom murphy! คนที่ซื้อย่อมเห็นคุณค่า จึงยอมจ่าย
แล้วเราอยากทำบ้างจะได้ไหม ได้ครับ แต่ราคาจะหายไปมากกว่าปกติ เพราะเราไม่ดัง! ทำใจรับได้รึเปล่า สมมุติรุ่นที่ผมได้มาแล้วกัน ราคากลางอยู่ที่ 4.5-7 หมื่น(แล้วแต่สภาพและลายไม้) มันอาจเหลือแค่ 3 หมื่นได้
ตรงนี้อาจมองในรูปแบบเดียวกับรถมือสอง น้อยคนที่จะเล่นรถโม เพราะ(เอาคร่าวๆ นะ รายละเอียดเขียนไปแล้วในเรื่องหารถมือสอง)
1. รู้ว่าตอนขายต่อจะโดนกดราคามาก
2. เราไม่รู้ว่ามันโดนปู้ยี่ปู้ยำมาแล้วเท่าไหร่ ที่แน่ใจได้คือมันไม่ได้ผ่านการใช้งานแบบคนปกติมาแน่ๆ
ผมไม่เล่นเพราะไม่อยากลุ้นว่าจะต้องมารื้อระบบไฟใหม่หมดรึเปล่า หรือต้องใช้น้ำมันเครื่องแบบความหนืดสูงไปตลอดการใช้งานไหม จะแย่แค่ไหนถ้าเจอปัญหาที่แก้ไม่จบ
มันเป็นตรรกะ เราเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่องแหละครับ
ในกรณีของการโมกีต้าร์ มันหมายถึงการเปลี่ยนคุณสมบัติของรุ่น จะมีผลต่อราคาขายต่ออย่างแน่นอน แต่ไม่ค่อยมีผลกับการใช้งาน นอกจากคุณจะ happy (เพราะคุณชอบมันไง) ความจริงถ้าอยากเสียเหลือเกิน คุณอาจถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนแล้วเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับกีต้าร์ ดูแลรักษามันไปพร้อมๆ กัน มันจะได้ดูอายุการใช้งานไม่ต่าง หากต้องการขายก็เปลี่ยนกลับ แต่อาจเหลือร่องรอยไว้ให้สังเกตได้ คุณต้องทำอย่างระมัดระวังหน่อย จะหลอกคนอื่นทั้งที ควรแนบเนียน!
แค่เคยเปิดฝาหลังไหมก็มีจุดให้สังเกต ร่องรอยจากโรงงานไงครับ การดูกีต้าร์นี่มันส์กว่าดูรถอีก ชิ้นส่วนน้อยกว่า กลับมีความละเอียดอ่อนให้สังเกตมากกว่า ผมว่าผมเริ่มหลงไหลกีต้าร์ก็เพราะอย่างนี้ มันเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อน เป็นงานศิลป์ขั้นสูง เป็นความคลาสสิคที่ไม่มีอะไรเทียบได้ คุณลองนึกถึงกีต้าร์ปี 5x ที่ใช้คนทำแทบทั้งหมด มันไม่ง่ายที่จะดีไซน์ออกมาให้ได้ทั้งความงามและเสียงที่ดี
การ wiring ต้องขอดูให้ได้ จะได้ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจทีหลัง เมื่อมารู้ที่บ้านว่าโดนยำ ที่ fusionmusic เขาเปิดให้น้องผมดูก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อเสียอีก ชิ้นส่วนพวกนี้มีอายุการใช้งาน มันก็คงไม่ซีเรียสถ้ามีการเปลี่ยนใหม่มาแล้ว เช่นรถแสนโลต้องเปลี่ยนอะไรไปแล้วบ้าง ก็ดีไง ถ้าเราซื้อที่ 8-9 หมื่นโลมา อีกพักเราก็ต้องมานั่งเปลี่ยนแม่มอยู่ดี มองโลกสวยๆ เข้าไว้ครับ แต่อย่าโง่นะ โดนหลอกฟันตายเลย
ทีนี้ผมจะสอนให้ เพราะที่ผมเคยเจอมา ส่วนใหญ่แม่มโคตรตื้นเขินจนน่าสมเพช ถ้าคิดจะหลอกใคร สิ่งสำคัญคืออย่าแสดงความพยายามจนมากเกินไป เช่น พยายามพูดซ้ำๆ ทำซ้ำๆ มันจะกลายเป็นไปกระตุ้นความระแวดระวังของเหยื่อให้รู้ตัว การพูดครั้งเดียวแล้วถูกปฏิเสธอาจมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่าการพยายามพูดจาเซ้าซี้ เซลล์ควรเลิกทำตัวน่ารำคาญสักที มันไม่ช่วยอะไรหรอก อย่าพยายามทำอะไรโง่ๆ เพราะคิดว่าคนอื่นเขาจะโง่กว่าคุณสิ มันตลก
การไวริ่งของกิ๊บสันแต่ละรุ่นจะไม่เหมือนกัน บางรุ่นก็น่าเกลียด อย่างปี 98 เป็นต้น แต่เชื่อมตะกั่วไว้อย่างหนา(รอยเชื่อมที่ดี ต้องเรียบ ขึ้นเงา) ของผมยังไม่มีร่องรอยการแตะต้อง ฝายังไม่เคยเปิดเลย พอมารุ่นใหม่ๆ เขาจะใช้ปลั๊กเสียบเหมือนปลั๊กไฟบนเมนบอร์ดคอมพิวเตอร์น่ะครับ เคยรื้อเมนบอร์ดเล่นไหม มันก็จะง่ายในการเปลี่ยนอะหลั่ย ไม่ต้องมีเครื่องบัดกรีก็ทำเองได้โดยไม่ต้องเอาไปร้านซ่อม แถมบางรุ่นฝาปิดเป็นแบบใสให้ดูได้โดยไม่ต้องถอดน๊อต จัดว่าเพิ่มความสะดวกให้มากขึ้น (แต่อาจขาดความคลาสสิค)
ทีนี้มันยังมีประเด็นให้ผมคิดอีก 2 เรื่องใหญ่ๆ เกี่ยวกับการบัดกรี
- รอยบัดกรีช่วยให้เราสังเกตได้ว่า มันเป็นของแท้จากโรงงานหรือมีการแก้ไขมา สามารถดูเทียบกับตัวต้นแบบได้
- ปลั๊ก ใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตด้านแรงงานรึเปล่า ถ้าชิ้นส่วนเล็กๆ สักอันเสียหาย เราต้องเปลี่ยนมันยกแผงไหม จากค่าซ่อมหลักร้อยจะกลายเป็นครึ่งหมื่นรึเปล่า
4. สภาพของกีต้าร์ เก็บรักษามาอย่างไร โดนอะไรมามั่ง มันบ่งบอกถึงพฤติกรรมของผู้ใช้คนก่อน ซึ่งจะส่งผลต่อความเสื่อมของอุปกรณ์ การมีร่องรอยขูดขีด กระเทาะ ถ้ารับได้คงไม่เป็นไร ที่สำคัญที่สุดคือก้นมันเคยกระแทกมาไหม เรารู้กันว่าแรงจากการกระแทกอาจทำให้ไม้มีรอยร้าว ซึ่งจะเห็นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ที่แน่นอนคือแรงนั้นจะไปรบกวนความหนาแน่นในการเรียงตัวของเส้นใยไม้ ทำให้ sustain ของเสียงแย่ลง (ผมนึกถึงเรื่องพันธะอะตอมในวิชาเคมีว่ะ 55) แต่บางทีมันอาจไม่มีร่องรอยให้เห็นเลย ดังนั้นคร่าวๆ ในใจ ผมมองการดูแลรักษาโดยรวม ถ้าเละเทะมาก็ยากที่จะคาดเดา ว่ามันโดนอะไรมามากกว่าที่เราจะเห็นได้ด้วยตาหรือไม่
ตรงนี้ใช้วิธีเดาแบบอิงหลักการเอาครับ เหมือนตอนเปิดฝากระโปรงรถคนอื่นดู! จะรู้ได้ว่า เจ้าของเก่าทำงานอะไร ใช้ที่ไหนมา(ติดทะเลจะมีคราบเกลือ เศษทราย) ใช้แบบไหน ผู้ชายหรือผู้หญิงใช้ บุคลิคเป็นยังไง เป็นคนประเภทไหน ชุ่ยหรือละเอียดรอบคอบ เป็นคนรักษาของไหม หรือเป็นรถที่ใช้เวียนหลายคนในบริษัทเล็กๆ .. มันส์ครับ
กีต้าร์จะมีในมือของคนไม่กี่ประเภท ก็เริ่มจากคิดว่าใครจะครอบครองมันได้บ้าง สภาพของมันจะบอกเราเป็นฉากๆ ที่เหลือก็วิเคราะห์(เดา)เอา
5. ราคา มีปัญญาจ่ายไหม
ผมเสือกมี เลยจัดมาด้วยเงินสด 52,000.- โบนัสกู! โบนัสคือผลจากการพยายามทำตัวให้อยู่ในมาตรฐานของการเป็นพนักงานที่ดี มาทั้งปี เอามาซื้อของขวัญให้ตัวเอง ก็ถูกต้องเหมาะสมดีแล้วไง นี่อาจพูดให้เห็นภาพได้ว่า ข้าแสนรื่นรมย์ บนความหมดตัว!
เคสนี้ถ้าใช้บัตรเครดิตต้องเสียดอกอีก 2 ส่วน ร้านขอ 2% แบงค์เอากี่ % ผมจำไม่ได้ ปกติการใช้บัตรมักมีเงื่อนไข ผมรู้แค่ สมาชิก mk ถ้าจ่ายเงินสดได้ลด 10% ใช้บัตรลด 5% แล้วมีเหตุผลอะไรให้เราต้องการจ่ายมากกว่าเล่า การได้แต้มมันคุ้มกับส่วนลดที่เป็นตัวเงินไหม ก็คงขึ้นอยู่กับใคร ต้องการใช้อะไรมากกว่ากัน
ผมไม่เคยมีบัตรเครดิตและไม่เคยคิดว่าควรต้องมี(และรู้สึกดีที่เป็นพวกหายาก) แต่น้องผมใช้ กรณีของเขามันดีที่ไม่ต้องพกเงินมากเมื่อเดินทางข้ามจังหวัด ยังได้แต้มพาลูกเมียไปดูหนังฟรี ผมฟังเขาเล่ารายละเอียดกับวิธีคิดที่ซับซ้อนของการใช้บัตรจนขี้เกียจคิดตาม ยังสงสัยว่าคนที่ใช้กันเป็นปกติ รู้รายละเอียดพวกนี้ไหม เขาว่า มันต้องรู้ กลายเป็นผมเห็นเป็นความยุ่งยากในการใช้งาน ที่ความสะดวกและสิ่งที่ได้ ยังไม่จูงใจผมมากพอ ผมอาจเคยชินเกินไปในรูปแบบที่ผมเป็น และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมัน .. ผมโดนน้องด่าประจำว่า อย่าขี้เกียจคิด จะโง่ TT
ผมโคตรโอเคกับราคา 52,000 ของมือสอง สภาพ 98% (มือหนึ่งราว 90,000-110,000 รุ่นใหม่ๆ เจาะไม้ ก็ราคาราวๆ นี้) ผมต่อราคาเขาได้นิดหน่อยจากที่ตั้งไว้ 55,000.- ใครกำลังหาของ ลองไปดูที่ร้าน fusionmusic ครับ(แต่อย่าเอาเจ้าหนูนั่นไปล่ะ) ของเขาเยอะจริง สภาพค่อนข้างดีทีเดียว
ที่สำคัญหยิบลองได้ทุกตัว อาจเพราะเขาเห็นแล้วว่าเราพยายามระวังของให้เขา เราตั้งใจมาซื้อจริงๆ จึงลองแต่เสียง, check fret, เช็คสภาพอย่างถี่ถ้วน เราไม่เล่นโชว์ให้เสียเวลา แต่ใช้ทุกนาทีไปกับการลองกีต้าร์เพื่อเปรียบเทียบเสียงระหว่างรุ่น เรียกว่าพอจำเสียงได้ก็รีบเปลี่ยนตัวทันที เล่นเยอะจะคุ้นเสียง มันเป็นอิเล็กทรอนิคส์ผสม ไม่ใช่กีต้าร์โปร่งที่จะต้องลองนานๆ เพื่อหา defect .. งานนี้ผมได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
สำหรับกีต้าร์ตัวแรก ผมนึกดีใจที่ตัว custom ราคา 120,000 ให้เสียงไม่กระชากโดนใจผม(กีต้าร์คุณภาพสูง, output ต่ำตรงตามรุ่น, แอมป์ไม่ใช่มาร์แชล) ไม่งั้นไอ้น้องชายมีเงินสดและกระตือรือร้นที่จะให้ผมยืม! มันตลกตรงที่ เราคาดว่าเสียงมันต้องถึงๆ ริทึ่มไปทีนึงก็มองหน้ากัน ไม่ใช่เสียงไม่ดี มันดีมากในแบบของมัน แค่ไม่ถูกรสนิยมเรา รสนิยมทางดนตรีเป็นเรื่องซับซ้อนที่สุด และบอกตัวตนของผู้คนได้หลายอย่าง ไม่ว่าคุณจะพรีเซนต์ว่าคุณชอบดนตรีแนวไหนหรือชอบแม่มได้ทุกแนว

ผมเกริ่นไว้แต่ต้นว่า กว่าจะได้อาจื่อมา มีอุปสรรคมาก เพราะมันยากจริงๆ อ้างถึงบทความก่อน เรื่องอยากได้กีต้าร์สักตัว เบื้องต้นผมมอง baracuda ราคา 9 พันกว่า เพราะมันก็ดูดีและไม่หนักแรง ผมแค่อยากมีกีต้าร์สักตัวไว้จับๆ คลำๆ คือผมไม่ใช่นักดนตรี เล่นกีต้าร์ไม่เป็น แต่คิดอยากหัดเล่นเพื่อให้มีอะไรทำมากขึ้น ความชอบเสียงกีต้าร์ของผมอยู่ในระดับที่จำเพลงยาวๆ ได้ทุกตัวโน๊ต(เช่น The Loner) มันเป็นความคลั่งไคล้ในเสียงอย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนน้องผมเล่นและศึกษากีต้าร์ทุกแง่มุม ในแบบของคนที่รักและสนใจนะครับ ไม่ใช่แบบคนที่ทำงานด้านดนตรี เขาเลยแนะนำให้ผมซื้อของที่มันเป็นทรัพย์สินได้ด้วย ผมจึงไปมอง ibanez ความจริงผมชอบ gibson มากกว่าแหละ แต่รู้ว่ามันแพงมาก ผมตั้งงบครั้งแรกไว้แค่ 3 หมื่นเอง สำหรับ ibanez ป้ายแดง (อย่าขำสิ ผมไม่รู้) นั่งดู ibanez ไป 3 วัน ก็เริ่มได้เรียนรู้ว่า
ถ้าเราคิดจะเก็บของที่เป็นทรัพย์สิน ก็ต้องเล่นของ made in usa หรือ made in japan เท่านั้น japan งานเนี๊ยบละเอียดปราณีต บางยี่ห้อ us เป็นงานต้นฉบับ แม้เจแปนจะทำได้งดงามกว่า แต่ราคาก็สู้ของ original ไม่ได้
สำหรับยี่ห้อที่มีการผลิตนอกอเมริกา ถ้าเป็นงาน custom เขาจะไม่ปล่อยไปให้ประเทศอื่นทำ เพราะขายได้ด้วยความเชื่อถือของนักดนตรี จึงจะต้องควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวด(กิบสันมีโรงงานคัสตอมโดยตรงแยกต่างหากไป) เขาจะใช้คนงานเดิมๆ ที่มีทักษะเฉพาะ ค่าแรงญี่ปุ่นไม่ได้ถูกกว่าอเมริกานะครับ แต่ถ้าคุณเป็นคนสร้างงานต้นแบบ คุณคงคัดวัสดุที่ดีที่สุดไว้ผลิตงานเกรดพรีเมี่ยมของตัวเองก่อนเป็นธรรมดา
ยังมีหลายยี่ห้อที่ขยายฐานการผลิตไปอินโด/มาเลย์ เขาว่ากันว่า งานมันแตกต่าง ข้อดีคือ มันก็ยังคงเป็นยี่ห้อเดียวกัน และราคาจับไหวในแบบที่ไม่ต้องหนักใจมากนัก แค่ถ้าคิดขาย จะลำบากหน่อย
ผมไม่คิดขายอาจื่อ แต่ก็ต้องคิดถึงเรื่องคุณค่าด้วย ถ้าพอมีศักยภาพให้คิดไหว ถ้าไม่มีและเสี้ยนจนทนรอไม่ได้ ความคิดผมก็จะปรับเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ คนเราควรปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ให้ได้เร็วๆ จะได้อยู่รอดและมีความสุขตามสมควร
พวกงาน made in โน่นนั่นนี่ ทำให้ผมนึกถึง marshalls made in vietnam งานเนี๊ยบทีเดียว ผมว่าการที่จะควบคุมคุณภาพได้มากแค่ไหน มาจากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโรงงานนั่นแหละ บริษัทญี่ปุ่นหลายๆ แห่งที่เข้ามาลงทุนในไทย ขยายฐานการผลิตไปลงที่เวียดนามหลายปีมาแล้วนะครับ เพราะค่าแรงต่ำกว่า แต่คุณภาพของงานเขาไม่ได้ต่ำกว่าเราเลย แล้วทำไมมาตรฐานการผลิตของบริษัทลูกในบางประเทศถึงดูแปลกๆ อันนี้ไม่รู้แฮะ
เมื่อผมเลือกที่จะหันหลังให้งานอินโด/มาเลย์ และเริ่มรำคาญกับเรื่องฐานการผลิตที่มันจะเยอะอะไรกันนักหนา เจ้าน้องชายจึงหาทางออกให้ว่าลองดู gibson ไหม ไม่ว่ารุ่นไหนมันก็ผลิตในอเมริกาทั้งนั้น ถ้าออกมาจากอเมริกาจะตีตราชื่ออื่น แล้วต่อด้วยคำว่า by Gibson อ่ะอย่างนี้น่าสนใจ
ผมเริ่มจากการเข้าเวบของเขา ไล่ดูที่มันราคาราวสามหมื่นบาทไทย ที่จะพอเล่นไหวคือรุ่น Studio ซึ่งมีการเจาะไม้ลดน้ำหนักมานาน มันเบาลงก็ใช่ แต่เสียงที่ได้จะโดนใจผมไหม ยังไม่รู้อีกเหมือนกัน ต้องไปลองฟัง มีรุ่นหนึ่งใช้ไม้ walnut! ก็สวยดีครับ สงสัยจังว่าเสียงมันจะเป็นยังไง แล้วจะมีใครกล้าเล่นไหม
คอนเซปเบื้องต้นคือ ไปร้านที่ขายกิ๊บสันโดยตรง คือร้านเบ๊เงียบเส็ง เราจะเข้าไปขอลองทุกรุ่นที่คิดจะเอาแน่ๆ และราคารับไหว ที่เหลือก็ลุ้นเอาว่า เสียงจะถูกหูเราไหม
ตรงนี้อยากเล่าไว้ ถ้าไปเจอผู้ขายอย่างนี้ก็ถือว่าโชคดี กรุณาแนะนำต่อๆ กันไป ให้คนดีๆ อยู่ได้ คนร้ายๆ ไม่ต้องอยู่ ถ้าคุณเจอเจ้าของกิจการหรือลูกหลานของเขา ถ้าเขาเห็นว่าลูกค้ายืนรออยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนดูแล เขาเดินเข้ามาถามเองว่า สนใจอะไรครับ ไม่ว่าลูกค้าจะสนใจของหลักร้อยหรือหลักแสนก็ให้ความใส่ใจ สุภาพ และเชื้อเชิญให้ทดลองสินค้าเขาได้ นี่คือคนที่รักดนตรี แค่เราชอบเครื่องดนตรีของเขา เขาก็มีความสุขแล้ว อารมณ์ประมาณนั้น นี่ผมเจอจากร้านเบ๊เงียบเส็งกับธีระมิวสิค
หรืออย่างร้านฟิวชั่นมิวสิคที่ผมไปพาอาจื่อมาอยู่ด้วย นั่นให้เด็กอายุ 13-14 มารับหน้า แต่ผมคิดว่าร้านเขาคงมีกล้องวงจรปิดเพียบ คาดว่าเจ้าของน่าจะดูอยู่เป็นบางครั้ง และให้คำแนะนำเด็กที่มาดูแลเรา เด็กนั่นมีความรู้พอควรทีเดียว ไม่คุยโวแต่มันรู้จริง วิธีเทคแคร์ลูกค้าก็น่าประทับใจ อย่างนี้เรียกว่าสอนมาดี บางทีอาจเป็นลูกหลานเจ้าของกระมัง ดูจากพฤติกรรมไม่เหมือนคนที่ถูกว่าจ้างมาเฝ้าร้าน
แต่บางร้านกลับทำให้ผมแปลกใจ ตกลงคุณเปิดร้านเพื่อจะขายของรึเปล่า ถึงได้จ้างพนักงานที่ขาดคุณสมบัติผู้ขายมาเฝ้าหน้าร้านให้ เราอาจพยายามเข้าใจ เด็กมันขี้เกียจหยิบ ขี้เกียจเช็ด ขี้เกียจระวัง ลูกค้าจะดูของได้แค่ไหน เขาก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม! อีกเคสคือพนักงานทำท่าดูหมิ่นลูกค้า หรือแสดงออกในเชิงข่มว่าลูกค้าไม่รู้เรื่อง งานนี้จบแน่ๆ อีโก้เป็นเรื่องที่เคลียร์ยากที่สุดแล้ว
ถ้าเราลองฟังคลิปอย่างเดียวแล้วสั่งทางเนทล่ะ สำหรับผมคิดว่าเป็นเรื่องยากนะ เขาใช้แอมป์มาร์แชลแพงๆ อัดผ่านอะไรมาก็ไม่รู้ ปรับแต่งเสียงมาอีกไหม เสียงหน้าตู้หรือเสียงกีต้าร์ ผมไม่คิดจะเชื่อถ้าไม่ได้ไปลองฟังที่ร้านด้วยหูตัวเอง ผมต้องการกีต้าร์ที่เสียงของมันดีด้วยตัวเองก่อน โดยไม่สนแอมป์ ทำไมต้องอย่างนั้น เพราะตอนนี้ผมหมดตูดไง แอมป์หลอดมาร์แชลขนาด 15 วัตต์ตัวหนึ่งก็ปาเข้าไปเกือบ 2 หมื่นละนะ บนงบประมาณที่จำกัด มันเลยกลายเป็นเรื่องเหนื่อยยากซึ่งสร้างความประทับใจให้ผมกับน้องและอาจื่อไปเลย

ย้อนกลับไป เมื่อผมตัดใจจาก ibanez แล้วหันมามองกิ๊บสันสตูดิโอรุ่นที่สูงขึ้น จากสามหมื่นลามปามไปถึงห้าหมื่น นั้นคือเต็มที่ๆ ผมไหวแบบหมดตัวกันไปเลย แต่ไอ่น้องชายผมเริ่มทนดูไม่ได้ เขารับไม่ได้ในสิ่งที่ต้องจ่ายน่ะครับ คุณค่ากับมูลค่ามันไม่เหมาะสม เราเริ่มคุยกันถึงเหตุผล ซึ่งสุดท้ายผมก็ยอมรับความเป็นจริงที่แสนรันทด
ของมือหนึ่งดูดีก็จริง แต่กิ๊บสันเจาะไม้มันก็ไม่ใช่ ในความรู้สึก อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของเราพี่น้องนะครับ เขาบอกผมว่า ห้าหมื่นนี่เกือบซื้อสแตนดาร์ดมือสองได้แล้วนะมึง คนเขาเล่นกัน เบื่อก็ขายต่อได้ ราคาป้ายแดงเก้าหมื่นถึงแสนกว่า ผ่านมา 20 ปี ราคายังวิ่งอยู่ที่ 5-7 หมื่นมาตลอด เอางี้ไหม ลองหากันดูก่อน ถ้ามันไม่มีดีๆ ให้เอาได้สักตัว ค่อยว่ากันใหม่ (ผมเคยอ่านเจอที่เมืองนอกเขาวิเคราะห์กัน ราคา LP Std ‘9x มือสอง เหวี่ยงตัวขึ้นลง มีกราฟให้ดูยังกับหุ้นเล่นรอบ)
ผมไม่รู้เป็นอะไร เชื่อความรู้ของไอ้หมอนี่จัง ไม่ได้หลงน้องหรอกครับ แต่รู้ว่าเขาชอบและสนใจศึกษาเรื่องกีต้าร์(กับรถ)แบบลงลึกมาหลายสิบปี หมายถึงทุกชิ้นส่วนที่นำมาประกอบกันเป็นกีต้าร์น่ะครับ เช่น วัสดุแต่ละชิ้นส่งผลต่อเสียงอย่างไร ใช้แตกต่างเพื่อหวังผลอย่างไร กินเหล้ากันทีไร ผมก็จะได้ฟังอย่างละเอียด แต่ผมจำไม่ได้เป๊ะๆ หรอกครับ มันลึกซึ้ง ซับซ้อน
พอผมเห็นด้วย เราก็จำกัดวงเข้ามาว่าจะเล่นรุ่นไหนได้บ้าง ของในตลาดน่ะมีเยอะครับ แต่จะเอาได้สักตัวไหมก็ต้องออกท่องร้านกัน เหมือนตอนผมหารถมือสองนั่นแหละ จะต้องล้มเหลวอีกไหมก็มีให้ลุ้น เราสโคปกันว่า หาสแตนดาร์ดปี 9x ยังมีหลงไปมองรุ่น tradition 120 anniversary กับรุ่น supreme กันด้วยนะ ตัวฝังบอกเฟรทมันสวยสัส ตรงที่ปิดสวิทช์ 3 ทางด้านหลังก็ด้วย ในรุ่น custom ก็มีให้เห็น
แต่เจ้าน้องชายทำลายความหลงของผมโดยการบอกว่า มันมีขาย มึงอยากมาก ซื้อมาเปลี่ยนก็ได้ (แต่ตัว+ ไม่มีขายแฮะ ถ้าเอามาติด คงกวนส้นตีนดี) จากนั้นยังลามปามไปถึงตัว LP Std custom reissue ‘59! ชักจะเริ่มหนักข้อ นั่นมือสองมันแสนสี่ เกินงบผมไปบานๆๆ แล้ว เขากลับบอกว่า กุมีให้มึงยืมได้สบายๆ คืนกุเดือนละห้าพันพอ ไม่คิดดอก โอ่ะ อินี่! เจอคนใจถึงด้วยกันนี่น่ากลัวนะ หนี้สินจะรุงรัง ผมเลยด่าเขาไปว่า มีเจ้าหนี้ที่ไหนอยากให้ยืมเงินเยอะๆ กันวะ
จากนั้นเขาก็ลงลึกศึกษารายละเอียดว่ารุ่นนั้น ปีนั้นๆ งานผลิตเป็นอย่างไร เช่นตัวไม้ ฟิงเกอร์บอร์ด ไม้แปะหน้า การ binding มีไหม ปีไหนเต็มไม่เต็ม ใช้ฮาร์ดแวร์รุ่นไหนยี่ห้ออะไร ยันการ wiring ... เดจาวู! ช่างเหมือนตอนเตรียมตัวไปหารถมือสองยังไงยังงั้น จากตอนแรกที่ผมบอกว่าจะเก็บเงินสักพัก ทีนี้พอความอยากมันพลุ่งพล่าน พลันโบนัสก็ออก เสร็จดิ เงี่ยน มีเงิน ช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้ ผมคงกำลังดวงขึ้น อยากได้อะไรก็ได้ดังใจไปทุกอย่าง คนที่ไม่เคยอยากได้อะไรเลยมาหลาย 10 ปี ตอนนี้กลับรู้สึกดีที่ได้อยากอะไรบ้าง มีโอกาสเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยากอยู่ตลอดเวลาสักที
จากนั้น เมื่อเขาพอมีเวลาก็หาร้านในเนทแล้ววิ่งไปดูได้สัก 2-3 แห่งที่เชื่อถือได้ เช็คประวัติร้าน เจ้าของร้าน เมื่อก่อนมีหลายร้านที่เคยไปดูแล้วได้ประสบการณ์แย่ๆ กับสภาพสินค้ามา จนเลิกล้มความคิดกับของมือสองไปเลย ปัจจุบันมีเนทใช้ก็ช่วยเรื่องการตรวจสอบ ดูสภาพโดยรวมเบื้องต้น ก่อนไปดูของจริง ซึ่งส่วนใหญ่ภาพเขาก็ถ่ายครบ เขาก็ไม่อยากลุ้นมากเหมือนกัน เลยจะบอกความจริงทั้งหมด
น้องผมยังไม่เจอของที่จะตัดสินใจได้ เราเลยตกลงกันว่าผมต้องไปดูเองด้วย เพราะมันเป็นของๆ ผม ต้องเป็นผมที่ถูกใจที่สุด (ตอนหารถเขาก็พูดอย่างนี้ เล่นเอาผมบักโกรกเลย!) ซึ่งผมเชื่อใจการเลือกของเขาอยู่แล้ว (ด้วยสิ่งที่เขารู้และวิธีที่เขาคิดอะนะ) แต่เขาไม่ยอมอยู่ดี ผมเลยแพลนไว้ว่าจะเข้ากรุงเทพวันที่ 29 หลังเที่ยง

วันที่ 29 มีทำบุญเลี้ยงพระช่วงเช้าครึ่งวัน เงื่อนไขคือถ้าใครไม่มาต้องเสียวันลา 1 วันเต็มของปีถัดไป ได้ งั้นกูมา เพราะผมต้องเก็บวันลาอันแสนมีค่าไว้หาหมอปีละ 6 วัน ยังไม่รวมเผื่อหมอสั่งตรวจพิเศษหรือป่วยหรือกรณีฉุกเฉินจำเป็น พอให้กลับได้ ผมก็เข้าบ้านแล้วให้พ่อไปส่งขนส่ง ไปรถตู้ครับ ช่วงปีใหม่น้องมาบ้านอยู่แล้วจะได้กลับพร้อมเขาวันที่ 30 เพราะคุณอามา ดังนั้นเรามีเวลาแค่ 29 เย็นไปถึง 30 บ่าย ถ้ายังหาไม่ได้ก็ต้องทิ้งไว้ให้น้องหาให้ แล้วมา confirm อีกรอบ
ที่คาดไม่ถึงคือผมต้องรอรถ 3 ชม ซื้อตั๋วตอนเที่ยงครึ่ง รถออก 4 โมงกว่า! ถึงหมอชิต 6 โมงเย็น เข้ากรุงเทพใช้เวลา 5 ชั่วโมง! ไปจีนยังเร็วกว่านี้ไหม บริเวณโดยรอบหมอชิตรถติดมาก เพราะคนมาส่งผู้โดยสารกลับต่างจังหวัด น้องผมรถติดอยู่ใกล้ๆ นั่นแหละ ผมเดินไปเข้าห้องน้ำในหมอชิต คนนั่งกันเต็มพื้น ขณะที่ผมรอน้องมารับ ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่และไม่ทำท่าจะหยุด ผมงงนิดหน่อย พอเจอหน้าน้องก็ขำกัน อุปสรรคเยอะแฮะ เรากินข้าวมื้อล่าสุดคือเมื่อเช้า แล้วไม่ได้กินแบบเป็นเรื่องเป็นราวด้วย ผมได้กาแฟไปกระป๋องตอนรอรถ มันง่วงสัส
ตอนไปถึงผมไลน์ถามน้อง กูจะเข้า 7 มึงเอาอะไรไหม เขาบอกไม่เอา ผมก็รู้แล้วว่าไม่ได้แดกข้าวแน่ เลยจัดมาอีกกระป๋อง พลางนึกถึงที่หลานชายพูดให้ฟัง หิว ก็ไม่ใช่ว่าจะได้กินนะกู๊ ฟังแล้วรู้สึกน่าสงสาร แต่ผมขำว่ะ ซึ่งน้องผมบอกว่า มันต้องหัดอดทน ปรับตัวให้เก่ง รับได้ทุกสภาพ เด็กมันทนได้ หมายังไม่ตายเลย เออ สอนลูกอย่างนี้ก็ดี โอ๋มากจะลำบากตอนโต ทั้งเขา ทั้งเรา ทั้งคนรอบข้างเขา อย่าสร้างเด็กที่จะไปก่อปัญหาให้คนอื่นได้ จะดี
ผมยังจำตอนหลานยังเด็กๆ ได้ มื้ออาหารถ้าไม่กินก็ไม่มีให้กินแล้วนะ แล้วไม่มีจริงๆ เขาจะลดความยุ่งยากในการแสดงพฤติกรรมเรื่องกินไปได้เยอะ ใครยังต้องวุ่นวายกับเรื่องกินของลูก ลองเอาไปใช้ดู ที่เอามาพูดตรงนี้เพราะรู้ว่า คนที่คิดจะซื้อกีต้าร์แพงๆ มาชื่นชม ถ้าตัดคนรวยออกไป ต้องชอบจริงจนใฝ่ฝันหา ส่วนใหญ่ก็คนทำงาน มีลูกเมีย และต้องแอบเมียมาซื้อด้วย ผมเดาถูกใช่ไหม ขนาดผมไม่มีเมียยังต้องแอบน้องสะใภ้เลย กลัวเขาด่าเอาว่าเป็นไปกันหมดทั้งพี่ทั้งน้อง!

เรากลัวไปไม่ทันร้านแรก ซึ่งตั้งอยู่บนถนนเส้นจากวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยไปมาบุญครอง เลยตัดสินใจยังไม่ต้องกิน เราจอดรถทิ้งไว้ที่หมอชิต ซึ่งคิดค่าจอดเป็นชั่วโมง แล้วเรียกแทกซี่ไปกัน เพื่อไม่ต้องไปหาที่จอดรถ ฝนตกแบบเทน้ำเทท่า ผมได้เห็นน้ำท่วมถนนเป็นบุญตาก็วันนี้ รถติดบรรลัย ระยะทางอีกแค่ 1 กม ติดอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ผมยอมใจคนกรุงเทพจริงๆ แถวนี้เคยมาบ่อยครับ ตอนน้องผมเรียนกรุงเทพ ผมจะเข้ามาเดือนละครั้งมั๊ง มากินเหล้าฟังเพลงกันแถวนี้แหละ
ร้านแรก เดินฝ่าฝนหากันพักนึง ผมจำชื่อร้านไม่ได้ ถึงจำได้ก็บอกไม่ได้ ผมเล่าเลยแล้วกัน
เข้าไปถึง เจอฝรั่งหนุ่มๆ นั่งเล่นโชว์ เล่นเก่งไหมผมไม่รู้ เพราะเปิดแอมป์เบาไปจนไม่ได้เสียงเต็มๆ มันก็จะออกบี้ๆ ไม่รู้เสียงมันได้จริงๆ แค่ไหน อีกอย่าง ผมว่าการลองกีต้าร์ตัวเดียวนานไปจะทำให้เทียบเสียงกับตัวอื่นยาก เพราะมันจะลืมเสียงตัวก่อน แล้วมาคุ้นเสียงตัวใหม่แทน!
ผมก็งงเนอะ มึงจะซื้อกีต้าร์ ก็ทดสอบของแบบที่จะซื้อสิ เล่นโชว์มันได้ test ทุก fret ไหม พนักงานขายมี 2 คน เป็นชายหนุ่มชาวพม่า คิดว่าใช่นะ พูดไม่ชัด สำเนียงก็ราวนั้น ยืนเฝ้าฝรั่งทั้งคู่! เห้ย แบ่งมาสักคนดิ นี่มึงคิดว่ากุมาร้านมึงเพื่อดูของเล่นๆ ตอนทุ่มนึงเหรอวะ
พอฝรั่งจากไปเราถึงเริ่มได้รับความสนใจ ระหว่างที่รอเราก็ดูไปรอบๆ ว่าเขามีอะไรบ้าง สภาพของเป็นอย่างไร เรามาไกลและลำบาก ยิ่งผมข้ามจังหวัดมา ยังไงเราก็รอ เพื่อดูให้เห็น จะได้ประเมินสินค้าเขาได้และไม่พลาดของดีไป ของบางชิ้นมันอยู่สูง บางชิ้นอยู่ลึก แต่ถึงยังไงเราก็ต้องถามก่อนอยู่ดี ว่าขอดูตัวนั้นตัวนี้ได้ไหม ต้องมีมารยาทกับคนอื่นครับ แม้เขาจะไร้มารยาทกับเราก็ตาม พื้นที่แคบมากจนผมเครียด กลัวทำของเขาไปชนอะไร จากการดูของทั้งร้านแล้ว จะว่าไงดี พูดไปจะคิดว่าอคติไหม ผมว่าคุณไปเห็นด้วยตาเองดีกว่า ทั้งยี่ห้อ สภาพของสินค้าที่จับมาขาย ที่สำคัญ ราคาที่เขากล้าตั้ง!
เรื่องพื้นที่ให้ทดลองสินค้าก็เป็นเรื่องน่าคิดครับ มันคือความใส่ใจและบริการ ซื้อรถยังต้องมีพื้นที่ให้ลอง เครื่องดนตรีก็ไม่ต่างมั๊ง ผมเคยอ่านเจอที่ชลบุรีมีร้านหนึ่ง เขามีเอี๊ยมเตรียมไว้ให้ลูกค้าใส่ การทำอย่างนั้นได้ประโยชน์ 2 ทาง
1. กีต้าร์ของเขาจะรอดพ้นจากการถูกกระทบขูดขีดกับระดุม เข็มขัด ของผู้มาลองสินค้า
2. ผู้ซื้อก็สบายใจที่มีการป้องกันระดับหนึ่งในขณะทดลองสินค้า
มันบ่งบอกถึงความละเอียดอ่อน รอบคอบ ของผู้ขายต่อสินค้าที่คุณจะไปซื้อ ซึ่งสร้างความรู้สึกที่ดีให้ลูกค้าได้เยอะเลย
สภาพกีต้าร์ที่วางไว้ในแต่ละร้าน ทำให้พอมองเห็นว่าร้านนั้นๆ เข้าถึงผู้ขายกลุ่มใด จึงได้ของกลุ่มนี้มา
ผมพอเข้าใจ อันนี้เทียบกับเต๊นท์รถได้เลย เขาก็อยากได้ของดีมาขายแหละ แต่มันจะมาถึงมือไหมก็เป็นอีกเรื่อง อีกอย่างคือของดีของคนขายกับคนซื้อ มันต่างกันมากนะ อย่างตอนที่ผมไปหารถมือสอง บางคันสภาพแย่จนคิดว่าใครจะมาซื้อวะ แต่เต๊นท์เอามาขาย เขาย่อมคิดว่ามันดีพอ ที่เหลือก็แค่ทำทุกวิถีทางหลอกให้คนซื้อจ่ายเงินเอามันไปให้ได้
ดังนั้น อย่าเชื่อคำพูดใคร ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ยิ่งคนที่ดูเหมือนจะหวังดียิ่งควรระวัง(พิจารณาพฤติกรรม คำพูด และเจตนาของเขาให้ดีนะ) เคยได้ยินคำว่าหวังดีประสงค์ร้ายไหมคุณ เจอเข้าไปจะเจ็บสัส จงเชื่อสายตาและวิจารณญาณของตัวเอง เราย่อมรู้ดีที่สุดว่าตัวเราต้องการอะไร ถ้าผิดพลาดก็เพราะเราไม่รู้พอ(หรือโง่เอง) จะได้ไม่ต้องไปโทษคนอื่นว่าเราพลาดเพราะเขาหลอก ซึ่งก็แปลว่าเราอ่อนหัดและโง่เองอยู่ดี

ทีนี้มาว่ากันด้วยเรื่อง สายเพี้ยน ผมจะทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ให้คุณดู
เราทุ่มเทกายใจค้นหา ใช้เงินที่เก็บสะสมมาอย่างยากลำบาก! เพื่อหากีต้าร์ดีๆ สักตัว แล้วผู้ขายปฏิบัติกับเรายังไง ส่วนนี้อาจเรียกว่า สายกีต้าร์ส่อสันดานคน  ผมจะเล่าประสบการณ์จาก 3 ร้านที่เจอ ให้คุณได้เห็นความแตกต่างในวิธีการจัดการของผู้ขายแต่ละเจ้าแล้วกัน
ปกติผมจะเริ่มจาก ถ้าเสียงไม่เพี้ยนมากก็ยังไม่สนเรื่องตั้งสาย มันจะเสียเวลาที่เรามีอย่างจำกัด ลองฟังเสียงทุกแบบก่อนว่าได้ใจรึเปล่า ไม่ได้ก็ผ่าน ถ้าเสียงเขาน่าสนใจ ต้องตั้งสายคร่าวๆ ละ จะได้ลองดันสายแรงๆ เพื่อเช็คคุณภาพของลูกบิดกับสะพานรองสาย ที่ไม่ควรดันที ต้องตั้งสายใหม่ที!
ร้านแรก ที่ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อให้เสียปาก! (ไม่แค้นครับ แต่เคืองที่ทำให้เราเสียเวลา!)
กีต้าร์เสียงเพี้ยน ซึ่งเราไม่ได้สน ดีดมันทั้งเพี้ยนๆ นั่นแหละ การฟัง sound ให้ออก ไม่จำเป็นต้องไล่สเกลนะว่าไหม เราลองเสียงคลีนกับเสียงแตก ดูว่ามันได้แค่ไหน แต่ เจ้าเด็กสองคนนั่นสบตากันแล้วยิ้ม อ่าว นี่เรียกว่าลองของหรือดูถูกลูกค้ากันแน่? เราไม่พูดอะไร ไม่แสดงอะไร สังเกตพฤติกรรมของพวกเขาเงียบๆ เก็บมาวิเคราะห์กันทีหลัง
ด้วยความที่เสียงมันน่าสนใจ แต่เพี้ยนมากจนแกว่ง เราจึงต้องยอมเสียเวลาตั้งสายหยาบๆ แบบฮาร์โมนิค(ผมว่ามันฟังง่ายสุดนะ) ซึ่งลูกบิดตัวหนึ่งมันหลวมเสียจน กว่าจะปรับได้ต้องทั้งหมุนทั้งคลายอยู่นั่นแหละ เจ้าเด็ก 2 คนนั่นยังคงยืนยิ้มให้กัน โดยไม่เสนอตัวช่วยอะไร
ผมลองคิดว่าเพราะอะไร เขาอาจไม่รู้วิธีบริการลูกค้า หรือทั้งร้านไม่มีเครื่องตั้งสายสักอัน หรือเขาเองก็ตั้งสายไม่เป็น แต่เขาขำเรานี่ แปลว่าเขาน่าจะฟังออกว่าสายเพี้ยน ไม่ว่าจะด้วยเหตุไหน มันก็ไม่ได้สร้างความประทับใจใดๆ ให้เราเลย กับลูกค้าคนอื่นก็คงไม่ต่างกันมั๊ง
เราถามว่าจะปรับแอมป์ให้เสียงแตกยังไง เขาเดินมาหมุนๆ ให้ โดยไม่พูดจา อันนี้ไม่แน่ใจว่าเขาไม่อยากเสวนากับเรา หรือไม่กล้าพูดกับเราเพราะไม่มั่นใจสำเนียงตัวเอง ขณะที่ลอง เด็ก 2 คนยืนจ้องอยู่นั่น จนเราคิดในใจ จ้องหาพ่อมึงหรา
ร้านฟิวชั่นมิวสิค
หยิบกีต้าร์มา ยังไม่ทันเสียบแอมป์ เด็กบอก เดี๋ยวพี่ ผมเอาตัวตั้งสายให้ เราบอก ไม่เป็นไร พี่ลองเสียง ตั้งสายคร่าวๆ ก็พอ เขาก็ยังไปหามาให้ บอกวิธีใช้แอมป์กับเครื่องช่วยที่วางเตรียมไว้ให้ลูกค้าลอง บอกเราว่า พี่ลองได้ทุกตัวเลยนะ ตามสบายเลยพี่ พอต่างฝ่ายต่างเกร็ง น้องเขาก็ขอตัวไปห้องอื่นเพื่อรักษามารยาท
เราบอกขอลอง Standard ธรรมดา น้องเขายังหาไม่เจอก็คว้า Reissue 58, 59 มาให้ลองไปก่อน 2 ตัว! โดยไม่มีอาการหวงของสักนิด ถ้าคุณไปเห็นร้านเขาแล้วจะเข้าใจว่าทำไมหาไม่เจอ ของเขามีเยอะมาก ของดีทั้งนั้น
จากนั้นเราขอเช็คระบบการเดินสายไฟดิ๊ปตัวที่เราคิดจะเอา แต่บอกเขาชัดเจนว่ายังไม่ซื้อนะ ยังตัดสินใจไม่ได้ ขอดูก่อนได้ไหม เขารีบไปหาไขควงมาให้ บอกเราว่า ถ้าไม่แน่ใจ เดี๋ยวผมไปตามพี่อีกคนมาช่วยดูให้ คนนั้นเขาเก่งเรื่องระบบ wiring ครับพี่
ร้านเบ๊เงียบเส็ง
เมื่อราวปี 2006 น้องผมจะซื้อ jackson มือหนึ่งคันโยก floyd rose เจอลูกชายเจ้าของร้าน เราไม่เคยใช้ ตั้งโคตรยาก(ปัจจุบันถ้าเปลี่ยนสายก็ยังใช้เวลาเป็นชั่วโมงอยู่) เขาเอาเครื่องตั้งสายดิจิตอลมาให้ เราก็ใช้ไม่เป็น เขาเห็นท่าทีของเรา ก็เสนอตัวว่า ผมตั้งให้ไหมครับ คนไม่เคยใช้มันจะยากหน่อย (ดูความสุภาพและวิธีเลือกใช้คำพูดของเขาสิ!)
ตั้งสายเสร็จ ลอง 5 นาทีก็ซื้อมา ยังมีถาม พี่เอาตัวนี้เลยเหรอ จะดูของในสต๊อคก่อนไหม ผมไปเอามาให้ดู เพราะเขารู้ว่าต่อให้รุ่นเดียวกันเสียงมันไม่เหมือนกันเป๊ะ ลายไม้ก็ด้วย แต่เราพอใจแล้วเลยไม่รบกวนเขาเพิ่ม จ่ายเงินแล้วยังให้เบอร์ส่วนตัว บอกเราว่าถ้าพี่ติดปัญหาเรื่องตั้งสายโทรมาปรึกษาได้เลยนะครับ

คนที่จะซื้อกีต้าร์จริงๆ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีในการลองเสียงแบบต่างๆ อีก 5 นาทีเช็คเฟรททุกจุด อีก 5 นาทีดูความเรียบร้อยของกีต้าร์ทั้งหมด ถ้าพอใจก็ซื้อได้แล้ว บางท่านเซียนๆ อาจใช้เวลาน้อยกว่านี้อีก ไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งหรือมือสอง ดังนั้น ถ้าร้านค้าไม่อยากให้เราอยู่นาน คุณก็ตั้งสายไว้สิ เราจะได้เลือกๆ ซื้อๆ แล้วไปให้พ้นหน้าซะ
ไว้คุณไปลองกันนะ ทั้ง 3 ร้านเลย ได้ผลยังไงเอามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ หรือถ้ามีร้านแนะนำก็ช่วยบอกผมด้วย ผมยังคิดจะซื้อเพิ่มอีก
สำหรับร้านแรกที่ไม่บอกชื่อ เราดูไป 2-3 ตัวก็ไม่มีอะไรให้ติดใจแล้วครับ ถ้าติดใจจะลำบาก มายาก ผมยกตัวอย่างละกัน เช่น กีต้าร์ตัวหนึ่งโวลุ่มมีเสียงแทรก+ลูกบิดหลวมไปหน่อย อีกตัวด้านหลังมีร่องรอยราวกับถูถนนมา อีกตัวโทรมจนผมอธิบายไม่ถูก แต่ตั้งราคาติดเพดานทุกตัว เราลองถามว่าลดได้เต็มที่เท่าไหร่ ราคาที่เขาให้ได้ ก็ยังแพงกว่าที่ควรจะเป็นไปมาก
คนเรามองสินค้า ย่อมเทียบคุณภาพกับราคากันทั้งนั้น ถ้ามันเหมาะสม ผมก็ไม่ mind เรื่องพฤติกรรมกับมารยาทแย่ๆ ของเด็ก 2 คนนั้นหรอกครับ เพียงแต่รุ่นที่ผมสนใจ ของที่เขามีต่อให้ตั้งราคาต่ำสุด ผมก็คงไม่เอาเพราะเห็นแก่ว่ามันถูก ผมเองก็นิสัยไม่ดีแหละ เห็นสภาพแล้ว แน่ใจแล้วว่าซื้อไม่ลง ยังอยากรู้ว่าเขาจะให้ราคาได้เท่าไหร่
อาการยังกับเปิดร้านไว้ให้เมียน้อยมีงานทำเลยว่ะ(อุ๊ย ปากจัด) ผู้จัดการร้านสนใจเช็คราคากลางในตลาดบ้างไหมครับ ผมยังสงสัยว่าเจ้าของร้านสนรึเปล่าว่าเดือนๆ ขายได้กี่ตัว มีการประเมินบ้างไหมว่าขายได้เพราะอะไร ลูกค้ามาดูอะไรบ้าง ที่ดูแล้วไม่ซื้อเป็นเพราะอะไร ผมว่าถ้าเขาสอนพนักงานให้รู้จักการบริการที่ดี และรู้วิธีการเก็บข้อมูลเพื่อเอาไปปรับปรุง จะดีเลย เพราะของที่เขามีค่อนข้างหลากหลาย เข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม
น้องผมบอกว่า อย่าไปด่าเขาเยอะนัก อะไรดีๆ ก็เขียนไปด้วย ก็เขียนแล้วนะ มีแค่นั้นแหละ! อาจเป็นเพราะผมต้องเจอภาพลบตั้งแต่เข้าไปยันกลับออกมา เลยไม่มีอารมณ์จะไปมองหาอะไรดีๆ ถ้าคุณเจอก็เอามาแชร์แล้วกัน
เมื่อได้ข้อสรุปว่าไม่ต้องย้อนมาที่นี่อีกแน่ๆ เราก็สบตากัน ขอบคุณเขาแล้วร่ำลา ออกมาเรียกแทกซี่กลับไปหมอชิต
ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าให้ไปดูด้วยตาตัวเอง อย่าเชื่อผม (การเชื่อคนง่าย อาจหมายถึงโง่ก็ได้อีก) ร้านเขาไม่ใหญ่เท่าไหร่ ทางเดินแคบสัส แต่มีของให้ดูจนเพลิน เดินทะลุลานร้านแดกๆ ไปครับ ไม่แน่ ตอนที่คุณไป อาจมีอะไรที่คล้ายเนื้อคู่ นั่งรอคุณอยู่!
ขณะดูสินค้า ไม่ว่ารถหรือกีต้าร์ เราจะไม่ใช้คำพูดระบุจุดบกพร่องกันหรอกครับ แต่จะใช้สายตากับปลายนิ้วลูบลงไปโดยไม่ให้ผู้ขายรู้เห็นด้วย จัดเป็นการรักษามารยาทอย่างหนึ่ง และลดความรำคาญ ถ้าผู้ขายอยากจะพูด แต่เราไม่ได้อยากจะฟัง คิดเองได้ คิดเป็นครับ ถ้าอยากถามจะถามเอง การปล่อยให้อีกฝ่ายพูดพล่ามไปเรื่อยๆ เป็นการรบกวนสมาธิเรา ซึ่งคนขายแย่ๆ บางคนก็เจตนาที่จะทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและกลบเกลื่อนจุดบกพร่องบนสินค้าของเขา เราจะหลุดง่ายขึ้น ดังนั้น การตัดตัวแปรออกไป มันง่ายกว่า

อีกร้านที่เราจะไป เปิด 24 ชม. เนื่องจากมีห้องซ้อมดนตรีด้วย ดังนั้นเราไม่ต้องลนลาน หาข้าวกินกันก่อนเถอะ ฝนเพิ่งหยุดตกได้สักพัก ถนนกำแพงเพชร 2 น้ำท่วมปริ่มฟุตบาธ ผมเลยรู้ว่าการรอให้น้ำระบาย คือคำพูดที่เป็นจริง .. เพิ่ง 2 ทุ่มครึ่งเอง แดกกันก่อน มันเป็นคะน้าหมูไม่กรอบ+ไข่ดาวที่อร่อยสัส ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันอร่อยสัสๆ หรือผมหิวสัสๆ อยู่ด้านหน้าหมอชิตครับ เดินไปด้านที่เขารับส่งพัสดุน่ะ ใกล้ ง่าย สะดวก เร็ว อย่าสรรหา มาธุระ ไม่ได้มาเพื่อแดก มีอะไรให้กินบ้างก็บุญแล้ว
จากนั้นไป fusion music ถึงร้านราว 3 ทุ่มกว่า ฝนยังตกพรำๆ ในร้านมีเด็กวัยรุ่นนั่งทำการบ้านอยู่คน แต่ป้าย close! เราไม่สนเท่าไหร่ เนื่องจากถามข้อมูลไว้ก่อนแล้ว ผมยืนตากฝนสูบบุหรี่รอ น้องผมโทรหาเจ้าของ บอกเขาว่าเราอยู่หน้าร้าน เพราะเขาบอกว่าเปิด 24 ชม เลยมากัน เขาว่าเดี๋ยวเปิดให้ครับ ที่ปิดเพราะฝนมันตกหนัก คิดว่าคงไม่มีใครมากันแล้ว พักนึงน้องที่นั่งอยู่ก็มาเปิดให้ ดูเหมือนเขาได้ข้อมูลของเรามาแล้ว เพราะวันก่อนที่น้องผมมา เจอเด็กวัยรุ่นอีกคน ไม่ใช่คนนี้ เขาถามว่า ดูข้างบนใช่ไหมพี่ แล้วพาขึ้นไป มันเป็นบันไดวนนอกตัวร้านที่เปียกชุ่ม ผมตื่นเต้นเลย เวียนหัวและกลัวลื่น
ผมจะเล่ารายละเอียด เพราะอยากให้คุณเห็นภาพการเทคแคร์ลูกค้าที่ดี จะได้เอาไปลองเทียบกับที่อื่นที่คุณเจอ เพื่อประเมินว่าแต่ละที่ให้ความสำคัญกับความตั้งใจและเงินของคุณมากน้อยแค่ไหน
เบื้องต้นผมว่าผู้ขายดูออกนะ ว่าเราแค่มาดูเล่นหรือตั้งใจจะซื้อสักตัวจริงๆ ผมน่ะตั้งใจ ในกระเป๋ากางเกงยัดเงินสดไว้ 8 หมื่น (เงี่ยนสัส จนตั้งใจว่าจะต้องสอยกลับบ้านให้ได้สักตัว) ตะลอนๆ ขึ้นแท็กซี่ เดินซอกแซกไปทั่ว แต่งตัวจนๆ ไว้ครับ จะไม่มีใครสนใจกระเป๋าคุณ แต่ผมน่ะจนจริง ผมจะใช้เสื้อผ้าใส่สบายแค่ชุดเดียวเท่านั้น ไปได้ทุกที่!
ตอนคุยกับแท็กซี่เราบอกว่ามาหาหนังสือเก่าหายาก! บางทีเราก็เจอผู้ให้บริการที่ค่อนข้างเฟรนลี่! จะชอบหรือไม่ก็ควรคุยกับเขาไปเพื่อรักษามารยาทครับ อย่าเอาแต่ใจนักเลย มันจะกลายเป็นสันดาน แล้วนั่นจะทำให้คุณเป็นคนไม่นึกถึงจิตใจใคร นานไปคนอื่นเขาจะด่าเอาได้ว่า อีนี่สันดานไม่ดี พ่อแม่ไม่สั่งสอน! (อีนี่ เป็นได้ทั้งชายและหญิง ผมด่าผู้ชายว่าอีดอกบ่อยๆ 555++)
น้องผมเล่าว่า ครั้งแรกที่เขามา เด็กที่พาเขาขึ้นมาดูเชื้อเชิญว่า พี่ลองได้ทุกตัวเลยครับ แล้วไม่ได้มานั่งเฝ้านะ แต่อาจอยู่ที่พฤติกรรมของเราด้วย เราระวังของๆ เขามากแค่ไหน หยิบจับทนุถนอมนึกถึงใจเขาไหม กระแทกบิ่นนิดเดียว ราคาหายไปหลายพันนะครับ
วันนั้นเขาให้น้องผมลองกับมาร์แชล ร้านเขามีกิ๊บสันเกือบทุกรุ่น น้องผมก็ลองทุกรุ่น เสียงแม่มออกมาดีหมด ตายเลย เลือกไม่ได้ แต่ทั้งๆ ที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ เขาก็ถอดฝาหลังให้ดูการ wiring ว่าจริงตามรุ่นของมันไหม เขายังรับประกันสินค้า ถ้าพบว่ามีปัญหาเกินกว่าที่เห็น ณ เวลาที่ตกลงซื้อ-ขาย เขายินดีรับของกลับและคืนเงินให้เราเต็มจำนวน
น้องผมเลยเช็คสภาพของ แล้วถ่ายรูปส่งให้ผมดูด้วย พร้อมโทรคุยกับเจ้าของร้านคร่าวๆ ถามเวลาเปิด-ปิดร้าน แจ้งเขาไว้ว่าขอกลับไปตัดสินใจก่อน เช็คราคา 2 ตัวที่เข้าตา ว่าพอจะลดให้ได้สักเท่าไหร่ ขอเปรียบเทียบราคาในการจ่ายด้วยเงินสดกับบัตรเครดิต .. อ่ะ ไม่คร่าวๆ ละ!
ที่เคยกล่าวว่า เจ้าของร้านเขาเก่งและรอบรู้ทีเดียว เพราะครั้งแรกเขาให้เด็กจัดมาร์แชลให้ลอง ถ้าคนที่ยึดรุ่นไว้ในใจอย่างแน่นอนแล้ว จะไม่สนเสียงอื่น แต่เราลองหลายรุ่น ทำให้เขามองออกว่าเราไม่ยึดรุ่น แต่พยายามหาเสียงที่พอใจที่สุด นี่คือความน่ากลัวของแอมป์มาร์แชลกับกีต้าร์ดีๆ คุณจะไม่ต้องการสวรรค์วิมานอะไรที่ไหนอีกเลย
เมื่อมาร์แชลสร้างความสับสนให้น้องผม อีกครั้งที่เราไป ผมคาดว่าเขาบอกเด็กให้เราลองกับ fender (ผมสังเกตว่าเด็กไลน์คุยกับเจ้าของเรื่อยๆ เขาคงสอนวิธีจัดการกับเรา ผ่านการดูพฤติกรรมของพวกเราทางกล้องวงจรปิดกระมัง) ผมไม่ได้ว่าแอมป์ fender ไม่ดีนะครับ แค่มันไม่เข้ากันกับกิ๊บสันเท่านั้นเอง เมื่อลองกับเฟนเดอร์เราจึงได้ยินเสียงกีต้าร์ชัดๆ ทำให้ตัดสินใจเลือกได้ในที่สุด (ขอบคุณเฟนเดอร์นะลูก)
เราขอลองเฉพาะตัวที่เราจะจ่ายไหว มากกว่านั้นก็ไม่กล้าหยิบครับ เกรงใจเขา ที่เขาให้ลองด้วยท่าทีกระตือรือร้น ก็นับเป็นความกรุณามากแล้ว คนขายยังดูแฮปปี้อย่างจริงใจ  ที่มีใครมาหยิบจับทดลองกีต้าร์ของเขา
แต่ไอ้ R9 นั่น ช่างยั่วยวนใจ เรามองแล้วมองอีก จนผมไม่แน่ใจว่าเผลอทำน้ำลายยืดออกมารึเปล่า น้องเขาก็บอกพี่หยิบมาลองได้เลย ไม่ซื้อไม่เป็นไร น้องผมพูดเล่นๆ ว่า สนใจนะ แต่มีแค่แสนเดียวเนี่ย ไอ้น้องคนนั้นดันตอบว่า แสนนึงเจ้าของเขาน่าจะให้ได้นะพี่!  ชิบหายแล้วสิ โคตรใจ เราตกลงกันว่าถ้าเสียงได้ น้องผมจะไปกดเงินมาเพิ่มอีก 2 หมื่น เอาให้มันสิ้นเนื้อประดาตัวกันไปวันนั้น!
งั้นขอลอง โชคดีที่เสียงมันไม่ได้ใจเรา น้องผมริทึ่ม 2-3 ทีแล้วหยุด เรามองหน้ากันแล้วพูดออกมาพร้อมกันว่า ไม่ว่ะ  ความหมายคือเสียงมันไม่โดนใจเราเท่าเสียงอาจื่อ น้องผมหัวเราะเลย เขาว่า มึงดีใจล่ะสิที่ไม่ต้องเป็นหนี้ นี่คือที่ผมว่าไว้ตอนต้นว่าผมโชคดีที่เจอร้านที่มีของให้เราลองหลายรุ่น ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ เปลี่ยนแต่กีต้าร์ เราจะเทียบเสียงได้ชัดมาก
ที่ขำที่สุดคือตอนที่ขอลองตัว studio ราคาหมื่นห้า(มือหนึ่ง 3-5 หมื่น) กับแอมป์หลอด huges&kettner น้องมันเสียบให้เองเลย ราวกับจะล้อเราเล่นว่าจะมีเอฟเฟ็กยังไง เราลองเสียงคลีนกับเสียงแตกเหมือนทุกตัวที่ผ่านมา น้องผมอุทาน โห แอมป์ดีด้วย ผมอุทาน โห เกือบไปแล้วกูไอ้เด็กนั่นหัวเราะ! (ผมเลยสงสัยว่าเขาล้อเราเล่นไง) ผมว่ามันไม่แย่นะ แต่เหมาะกับการใช้งานในสตูดิโอ ดูเหมือนเขามีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเสียงได้ค่อนข้างสูง ผมปรับอะไรไม่ค่อยเป็น เลยต้องการเสียงชนิดที่จัดได้แบบดิบๆ ประเภท plug and play! แค่โปรแกรม dfx ยังยากสำหรับผมแล้วเลย
น้องที่พาเราขึ้นมาดูของ คงดูออกว่าเราคลั่งเสียง ก็บอกเราว่า พี่ลองได้ทุกตัวเลยนะ แต่เราก็เกรงใจเขา เลยขอลองแค่รุ่นละตัวเพื่อเทียบเสียงเท่านั้น (ถ้าไม่เกรงใจ เราอยู่ได้ถึงเช้า ช่วยเฝ้าร้านให้เลย) ผมประทับใจเจ้าหนูนี่ เขารู้ว่ากิ๊บสันรุ่นไหนเจาะไม้ยังไงด้วย ส่วนคนที่น้องผมมาเจอคนแรกเขาว่า ถ้าบอกไม่เจาะแล้วไปเจอว่าเจาะไม้ ถือว่าบอกไม่ตรง คืนเงินครับพี่ แต่ร้านก่อนหน้านี้ ที่พนักงานทำท่าเก่งนักหนา กลับไม่รู้จักคำว่า weight relief ด้วยซ้ำ!
กลับมาที่ les paul standard ปี 9x ซึ่งเสียงได้ใจผมที่สุดแล้ว เสียงคลีนใสกริ๊ง เสียงแตกกระชากใจ เสียงฮาร์โมนิคกังวาลใสราว tubular bells เขามีของอยู่ 2-3 ตัว อาจื่อสภาพดีที่สุดและซ่อนอยู่มุมหนึ่ง น้องผมเห็นตั้งแต่วันก่อน น้องคนขายยังงงๆ แปลว่าตั้งแต่เอามาฝากขาย ยังไม่มีใครดูอาจื่อเลย นี่กระมังที่เขาว่ากีต้าร์เลือกเจ้าของ!
คุณเชื่อไหมว่าอะไรที่มันเป็นของเรา มันจะต้องเป็นของเราอยู่ดี ผมเชื่อเรื่องนี้เพราะปืนมรดกกระบอกหนึ่ง ซึ่งเจ้าของไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ มันควรเป็นของผมแต่คนอื่นเอาไป แถมผมเป็นคนหยิบทะเบียนให้เองกับมือ เพราะเขาหาไม่เจอและบอกผมว่า หาทะเบียนให้หน่อยจะเอาไปโอนให้ ผมไม่คิดอะไร คนตายนอนอยู่ข้างๆ นั่น ผมเดินขึ้นบ้านไปหยิบให้ เมื่อรู้ว่าโดนหลอกมันก็เจ็บแหละ แต่ผมไม่ว่าอะไร ไม่ควรมีใครทะเลาะกันเพื่อแย่งสมบัติ! หลายปีผ่านไปเขายังคงโอนไม่ได้ สุดท้ายเอามาคืน ก็ยังดีที่เขาเป็นคนสะสมและรักปืนเกินกว่าจะเอาไปขาย ให้มันกลายเป็นปืนเถื่อน
มันก็มีบ้าง ที่ผมจะโดนหลอกได้ง่ายๆ จนน่าตบ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพราะโง่ แต่เพราะเชื่อใจคนที่มันไม่ควรค่า(เอ๊ะ! หรือมันไม่ต่าง) ที่โดนหนักๆ ก็มักเป็นคนกันเอง ดูไม่มีพิษภัย ไร้เดียงสา หาเขี้ยวเล็บไม่เจอ ดังนั้น จงไว้ใจคนอื่นไปเถอะครับ จนกว่าจะได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง ค่าเล่าเรียนไม่แพงหรอก อาจเป็นแค่น้ำตาไม่กี่หยดกับความแค้นเท่าแผ่นฟ้า!
สำหรับกีต้าร์ ผมถือว่าโชคดี ที่ปล่อยโอกาสจากของที่ดูดี ไปมีโอกาสได้ของดีที่ควรค่ายิ่งกว่า คล้ายคำพูดเห่ยๆ ของนักคิดแนวเพ้อฝันไหม มันคือความจริงที่บอกไม่หมด ที่เหลือคือ บางทีถึงคราวซวย เทวดายังยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้เลย คุณเคยซวยแบบไร้เหตุผลไหม

เอาล่ะมาดูอาจื่อกัน (เหมือนเกมจับผิดภาพเลย ซึ่งผมไม่เล่น)
เริ่มจากดูรอยขูดขีด, รอยบิ่นจากการกระแทก, มองหารอยร้าวในไม้, ดูสภาพแลคเกอร์, รอยกาว, ส่องดูความตรงของคอ, องศา, จุดเชื่อมต่อ, เช็คระยะ touching+bridge+pickup ตั้งมาจากโรงงานเดิมๆ ไหม, wiring น้องผมดูไปแล้ว, เช็คทุก fret ว่าไม่มีบอด, ตั้งสายให้ตรง แล้วดันหนักๆ เช็คสภาพลูกบิด นัท บริดจ์ ตัวยึด, ดูสภาพฝาหลัง, สวิทช์ 3 ทางแน่นกำลังดีไหม สับปุ๊ปติดปั๊ปหรือเปล่า, โวลุ่ม/โทน มีเสียงแทรกไหม ขณะหมุนติดขัด เสียงหายไหม, รูเสียบแจ็ค แน่นกำลังดีรึเปล่า เสียบติดเลยไหม เมื่อได้ตรวจสอบอาจื่ออย่างถี่ถ้วนจนพอใจ เราก็บอกเขาว่า เอาตัวนี้ล่ะครับ เขาก็เอาไปเช็ดใส่กล่องให้
แต่เรายังอยากรู้อยากเห็นจนคุยกันถึงตัว ibanez  kiko loueiro signature(angra) สีแดงๆ ราคา 65,000 มือหนึ่งราวแสนหก น้องเขาก็ใจดี บอกเอามาลองเลยพี่ ดีดไปทีสองทีก็สิ้นสงสัยแล้วครับ มันดีสมราคาแหละ แค่ผมไม่ฟิน .. ลองไปฟัง metal icarus ดูนะครับ เพราะสัส แต่ผมไม่รู้เขาใช้ตัวไหนเล่นนะ ดูโปรไฟล์เขามักใช้ตัวนี้เป็นหลัก แต่ตอนที่เล่นให้ megadeth เขาก็ใช้ ibanez นะ
คุณคงรู้เรื่องบริษัทกีต้าร์ให้ค่าโฆษณานักดนตรีดังๆ เพื่อให้ใช้กีต้าร์ของเขาเล่นแล้วมั๊ง ว่าแล้วก็นึกถึงฮิเดะ เฟอร์นันเดสจ่ายไปเท่าไหร่ไม่รู้ เผอิญฮิเดะเขาชอบด้วยอะนะ น่าทึ่งตรงที่ ตายไป 20 กว่าปีแล้วยังทำเงินให้เฟอร์นันเดสได้อยู่เลย แม่มโคตรคุ้ม
ขณะรอน้องเขาเช็ดอาจื่อเอาลงกล่อง น้องผมยังไปยืนพินิจพิจารณา Gibson SG ลาย Angus Young แต่ไม่กล้าขอ จนน้องเขาขำ บอกพี่ลองเลย เขาดูออกว่าเราอยาก แต่เกรงใจ ได้ริทึ่มไป 2-3 ทีก็พอใจ ตอนจะลงมาจ่ายเงินข้างล่าง น้องยังบอกว่า พี่ว่างก็แวะมาเล่นได้เลยนะ นี่คือสิ่งที่คนรักดนตรีจริงๆ เขาเข้าใจกัน เรียกว่าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ครับ
ผมซื้อสาย D’addario มาอีกชุดกับสเปรย์เช็ดสาย ขณะนับเงินกัน ไอ้น้องชายยังไปยืนจ้อง studio อย่างอยากรู้อยากเห็น เลยโดนน้องเขาแกล้งไปตามที่เล่าไว้ก่อนหน้า
จากคำบอกเล่าของเจ้าของร้านผ่านการโทรคุยกับน้องผม คือ เจ้าของอาจื่อเขาเอามาฝากขาย ขอ 50,000 ของวางอยู่ที่ร้านมา 36 วันละ (โอ้ นี่ตรงกับสถิติของรุ่นนี้มือสอง ที่เมืองนอกเขาทำไว้เลยนะ) ร้านขอค่าวางสัก 2,000 ก็คุยกันง่ายๆ อย่างนี้ ที่สุดยอดกว่าคือ พอเรารื้ออาจื่อดู สภาพดีจนอาจตั้งราคาได้ถึง 60,000 ขึ้น แต่ก็อาจยากขึ้นในการขายออก
เมื่อถึงบ้านน้อง ผมอุ้มอาจื่อขึ้นชั้น 3! เพื่อเช็ดทำความสะอาดเบื้องต้น ทั้งตัว ทั้งกล่อง วันรุ่งขึ้นก็พาอาจื่อตะลอนไปทั่ว หาซื้อแอมป์และอุปกรณ์บำรุงรักษาค่อยกลับบ้านช่วงเย็น ขณะกินเหล้า เราก็รื้ออาจื่ออีกครั้ง เพื่อบำรุงรักษาครั้งใหญ่!
มีรอยกระแทกด้านหลังตื้นๆ เป็นเส้นสั้นๆ ราว 1 นิ้ว จุดเดียว อาจโดนหัวเข็มขัดหรือวางพิงพลาด ซึ่งเราเห็นตั้งแต่ก่อนซื้อแล้ว และรับได้
น๊อตปิกอัพขึ้นสนิมเพราะโดนมือแล้วไม่ได้เช็ดน้ำมัน น้องผมสอนว่าเช็ดสายแล้วเช็ดพวกนี้ไปด้วย ผมชอบของเดิมๆ แม้มันมีคราบสนิม เลยไม่เปลี่ยนใหม่ แต่เราถอดน๊อตทุกตัวออกมาแช่ sonex ผสมอะไรอีกอย่างผมจำชื่อไม่ได้ ทิ้งไว้เป็นชั่วโมง เขย่าเป็นระยะๆ ค่อยเอามาเช็ดให้แห้งสนิท กลับใส่ลงไปใหม่ แค่นี้สนิมก็ไปหมดแล้ว ถ้าคุณจะทำอย่างนี้ก็เอากระดาษกาวแปะปิคอัพให้ติดกับกีต้าร์ไว้ชั่วคราว มันจะง่ายขึ้น ผมไม่ได้ปรับระดับปิคอัพใหม่ ระดับที่เซทมาจากโรงงาน perfect อยู่แล้ว
มีรอยแลกเกอร์แตกบางๆ 2-3 เส้นสั้นๆ ที่ขอบ binding ด้านล่างตามอายุ ทำให้เราคาดว่าอาจื่อน่าจะถูกเก็บไว้ในที่ๆ ควบคุมความชื้นและความร้อนดีพอสมควร ไม่งั้นสภาพมันจะแย่กว่านี้ ไม้ sensitive กับอุณหภูมิและความชื้น ไม่ว่ามันจะตายมากี่ปีแล้ว ถ้าคุณเคยอยู่บ้านไม้ คงง่ายที่จะเข้าใจ 40-50 ปี ไม้ยังยืดหดตัวอยู่เลย แล้วมันจะลั่นเหมือนมีคนเดินอยู่ชั้นบน ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร หลอนน่าดู
Sleep with one eye open. Gripping your pillow tight.
Hush little baby, don't say a word and never mind that noise you heard
It's just the beasts under your bed in your closet, in your head
อบจัง คนชอบแกล้งเด็กเนี่ย 555++
ถ้าเป็นการทำรอยแล็กเกอร์ให้เก่าโดย ทอม เมอร์ฟี่ เขาจะใช้คัตเตอร์กรีดให้เป็นรอยลักษณะเดียวกันทั้งตัว ยันหัวเลยครับ
มีร่องรอยการเล่นบ้างแต่ fret ไม่สึก สายเพิ่งเปลี่ยนมาแต่พันรอบน้อยไป คาดว่าที่ร้านเปลี่ยนใหม่และหมุนด้วยมือ เมื่อรอบน้อยไป การดันสายเล็กน้อยก็ทำให้เสียงเพี้ยนง่าย(เรารู้สาเหตุตั้งแต่ที่ร้าน) เราเลยเปลี่ยนสายใหม่โดยใช้สาย D’daddario ที่เพิ่งซื้อมา ถือโอกาสทำความสะอาด fret+fingerboard และทาน้ำยารักษาความชุ่มชื้นไม้ให้มันด้วย ยังมีสายอีกแบบที่เคลือบพิเศษ ชุดละ 4-5 ร้อย แต่อายุการใช้งานนานกว่า หลายร้านที่เราเจอไม่มีขาย ไว้คราวหน้านะลูก
ระยะ touching เป็นสิ่งที่ผมประทับใจที่สุด(ไม่เคยมีกิ๊บสันครับ เห่อสัส) มันทำให้จับง่าย น่าเล่นขึ้นอักโข จนผมนึกสงสัยว่า นิ้วกูจะไปด้านได้ตอนไหน อ่อ ตอน slide กับดันสาย ใจเย็นครับ ผมขอหัด chromatic ให้กล้ามเนื้อมันจำท่าได้ไปพลางๆ ก่อน ผมจะเริ่มจาก 0 เลย แล้วดูซิว่ามันจะเป็นยังไง ทฤษฎีกล่าวว่า ถ้าคุณฝึกฝนอย่างถูกวิธี มีเวลาให้มันมากพอ ใครๆ ก็เล่นได้ ปัญหาเป็นเรื่องของความอดทนและเวลา กับคุณมีใจให้มันไหม
ตอนผมเด็กๆ เคยได้ยินเขาพูดว่า กีต้าร์ตัวนี้สายนิ่มดี ก็งงครับ นึกว่าสายเอ็น แต่ผมก็มีกีต้าร์คลาสสิคอยู่ตัว รุ่นน้องคนหนึ่งให้มาด้วยความพิศวาส! ผมว่าสายมันตึงกว่ากีต้าร์โปร่งธรรมดาอีกนะ มันเล่นไม่ได้แล้วแต่ผมก็ยังเก็บไว้นะ เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าความตึงสายในกีต้าร์ไฟฟ้ามันอ่อนกว่านิดหน่อยเท่านั้น แต่ระยะ touching เขาเซทได้ต่ำมาก ทำให้ใช้แรงกดน้อยนิด เลยคิดไปเองว่าสายมันนิ่ม แต่ผมรู้สึกว่ามันนิ่มจริงๆ แหละ ถ้าไม่มีมัน คงไม่มีวันได้รู้
ที่ฐานสวิตช์ 3 ทางมีคราบตะกรันแต่ยังแน่นปึ้กและใช้งานได้ดี เราพ่น Co-contact Cleaner ลงไปนิดหน่อย แล้วถอดฝาหลัง พ่นมันลงไป
ปุ่มปรับโทน+โวลุ่ม สภาพเนี๊ยบ ไม่แตก ไม่มีเสียงแทรก ให้สัมผัสนุ่มละมุน ไม่ติดขัด .. เจ้าตัวแสนสี่ที่เราหมายตาไว้ ปุ่มแตก 2 ปุ่ม เป็นรอยร้าวจากตรงกลางออกไป ดูเหมือนรุ่นนั้นจะเป็นแบบนั้นแทบทุกตัว ผมคาดว่าเป็นปัญหาจากวัสดุที่ใช้ในการผลิตไม่มีความยืดหยุ่นมากพอ หรือมันทำมาฟิตจนเกินไป ไม่ได้คิดเผื่อมาเรื่องการขยายตัวของฐานรับที่เป็นโลหะ เรายังไม่ได้ขอลอง ถ้ามัน smooth ดีก็ไม่ใช่ปัญหา ปุ่มพวกนั้นมีของแท้ขาย ราคาเซทละ 7-8 ร้อยเท่านั้น แค่ดึงขึ้นมาแล้วกดตัวใหม่ลงไปก็ perfect
เจ้านี่ไม่มีเอกสารคู่มือ ใบ check list หรือใบ warranty มากับกีต้าร์ ซึ่งเจ้าของเดิมไม่น่าจะเก็บแยกไปจากกล่อง ก็ขนาดกันชื้นจากโรงงาน มันยังอยู่เลย ดังนั้นเราคาดเดาว่า
1. เขาคงอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก ยังอาลัยอาวรณ์ จึงยอมเสียราคาส่วนที่ไม่มีเอกสาร อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน ช่วงเดือนก่อนหุ้นตกเยอะนี่ อาจโดนเจ้าตบมาหนักจนต้องหาเงินไปถัว! ช่วงนี้ตลาดโหดสัส ผมโชคดีที่ใช้เงินไปเยอะแบบหมดเนื้อหมดตัว เลยหยุดเล่นชั่วคราว บังเอิญผมเล่นเพื่อให้มันมีอะไรทำแก้เบื่อเท่านั้น ยังไม่ถึงจุดที่ใช้ทำมาหากินได้ด้วยแหละ ถึงกระนั้นก็หมดไปเป็นแสนเพราะสันดานล้วนๆ ผมอาจไม่เหมาะกับการละเล่นในรูปแบบนั้น
2. พ่อมันตาย ลูกไม่เล่น เลยเก็บกีต้าร์พ่อมันมาขายเพื่อไปถอยมือถือรุ่นล่าสุด หาทะเบียนไม่เจอ
! ซึ่งก็ไม่ผิด มันเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่งดงามน่าหลงไหล สร้างเสียงได้ ยังอาจเพิ่มค่าได้อีก อยู่ที่คุณจับอะไรมา
3. ขโมยมาขาย! อันนี้ผมพูดเล่น ผมว่าเจ้าของร้านเป็นคนกว้างขวางพอควร ดูจากสินค้าที่เขามี กับห้องซ้อมหลายห้องที่เปิดให้คนเข้าออก 24 ชม ก็ต้องพอตัวแหละ ดังนั้น เป็นความเชื่อถือของผมเองว่า ถ้าเกิดปัญหาอะไร เขาจัดการให้ได้แน่นอน เพราะเขากล้ารับประกันคืนเงินเต็มจำนวนด้วยนี่
แต่มันมี serial number ที่หลังหัวให้เราเช็คได้ มีหรือผมจะไม่เช็ค ผมเอาตัวเลขนั้นไปตรวจสอบในเวบ ซึ่งระบุตัวตนได้ถูกต้องตรงกับการแทนค่าต่างๆ และเราศึกษามาอย่างละเอียดแล้วว่ารุ่นนี้ตรงไหนเป็นอย่างไร มันก็เป็นไปตามนั้นเป๊ะๆ ไม่มีอะไรให้สงสัย

เอาเป็นว่าผมรับอาจื่อเป็นลูก (ขอฝากข้อความถึงเจ้าของเก่าด้วยว่า ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลเขาให้ดี) สำหรับผม คำว่าพอใจยังน้อยไป ขนาดเล่นไม่เป็น แค่วางไว้แล้วนั่งมองยังมีความสุข ยิ่งได้จับต้อง เช็ดถู ทำความสะอาดนี่ ผมเพลินจนไม่สนใจเวลา ดูเหมือนน้องผมก็เป็นอย่างนั้น คล้ายเขาจะมีความสุขที่ได้ดูแลรักษามากกว่านั่งเล่นมัน ส่วนอาจื่อก็ระรื่นจนผมสัมผัสได้เมื่อได้เจอคุณอา ทำเอาน้องสะใภ้ผมมองด้วยความหมั่นไส้! ก็คุณอานั่งเล่นกับอาจื่อได้เป็นชั่วโมงแบบไม่วาง จับพลิกไปมา เช็ดตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อยๆ
ผมเข้าใจญาติอีกคนของผมแล้วว่า เขานั่งเช็ดปืนทุกวันได้ยังไง! สะสมปืนไปเรื่อยๆ เพราะอะไร .. ผมเคยชอบปืนมาก แต่ไม่ถึงขนาดอยากสะสม ผมไม่โหดครับ ถ้าจะยิงใคร ผมจะใช้หัวธนู 3 แฉก กับจุดที่ไม่ถึงตาย ให้หมอได้ทำอะไรแก้เซ็งบ้าง!
เคสนี้ผมคิดว่า แค่ซื้อมานั่งดูก็คุ้มละ แต่ตั้งใจจะลองหัดเล่นครับ มันเป็นการฝึกทักษะที่จะไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้ดีขึ้น เผื่อผมจะคิดอะไรที่ซับซ้อนได้มากขึ้นและหาความสุขให้ตัวเองเป็น อีลูกน้องบอกว่า ดีพี่ จะได้มีความสุขกับบั้นปลายของชีวิต! .. ไอ้เหี้ย

แล้วทำไมผมตั้งชื่อให้กีต้าร์ นั่นสิ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยตั้งชื่อให้สิ่งของ กับสัตว์ผมก็ตั้งชื่อให้เฉพาะหมาของผม การตั้งชื่อให้อะไรก็ตาม จะทำให้เราผูกพันกับสิ่งนั้น สัตว์มีจิตวิญญาณ แล้วสิ่งของล่ะ มีได้ไหม
มันเริ่มต้นจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าว่า รถของเขามีชื่อ ผมงงนิดหน่อย ผมไม่เคยคิดตั้งชื่อให้รถ ทั้งๆ ที่ผมก็คุยกับรถคันเก่าอยู่บ่อยๆ (ยังอยู่ครับ พ่อใช้) มอเตอร์ไซค์ที่เคยใช้ทุกวันผมก็คุย เจ้าคันนี้ผมถามเขาว่า อยากชื่ออะไรล่ะ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็มีชื่อจีน 3 ชื่อผุดขึ้นมาในหัว โอเค ผมได้ชื่อให้เจ้า 3 พี่น้องนั่นละ (สงสัยมันไม่อยากชื่อโรสที่แม่จะตั้งให้ 555++)
เมื่อผมเล่าให้น้องฟังว่าผมตั้งชื่อให้กีต้าร์ แทนที่เขาจะขำ กลับยกตัวอย่างนักดนตรีระดับโลกให้ฟัง 2-3 คน ว่าพวกเขาต่างตั้งชื่อให้กีต้าร์ของตัวเองกันเป็นเรื่องปกติ แล้วทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ตั้งชื่อให้สิ่งของกันล่ะ ในขณะที่เจ้า "ฟักทอง" ก็เป็นชื่อของ gibson ตัวหนึ่งของอัสนี-วสันต์ ที่ถูกขโมยไป!
ผมคิดว่าการตั้งชื่อให้สิ่งของ เป็นการสร้างจิตวิญญาณให้มัน หลังจากนั้น ความผูกพันจะตามมา เมื่อมันมีชื่อ หมายถึงเราจะรักมัน ดูแลมัน ใช้ชีวิตร่วมกับมัน เราจะไม่ขายหรือยกให้ใคร ก่อนเราตาย! ผมเพิ่งเข้าใจเรื่อง the red violin ก็ตอนนี้เอง แต่นั่นก็โหดไปนิด น่ากลัวสัส!
ทีนี้มาเล่าเรื่องหลอนๆ ตอนจบกันดีกว่า ให้คุณขวัญผวากับกีต้าร์ตัวน้อยที่อยู่ในห้องนอนคุณ!
ผมมาได้คำอธิบายทั้งหมดเอาตอนที่น้องผมถามว่า ชื่อจื่อนี่มึงหมายถึงผู้ชายหรือผู้หญิง ผมตอบว่า กุคิดว่ามันเป็นเด็กผู้ชายว่ะ เขาบอก เห้ย ไม่ได้ กีต้าร์เป็นผู้หญิงทั้งหมด เพราะมันถูกสร้างมาจากรูปร่างของผู้หญิง อ่าวเร่อะ มิน่าผมนอนไม่ค่อยหลับมาตั้งแต่วันที่ตั้งชื่อให้อาจื่อ
แถมมีเงาดำผอมๆ เล็กๆ เท่าเด็ก 6-7 ขวบมาคุกเข่าเกาะข้างเตียง! ในฝันแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น ตกใจอ่า!!! เขาอาจอยากบอกผมว่า ป๊ากอดหนูหน่อย เล่นกับหนูมั่งดิ .. เอาจริงๆ วันๆ หนึ่งผมไม่ค่อยมีเวลาเหลือสักเท่าไหร่ แต่คนเราถ้าชอบอะไร เขาจะพยายามแบ่งเวลาให้มันจนได้นั่นแหละ
ผมบ่นว่า เวรกรรม เดี๋ยวดูก่อนว่ามีผู้หญิงชื่อจื่อไหม น้องผมว่า มี .. เชื่อเขาไปเถอะ เพราะชื่อหลานชายผมก็เป็นชื่อจีนที่ได้มาจากการศึกษาอย่างจริงจังของพ่อมัน เจ้านี่ไม่เคยทำอะไรส่งๆ

ผมรู้สึกว่าอาจื่อชอบชื่อนั้นอยู่แล้ว แค่เพศผิด! ผมพยายามลบภาพเก่า เปลี่ยนเป็นภาพเด็กผู้หญิง 10 กว่าขวบใส่ชุดนักศึกษาจีนสมัยขงจื่อฝึกรำกระบี่! ผมนอนได้ดีขึ้นละ โดยหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ ที่ต้องทำเพิ่มมาอีกอย่างทุกคืนคือ “good night อาจื่อ ไม่งั้นผมจะไม่ได้หลับดีๆ ท่าจะร้ายไม่เบาล่ะเจ้าเด็กคนนี้.








1 ความคิดเห็น:

Peter Thavornthon กล่าวว่า...

อ่านสนุกมากครับ