While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลูกบ๊าคเป็นมะเร็ง / Sat. 25 Oct., 2014



ถ้าคุณไม่คิดว่าเรื่องหมาๆ มันไร้สาระจนเกินไปนัก ผมขอเวลาพวกคุณคนละ 1 นาที หรือ ไม่กี่วินาทีก็ได้
สวดให้บ๊าคสักบท อธิษฐานให้เขาสักประโยค หรืออุทิศส่วนกุศลให้เขาสักหน่อย ..
เขากำลังป่วยหนัก ด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และเขาเป็นลูกชายผม
ผมไม่กล้าหวังขนาดให้เขาหายป่วยกลับมาเป็นปกติ
แค่ให้เขาอาการดีขึ้นหรือตายอย่างไม่ต้องทรมานมากนัก ก็พอ
ตอนนี้ผมต้องการทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ


ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 สิงหา ผมเข้าโรงพยาบาลไป 2 อาทิตย์ ได้กลับบ้านวันที่ 19 ระหว่างนั้น บ๊าคไม่ได้กินยาโรคหัวใจของเขาเลย ไม่มีใครรู้ว่าเขากินยาอะไรยังไง แต่ถึงรู้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะการกินยาของบ๊าค คือการเอาหัวแม่โป้งซ้ายดันเข้าไปข้างๆ กราม ให้ปากอ้าขึ้น พร้อมกดโคนลิ้นไว้ ใช้นิ้วโป้งมือขวาดันยาเข้าไปสุดโคนลิ้น แล้วปิดปาก .. ใครจะกล้าทำ
อาการตาของเขาแย่ลง ขี้ตากรัง การกินไม่ค่อยดี ถ่ายไม่เป็นก้อน ดูแข็งแรงน้อยลง ผมก็เข้าใจว่า เพราะขาดยามาหลายวัน วันอาทิตย์ที่ 21 ผมพาไปโรงพยาบาล ดูเรื่องตา ไม่เป็นอะไรมาก แค่ขาดการหยอดตามันเลยอักเสบ
อาทิตย์ถัดมา เริ่มไม่ค่อยกิน Renal ผมทดลอง ข้าว ไข่ อะไรอย่างอื่น ที่จะหลอกล่อให้เขากินได้ ก็ยังกินบ้าง ไม่ถึงกับเลิกกินไปเลย วันที่ 1-3 เริ่มท้องเสีย ผมให้ Baytril ก็ไม่ดีขึ้น วันศุกร์เย็นถึงเช้าวันเสาร์ดูแย่ วันเสาร์ที่ 4 ตุลา ผมลางาน พาไปสุวรรณชาดแต่เช้า บอกอาการ และขอให้คุณหมอตรวจทุกอย่าง เลือด, ฉี่, x-ray, ultrasound, คลื่นหัวใจ, เนื้องอก
เนื้องอกที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาข้างๆ ไหล่ แค่ 2 อาทิตย์มันใหญ่ขึ้น10 เท่า ตอนผมกลับมามันเล็กมาก ขนาดแค่เหรียญ 5 หนา 1-2 mm คิดว่ากระแทกอะไร คราวก่อนเลยไม่ได้ขอให้คุณหมอตรวจ บวกกับความที่เขายังมีเรี่ยวแรงมหาศาล ต้องจัดการอะไรเยอะ ผมเลยลืมคิด ว่ามันอาจจะสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีต่อมลูกหมากโต มีอีกก้อนที่ขาหนีบ คุณหมอคลำไปตามตัวเท่าที่จะกล้า คือเว้นไว้ส่วนที่ใกล้ๆ ปากบ๊าคน่ะครับ (แถวๆ คอ ทั้งๆ ที่ใส่ตะกร้อครอบปาก)
เท่าที่ทราบผลวันนั้น creatinine 2.4, bun 57, ฟอสฟอรัสในเลือดสูง, x-ray มีรอยขาวที่ขั้วปอดขนาดใหญ่ ..
คุณหมอให้ cavumox สำหรับอาการอักเสบติดเชื้อ ที่อาจเกิดในทางเดินอาหาร ทำให้ท้องเสีย / ให้ aluminium hydroxide เพื่อดูดซึมฟอสฟอรัสจากอาหาร / สั่งให้ผมให้น้ำเกลือทุกวัน เช้า-เย็น ครั้งละ 500 cc ... ultrasound ลงตารางนัดได้วันเสาร์ที่ 11 ตอน 2 ทุ่ม คลื่นหัวใจลงตารางนัดได้ต้นเดือนพฤศจิกายน


วันที่ 6 เริ่มอาเจียน อยากกินแต่ไม่กินเอง ต้องป้อน คือยัดเข้าไปที่โคนลิ้น แล้วปิดปากบังคับให้กลืน ซีซาร์หอมๆ ก็กินนิดเดียว กินเข้าไปได้ 30 นาทีก็อ้วกออกมา ช้าสุด 1.30 ชั่วโมง ผมอัด ondensetron 8 mg ให้หยุดอาเจียน ซึ่งได้ผล จากนั้นถ่ายเหลวต่อ ที่หนักยิ่งกว่าคือ นอนๆ ก็อึไหลเอง อยู่ 2-3 วัน และดูเหมือนจะปวดท้องด้วย แต่ไม่ถึงกับร้องดิ้นทุรนทุราย
ผมก็ก้มหน้าก้มตาเช็ดอึไป พร้อมๆ กับปรึกษาคุณหมอวรรณพงศ์ ท่านแนะนำ ultracarbon เพื่อช่วยดูดซึมน้ำ และแบคทีเรียในลำไส้ โดยท่านเตือนไว้ก่อนว่า บางทีอาการมันหลอกนะ ต้องสังเกตุให้ดี ท่านให้ยามาอีกตัวเป็นยาที่ช่วยในการบีบรัดลำไส้ เพื่อให้ดันอึออกไป ไม่งั้นอาจท้องอืด อาเจียนอีก มันได้ผลใน 3 วันนั่นแหละ ไม่ต้องคอยเช็ดอึตลอดเวลาไปทั่วห้อง ก็นับว่าเยี่ยมแล้ว .. คือพอมันไหลออกมาแล้วเขารู้ตัว เขาก็จะลุกหนีไปนอนไหลที่อื่นอีก แผ่นรองซับจึงใช้ไม่ได้ แต่ตัวผมใช้ได้ คอยตามเช็ดพื้น เช็ดก้นกันไปเรื่อย มันโหดสุดๆ เช้าเช็ด เที่ยงเช็ด เย็นเช็ด ไปถึงเที่ยงคืน ทุก 5-10 นาที
ปัญหาต่อมา .. ไม่กิน .. ผมซื้อ i/d มายัดปาก มันคืออาหารกระป๋องสำหรับหมาท้องเสียน่ะครับ ยัดไปก็ยังกลืน ยังอึ แต่ยัดเข้าไปมากนักไม่ได้ จะอ้วกออกมา สภาพโดยรวม โทรมลง แต่ยังวิ่งได้ ยังเห่าหอน ยังจะเล่นหมาข้างบ้านที่วิ่งผ่านให้เห็นตัวได้อยู่
วันพฤหัส คุณหมอโทรมาแจ้งผลตรวจชิ้นเนื้อ เป็นเซลล์มะเร็งชนิดแพร่กระจายเร็ว .. ท่านคาดว่า เป็นไปได้ที่จะกระจายไปตามต่อมน้ำเหลืองแล้วไปที่ปอด ไปที่ลำไส้ ทำให้ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา และมีอาการไอ (ซึ่งหยุดไอไปหลายวันแล้ว แค่หอบทุกครั้งที่เดิน แต่ก็ยังเดินได้นานๆ ยังวิ่งได้อยู่) .. ท่านว่า อาจพิจารณาเรื่องทำคีโม .. เท่านั้นล่ะ ผมก็เริ่มอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับมะเร็ง การรักษาทั้งแผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ยาสมัยใหม่ ยาสมุนไพร
ตอนเย็น ผมพาบ๊าคไปตรวจเลือดที่คลีนิค เพื่อจะเอาผลไปโรงพยาบาลด้วยในวันเสาร์ คุณหมอที่โน่นสั่งไว้ว่า ให้น้ำเกลือไปสัก 5 วัน แล้วตรวจเลือดอีกที ผมพยายามใส่แพมเพิสให้ เพราะไม่แน่ใจว่าอึจะไหลเองอีกไหม บ๊าคเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ลงไปกองกับพื้น อืม ผมอาจใช้มันไม่เป็น แต่ก็ไม่อึไหลอีก คุณหมอจะส่งผลเลือดให้ทางเมล์ภายหลัง ค่าเลือดดูดี creatinine เหลือ 1.9 bun 19 น้ำตาลต่ำ เม็ดเลือดขาวเกินมาพันกว่า ค่าอื่นๆ อยู่ในช่วง
เสาร์ที่ 11 ตอนเย็น บ๊าคไม่ต้องกินอะไร ตามคำแนะนำที่ให้ไว้ สำหรับการเตรียมตัวก่อน ultrasound เราออกจากบ้านกันก่อน 6 โมงเย็น รถติดมากๆ ถึงโรงพยาบาล 1 ทุ่มห้าสิบ (ถ้ารถไม่ติด ราว 40 นาทีก็ถึง) กว่าจะได้ตรวจก็ 2 ทุ่มครึ่ง บ๊าคไม่มีแรงดิ้นเท่าไหร่ (ซึ่งผู้ช่วยเขาไม่เห็นด้วย) ต้องโกนขนบริเวณหน้าท้อง ด้วยแบตเตอเรียนไร้สาย แล้วเริ่ม ultrasound
ผมเพ่งดูจอไปด้วย ทั้งๆ ที่ดูไม่รู้เรื่อง พักใหญ่ๆ คุณหมอก็เริ่ม mark จุด วัดระยะที่อวัยวะต่างๆ หลังจากนั้นท่านก็ค่อยๆ อธิบายให้ผมฟังทีละเรื่อง ผมเล่าต่อเป็นข้อๆ แล้วกัน
1. ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คาดว่าเซลล์มะเร็งจากก้อนเนื้อ มาที่ต่อมน้ำเหลืองแล้วกระจายต่อไปที่อื่นๆ  ทำให้ไปเกิดก้อนเนื้องอกที่อื่นอีก
2. เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าไปในช่องท้องแล้ว ก็น่าจะเป็นสาเหตุให้ปวดท้อง อาเจียน ไม่อยากกินอะไร
3. มันคงแพร่กระจายไปยังลำไส้ด้วย ทำให้ผนังลำไส้ไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ บวกกับกินไม่ค่อยได้ ทำให้การเคลื่อนตัวมาก น้ำออกมาเยอะ เลยถ่ายเป็นน้ำ แบคทีเรียเยอะ (ซึ่งคุณหมอธนิกาท่านว่า
ultracarbon ก็ช่วยจับแบคทีเรียได้ด้วย ดีกว่าไม่มีอะไรช่วยจับออกมา)
4. ยังไม่ลามไปที่ตับกับม้าม .. อันนี้ข่าวดีใช่มั๊ย
5. ขาวๆ ที่ปอด จาก
film x-ray ก็น่าจะใช่
6. ก้อนที่ขาหนีบก็ใช่ ลักษณะมันเป็นก้อนเนื้อขรุขระ แล้วท่านก็ชี้ให้ดู


ผมถามคุณหมอว่า ผมจะทำอะไรได้บ้าง ท่านว่า ทำใจ .. หรือจะลองปรึกษาคุณหมอทางด้านมะเร็งดู ผมก็ถามไปว่า ผมเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ท่านว่าอย่างน้อย 3 เดือน อย่างมาก 6 เดือน .. แล้วบอกผมว่า มะเร็งชนิดที่บ๊าคเป็น เป็นแบบแพร่กระจายเร็วและไม่ค่อยตอบสนองต่อคีโม อีกอย่างบ๊าค 11 ขวบกว่า (นับว่าแก่แล้วในหมาใหญ่) กับมีทั้งโรคหัวใจ โรคไต คิดว่ารับไม่ไหว ผมก็ตอบได้เลยว่า งั้นไม่เอา ท่านก็ว่าให้อยู่ดีๆ ไปอย่างงี้ดีกว่า
ผมถามถึงการดำเนินไปของโรค ทั้งหมดนี่ใช้เวลาเท่าไหร่ ตั้งแต่เริ่มเป็น ท่านว่าเดือนนึง เร็วมากนะ ท่านว่า ต่อมน้ำเหลืองนี่มันมีกระจายอยู่ทั่วตัว มันจะไปได้เร็วมาก อยู่ที่ว่าจะไปโผล่ตรงไหน  แล้วถึงจะไปส่งผลกับอวัยวะส่วนนั้นๆ อย่างต่อมน้ำเหลืองนี่ ปกติใหญ่ประมาณ 1 เซนต์ แทบหาไม่เจอ ของบ๊าคปาเข้าไป 3 เซนต์กว่า ถ้าขยายใหญ่กว่านี้ จะไปเบียดท่อไต ท่อฉี่ ลำไส้ จะทำให้ฉี่ลำบาก ฉี่ไม่ได้ อึไม่ได้ ก็ต้องรักษากันไปตามอาการ .. ผมคิดในใจ ยังไง ต่อท่อฉี่อึออกมาเหรอ มันจะทรมานกันมากไปไหม แต่ถ้าขับถ่ายไม่ได้ ก็จะเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน ถึงตายได้ (แบบ coffee ไม่อึไม่ฉี่ก็ตายภายใน 2 วัน แต่ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าตายเพราะมะเร็งหรือเพราะไตวาย .. anyway she gone)
คุณอ่านแล้วเคลียร์ไหม .. ผมฟังแล้วก็เคลียร์อยู่ว่า ต้องตาย ไม่ได้ตายสบายๆ ด้วย มันจะทรมานมากก่อนตาย (ผมนั่งดูหมาตายมา 3 ตัว ก็ไม่เคยเห็นใครได้ไปง่ายๆ เลย) เวลาที่คุณหมอบอกก็แค่ ประมาณการตามสถิติ condition ของร่างกายบ๊าค อาจมีเวลาสั้นกว่านั้น ให้ทำใจเหรอ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น .. แต่ผมก็ยังไม่ลงใจ มันยังมีทางอื่นอีกไหม ... คุยจนพอใจ สิ้นสงสัย ผมก็ขอบคุณคุณหมอ แล้ววิ่งตามบ๊าคออกไปหน้าโรงพยาบาล เขาอยากฉี่เต็มที ปล่อยให้ฉี่พักนึง ก็กลับเข้ามานั่งรอเช็คบิล

ขณะที่นั่งรออยู่ คุณหมอธนิกาก็เดินมาทัก แล้วมานั่งคุยที่เก้าอี้ด้านหลัง ท่านว่า ทราบข่าวแล้ว ไม่ดีเลย เราคิดไปในทำนองเดียวกันว่า การพยายามรักษาทางคีโม แทบไม่ช่วยอะไร และบ๊าคคงไม่ไหว จะกลายเป็นทรมานกัน เร่งให้ไปเร็วขึ้น ให้อยู่ดีๆ อย่างนี้ดีกว่า ท่านก็ว่าร่างกายมันจะ drop ลงเรื่อยๆ ก็รักษาตามอาการ
ท่านพูดถึงอาการของหัวใจกับไต ก็ทรงๆ ตัวอยู่ ผมก็บอกท่านว่า งั้นที่นัดไว้ คงไม่ต้องมาแล้วเนอะ ท่านก็ยิ้มๆ ว่าไม่ต้องแล้ว ผมก็บอกท่านว่า ผมคงไม่พามาอีก เขาหอบตลอดทางทุกครั้งน่ะแหละ แต่ร่างกายที่แย่ลง ทำให้เขาแย่เข้าไปอีก ท่านก็ว่า รักษาคลีนิคใกล้บ้านจะดีกับเขามากกว่า ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ ผมก็ว่า เป็นไปได้ไหมว่า ที่ผมเข้าโรงบาล 2 อาทิตย์ เขาไม่ได้รับยา ร่างกายอ่อนแอ มันเลยโผล่ขึ้นมา ท่านว่าก็เป็นได้ ส่วนใหญ่เซลล์มะเร็งมันมีอยู่ในพันธุกรรม งั้นคงไม่ต้องแปลกใจ พ่อ แม่ ป้าของบ๊าค ก็ตายด้วยมะเร็งกันหมด
ผมขอคำแนะนำเรื่องอาหารต้านมะเร็ง (ที่ผมตะลุยอ่านมา 2-3 วัน ตั้งแต่รู้ว่าบ๊าคเป็นมะเร็ง และคาดว่ากระจายไปต่อมน้ำเหลืองแล้ว อ่านเยอะมาก ทั้งของคนและของหมา .. progress ของโรค การรักษา ผลข้างเคียง เป็นขนาดไหนทำยังไง ขั้นไหนไม่ต้องทำอะไร ขั้นสุดท้ายมีทางรอดมั๊ย คนที่รอดทำยังไง เชี่ยแม่ม อัดเข้าไปในหัวให้หมด จะได้คุยกับหมอรู้เรื่อง)
ท่านก็แนะนำว่าถ้าอย่างชีวจิตก็น่าจะได้ แต่ต้องให้โปรตีนบ้าง ให้ไขมันเป็นพลังงานด้วย งดของหวาน รูปแบบก็ใกล้เคียงกับของคน ตัวอาหารสำเร็จรูปสำหรับมะเร็งโดยตรงก็มี n/d .. ผมก็ เหรอ มันเป็นยังไง ท่านพาไปดูพลางอธิบายว่า วิจัยมาแล้ว ว่ามีสารอาหารเพียงพอและเหมาะสม สำหรับสุนัขเป็นมะเร็ง .. กระป๋องละ 120 แพงแฮะ แต่ผมก็เอามาก่อน 10 กระป๋อง เผื่อหาซื้อลำบาก ท่านก็ว่า อาจลองพิจารณาเกี่ยวกับอาหารปรุงเอง ลองหาในเนท น่าจะมีสูตรการทำ
กลับมา ผมปล่อยให้กิน n/d อยู่ 3 วัน มันก็ยัดปากน่ะแหละครับ บ๊าคไม่กินเองแล้ว นอกจากทาโร่หมา ปลาโอผัดพริก ไข่ดาว แต่ให้กินมาก เดี๋ยวตายพอดี ผมมานั่งคิดเอาไงดีล่ะ ลงมือทำอะไรสักอย่างสิ นั่งอ่านศึกษาหาข้อมูลมาเป็นอาทิตย์ อ่านก็เป็นร้อยหน้าแล้ว มันต้องเกิดประโยชน์อะไรสักอย่างสิวะ .. ผมเริ่มสรุปรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับอาหารการกิน
อาหารและยา อาหารชีวจิตของคนกับหมาก็คล้ายกัน ยาสมุนไพรก็คล้ายกันอีก สรุปว่า ผมให้บ๊าคกินสารพัดผักหั่นแล้วต้มไม่ทิ้งน้ำ ใส่ข้าวกล้อง 15-20% (อันนี้หมอบอก) ปลาน้ำจืด กับ n/d 1 กระป๋อง  ปั่นรวมกันใส่ตู้เย็นไว้ ทำครั้งหนึ่งกินได้ราว 2 วัน หรือ 8 มื้อ มื้อละ 2 ถ้วยน้ำปลา ประมาณนั้น ถ้ามากกว่านั้น อ้วก แล้วจบกัน
แต่แค่นั้นมันไม่พอ (รึเปล่า) มีกรดอมิโนจำเป็นบางตัวที่ใช้ในการสันดาบ และหาได้จากโปรตีน ซึ่งมีในพืชและสัตว์ ไข่ อะไรพรรค์นี้ วิตามิน B ทั้งหลายแหล่ วิตามินอี ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง เสริมภูมิต้านทาน โอเมก้า 36 ในน้ำมันปลา fatty acid หลังจากศึกษาเรื่องวิตามินอย่างจริงจังไป 2-3 วัน ก็รู้ว่า ที่ผมให้กิน มันไม่พอ ซึ่งถ้าจะให้กินให้พอโดยผ่านทางอาหาร มันเป็นผลเสียมากกว่าดี ผมเลยมองไปที่วิตามินที่มีขายกันเกลื่อนเมือง
วิตามินทุกตัวที่จะใช้ ต้องผ่านวิธีการสกัดตามธรรมชาติ ผมเลือก ...
1.
Multi-B ของ blackmore -- วันละครั้ง
2.
BioC ซึ่งน้องคนขายเขาว่าอีกตัวดีกว่า เป็นของ Lynae ซึ่งเป็น vita C และมี flavonoid เป็นตัวพา อ่านมาก่อนแล้วเลยคิดว่าดี ไม่ได้สนใจจะถามว่า แล้ว bioC ไม่มี flavonoid เหรอ ให้ได้ 1000 mg ต่อวัน ควรเป็นเช้าเย็น ครั้งละ 500 mg นอกเสียจากว่า มันจะระบุว่าออกฤทธิ์ยาว
3. กรดอมิโนจำเป็นจากโปรตีน พืชก็มีกรดอมิโนจำเป็นตัวเดียวกันกับที่มีในเนื้อสัตว์ ผมเขียนไปว่า
plant protein เขาก็งงๆ ก่อน ผมบอกโปรตีนจากพืชน่ะครับ เขาจึงแนะนำ Vital-M ซึ่งเป็นสาหร่าย Spirulina & Chlorella มา อันนี้ให้ เช้า-เย็น ครั้งละเม็ด
4.
Natural E 400iu ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ขยายหลอดลม เพิ่มภูมิต้านทาน ขับปัสสาวะ ลดความดัน อีกเยอะครับ - วันละเม็ด
5. 
Fish Oil 1000 mg โอเมก้า 3 กับ 6 ซึ่งต้องดูค่า EPA DHA - วันละเม็ด
วิตามินอีกับน้ำมันปลา ต้องดูตามน้ำหนักตัว  และทำให้เลือดเหลวเหมือนกันจึงไม่ควรให้พร้อมกัน 2 อย่างหลังนี้ผมใช้ของ mega เหตุผลคือ โรงพยาบาลเขาใช้ เขาก็ต้องดูมาแล้วล่ะ ว่ามันโอเค .. ผมลองอย่างนี้มาราว 5-6 วันแล้ว (ตั้งแต่วันที่ 19) ภาพรวมก็ดูดี แต่


เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 20 เขาชัก 2 รอบ ตอน 3 ทุ่มครึ่งกับตอนตี 2 ครึ่ง รอบแรกผมคิดว่าจะไปแล้ว ตาเหลือก คอแหงน อ้าปากพะงาบๆ แขนขาเหยียดเกร็ง ตะกุยตะกาย อยู่ๆ ก็หยุด แล้วยังลุกไปฉี่ตอนเที่ยงคืนได้ เดินเองได้ เช้าก็ดูไม่มีอะไร แต่ผมคิดว่าถ้าผมไม่ทำอะไรเลย เขาต้องชักอีกแน่ๆ ผมโทรปรึกษาคุณหมอวรรณพงศ์ ท่านว่ามี 2-3 ประเด็นที่อาจทำให้ชัก
1. ระบบประสาท
2. ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
3. แคลเซียมในเลือดต่ำ
วิธีการคือ
1. ให้ neurontin (gabapentin) 300 mg เช้า-เย็น ครั้งละเม็ด เป็นยากันชัก ทำงานกับสารสื่อนำเซลล์ประสาท ใช้ๆ กันเป็นยาระงับปวดในคนไข้มะเร็ง รักษาอาการปวดปลายประสาท ผลข้างเคียงคือ ง่วงซึม อ่อนเพลีย เสียการทรงตัว .. เมื่อเริ่มใช้ก็ไม่มีอาการชักอีก แต่เดินเซแซดๆ และหลับเกือบจะตลอดเวลา
ผมมานึกถึง ที่ได้คำแนะนำจากเภสัชของคนท่านหนึ่ง เขาว่าถ้าไตเสื่อม การขับออกก็ช้าลง ผมเลยคิดเรื่องการลดยาลงเหลือวันละเม็ดตอนเช้า ปรึกษาคุณหมอธนิกาซึ่งเป็นหมอโรคหัวใจอีกที คุณหมอวรรณพงศ์ด้วย ทั้ง 2 ท่านก็เห็นพ้องกันว่าให้ทดลองดูได้ แล้วดูว่าเขาเจ็บมากหรือเปล่า หรือว่ามีชักอีกไหม 3 วันผ่านไป ไม่ชัก และระยะห่างจากเวลาให้ยายิ่งมากขึ้น เขาก็ทรงตัวได้ดีขึ้น แต่ไม่ถึงกับเดินได้เองแบบมั่นคง
2. อัดกลูโคส น้ำตาลอาจต่ำไปเลยชัก ให้ซื้อกลูโคส 50% ขนาด 10 cc มันคือสำหรับฉีดน่ะแหละ แต่ให้บ๊าคกิน เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด .. ขายเป็นกล่องๆ ละ 10 หลอด 47 บาทต่อกล่อง
3. ให้กิน Aluminium Hydroxide (แอนตาซิลก็ได้) น้องคนขายเอามาให้ผมเลือก 3 อย่าง ผมเลือกตัวที่มีปริมาณ aluminium Hydroxide สูงสุด มันเป็นกระปุก 1000 เม็ด ผมจำชื่อไม่ได้ .. ใช้ตัวนี้จับฟอสฟอรัส ถ้าปล่อยให้ฟอสฟอรัสในเลือดสูง มันก็ไปจับแคลเซียม ทำให้แคลเซียมต่ำตาม เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชักได้ ค่าฟอสฟอรัส ยังเป็นตัวบอกเหตุ ถ้าฟอสฟอรัสสูงอาจเป็นมะเร็ง ให้ตรวจอย่างอื่นร่วมด้วย
ทั้งหมดนี้ ให้กินมาตั้งแต่วันอังคาร อาการก็ตามนั้น ทรงๆ ทรุดๆ บางทีเดินเซๆ แต่ก็ยังอยากเดินนะ ผมเลยเปลี่ยนมาใช้สายจูงแบบคล้องอกแทนเข็มขัด เพื่อช่วยพยุงน้ำหนักตัวให้เขาไม่ล้มไปเฉยๆ 2-3 วันมานี้ ดูเหมือนจะดี ตอนห่างจากเวลา neurontin นะครับ ผมก็ไม่แน่ใจ อาจเป็นร่างกายเขาทรุดเร็วกว่าที่คาดไว้


เมื่อเที่ยง ผมพาเขาออกไปฉี่ เขาเดินได้ 2-3 ก้าวก็ล้ม อย่างมาก 5-6 ก้าว แต่ก็ยังฉี่ได้ 3 ที่ ผมรั้งสายคล้องด้วยมือขวา ประคองใต้ก้นด้วยมือซ้าย ก็ยังล้ม ผมพยายามเอาขาหน้าเขาพาดบ่า กะจะอุ้มพาดบ่าเข้าบ้านเหมือนตอนเขาเด็กๆ เขาก็ทำท่าจะหงายไปข้างหลัง ลองอุ้มแบบเอาหลังแนบอกก็ร้องลั่น กลับไปรั้งสายคล้องอกกับใต้ก้นประคองเข้าบ้าน แค่ไม่กี่เมตรก็ทุลักทุเลน่าดู ให้ยาแล้วให้กินมื้อเที่ยง 3-4 คำ ยังไม่สำลัก ต้องกินถ้ากินได้ เขาเคยแย่หนักเพราะไม่กิน กินเข้าไปลูก
เหมือนเขากึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาหรือเพราะร่างกายเขาเอง ก่อนออกมาผมได้แต่บอกว่า เย็นเจอกันนะลูก อย่าตายคนเดียวนะ รอป๊ากลับมาก่อน .. ผมคิดอะไรไม่ออกแฮะ เขาจะดีขึ้นไหมเย็นนี้ หรือแย่ยิ่งกว่าเดิม หรือตายไปแล้ว .....

ไม่มีความคิดเห็น: