While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

บวชใจกันไหม

ผมเคยอ่านเรื่องการบวชใจเมื่อหลายปีก่อน จากหนังสือของพระพุทธทาสภิกขุ เรื่องการบวชอยู่ที่บ้าน ณ เวลานั้น มันน่าสนใจ แล้วผมก็ลองทำตาม แต่เมื่อผมมีเรื่องที่ต้องห่วงกังวลมากเรื่อง ผมก็หย่อนยานในการควบคุมใจตัวเอง สุดท้ายก็สึก แต่การได้ทำอย่างนั้นมาครั้งนึง โดยใช้ช่วงเวลาบวชไปราว 2 ปี ก็ช่วยให้เราลดความต้องการทางโลกได้พอสมควร ถือว่าไม่เสียเปล่าหรอกครับ
ช่วงนี้ผมเจอวิกฤติทางความคิด จะโทษใครก็ไม่ได้ ความคิดของเรา เราปล่อยให้มันรับเรื่องเข้ามาเอง ไม่มีใครมาบังคับเราได้ เราแค่เปิดรับไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อย แล้ววุ่นวายอยู่กับมัน สำหรับผม มันวนเวียนคิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนคิดว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ผมทบทวนความคิดตัวเองมาหลายวัน อ่านเรื่องยากๆ ที่ทำให้ ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ แล้วหัวเราะอีก เพื่อดูจิตตัวเอง ดูการกระเพื่อมไหวของอารมณ์ (วิปัสสนานั่นแหละ) มองหาตรรกะในเรื่องราว (ใช้จิตวิทยาด้วย) ทำทุกอย่างเท่าที่รู้ แต่ก็ยังไม่จบเรื่องของมัน
พระท่านว่า น้ำตาเป็นตัวบอกระดับกิเลสในตัวเรา ว่ามันยังหลง โลภ โกรธ อยู่มากแค่ไหน ผมว่าจริงทีเดียว .. การพยายามเบี่ยงเบนความคิดไปที่หนังสือหรือภาพยนตร์ก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เรื่องเดิมๆ โผล่เข้ามา บ่อยจนการวิปัสสนาเอาไม่อยู่ สมาธิผมคงอ่อนลงมาก มันควรหยุดก่อนโรคประสาทถามหา ผมคิดว่างั้น ผมมีโอกาสได้เห็นคนเป็นโรคประสาทจากปัญหาทางความคิดมาหลายคน จึงรู้สึกว่า มันคงไม่น่าสนุกเท่าไหร่
เมื่อคืน สัก 5 ทุ่มครึ่ง หลังจากดื่มด่ำกับสารพัดอารมณ์ไปแล้ว อัดบุหรี่แบบไม่รู้สติมาหลายวัน (คือคล้ายมีอะไรอัดแน่นในตัว ผมก็จุดบุหรี่ดูดแล้วปล่อยมันออกไป แต่มันบ่อยจนกลายเป็นวันละเกือบ 30 มวน จนร่างกายรับไม่ไหว) อยู่ดีๆ ความคิดหนึ่งก็โผล่เข้ามาในหัว บวชดีไหม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นกลไกการเอาตัวรอดในสมองของผมเองหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้นำทาง แต่ผมก็มองว่า มันน่าสนใจมากและควรทำทันที ผมจะได้จริงจังกับการควบคุมตัวเองเสียที ทั้งกาย ทั้งใจ
การบวชของผม ไม่ใช่การโกนหัว เข้าวัด ห่มผ้าเหลือง ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ด้วยเหตุจำเป็นหลายอย่าง ดังนั้นการบวชของผมคือ การนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แล้วบอกพระเจ้าของผมว่า ผมขอบวชนะ ขับไล่ปีศาจให้ผมด้วย ให้ผมพ้นจากการผจญล่อลวง (คาทอลิคมีปีศาจเก่งๆ 7 ตัว ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์) ให้ผมสามารถดึงสิ่งที่เคยศึกษาไว้ เอามาใช้ได้ใหม่ นึกถึงหลวงพ่อชาว่าบวชให้ผมหน่อย (ซึ่งผมก็เชื่อว่าท่านนิพพานไปแล้ว ไม่มีตัวไม่มีตนอีกแล้ว) .. แค่นี้แหละครับ ผมบวชแล้ว ก็ไม่เห็นต้องยาก ไม่เห็นต้องเป็นพิธีรีตอง หรือต้องเลือกฤกษ์ยามอะไร ทำเมื่อพร้อมหรือเห็นว่าสมควรก็พอ .. อย่า ยึด ติด
วิธีปฏิบัติของผม เมื่อตัดสินใจบวชใจตัวเอง อาจต่างจากคนอื่นแต่ง่ายสำหรับผม เหมาะกับตัวผมที่สุด คิดว่างั้นนะครับ ที่ผมมาเล่าเพราะคิดว่า มันอาจช่วยเป็นแนวทาง สำหรับผู้ที่อยากลองดู แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง มันจะฟรีสไตล์ไปจนกว่ามันควรจะเข้มงวดมากขึ้น .. เอาล่ะ ผมอยู่บ้าน ต้องไปทำงาน ต้องพบปะผู้คน เรื่องเยอะ สิ่งกระตุ้นเยอะ กิเลสมีโอกาสเกิดได้มากกว่าการไปอาศัยอยู่ที่วัด งั้นทำไงดี
ผมเริ่มจากการนั่งสมาธิ (ที่นั่งไม่ได้จริงๆ มาพักใหญ่) เราต้องการฐานของสมาธิที่มั่นคงพอสมควร ก่อนทำเรื่องอื่น ผมใช้แบบอานาปานสติ วิธีนี้ ดีตรงที่เราแค่ตามลมหายใจจนเกิดสมาธิ ต่อด้วยวิปัสสนา โดยดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับกายใจขณะหายใจ ผมไม่เคยกำหนดกับตัวเองว่าต้องนั่งนานแค่ไหน เอาแค่ให้มันนิ่งลง สงบลง ลมหายใจหายไป เจอความว่างบ้างไม่เจอบ้างก็ช่างมัน ได้ขณิกสมาธิก็พอ แค่นี้ก็เพียงพอกับการใช้งานต่อแล้วครับ ผมไม่เคยพาตัวเองลงฌาณ ถ้าหลุดลงไปก็ดึงตัวเองออกมาเสมอ เป็นความคิดส่วนตัวว่ามันไม่มีประโยชน์ในการวิปัสสนาน่ะครับ ที่น่าแปลก เวลาในสมาธิที่จิตเรารู้สึก ต่างกับเวลาจริงเยอะมาก ลองสังเกตุดูครับ และไม่ต้องไปห่วงเรื่องเวลานอน สมาธิทำให้ร่างกายได้พักผ่อนดีกว่าการหลับ อันนี้พิสูจน์ใน lab มาแล้ว
ด้วยความที่อัดยาหนักมาหลายวัน เมื่อคืน ผมเลยนั่งสมาธิได้พักเดียว มันก็นิ่งนะ แต่มีอาการแน่นหน้าอกไปถึงด้านหลัง ไม่เป็นไร เรานอนสมาธิก็ได้ นอนแล้วตามลมไปเรื่อยๆ แบบเดียวกับการนั่งนั่นแหละครับ เพียงแต่การนอนจะยากกว่า เพราะมันมักจะหลุดไปเรื่องอื่นๆ ได้ง่ายและบ่อยกว่า แต่ไม่ว่ายังไง เมื่อเราเอนตัวลงนอน เราก็ยังต้องตามลมไปจนหลับอยู่ดี อาจไม่ต่างกันเท่าไหร่
ในกรณีที่ร่างกายไม่พร้อม การนอนสมาธิจะช่วยให้เราไม่เสียโอกาสในการทำสมาธิ (แบบไม่ใช่ก่อนหลับ) ท่านอนที่ใช้ทำสมาธิ ผมเคยอ่านเจอว่ามีท่าบังคับ แต่ผมสงสัยว่ามันจะต้อง fix กันขนาดนั้นเลยหรือ เมื่อยเปล่าๆ มั๊ง ผมเลยไม่สนใจอีก แล้วใช้ท่าที่ผมรู้สึกสบาย พลิกไปพลิกมาเมื่อมันเมื่อย .. ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ท่าทางนี่ครับ ความสำคัญอยู่ที่การตามลมให้ได้ตลอดสายและต่อเนื่องต่างหาก ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ เราควรรู้ลมไปทั้งวันทั้งคืนนั่นแหละ ลองสิครับ แล้วดูผลทางใจของตัวเอง ด้วยตัวเอง .. อีกเรื่องเล็กๆ การออกจากสมาธิ ออกให้หมดนะครับ ถ้าไม่หมด คุณจะรู้สึกได้ถึงอาการบื้อๆ ไปทั้งวัน มันเมาสมาธิ
สมาธิที่ว่า จะทำให้สติกล้าแกร่งขึ้น จากแค่การดูลมนั่นแหละครับ ส่งผลให้เรารู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เราจะเห็นทุกความคิด ทุกความรู้สึก ที่โผล่เข้ามาในหัว แรกๆ อาจเป็นแบบเห็นเมื่อมันผุดขึ้นมาแล้ว เมื่อผ่านไปสักพัก คุณจะเห็นตั้งแต่มันยังไม่ปรากฎ (แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากันนะครับ ไม่จำเป็นต้องวัดกับใคร) ผมคิดว่าเป็นการทำงานของสมองนะ มันจดจำรูปแบบของอารมณ์ได้ (จากการวิปัสสนา) มันหยุดทันทีที่ความรู้สึกเริ่มก่อตัว ตั้งแต่ความคิดยังไม่สร้างรูปร่าง ในเรื่องที่มันจะทำให้เราไม่สบายใจ มันรู้ มันเป็นทาสที่ภักดี ผ่านการฝึกของเรา ความหมายชัดๆ ของผมคือ ถ้าคุณปล่อยความคิดแบบเลยตามเลย ไม่เคยฝึกอะไรให้มัน มันจะสร้างปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา ไม่ต่างจากการเลี้ยงหมา งั้นก็คิดเสียว่า มันเป็นหมาที่ต้องอยู่กับคุณไปจนตายแล้วกัน ทำความเข้าใจให้ตรงกัน จะได้อยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกัน
เมื่อสมาธิมี สติก็ดี แต่มันก็มีปัญหาตามอีกเรื่อง ความฝัน เมื่อเราคุมสติได้ตลอดเวลาที่เรารู้ตัว สิ่งที่ถูกกดอยู่มันโผล่ออกมาไม่ได้ มันเลยใช้โอกาสตอนที่เราไม่รู้ตัว คือขณะหลับ .. ในฝัน สติเราไม่ดีพอที่จะหยุดเรื่องราวได้ตั้งแต่เริ่ม แต่สติยังคงช่วยให้เราเลือกวิธีปฏิบัติต่อได้ เรายังสามารถใช้ตรรกะเพื่อประมวลเหตุการณ์ หรือเลือกที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด คุณจะรู้ได้ว่าคุณมีสติในความฝัน เมื่อคุณใช้เหตุผลในการคิด มีการตัดสินใจจากทางเลือก ในฝันของคุณน่ะนะ และการรู้ตัวทุกครั้งที่ขยับตัว (ไม่ใช่การนอนไม่หลับ แต่เป็นการรู้ความเคลื่อนไหวของตัวเอง เมื่อสติเต็มตลอดเวลา)
ดูสติปัฏฐาน 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม .. อาจฟังดูยาก แต่ผมจะว่ากันแบบง่ายๆ ตามที่ผมเข้าใจเลยนะ ก่อนอื่นเลย ให้เรามองผ่านบุคคลอื่น คุณงงไหม ก็คล้ายจิตวิทยาแหละครับ เราไม่รับสัมผัสโดยตรง แต่สร้างอีกคนขึ้นมาดูตัวเราที่กำลังรับสัมผัสโดยตรงอยู่ (ในทางวิปัสสนาเขาเรียกผู้รู้) มันจะเหมือนเรายืนอยู่หลังกระจกกันกระสุนหนา 3 เมตร ปลอดภัย ไม่รับสิ่งกระทบโดยตรง คุณยังสามารถรับความรู้สึกต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิดได้ แต่ไม่รู้สึกถึงมันอย่างเต็มที่
คุณอาจคิดถึงเรื่องการรับความสุข ไม่ว่าใครคงอยากสุขอย่างเต็มที่ แต่ไม่อยากทุกข์ให้เต็มที่ จริงๆ มันเป็นของคู่นะ สุขเท่าไหร่ก็จะทุกข์เท่านั้นแหละครับ ผมไม่อยากให้คุณลืมไปว่า สุขคือทุกข์อย่างละเอียด ทุกข์เดินตามมาเสมอ แค่รอเวลากระโจนเข้าขย้ำคอคุณเมื่อสุขหมดไป และไม่มีอะไรคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าคุณคิดว่า จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องเจ็บปวด ก็เปิดใจให้เต็มที่ไปเลยครับ
กาย คือการดูอิริยาบทของตัวเองนั่นแหละ ความเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวของร่างกายเรา ให้รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นยืน เดิน นั่ง นอน กิน อาบน้ำ ขยับแขนขา กระพริบตา กระดิกหู(อ้าว) อะไรก็ตามแต่ ฝึกดูไปเรื่อยๆ จนมันรู้ได้ว่ากล้ามเนื้อมัดไหนเคลื่อนไหวอยู่ สมองมันจะได้ไม่ว่างจนแส่ส่ายไปหาเรื่องมาใส่หัวไงครับ ตรงนี้ เป็นการลดตัวกูของกูลง จากการดูมันทำ ไม่ใช่เราทำ เมื่อไม่มีตัวกูก็จะไม่มีกูผู้อยาก นี่คัดมาจากคำของพระพุทธทาสภิกขุเลยนะครับ ยังมีอีกคำถามที่น่าสนใจ หลวงพ่อชาท่านเคยถามไว้ว่า เคยเจ็บหางไหม เป็นคำ 4 คำที่น่าใคร่ครวญนะครับ
เวทนา ให้ดูความรู้สึกที่เกิดกับกาย เช่น พอใจ ไม่พอใจ หรือเฉยๆ ดูมันเกิดดับไปเรื่อยๆ ผมใช้แค่ 3 คำ ที่จริงมันกว้างมาก เช่น ดีใจ เสียใจ เศร้า เจ็บปวดทางกายทางใจ อะไรอีกมากมาย ที่คนเราพยายามหาคำมาอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้น จนมากเกินความจำเป็น กลายเป็นใช้คำฟุ่มเฟือย แต่ทั้งหมดนั้นรวมลงที่ พอใจกับไม่พอใจและเฉย ถ้าเราวัดด้วยแค่ 3 คำนี้ มันจะวุ่นวายน้อยลง เพ้อเจ้อน้อยลง และเห็นความไม่เที่ยงในกายใจได้ง่ายขึ้น
จิต คือดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เราคิด เราคิดตลอดเวลา ฟุ้งซ่านตลอดเวลา ภาษาพระคือส่งจิตออกนอก (สติปัฏฐาน 4 จะช่วยให้เรารักษาจิตไว้กับตัวเรา มันจะได้อยู่นิ่งๆ ไม่วุ่นวาย) ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับความคิด ก็มีลักษณะคล้ายเวทนาแหละครับ ผมจึงใช้วิธีเดียวกันในการดูมัน เมื่อความคิดเกิดแล้วเราหยุดดู มันจะเห็นอารมณ์แค่ พอใจ ไม่พอใจ และเฉย ความคิดเรามันเหมือนเด็กดื้อๆ ถ้าเรากราดตามอง มันก็จะหยุด จะนิ่ง กลายเป็นเด็กเรียบร้อยว่าง่าย ผลคือเราไม่ฟุ้งซ่านคิดต่อ แต่จะเห็นอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นมาแทน เห็นบ่อยเข้า เราก็ละก็วางมันเอง เพราะมันเปลี่ยนตลอดเวลา เกิด ดับ ไปเรื่อย ไม่นิ่ง ไม่เที่ยง จับต้องไม่ได้ มันจะเกิดความเบื่อหน่าย แล้วไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน
ธรรม คือการมองทุกอย่างด้วยวิถีแห่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะสวยงามหรือไม่ ทุกสิ่งมีเกิด มีเสื่อม มีดับ เช่น ถ้าผมเห็นดอกไม้สวยๆ สักดอก ผมก็จะมองไปถึงมันจะเหี่ยวในไม่ช้า ร่วงโรย กลายเป็นดิน กับสิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกัน มันใช้ได้กับทุกสิ่ง เรื่องนี้เน้นให้เห็นไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นตัวหลักให้ละการยึดติด
เรื่องการรักษาศีล ผมไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์ให้ตัวเองว่าต้องถือศีลกี่ข้อ คาทอลิคมีศีล 10, 4 พุทธมี 5, 8, 10, 227 ผมว่าเรารู้กันดีอยู่แล้ว ว่าอะไรถูกอะไรผิด ผ่านการเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก คงไม่มีพ่อแม่หรือครูคนไหนสอนให้เด็กเป็นคนเลวกระมัง .. เมื่อเรามีสติเต็มพร้อม เราจะรู้สึกละอายในการทำสิ่งที่เราไม่แน่ใจว่ามันถูกต้อง ยิ่งง่ายกับเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรือเรื่องที่จะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์
คิดเรื่องความตายตลอดเวลา จะตัดกิเลสได้ครบทั้ง 3 ตัวในคราวเดียวและปล่อยวางทุกสิ่ง ถ้าผมคิดว่าผมอาจตายตอนนี้เลย ผมยังจะต้องการอะไรอีก ในเมื่อเราทุกคนรู้ดีว่า เราเอาอะไรไปไม่ได้เลย เราจะได้โลงไม้ใบเดียว ที่เราจะไม่แบกไปไหนมาไหนด้วย มันจะมีแค่วิญญาณเราเท่านั้น ที่เปลี่ยนผ่านสถานะจากการถูกคุมขังในร่างกายนี้ ไปสู่ที่อื่น มันแค่นั้นจริงๆ
ความต้องการทางเพศ ถ้าคุณยังไม่แก่จนเดินไม่ไหวหรือเป็นโรคกามตายด้าน สิ่งนี้จะยังคงอยู่ มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่คน มันเป็นสัญชาติญาณพื้นฐานในการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ติดอยู่ในยีนส์ ส่งต่อผ่านโครโมโซม ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่มีมัน แต่เป็นเรื่องใหญ่พอดูสำหรับคนโสด มันนำไปสู่ความหลง โลภ โกรธ ได้ง่ายๆ ทำให้ทุกข์หนัก ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด วุ่นวายไม่จบสิ้น
วิธีการหยุดเรื่องนี้ก็ทำได้โดยพิจารณาร่างกายเรานี่แหละ ทางพระเขาให้พิจารณาเป็นส่วนๆ ไป ก็จะเห็นเองว่ามันไม่สวยงาม สมมุติเราไม่ได้อาบน้ำสักวัน มันจะเป็นอย่างไร มันยังจะกอดไหวไหม (ลองเองเลยครับ ทำไรให้มันเหงื่อออกมากๆ แล้วไม่ต้องอาบน้ำสักวัน จะได้เห็นชัด) ดูกันไปให้ถึงรูขุมขน ขน ผม หนัง เล็บ กระดูก สิ่งขับถ่ายที่ออกมา เช่น ขี้ตา ขี้หู ขี้มูก เหงื่อไคล อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด เนื้อ น้ำหนอง จะเห็นชัดว่าผิวหนังก็แค่ถุงใส่สิ่งโสโครก
ถ้าคุณยังเห็นความงามในตัวชายหญิงอยู่อีก ก็ต้องเล่นการพิจารณาอสุภะ เบื้องต้นก็คือดูจากตัวเองนั่นแหละครับ ให้นึกภาพเนื้อหนังเราถูกชำแระออก เลือด เนื้อ ตับ ไต ไส้ พุง ปรากฎอยู่ตรงหน้า ตามตำราคือ เห็นเราเพียงคนเดียวก็เห็นทุกชีวิตอื่น เมื่อเห็นอย่างนี้กับตัวเองได้ ก็ซ้อนภาพลงที่คนอื่นได้
ถ้ายังไม่จบ ไปดูศพกันเลยครับ ดูแบบ progress จะดีกว่านะครับ เริ่มจากดูภาพเขาผ่าศพ ภาพศพที่กำลังขึ้นอืด เน่าเฟะ มีหนอนด้วย แล้วแห้งเหี่ยวลงไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จากนั้นก็เป็นแค่กระดูก แล้วกลายเป็นฝุ่นผง ถามจริง คุณจะเอาอะไรกับร่างกายนี้ หากคุณเอาภาพเหล่านี้ซ้อนลงบนภาพหญิงสวยชายงามของคุณได้ แล้วคุณยังอยากสัมผัสแตะต้อง ลูบไล้ไปบนร่างนั้น ผมก็นับถือล่ะครับ เต็มที่ไปเลย
เรื่องอาหารการกิน กินให้น้อยที่สุดเท่าที่ร่างกายคุณรับไหว ถ้าไม่เพียงพอมันจะรู้สึกหวิวๆ ก็กินเพิ่มอีกนิดจะได้ไม่เป็นลมตาย ให้กินโดยเห็นมันเป็นเพียงอาหารที่ช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่าเห็นมันเป็นของอร่อย น่ากิน บันเทิงใจที่ได้กิน .. เราอาจโชคดีกว่าพระตรงนี้ ที่สามารถเลือกอาหารเองได้ เราอาจเลี่ยงเนื้อสัตว์ทั้งหมดได้ ในขณะที่พระทำไม่ได้ การฉันแบบพระป่าก็น่าสนใจ คือการเอาทุกอย่างที่จะกินใส่ลงไปในจาน ผสมเข้าด้วยกันแล้วกิน ลองสักครั้งแล้วคุณจะพบว่ามันมีอะไรดีๆ ในการทำอย่างนั้นเยอะมาก ลองปล่อยให้ความรู้สึกบอกคุณ คุณอาจอยากทำมันไปเรื่อยๆ สิ่งนี้ช่วยลดกิเลสพื้นฐานได้มากพอดู
ควบคุมการเสพสื่อของตัวเอง ทุกสิ่งที่ผ่านการรับรู้ ส่งผลต่อความคิดทั้งหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นเวบเพจ หนังสือ ภาพยนตร์ ดนตรี เราควรละจากสิ่งที่จะลากเราลงสู่กิเลสทั้งหมด ในเบื้องต้นนะครับ เมื่อคุณมั่นใจในตัวเองว่าคุณนิ่งพอ ค่อยนั่งดูมันเพื่อทดสอบความเก๋าของตัวคุณเอง ถ้าใจมันนิ่งสนิท ก็ไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวได้ อาจเป็นเพราะผมเคยลองแล้ว เคยผ่านมันมาแล้ว เลยโหยหาความมั่นคงในจิตใจมากกว่าปกติกระมัง
เชื่อมต่อให้น้อยลง ผมมองว่า โลก social กลายเป็นเรื่องน่ากลัว มันทำให้เราเคยชินกับการอยู่กับคนอื่น อยากพูดมากเกินไป เรามีเวลาอยู่กับตัวเองน้อยลง ปล่อยให้ตัวแปรภายนอกเข้ามาส่งผลกับความคิด แต่มันยังมีคนที่เรารักและหวังดี คนที่เราไม่อาจทำร้ายจิตใจเขา จากความเปลี่ยนแปลงของเรา ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เราจึงควรปฏิบัติกับเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้พวกเขารู้สึกดี ในขณะที่เราก็ต้องคุมใจตัวเอง ให้อยู่ในจุดที่รู้สึกดีและเหมาะสมด้วย
นอนให้พอ แต่ละคนต้องการเวลานอนไม่เท่ากัน ผมได้สัก 5-6 ชั่วโมงก็เหลือเฟือแล้วครับ การพักผ่อนที่เพียงพอจะทำให้สมองคุณแจ่มใส สติดี และควบคุมตัวเองได้ดีทั้งความคิด จิตใจ และการแสดงออกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือพฤติกรรม ..
ถ้าเราทำทุกอย่างในขณะที่รู้ตัวดี มันจะไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะมันผ่านการกลั่นกรองที่ดีมาแล้ว แต่ถ้ามันพลาดเพราะไม่ตรงใจคนอื่น คุณจะต้องสนอะไร นั่นมันตัวคุณนี่ หรือคุณจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวตนของคุณเพื่อใคร มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ลองดูสิ แล้วคุณจะได้เห็นด้วยตัวเอง ดื่มด่ำกับการล้มเหลวด้วยตัวเอง เราก็คือเรา ยอมรับตัวเองให้ได้ก็พอ ถ้าคนอื่นยอมรับในความเป็นเราได้ มันก็ดี แต่ถ้าไม่ ก็อย่าให้การที่คนอื่นยอมรับเราไม่ได้ มาทำให้เรารู้สึกยอมรับตัวเองไม่ได้ไปด้วยเลย
ผมคิดว่า ผมจะยังคงสูบบุหรี่ต่อไป มันเป็นอะไรที่รื่นรมย์น่ะครับ ดึงควันลงไปลึกๆ ปล่อยออกปากไป 2/3 ส่วน ออกจมูก 1/3 ส่วน มันจะหอมกรุ่นติดอยู่กับลมหายใจ ได้อารมณ์สุดๆ ผมคงดื่มนานๆ ครั้งกับน้องชายผมเหมือนเดิม ผมคงไม่เข้มงวดกับตัวเองจนเป็นทุกข์ เมื่อมองดูที่ใจ มันนิ่ง มันสงบ ไม่หวั่นไหวฟุ้งซ่าน ไม่แกว่งไปตามสิ่งเร้า ไม่ดิ้นพล่าน (ถึงมันดิ้นพล่านคุณก็มองดูมันได้นิ่) ไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ใคร ผมว่านั่นก็ดีพอแล้ว
วิถีปฏิบัติ ผมเอาแค่นี้ก่อน คงพอประคองตัวไปได้ จนกว่าจะพร้อมปฏิบัติให้มากกว่านี้ ผมเพิ่งบวชวันแรกนะคุณ ประคองใจให้นิ่งมาได้ 16 ชั่วโมง ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จพอสมควร และไอ้คำว่า บวชแล้วนะ มันก็ช่วยหยุดตัวเองได้ดี เมื่อมีอะไรมากระทบการรับรู้ของเรา
หากคุณอยากลองดูบ้าง ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ไม่มีใครทำให้เราเป็นสุขได้ นอกจากตัวเราเอง และไม่มีความสุขใดจะสุขเท่า ใจที่สงบราบเรียบราวแผ่นศิลาหน้าหลุมศพ .. 555 เกือบจะจบแบบดีๆ แล้วเชียวครับ อย่า serious น่าคุณ พระยังยิ้มได้เลย.

ไม่มีความคิดเห็น: