While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตายแล้วไปไหน ..


คำถามนี้ไม่ธรรมดานะครับ เป็นคำถามระดับอภิปรัชญาเลยทีเดียว .. แล้วอภิปรัชญามันคืออะไรวะ .. อภิปรัชญาหรือ metaphysics คือทฤษฏีที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ครับ เป็นสิ่งที่ต้องอธิบายกันด้วยการคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้จากหลายๆ ทาง เช่น ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน, สวรรค์มีจริงไหม อะไรเทือกนี้ อภิปรัชญากับปรัชญามีความเป็นญาติกันอยู่ คือเกิดจากการคิดวิเคราะห์ แต่สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาสอนคนให้มีคุณธรรมได้ครับ และทำกันมาแล้วหลายพันปี
ความต่างระหว่างอภิปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์คือ
-          อภิปรัชญา เกิดจากความสงสัย ใช้การคิดวิเคราะห์ในการบรรลุจุดมุ่งหมาย เพื่อบำบัดความอยากรู้ อยากเข้าใจ
-          ศาสนา เกิดจากศรัทธา ใช้คำสั่งสอนและพิธิกรรมในการบรรลุจุดมุ่งหมาย เพื่อความสุขสงบทางใจ
-          วิทยาศาสตร์ เกิดจากปัญหาที่ต้องแก้ไขและความสงสัย ใช้การทดลองซ้ำๆ ในการบรรลุจุดมุ่งหมาย เพื่อการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น
คราวนี้ผมจะมาพูดเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ สนุกผมล่ะ .. แต่คุณคงต้องใช้วิจารณญาณมากหน่อยในการอ่านนะครับ .. ผมเชื่อว่าคำถามนี้ ใครๆ ก็อยากรู้ เพราะมีคนจำนวนน้อยมาก ที่เชื่อว่าตายแล้วดับสูญ .. เมื่อเราถามพระท่านว่า ตายแล้วไปไหน .. หลวงพ่อท่านหนึ่งที่ผมจำชื่อไม่ได้ ท่านตอบว่า ส่วนใหญ่ก็ไปวัด ไปป่าช้า .. ฮ่ะๆ จบเลย แต่ผมจะดันทุรังเขียนมันต่อให้ได้ครับ
สมัยโบราณ บางครอบครัวเขาก็ไม่ได้เอาไปวัดเลยหรอกครับ ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ ให้รักกันขนาดไหน พอตายปั๊บ รีบๆ เอาไปเลย .. เมื่อก่อน บางครอบครัวเขาเก็บศพไว้ที่บ้าน ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่า เพราะชาวพุทธเมื่อก่อนส่วนใหญ่จะไม่เผาเลย แต่จะมีการทำบุญ 100 วัน ทำบุญครบปี บางทีก็หลายปีถึงค่อยเผา .. ด้วยความผูกพัน เลยยังอยากให้ร่างกายของคนที่เขารักได้อยู่ใกล้ๆ เลยเก็บศพที่บ้าน และการกระทำอย่างนั้นมันก็สอนเรื่องความไม่เที่ยงได้ดี คุณลองนึกดูสิ เมื่อก่อนไม่มีฟอร์มาลีน ถึงคุณจะปลงไม่ได้ คุณก็ต้องปลงมันให้ได้ล่ะครับ มันจะทำให้ต้องยอมรับว่าทุกคนต้องตายแล้วเสื่อมสลายไป จากร่างที่เคยสวยงามน่าสัมผัส จะส่งกลิ่นเหม็น เน่าเฟะ ไม่มีใครอยากแตะต้องอีก แม้แต่คนที่รักเขาปานจะกลืนกิน .. หรือการเผาศพบนเชิงตะกอน ก็สอนได้ดีพอๆ กัน
คาทอลิกไม่มีการเก็บศพที่บ้านครับ แต่พวกเขามักจะตั้งศพสวดที่บ้าน 3 วัน 5 วัน 7 วัน แล้วแต่สะดวก ยุคที่ไม่มีฟอร์มาลีนก็ได้ดูกันเหมือนกันล่ะครับ 3 วันก็ได้เรื่องแล้วแหละ ยิ่งการกระทำของคนมีตังค์ ไม่รู้ว่าน่าดูหรือไม่น่าดูกว่ากัน .. แม่ผมเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ก๋งทวดเสีย (พ่อของคุณตาน่ะครับ) น่าจะประมาณ 60 ปีก่อน เขาเอาศพวางบนเตียง ใช้น้ำแข็งก้อนใหญ่รองใต้ตัว วางบนตัวและรอบตัว ใต้เตียงจะมีรางสังกะสี ให้น้ำแข็งที่ละลายไหลออกไป .. นั่นคือความพยายามของคน ในการรักษาสภาพศพของคนที่เขารักไว้ให้อยู่ในสภาพดีที่สุด แต่ก็ได้ปลงเหมือนกันน่ะแหละครับ ร่างกายที่หยุดทำงานแล้ว ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ต้องเสื่อมสลายไป แล้วคุณเห็นว่าสังขารมันเที่ยงที่ตรงไหน
มีสนุกกว่านี้อีกนิด ในเรื่องของสังขารร่างกาย พอดีที่บ้านผมมีการขุดกระดูกคุณก๋งกับคุณย่า ก๋งผมเสียก่อนคุณย่าหลายปี ซึ่งประเพณีในช่วงนั้น ยังเป็นการเอาโลงศพฝังลงในดินตรงๆ เมื่อเราขุด เราได้กระดูกของก๋งแค่ 2 มือกอบ คนตัวใหญ่ๆ เหลือเท่านี้หลังผ่านไปแค่ 50 ปี คุณย่าผมท่านเสียในช่วงที่เริ่มมีการก่ออิฐฉาบปูนแล้ว เราเจอย่านอนแช่น้ำอยู่ เหลือแต่กระดูกถุงใหญ่ .. เมื่อ 10 ปีก่อนผมกลัวครับ คือไม่กล้าจับน่ะ ถ้าเป็นตอนนี้ผมคงไม่ยอมพลาด ที่จะได้สัมผัสคนที่เป็นบรรพบุรุษของผมสักครั้ง .. จากเรื่องนี้ ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยน ในเรื่องสังขารที่เราแต่ละคนครอบครองอยู่ ไม่ว่าของใครจะสวยงามสักแค่ไหน มันก็ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับเราจะรักษาใจของเรายังไง รักษาการกระทำของเราแบบไหน ให้คนที่อยู่ข้างหลัง คนที่มีความหมายกับเรา จดจำเราไว้ในทางที่ดี และวิญญาณของเราจะได้ไปในที่ๆ ดี ..
ในขณะที่เรานั่งหายใจทิ้งๆ ขว้างๆ กันอยู่นี้ เซลล์เป็นร้อยเป็นพันตายไป เซลล์ใหม่สร้างขึ้น ซึ่งไม่ได้ดีเท่าเดิม ร่างกายเราเสื่อมลงอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่เจริญเติบโตเต็มที่ไปแล้ว .. มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่คนส่วนใหญ่จะกังวลว่า ถ้าฉันตาย แล้ววิญญาณของฉันจะไปอยู่ที่ไหน
ผมขอพูดถึงใน 2 ศาสนาแล้วกันนะครับ พุทธและคริสต์ เพราะผมรู้อยู่แค่นี้ จริงๆ แล้วผมมาศึกษาศาสนาพุทธได้แค่ 1 ปีเท่านั้น โดยการอ่านอย่างเดียวและทดลองปฏิบัติ (ตอนนี้หยุดอ่านไปแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองจับประเด็นที่ต้องการได้หมดแล้ว) ในขณะที่ผมนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมาตั้งแต่เกิด .. ที่ผมไม่อยากพูดแต่ก็ต้องพูด ด้วยความละอายใจต่อคนที่นับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันว่า ผมเข้าใจแนวคิดทางพุทธเรื่องการหลุดพ้นได้ดีกว่าศาสนาของตัวเองเสียอีก (แนวคิดนะครับ ไม่ใช่พระไตรปิฏก) อาจคล้ายกับคำว่า ใกล้เกลือกินด่าง เราอยู่กับความเคยชินจนแยกประเด็นสำคัญไม่ออก เหมือนที่ผมยังไม่เข้าใจว่า คนที่ไปวัดเป็นประจำ ทำไมยังมีความโกรธ ความเกลียด คำด่า นินทาว่าร้าย และความเห็นแก่ตัวอยู่ในใจ ทั้งๆ ที่พระเยซูก็สอนนักสอนหนา เรื่องความรัก การเสียสละ และการให้อภัย แต่ผมก็ยังยืนยันนะ ว่าผมขอเกิดและตายในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกนี่แหละ มันเป็นเรื่องยึดติดที่ละไม่ได้จริงๆ หรือไม่อยากจะละน่ะแหละครับ
ผมขอเริ่มทางพุทธก่อนแล้วกันนะครับ ซึ่งตรงนี้ผมขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ความรู้ไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมสนใจ ผมจะไม่พูดเรื่องที่ว่า เขาแยกเป็นกี่ภพภูมิ ทำกรรมอะไรแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร ต้องไปเจออะไร ถ้าคุณให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนั้นก็ผ่านไปได้เลยครับ ..
ศาสนาพุทธเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มันจะไม่มีการหยุดจนกว่าคุณจะถึงนิพพาน หรือการหลุดพ้นจากวัฎสงสารนั่นแหละ กรรมที่คุณทำจะส่งผลต่อตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่สามารถเอามาหักล้างกันได้ ถ้าคุณทำกรรมดีไว้ มันจะส่งผลตอบแทนที่ดีกับตัวคุณ สำหรับกรรมชั่ว คุณจะต้องชดใช้ ไม่สามารถเอากรรมดีมาลบล้างกรรมชั่วได้ นอกจากคุณจะเอาตัวคุณเองให้หลุดพ้นจากวัฎสงสาร กรรมก็จบ .. ในกรณีที่คุณทำบุญไว้มากๆ แต่ก็ทำบาปไว้มากเหมือนกัน คุณอาจได้ไปเกิดเป็นเทวดาหรือมหาเศรษฐีก่อน เสวยบุญจนหมดแล้วค่อยมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นคนที่ต้องเจอกับความยากลำบาก เพื่อชดใช้กรรมที่คุณเคยทำไว้ ซึ่งบางทีมันก็ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ที่โด่งดังก็มีให้เห็นอยู่ .. นี่คือ concept ที่ผมจับประเด็นมาได้จากเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด
ผมเคยอ่านเจอเขาถามว่า คุณเคยเห็นหมารวยไหม .. นั่นสิ เขาได้มีชีวิตที่สุขสบายกว่าคนอีกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังติดอยู่ในภพภูมิของเดรัจฉาน พระท่านว่ามันเกิดจากความหลงมาก ท่านจึงให้ระวังกิเลส ซึ่งแยกออกมาหลักๆ แค่ โลภ โกรธ หลง ความรักมันก็เกิดจากความหลงนั่นแหละครับ คุณต้องไปอ่านเรื่อง นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ของพระพุทธทาสภิกขุ ที่พูดเรื่องความรักและความหลงได้อย่างลึกซึ้งถึงไขกระดูก
อีกเรื่องหนึ่งคือปฎิสนธิจิต คำนี้ใหม่สำหรับคุณไหม มันคือจิตดวงสุดท้ายของเราที่จะไปจุติในภพภูมิใหม่ทันทีที่วิญญาณออกจากร่าง เรื่องนี้ผมเอามาจากท่าน ว.วชิรเมธี ท่านว่าคนตายไม่ได้มีเวลาที่วิญญาณจะมาวนเวียนอยู่อย่างที่เราเข้าใจกันหรอก วิญญาณจะไปเกิดใหม่ทันที ไม่มีเวลาแม้เสี้ยววินาทีที่ยังรั้งรออยู่ได้ ผมยังสงสัย แล้วผีที่ผมเจอมากับตัวล่ะ (แต่ก็นั่นแหละ มันอาจเป็นผีของผมก็ได้ .. คือผีที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยความกลัวของตัวเองน่ะครับ เพราะงั้นถ้าคุณเจอผีคุณต้องทดสอบมันนะ ว่ามันเป็นผีของคุณหรือเปล่า มันมีตัวตนจริงไหม ถ้ามันมีจริงมันต้องทดสอบซ้ำได้ตามความต้องการ เหมือนการทดลองใน lab น่ะแหละ) ในเรื่องของภพภูมิ ท่านว่าผีอยู่ในภพภูมิของอสูรกายครับ เพราะยังหลงยึดติดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเคยมี เคยครอบครอง หรืออารมณ์รัก-แค้น ไม่ยอมรับว่าแม้ร่างกายของตัวก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ ทีนี้ก็ต้องติดอยู่ในภพนั้นจนกว่าจะละมันได้น่ะแหละ ลำบากนะ อย่างเรื่องแม่นากไงครับ มันไม่ได้ลำบากแต่ตัวเอง มันลำบากไปทั่ว สร้างกรรมชั่วเพิ่มอีก
ในสายพระป่า ผมขออ้างถึงหลวงพ่อชา สุภัทโทนะครับ ผมถือว่าท่านเป็นอาจารย์คนแรกของผมทั้งในด้านการฝึกสมาธิและวิธีคิด ท่านจะเน้นในเรื่องของการมีสติอยู่ตลอดเวลา ผมถึงสามารถทำสมาธิที่บ้านได้โดยไม่ต้องกลัวอันตราย และหากเรามีสติอยู่ตลอด เราจะสร้างกรรมชั่วได้ยากขึ้น จะได้ไม่ต้องตามไปชดใช้กัน ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะมาถึง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น
ท่านเน้นเรื่องความหลุดพ้น พระป่าทุกองค์ก็คงเน้นเรื่องเดียวกัน .. ซึ่งคนพุทธส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากเกินไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลองศึกษาดู แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่จะการันตีได้ว่า คุณไม่ต้องไปเกิดในที่แย่ๆ ไม่ต้องมีเวรมีกรรมผูกพันอะไรกับใครอีก .. มันเป็นสุดยอดทางเลือกแล้วล่ะครับ แต่ทำไมคนถึงไม่เลือกกัน .. มันก็เพราะกิเลสนั่นแหละครับ เรายังมีความอยาก มากอยู่
การที่จะไปให้ถึงการหลุดพ้นได้ จะต้องละทุกอย่างได้ มันคงยากตรงนี้ เพราะเราถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เริ่มฟังภาษาคนรู้เรื่อง ให้ยึดติดกับทุกๆ อย่าง ตั้งแต่คำว่าเรามาเลยทีเดียว นี่ตัวเรา นี่ของๆ เรา เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมีกิเลส ตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น อัตตาตัวตน สารพัดจะพอกไว้จนหนาเกินกว่าจะลอกออกให้หมดได้ .. เรื่องเหล่านี้ทำให้เราสุข-ทุกข์อยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อท่านใช้คำว่าหลงอารมณ์ และมันมีอิทธิพลให้เราสร้างกรรมต่อไป
คุณคงกำลังสงสัยว่า แล้วมึงจะไม่ให้กูมีอารมณ์อะไรเลยเหรอ มันก็ห้ามกันไม่ได้หรอกครับ อารมณ์มันเกิดขึ้นตลอดเวลานั่นแหละ คุณแค่ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาเหมือนกันก็เท่านั้นเอง จริงๆ แล้วอารมณ์มี 2 อย่างเท่านั้น พอใจกับไม่พอใจ เราเยอะกับมันไปเองเพราะเราไปคิดต่อ ปรุงแต่งมันอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ลามปามไปเรื่อย จะว่าไปมันก็เพราะตัวคุณเองน่ะแหละที่สร้างเหตุขึ้นมา เพื่อสร้างกรรมต่อ ไม่ใช่เพราะสิ่งกระทบหรอก .. สมมุติ ถ้าคุณคิดว่าเสียงมันคือเสียง มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าคุณคิดว่าเสียงมันเป็นคำด่าคุณ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง .. แต่ 2 เรื่องนี้ ส่งผลกับการคิดและการกระทำของคุณ ต่างกัน .. ถูกไหมครับ
ถ้าของคุณขึ้นไปเรียบร้อยแล้วแต่คุณยังมีสติอยู่ คุณก็แค่หยุดดู (คุณยังจะได้เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์อีกด้วย มันเกิด มันตั้งอยู่ แล้วมันก็หายไป คุณจะไปเอาอะไรกับมันล่ะ) เมื่อคุณเพ่งความสนใจไปที่มัน คุณก็ไม่มีเวลาจะไปโกรธแล้ว จบแค่นั้น .. กรรมชั่วแม้แต่ในความคิดก็ไม่เกิด ไม่ต้องไปพูดถึงการลุกขึ้นมาด่าตอบหรือตบกัน .. คราวนี้คุณก็พอจะมั่นใจได้ว่าคุณไม่หลง ไม่ต้องไปเกิดเป็นหมาแน่ๆ .. เพราะไม่ว่าคุณจะไปเกิดเป็นอะไร โอกาสเดียวที่คุณจะหลุดพ้นได้ คือต้องเป็นคนเท่านั้น และพระพุทธเจ้าเองทรงตรัสว่า การที่จะได้เกิดเป็นคน มันยากมาก .. คุณจะรออีกกี่ภพกี่ชาติ แค่ชาตินี้ที่คุณรู้ คุณเหนื่อยพอหรือยัง คุณเบื่อกับการดิ้นรนต่อสู้ไหม แล้วคุณมั่นใจรึเปล่าว่าชาติหน้าคุณจะได้เป็นคนน่ะ .. คุณมีโอกาสอยู่ในมือแล้วนะ แต่ถ้าคุณคิดว่าการเวียนว่ายตายเกิดมันน่าสนุกดี มีลุ้น เหมือนได้ท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ ได้ประสบการณ์ .. ก็ไม่ว่ากัน
ทีนี้ลองมาดูทางด้านศาสนาคริสต์กันบ้างนะครับ ในความเชื่อของศาสนาคริสต์จริงๆ .. เรามีแค่ 1 ชีวิตเท่านั้น เรามีโอกาสแค่ครั้งเดียว ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก (ผมยังสงสัยประสบการณ์เกี่ยวกับ deja vu ของตัวเอง แต่ก็นั่นแหละครับ เรารับความคิดไว้มาก มันก็อาจจะเป็นเรื่องจิตหลอนของตัวเอง) เรามีแค่นรก ดินแดนในไฟชำระ และสวรรค์ ทุกสิ่งที่เราทำจะส่งผลให้เราได้รับการตัดสินว่าเราต้องไปอยู่ที่ไหนหลังจากความตายมาถึง
ถ้าคุณเป็นคนดีจริงๆ คุณก็คงได้ตรงขึ้นสวรรค์เลยแหละครับ ซึ่งผมคิดว่าคนที่ไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่ในความคิด มันน่าจะมีน้อยมากๆ ตอนนี้ผมเลยค่อนข้างกังวลกับความคิดชั่วๆ ของตัวเอง คนเลวๆ คงได้ลงนรก แต่ผมก็ยังไม่ลึกซึ้งว่า มันจะต้องเลวขนาดไหนถึงจะถูกส่งตรงไปให้ lucifer ทันที
เรามี บาปต้น 7 ประการ ที่จะทำให้เราตรงขึ้นสวรรค์เลยไม่ได้ ซึ่งมันเป็นบาปที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย .. ฮ่ะๆ ทีนี้คนที่จะตรงขึ้นสวรรค์เลย ก็มีน้อยลงอีก
ผมคิดว่าสำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่มีดีบ้าง เลวบ้าง คิดชั่วบ้าง มันยังมีอีกที่หนึ่งที่ให้โอกาส ดินแดนในไฟชำระครับ หรือ purgatory ความหมายคือ เป็นสถานที่สำหรับชำระล้างดวงวิญญาณของเราให้สะอาดพอก่อนที่เราจะได้เข้าสู่สวรรค์ จากคำบอกเล่าของคนที่ถึงฌาณ (ของคริสต์ก็มีครับ แต่เราไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าไหร่ และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้) purgatory จะเป็นดินแดนแห่งไฟ ล้างกันด้วยไฟครับ ไม่ใช่น้ำ แบ่งเป็น 3 โซนแยกตามความหนักเบาของบาปที่เรามี .. ที่ผมเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าคงมีใครจับเราโยนลงไป ความจริงไม่ใช่ครับ เราเลือกที่จะลงไปเอง มันเหมือนกับคุณจะไป dinner กับสาวสวยในภัตตาคารหรูๆ แต่คุณเพิ่งกลับมาจากท้องนา ตัวเปื้อนโคลน มีแต่กลิ่นโคลนสาบควาย คุณคงอยากจะล้างมันออก อาบน้ำอาบท่าทำตัวให้สะอาดแล้วค่อยไป แบบนั้นล่ะครับ
โชคดีที่คาทอลิกมีการสารภาพบาป เพื่อนที่เป็นคนพุทธเคยพูดกับผมว่า อย่างนี้ก็ง่ายสิทำบาปเท่าไหร่ก็ได้แล้วไปสารภาพเอา จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ concept ของการสารภาพบาป คือการต้องพิจารณาถึงสิ่งไม่ดีที่เราทำลงไป รู้สึกเสียใจกับการกระทำ เป็นทุกข์ถึงมัน รู้สึกผิดจริงๆ และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ทำมันอีก บาปนั้นถึงหลุด
มันอาจเป็นความคิดโง่ๆ ของคนอย่างผม ที่ว่าจะทำยังไงให้ไปสวรรค์ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านดินแดนแห่งไฟชำระ ผมไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะต้องลงนรกหรอกครับ ผมไม่ได้บอกว่าผมไม่เลว แต่ผมไม่ได้เลวขนาดนั้นแน่ๆ .. และผมมีแผนครับ แผนพื้นๆ นี่แหละแต่คิดว่ามันน่าจะได้ผล คือหยุดการทำบาปทุกอย่างแม้แต่การคิดไม่ดีกับคนอื่น น่าจะเป็นแผนที่ดีพอ คุณจะลองเอาไปใช้บ้างก็ได้นะครับ แต่ผมจะทำมันได้สำเร็จไหม ที่ๆ คุณไปเจอผมหลังความตายจะให้คำตอบกับคุณได้ .. คุณอาจกำลังคิดว่า กูขอไม่เจอมึงได้ไหม เหมือนที่เพื่อนผมพูด ..
ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี่ ไม่ได้ขอให้คุณเชื่ออะไรสักอย่างนะครับ ก็มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้นี่ .. คุณคงต้องพิจารณาทางเลือกของคุณเองว่า เมื่อคุณตายแล้วคุณจะไปไหน มั่นคงในทางเลือกของคุณ แล้วทำมันให้ได้อย่างที่ต้องการ .. คนมีความได้เปรียบ ตรงที่สามารถเลือกทางของตัวเองได้ นั่นคือทำไมบางคนเลือกที่จะทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมงด้วยผลตอบแทนหลักพันหลักหมื่น ในขณะที่บางคนเลือกที่จะค้ายา ทำงานวันละไม่ถึงชั่วโมงได้ผลตอบแทนหลักแสนหลักล้าน มันก็แค่ทางเลือกแหละครับ .. แต่ก่อนที่คุณจะเลือกอะไร ผมอยากให้คุณวิเคราะห์ผลที่คุณจะได้รับจากทุกทางเลือกให้ดีเสียก่อน
สุดท้าย ผมอยากจะให้คุณระวังความคิดของตัวคุณเองด้วย คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อ ซึ่งผมก็เป็นอยู่บ่อยๆ สิ่งนี้จะส่งผลระยะยาว ไม่ได้สิ้นสุดที่ความตาย .. แต่สิ่งที่เราจะเชื่อได้แน่ๆ คือความดีครับ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่ทำชั่วแล้วจะได้ดี.

ไม่มีความคิดเห็น: