While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เผ่าพันธุ์เงือก มีโอกาสเป็นจริงได้แค่ไหน


น่าสงสัยใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนต้องเคยสงสัยกันสักครั้งล่ะน่า .. ผมเคยเห็นภาพนางเงือกมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล่นน้ำอยู่ในคลอง ทั้งจากภาพวาดสีสวยหรือจากสบู่รูปร่างเป็นนางเงือกเปลือย แต่ไม่โป๊ (หยุดคิดลามกเลย) มีม้าน้ำกับหอยมือเสือตัวโตๆ ด้วย แล้วไงไม่รู้ ผมนึกกลัวนางเงือกกับไอ้เข้จนเลิกเล่นน้ำคลอง ย้ายมาเล่นในบ่อแทน อยู่บ้านนอกครับ คลองแสนแสบตอนปลายๆ น่ะ ชีวิตนี้ไม่เคยลงสระสักครั้ง ถ้าเป็นอ่าง ก็เคยลงอ่างศิลาครั้งหนึ่ง บ้านเพื่อนอยู่ที่นั่นครับ ติดทะเลตรงที่เขาขายครกกันน่ะครับ .. นี่เรื่องจริง ไม่ต้องขำ
แหล่งน้ำธรรมชาติมันจะไม่ใสจนเห็นก้นบ่อ ทำให้เด็กปอดแหกอย่างผมขวัญผวาได้ นอกเสียจากจะเป็นบ่อขุดใหม่ ซึ่งใสมากและมีพืชน้ำยุคโบราณขึ้นที่ก้นบ่อ ลักษณะเหมือนกับที่คุณจะได้เห็นในสารคดีป่าดงดิบล่ะครับ แต่ก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่ไม่กี่ปี การขุดบ่อคราวนั้น เรายังเจอเขากวางขนาดใหญ่ด้วยนะครับ ทั้งๆ ที่ขุดลงไปแค่ 3-4 เมตร ถ้าเราตามนักโบราณคดีมา เราคงได้โครงกระดูกกวางเป็นตัวๆ แต่ใครจะมาวะ มันอยู่ในชั้นดินเหนียวไม่ใช่ชั้นหินนี่นา บอกตรงๆ ถึงจะเจอกระดูกไดโนเสาร์ เราก็คงคิดว่ามันเป็นกระดูกควาย ไม่ก็ช้าง
คุณอาจเคยเห็นในเมล์หรือใน internet ที่เป็นภาพนางเงือกตัวแห้งๆ ผมเห็นแล้วก็ผ่านมันไป พอโตแล้วก็เลิกเชื่อว่ามันมีจริงแล้วล่ะครับ เพิ่งมาเจอสารคดีเรื่อง mermaids - the body found อะลองเสียเวลาดูสัก 2-3 นาทีก็ได้ ถ้าแหกตากันก็ผ่าน ปรากฏว่ามันเป็นรูปแบบของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ น่าสนใจ และดูน่าเชื่อถือ ความยาวราวชั่วโมงครึ่ง ซึ่งผมไม่อาจหักห้ามใจให้ปิดมันได้ ผมไม่ได้จะมาพยายามยืนยันกับเขาว่ามันจริงนะครับ แต่จะมาเล่าให้ฟังคร่าวๆ เท่าที่จำได้ แล้วคุณลองพิจารณาเอาว่า มันน่าสนใจไหม มันมีโอกาสที่จะมีอยู่จริงได้ไหม .. แต่ต้องยอมรับว่า มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น เหมือนเด็กได้รู้เรื่องอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนุกเลยครับ
ผมจะไม่อ้างเรื่องเวลาและชื่อคนละกัน รวมทั้งสถานที่ด้วย จำไม่ได้ครับ .. ขอบอกไว้ก่อนว่าผมเคยทดสอบไอคิวตัวเองอยู่ ผลมันออกมาว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางต่ำ เพราะงั้นอย่าคาดหวังกับข้อมูลทางตัวเลขและตัวบุคคลมากนัก (งานนี้ผมไม่อยากดูไปด้วยเขียนไปด้วยน่ะครับ) แต่คุณไปดูตาม link ได้ในฉบับเต็ม
เรื่องเริ่มจากเหตุการณ์ฝูงวาฬเกยตื้นครั้งใหญ่ ราว 3-4 ครั้งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งมีทีมนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลจากสถาบันโนอาห์ เข้ามาตรวจสอบถึงสาเหตุของการเกยตื้น วาฬส่วนใหญ่ไม่รอด สภาพที่พบมีเลือดไหลออกจากช่องหู และจากการตรวจสอบเนื้อเยื่อพบว่ามีจุดกระจายไปทั่ว สันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากคลื่นโซนาร์กำลังสูง ซึ่งคาดว่าทัพเรือสหรัฐทำการทดสอบเพื่อใช้เป็นอาวุธใต้น้ำอยู่ วัตถุประสงค์หลักของการเข้ามาตรวจสอบก็เพื่อให้สามารถระบุสาเหตุของการเกยตื้นและการเสียชีวิต เพื่อหาวิธีช่วยเหลือฝูงวาฬที่เหลืออยู่ในมหาสมุทร ซื่งเหลือไม่มากแล้ว
เรื่องที่สร้างความสงสัยให้กับนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้คือ ทำไมกองทัพต้องเข้ามาควบคุมพื้นที่ทุกครั้งไป แถมกั้นเขตให้คนของกองทัพตรวจสอบเป็นเวลานาน มีการขนย้ายซากที่มีขนาดเล็กกว่าวาฬหลายเท่าออกไป เอาเป็นว่าใหญ่กว่าคนไม่เท่าไหร่ และไม่มีการผ่าชันสูตรศพวาฬในบริเวณที่ทำการตรวจสอบ แล้วกองทัพตรวจสอบอะไรกัน
พวกเขากลับมาดูเสียงที่บันทึกไว้ด้วยอุปกรณ์บันทึกเสียงใต้น้ำ ซึ่งติดตั้งไว้ทั่วไปในท้องทะเล เท่าที่คนและเงินจะสามารถทำได้ เราลากไฟเบอร์ออปติกข้ามมหาสมุทรกันได้อยู่น้า .. ย้อนกลับไปนิดนึง ในปี 1997 พวกเขาพบเสียงสัตว์ที่ระบุชนิดไม่ได้ เสียงนั้นมีความซับซ้อนกว่าเสียงของวาฬหรือโลมา .. คราวนี้พวกเขาพบเสียงแบบเดียวกันอีก ผสมอยู่กับเสียงวาฬ โลมา และเสียงที่คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดโซนาร์ เนื่องจากมีลักษณะเป็นคลื่นกระแทกที่มีความดังและความรุนแรงสูง .. พวกเขาได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงวาฬกับโลมาให้มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เขาได้ทำการแยกเสียงสัตว์แต่ละชนิดออกจากกัน วาฬและโลมามีการสื่อสารกันด้วยคลื่นเสียงในระดับที่ซับซ้อนทีเดียวครับ วาฬมีเสียงทีสื่อความหมายมากกว่า 600 เสียง ในขณะที่โลมามีมากกว่า 1000 เสียง อีกเสียงที่ไม่รู้ว่าอะไร เป็นเสียงที่เหมือนกับเสียงที่ระบุไม่ได้ในปี 1997 และมีรูปแบบเป็นการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งมีมากหลายพันเสียง ทั้งหมดนี่ได้จากการฟังด้วยอุปกรณ์พิเศษนะครับ หูมนุษย์ หยาบมาก .. เอาล่ะ ชักจะเริ่มน่าสนุกไหมล่ะ
พวกเขาจนมุมอยู่ตรงนี้ ได้แต่นั่งฟังเสียงไป จนนักวิทยาศาตร์อีกประเทศโทรตาม ให้ช่วยไปตรวจสอบซากที่พบในท้องฉลาม สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือเงี่ยงกระเบนขนาดใหญ่ ความยาวราว 10 นิ้ว ฝังลึกอยู่ใกล้ปากฉลาม พวกเขาสันนิษฐานว่าฉลามขาวคงพยายามกินกระเบนเลยโดนทิ่มซะ แต่พวกเขาก็เก็บหลักฐานมา หวังว่าอาจนำมาเขียนบทความในแง่ของวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้ แต่เมื่อเห็นซากจากท้องฉลามก็มึนละครับ เพราะมันไม่เหมือนซากสัตว์อะไรที่เคยเจอเลย ที่แย่ไปกว่านั้นมันถูกย่อยสลายไปเยอะ เหลืออยู่ราว 30 เปอร์เซนต์ของขนาดร่างกายโดยประมาณ แต่มันเป็นสันดานของนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องรู้ให้ได้ พวกเขาเลยนำซากมาตรวจสอบครับ
สิ่งที่มีคือ กระดูกสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 2x4x15 เซนติเมตรโดยประมาณ มีร่องผ่าตามความยาวครึ่งหนึ่ง เศษกระโหลก ฟันหลายซี่ ครีบหางขนาดใหญ่คล้ายของพะยูน กระดูกช่วงบนไปถึงซี่โครงที่มีเกือบครบ กระดูกชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้น เศษกระดูกที่คาดว่าเป็นครีบข้าง เนื้อเยื่อ ชั้นไขมันและผิวหนัง ปอดและม้าม มาว่ากันไปที่ละเรื่องละกันครับ อาจไม่เรียงกันอย่างในวีดีโอนะ ถ้าคุณเคยดูแล้วก็อย่าถือกันเลย ผมจำแยกๆ ประเภทมาน่ะครับ
พวกเขาตรวจสอบเนื้อเยื่อก่อน ลักษณะของเนื้อเยื่อเป็นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีเส้นใยโปรตีนคล้ายสัตว์ในตระกูลไพรเมต ต้นตระกูลมนุษย์ไงครับ ลิง คิงคอง คน เทือกนี้
ครีบ เอาไปเข้าเครื่องซีทีสแกน มีกระดูกตามแนวครีบ ซึ่งไม่พบในครีบของสัตว์น้ำ
กระดูกชิ้นใหญ่ ก็เข้าเครื่องเอกซเรย์ไป แล้วจนมุมอีก ดูไม่ออกว่ามันควรเป็นของสัตว์น้ำชนิดใดที่จะมีกระดูกอย่างนี้ได้ เขาเลยตามผู้เชี่ยวชาญด้านโครงกระดูกจากสถาบันสมิทโซเนี่ยนมาดู ดูเสร็จก็งงเหมือนกันครับ สุดท้ายหมุนภาพก็ได้คำตอบว่า มันเป็นกระดูกเชิงกรานของสัตว์ในตระกูลไพรเมตที่ตัวตั้งตรง ทำหน้าที่รับน้ำหนักของอวัยวะในช่องท้อง อ่ะ เรามีไพรเมตในทะเลด้วย .. เท่าที่รู้ๆ กันดี วิวัฒนาการมันเป็นจากทะเลขึ้นมาบนบกไม่ใช่หรือ
เศษกระโหลกที่พบ ด้านหน้าตรงที่สันนิษฐานว่าเป็นหน้าผาก ค่อนข้างสมบูรณ์ พวกเขาก็ทำการจัดส่งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกระโหลกศรีษะไปดำเนินการต่อ เธอทำการปะติดปะต่อด้วยวิธีการเดียวกับที่ทำกับกระโหลกจากแหล่งขุดค้นทางโบราณคดี ที่ต้องการรู้ว่าหน้าตาของเจ้าของเป็นยังไงน่ะครับ แล้วเราก็ได้เห็นโครงหน้าและลักษณะของหัวคล้ายมนุษย์ แต่หน้าตาดีกว่ามาก ที่หน้าผากมีรูรับคลื่นโซนาร์ที่โลมากับวาฬมีเพื่อระบุตำแหน่ง มีแนวสันกระโหลกคล้ายผมทรงพังค์ สูงราวหนึ่งนิ้วด้วย อันนี้คิดกันไม่ออกครับว่ามีไว้ทำไม แต่มันต้องมีประโยชน์อะไรสักอย่าง เพราะวิวัฒนาการเป็นไปเพื่อความอยู่รอดอย่างแน่นอน ลักษณะของเบ้าตามีขนาดใหญ่ ซึ่งจะพบในสัตว์ที่หากินในที่ๆ มีแสงน้อย จึงคาดว่าสัตว์ชนิดนี้น่าจะหากินในความลึกที่แสงส่องลงไปไม่ถึงด้วย
ฟันที่พบ มีทั้งแบบฟันกรามและฟันตัดครับ มีเขี้ยวเหมือนหมาด้วยไหมผมจำไม่ได้แฮะ แต่สรุปว่าเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ครับ
กระดูกซี่โครงเป็นลักษณะพับได้ พบในสัตว์ที่หากินทั้งในน้ำตื้นและน้ำลึก ประโยชน์คือ เมื่อเจอแรงดันน้ำมากๆ มันจะไม่ถูกอัดจนหัก
ม้ามขนาดใหญ่ พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หากินทั้งบนบกและในน้ำ สิ่งนี้จะช่วยกักเก็บออกซิเจน ทำให้อาจดำน้ำต่อเนื่องได้นานเป็นชั่วโมง จริงอ่ะ .. เขาว่างั้น .. แต่วันก่อนผมดูสารคดี ที่เกี่ยวกับกองทัพเรือเมื่อพันปีก่อน ว่าเขาจัดการกับเรือรบของฝ่ายตรงข้ามยังไงโดยไม่มีถังออกซิเจน ไม่ใช้ชุดดำน้ำของดาวินชี .. ก็ทำได้ครับ พวกเขาประเมินเวลาที่ต้องใช้ แล้วเอาคนที่ได้รับการฝึกหายใจเพื่อกักเก็บออกซิเจนไว้ในกระแสเลือดตั้งแต่เด็กจนโตมาทดลอง เขาดำน้ำได้นานถึง 20 นาทีต่อครั้ง ร่วมกับการทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงด้วย หนึ่งในพันล้าน อย่าไปลอง ตายเปล่าน่า .. ก็น่าจะเป็นไปได้ เรามีสัตว์ที่ทำอย่างงั้นได้จริงอยู่ในโลกปัจจุบัน ปลาไอ้เข้ที่บ้านผมก็ทำได้ วิวัฒนาการเป็นเรื่องที่น่าตื่นใจ
ชั้นไขมันใต้ผิวหนังมีความหนามาก ตัวผิวหนังก็มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้ผิวหนังรับแรงดันในน้ำลึกได้ ทนความหนาวเย็นได้ .. เราลงน้ำลึกไม่ได้เพราะทนแรงดันไม่ไหวน่ะครับ แค่กิโลเดียว เราก็ถูกน้ำอัดตายแล้วล่ะครับ หนาวมากหน่อยเราก็เกิดอาการไฮโปเทอร์เมีย ตามมาด้วยการตายเช่นกัน เราช่างเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ .. ไอ้ที่เราเอาดีกันในอวกาศ เพราะมันสามารถทำได้ง่ายกว่าเท่านั้นเอง ทุกวันนี้ เรามีเรือดำน้ำที่ลงไปได้ถึง 6000 เมตรอยู่แค่ 2-3 ลำเท่านั้น แล้วมันลำกระจิ๋ว เข้าไปได้แค่คน 2 คน อยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง เลยเพิ่งได้เจอฉลามยักษ์ที่กินซากสัตว์ใต้ทะเลลึกเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่ megalodon นะครับ ไอ้ตัวนั้นมันกินวาฬ
เศษกระดูกที่คาดว่าจะเป็นครีบข้าง ซึ่งในสัตว์น้ำ ครีบข้างมันไม่มีกระดูกหรอกครับ เขาก็พยายามต่อมันเข้าด้วยกัน ด้วยทุกวิธีที่ควรจะทำหน้าที่เป็นครีบ แต่ก็เข้ากันไม่ได้ เลยลองวิธีที่ไม่คิดว่าควรใช่ แต่มันกลับใช่ ออกมาเหมือนกระดูกมือมนุษย์ครับ แต่ยาวกว่ามือเรา 2-3 นิ้ว พบเศษชิ้นส่วนของพังผืดด้วย
เหลือชิ้นสุดท้าย กระดูกสี่เหลี่ยมมีร่องที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พวกเขาเอามาตรวจสอบกัน พบว่ามีเส้นใยพืชน้ำพันเป็นสายอยู่บางๆ เลยลองเอาเงี่ยงกระเบนที่พบตอนแรกมาเสียบเข้าไปดู และเข้ากันได้พอดี สามารถดึงออกได้ตรงๆ เท่านั้น เหมือนเราเข้าด้ามดาบน่ะครับ ปราณีตมาก จึงสันนิษฐานว่าเป็นอาวุธ
เอาล่ะมาสรุปกันนะ (ปาเข้าไป 3 หน้า A4 แล้ว เพื่อนบอกว่าเรื่องของผมมันโคตรยาว สรุปหน่อย มาสรุปตรงกลาง เขาต้องว่าผมกวนตีนแน่เลย) .. สัตว์ที่พบมีหน้าตาคล้ายมนุษย์ (และหน้าตาดีกว่าผมมาก) ครึ่งตัวบนเหมือนเราๆ มีแขน มีมือ มีนิ้วคล้ายเรา แต่ลำตัวเพรียวกว่า มือและนิ้วยาวกว่า มีกระดูกเชิงกรานที่เป็นของสัตว์ตระกูลไพรเมตที่เคยยืน 2 เท้า ปัจจุบันดำรงชีวิตแบบตัวตั้งตรงด้วย มีครีบหางเหมือนพะยูน ขาเป็นไงไม่รู้เพราะไม่มีอะไรเหลืออยู่ ลำไส้เป็นไงก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่มีเหลือให้เห็น จากฟันที่พบ สิ่งนี้กินอาหารที่เป็นทั้งพืชและสัตว์ .. มีการสื่อสารระหว่างกัน อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ (จากเสียงที่บันทึกได้) ต้องโผล่มารับออกซิเจนที่พื้นผิวน้ำ ดำน้ำได้นาน 40 – 60 นาทีต่อเนื่องกัน มองเห็นได้ในที่มีแสงน้อย ร่างกายทนความดันและความหนาวเย็นได้มาก ดำน้ำได้ลึกกว่า 1 กิโลเมตร ถึงมองไม่เห็นก็ยังมีโซนาร์ สามารถรับและส่งคลื่นโซนาร์ได้ในระยะไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตร คาดว่าสามารถสื่อสารกับวาฬและโลมา และสามารถทำเครื่องมือได้ด้วย ทีนี้คุณจะคิดว่ามันเป็นตัวอะไรก็เรื่องของคุณแล้วล่ะ .. เอ หรือไอ้ฉลามตัวนี้มันกินเข้าไปหลายอย่าง แล้วเราคิดว่ามันเป็นอย่างเดียว ก็คิดได้เหมือนกัน
ทีนี้เขาก็พาดูการพบเห็น ภาพถ่าย วีดีโอคลิป เอายุคปัจจุบันก่อนแล้วกันนะครับ ในช่วงที่มีการล่าวาฬ มีการพบสัตว์ที่เรียกกันว่าเงือกนี่หล่ะ เดินทางร่วมกับฝูงวาฬย้ายถิ่นด้วยหลายครั้ง .. การประมงในมหาสมุทรเปิด มีการพบหอกรูปร่างประหลาด ทำจากวัสดุธรรมชาติ ปักอยู่กับตัวปลาที่จับได้ และยังเคยมีเงือกติดมาในอวนเสียด้วยซ้ำจากวีดีโอคลิปที่ชัดพอสมควร
ภาพจากผนังถ้ำในอียิปต์ เมื่อ 3 หมื่นปีก่อน มีภาพคนมีขากับคนมีครีบหางต่อสู้กันเป็นกลุ่มใหญ่ ที่อื่นๆ ผมจำชื่อสถานที่ไม่ได้ มีภาพคนมีหางกับโลมาร่วมมือกันล่าปลา ทุกวันนี้ยังมีชาวพื้นเมืองบางที่ทำประมงโดยได้รับความช่วยเหลือจากโลมา พวกเขานับสิบคนยืนอยู่ในน้ำชายฝั่ง มีโลมาต้อนปลาเข้ามาในอวน พวกเขาปล่อยโลมาในอวนที่ไม่มีความตื่นกลัวสักนิดออกไป จับปลาแล้วแบ่งส่วนแบ่งที่น่าพอใจให้กับโลมา ทำไมโลมารู้วิธีทำงานกับคนโดยที่ไม่เคยได้รับการฝึก ไม่ใช่โลมาที่นำมาเลี้ยงใช้งาน ทุกอย่างเป็นระบบเปิด .. ทำไมโลมาในท้องทะเลเปิดไม่เคยมีปัญหากับนักดำน้ำและกล้าเข้ามาเล่นด้วยใกล้ๆ เพราะมันเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็นอย่างเดียวหรือ .. หรือหากจะคิดว่ามีอะไรที่คล้ายเราสร้างความคุ้นเคยกับโลมามาก่อนแล้ว ทำให้มันรู้ว่าไม่มีอันตรายอะไรกับมัน ก็อาจเชื่อได้ไม่ยาก
ตำนานเงือกมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ ต่อเนื่องกันมาหลายพันปี ในทุกชนชาติที่ติดต่อกับทะเล และมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แม้ไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเลย ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ประเมินจากข้อมูลที่มีอยู่ในมือทั้งหมดว่า เงือกน่าจะมีอยู่จริง มีต้นตระกูลไพรเมตเหมือนเรา ตั้งแต่ลงจากต้นไม้สู่พื้นดิน เดินด้วย 2 เท้าหลังตรง เริ่มหากินตามชายฝั่ง กับสัตว์ทะเลที่มีสารอาหารเอื้อต่อการเจริญเติบโตของสมอง
ด้วยการปรับเปลี่ยนสภาพทางภูมิศาสตร์ของโลก กลุ่มหนึ่งแยกเข้าป่าสร้างวิวัฒนาการมาเป็นเรา อีกกลุ่มยังอยู่ตามแนวชายฝั่ง เริ่มปรับตัวให้หากินในน้ำได้นานขึ้น สุดท้ายไม่ขึ้นจากน้ำเลย ซึ่งอาจเป็นสายพันธุ์ของเราโฮโมซาเปี้ยนส์ ที่ขับไล่พวกเขาลงน้ำไปก็ได้ จากภาพผนังถ้ำทำให้สันนิษฐานได้ว่า อาจมีการแย่งพื้นที่หาอาหารและเราเป็นฝ่ายชนะ ผู้แพ้ถูกขับไล่จากภาคพื้นดินไปตลอดกาล .. ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าดีใจหรือน่าเศร้า
เชื่อว่าพวกเขาอาจเคยได้พบเมกาโลดอน ทำให้พวกเขาเลือกที่จะเดินทางกับฝูงวาฬ และเป็นมิตรกับโลมาเพื่อการหาอาหารให้พอเพียง และดูแลเรื่องความปลอดภัยให้กันและกันเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ .. แล้วคุณคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ไหม
นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าพวกเขาจะมีความเป็นคนเหมือนเราไหม มีความคิด มีความรู้สึกเหมือนเราหรือเปล่า พวกเขาจะเคยมีวัฒนธรรมเหี้ยมโหดเช่นชาวแอซแทก อินคา มายา หรือเปรู ที่สังหารโหดเพื่อการบูชายัญไหม อันนี้ผมสงสัยเองครับ พวกเขามีประชากรเท่าไหร่ เป็นไปได้ไหมว่าสักวัน เราจะติดต่อถึงกันได้ .. แล้วเราจะมองพวกเขาเป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งหรือมีความเท่าเทียม
มนุษย์มักมีความเห็นผิดว่าเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งเสมอ ความจริงเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ที่เรียกว่าโลกเท่านั้น เราต้องพึ่งพาทุกสิ่งที่มีจากธรรมชาติเพื่อการดำรงอยู่ .. แต่เรามักจะลืมตัว ลืมคำว่า mother earth เราเห็นแก่ตัวและกอบโกยทรัพยากรเท่าที่เราจะทำได้ ใช้มันโดยไม่คิดว่าเผ่าพันธุ์ของเราในอนาคตจะอยู่กันได้ยังไง โลกใช้เวลา 4800 ล้านปีปรับสภาพให้เราอยู่ได้ เราใช้เวลาไม่กี่ร้อยปีนับจากยุคอุตสาหกรรม เพื่อจะทำให้เราอยู่กันไม่ได้ เราทุกคนควรตระหนักในเรื่องนี้ ไม่ใช่โยนหน้าที่ไปให้คนเพียงไม่กี่กลุ่มต่อสู้กันไป เรากำลังทำลายตัวเอง และอย่าคิดว่าถ้าเผ่าพันธุ์ของเราสูญสิ้น โลกจะสูญสิ้นไปด้วย ไม่เลยครับ โลกจะปรับตัวเอง สร้างวัฎจักรใหม่ สร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ ซึ่งถ้าเผ่าพันธุ์นั้นไม่ฉลาดหรือโง่เท่าเรา เขาก็จะไม่พยายามทำลายตัวเอง เหมือนอย่างที่เราพยายามทำกันอยู่ .. ที่น่าเศร้า เราต่อสู้ แย่งชิง ฆ่าฟันกันเอง ทั้งๆ ที่เรามียีนส์และโครโมโซมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า 70 เปอร์เซนต์ของโลกคือมหาสมุทร สัตว์น้ำที่เรารู้จักมีไม่ถึง 10 เปอร์เซนต์ .. เรามีภาพและเรื่องราวจากตำนาน ซึ่งทุกวันนี้เราก็พบว่ามีตำนานมากมายที่กลายเป็นเรื่องจริงจากการค้นพบทางโบราณคดี .. living fossils หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตในท้องทะเล ถูกค้นพบเป็น 10 ชนิด ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตัวไม่ใช่เล็กๆ ด้วยนะครับ อย่างปลาซีลาแคนท์ที่คาดว่าสูญพันธุ์ไปในปลายยุคครีเตเชียสเมื่อ 65 ล้านปีก่อน หรือฉลามกอบลินที่คิดกันว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อ 125 ล้านปีที่แล้ว .. ถ้าเทคโนโลยีในการสำรวจทะเลของเราก้าวหน้ากว่านี้ เราอาจพบอะไรใหม่ๆ อีกมาก อาจเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอีกนับพัน .. ซากที่เราพบกัน มาจากพื้นมหาสมุทรที่ยกตัวขึ้นน่ะครับ ส่วนที่ไม่ได้ยกตัวขึ้นก็ยังมีอีกเยอะ งั้นเราอาจได้พบสัตว์สายพันธุ์ใหม่อีกมากมายมหาศาล
ถ้าเผ่าพันธุ์เงือกมีจริง ผมคงดีใจ เพราะมันจะไม่ได้มีแต่เราตามลำพังอีกแล้ว อาณาจักรแห่งโพไซดอนจะสวยงามอลังการเหมือนในจินตนาการไหม แล้วมีใครกลัวการค้นพบจนต้องปกปิดมันรึเปล่า .. ผมรออยู่ว่าจะมีใครเจอ megalodon หรือฉลามยักษ์ที่ตัวเท่าวาฬสักวัน ผมคลั่งมันมากเลยนะ คาดว่ามีชีวิตอยู่ช่วง 18 1.5 ล้านปีก่อน .. liopleurodon หรือ predator x ก็น่ารักไม่แพ้กัน เจ้าตัวนี้จะเหมือนไอ้เข้ แต่ส่วนที่เป็นขาจะเป็นครีบ หางเหมือนตัวตุ่น มีขนาดเท่า megalodon น่ะแหละครับ สูญพันธุ์ไปเมื่อราว 147 ล้านปีก่อน มันคลาสสิคมากๆ .. เขาคาดว่าพวกมันสูญพันธุ์เนื่องจากแหล่งอาหารไม่เพียงพอ แต่ผมก็ยังหวังนะว่า มันอาจมีหลงเหลืออยู่ในน้ำลึกบ้างก็ได้ .. คราวหน้าผมจะมาเล่าเรื่องมังกร ดีไหม เขาพบซากมังกรอยู่ในถ้ำน้ำแข็งด้วยล่ะครับ สภาพดีเหมือนที่เราเจอแมมมอธนั่นเลย .. ตัวเบ้อเริ่ม มีปีกบินได้ พ่นไฟได้ นั่นล่ะ เผื่อเราจะมาดูเรื่องความเป็นไปได้กันอีกที.

ไม่มีความคิดเห็น: