While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำไมเจ๊กต้องกบฏ


ไม่รู้เหมือนกันครับ อาจเป็นเพราะความคิดมันแหกคอกละมั๊ง ความจริงผมไม่เคยถือคำว่าเจ๊กเลย เอามาเล่นกันด้วยซ้ำในหมู่พี่น้อง ญาติสนิท ผมโดนเรียกว่าไอ้เจ๊กกบฏออกบ่อยไป ตัวผมเองเป็นรุ่นเหลนแล้วน่ะครับ เลยไม่รู้จะถือไปทำไม ให้มันหนักเสียเปล่าๆ

คุณปู่ของผม ท่านมีพ่อเป็นคนจีนอพยพ แม่ของท่านเป็นลูกคนจีน+ไทย .. คุณย่าผมเป็นคนไทยแท้ๆ และบ้านอยู่ไกลกันเป็น 10 กิโล สมัยก่อนถือว่าไกลมากนะครับ คุณปู่ต้องขี่ม้าไปจีบคุณย่าทุกเย็น มัน classic มากเลย .. รุ่นพ่อผมจะออกมาหน้าตาไทยๆ หมดเลยครับ .. พ่อเล่าว่า พ่อของแม่คุณปู่ (ผมไม่รู้จะเรียกว่าไง) ท่านไว้ผมเปียแบบชาวฮั่น (ถ้าโกนทิ้งครึ่งหัวจะเป็นแบบแมนจู) หนวดเครายาว คนจีนเมื่อก่อน ไม่ตัดผม ไม่โกนหนวดครับ เขาเชื่อว่าเป็นของที่พ่อแม่ให้มา ต้องเก็บรักษาไว้

ส่วนคุณตา ท่านมีพ่อแม่เป็นจีนอพยพทั้งคู่ คุณยายไม่รู้เป็นใครมาจากไหน ท่านเติบโตขึ้นในบ้านเด็กกำพร้า ที่อุปการะโดยบาทหลวงฝรั่งเศสนำเข้า คุณพ่อการิเอ .. อันนี้ไม่ขี่ม้าไปครับ เพราะบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน .. รุ่นแม่ผมหน้าตาจะออกมาเป็นอาซิ๊ม อาแป๊ะ ทุกคน

ผมและน้อง ถูกสอนให้เรียกท่านว่าก๋งทั้ง 2 ฝั่ง .. ไม่งงหรอกครับ พวกเราจะเรียกก๋งแล้วตามด้วยชื่อ ทีแรกผมใช้ชื่อท่านในบทความนี้ด้วย แต่ท่านพ่อบอกว่า บทความนี้มันมีแนวโน้มว่าจะถูกด่า เดี๋ยวพ่อของท่านจะต้องมาถูกด่าไปด้วย เอาออกซะ .. โอเค ท่านพ่อ

ย้อนกลับไปที่รุ่นคุณก๋งทวด ท่านเป็นจีนฮกเกี้ยน แซ่โง้ว ที่อพยพเข้ามาทางเรือราวปี พ.ศ.2450 บวกลบคงไม่กี่ปี มาตั้งรกราก ทำนา ทำสวนกัน ส่วนคุณย่าทวด ท่านเป็นลูกคนจีนที่เข้ามาอยู่ในไทยก่อนหน้านั้นหลายสิบปี เดิมทีผมก็ไม่เคยสนใจนะครับ รู้แต่ว่าโคตรเหง้าสักหลาดเป็นคนจีนแค่นั้นแหละ พอจะมาเล่นเรื่องจีนๆ เลยเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา มานั่งซักประวัติเอากับท่านพ่อท่านแม่ จนท่านรำคาญ มันนานอักโขอยู่ เรื่องแซ่ก็ไม่มีใครจำได้ เราใช้นามสกุลไทยกันมาตั้งแต่รุ่นก๋ง นามสกุลที่ใช้อยู่ ได้มาจากการที่ก๋งไปสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วนายทหารชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งตั้งให้ ท่านชื่อเสดำ .. เป็นชื่อเล่นที่ลูกน้องท่านเรียกกันน่ะครับ เพราะท่านตัวใหญ่และดำ เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วท่านชื่ออะไร เรื่องมันตั้งเกือบ 80 ปีแล้วนี่ครับ เกินกำลังจะไปค้นหา .. เมื่ออยากรู้เรื่องแซ่ ก็ต้องมานั่งรื้อบ้านกันน่ะครับ จนไปเจอที่ท่านป้าจดไว้ใน notebook เล่มเล็กๆ ..

- Wù - โง้ว เป็นการออกเสียงแบบจีนฮกเกี้ยน คำนี้ยังออกเสียงแบบอื่นได้อีก เช่น หวู, อู๋, โหว, ง่อ .. ผมไม่มีชื่อจีนหรอกครับ ถึงก๋งผมจะใช้ชื่อจีน ท่านก็มีชื่อไทยเป็นชื่ออย่างเป็นทางการด้วย แต่คนที่รู้จักท่านก็เรียกท่านด้วยชื่อจีนเสมอ และแทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อไทยของท่านเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ตั้งชื่อจีนให้ลูกสักคน ผมอยากจะมีชื่อจีนสักชื่อ เอาไว้ใช้เวลาเล่นอะไรจีนๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันไม่ยาก ผมชอบดาบโบราณขนาดใหญ่ ที่มีคม 2 ด้าน ความยาวเมตรครึ่ง นิยมใช้กันในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ (ไม่รู้ยกกันไหวได้ยังไง) search net เอาก็ได้แล้ว มันคือคำว่าเจี้ยน .. 吴剑 - Wú Jián - หวูเจี้ยน.. ก็ฟังดูโอเคนะครับ เข้าท่าดี .. ชื่อเป็นมงคลไหม ไม่รู้ครับ ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่อย่างน้อยๆ ไอ้ดาบก็ฟังดูดีกว่าไอ้หอกตั้งเยอะ เป็นไงครับ ผมเริ่มมีแววกบฎให้เห็นแล้วหรือยัง

เลยนึกไปถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่งตอนผมอายุ 16-17 หลังจากแยกย้ายกันไป เราก็ไม่เคยติดต่อกันอีกเลย เขาเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ลูกหลานคนจีน แซ่หยาง ชื่อชิง ผมมักเรียกเขาว่า ชิงชิง  มันคือความสว่าง ผมว่ามันเป็นชื่อที่เพราะจัง ถ้าจะเรียกให้ถูกแบบ คงต้องเป็นหยางชิง เขาเคยเรียนภาษาจีนและเป็นคนนิสัยดีมาก ผมเคยบอกเขาให้หาชื่อจีนให้สักชื่อ เขาก็อุตส่าห์หามาตั้งหลายชื่อ ให้ผมเลือกเอา เขายังถามผมอีกว่า แล้วมึงแซ่อะไร ถ้าไม่รู้ ใช้แซ่กูก็ได้ น่ารักมากเลย น่าเสียดาย เพราะไม่เคยได้ใช้ เลยทำให้จำชื่อที่เขาหามาให้ไม่ได้แล้วครับ จำหน้าเขาก็ไม่ได้แล้วด้วย

มันก็มีเรื่องขำๆ ที่ผมสังเกตุเห็นในครอบครัวของตัวเอง กับครอบครัวของเพื่อนที่เป็นลูกหลานคนจีน เขาจะใช้คำเรียกพ่อสลับกันไปรุ่นต่อรุ่น ถ้ารุ่นก๋ง แน่นอนว่าจะยังเรียกเตี่ยหรือป๊าอยู่เพราะเชื้อสายใกล้ มารุ่นพ่อผม ท่านยังเรียกพ่อว่าเตี่ย ถึงรุ่นผม ท่านให้เรียกว่าพ่อ พอรุ่นหลาน น้องผมเขาให้เรียกป๊า ผมเลยสรุปได้ว่า เมื่อหลานชายผมมีลูก เขาต้องให้ลูกเรียกเขาว่าพ่อแน่ๆ ถึงเขาจะตี๋ขนาดนั้นก็เถอะ อีกสัก 30 ปี ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าจริงไหม ถ้าผมยังอยู่นะ..

คนจีนจะมีประเพณีที่สืบทอดกันมา การไหว้เจ้า ซึ่งคาทอลิกไม่ควรทำ แต่ครอบครัวผมก็ยังทำกันอยู่นะ และผมคิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร เราตัดการไหว้เจ้าออกไปเพราะเราไม่ได้นับถือเทพเจ้าแล้ว แต่เรายังคงไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ตามใจเราด้วย คือนึกอยากจะไหว้เมื่อไหร่ก็จัดสำรับไปไหว้กันน่ะครับ ของที่ไหว้ก็ไม่ได้ serious อะไร กับข้าวที่เราทำกินกันพังเคนั่นแหละครับ ขนม S&P มั่ง cake มั่ง ขนมหวานไทยๆ มั่ง มีอะไรก็ไหว้ไป, ผลไม้ทั่วไป กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล สาลี่ อะไรพวกนี้, Jack Daniel .. คือเหล้าขาวผมกินไม่ไหวน่ะครับ มันไม่อร่อยจริงๆ ซื้อมาแล้วก็ไม่รู้จะเอาไปทางไหน เสียของ ก๋งลอง Jack ดูสิ อร่อยนะครับ, บุหรี่ LM.. ก๋งชอบเหล้าและสูบยาเส้นด้วยครับ หยวนๆ น่า ยาเส้นมันหายากครับก๋ง ..

ไม่ต้องไปไหนไกล แค่เดินขึ้นเหล่าเต๊ง .. คนอื่นๆ อาจลำบากใจนิดหน่อย เพราะลูกชายผมยืนขู่อยู่ข้างบันได .. ผมไม่รู้ว่าท่านได้กินกันไหม แต่ผมได้กินแน่ๆ ล่ะครับ ก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไร เอาแต่ยืนมองเฉยๆ อยู่ .. ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนผมคนหนึ่งที่เป็นลูกคนจีน เขาบ่นว่า ไม่รู้จะเอาธูปปักลงไปทำไมให้ขี้ธูปมันหล่นลงไป โชคดีครับ คาทอลิกไม่ใช้ธูป ไม่งั้นผมก็คงต้องบ่นเหมือนเขานั่นแหละ .. มันเป็นธรรมเนียมสืบทอดกันมาในครอบครัว ที่ทำมาตั้งแต่สมัยก๋ง เลยเป็นเรื่องที่ทำแล้วสบายใจที่ได้ทำ ผมมองว่ามันมีอุบายอยู่ในนั้นด้วย ชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวาย อาจทำให้เราลืมๆ อะไรไป การที่ญาติทุกคนที่มี มานั่งรวมกัน ตั้งสำรับอาหารหน้าแท่นพระ ที่มีรูปบรรพบุรุษอยู่ข้างๆ จุดเทียน แล้วสวดพร้อมกันสัก set หนึ่ง มันไม่ใช่แค่การเอาข้าวมาให้ท่านกินกัน แต่เป็นการระลึกถึงพระคุณของพวกท่าน เพราะมีพวกท่านในวันนั้น จึงมีพวกเราในวันนี้ได้ และเป็นการรวมจิตใจสวดภาวนาให้พวกท่านด้วย

การเป็นเชื้อสายคนจีน มันจะมีการสั่งสอนวัฒนธรรมแบบจีนๆ ติดมาด้วย จากรุ่นสู่รุ่นน่ะครับ ทั้งเรื่องคุณธรรม วิธีคิด ความกตัญญูรู้คุณ การวางตัว การอ่อนน้อมถ่อมตน การให้เกียรติคนอื่น บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องไม่ชำระ อ้าว..แปลกอีก ผู้ใหญ่ท่านสอนผมมาน่ะครับว่า การล้างแค้นต้องใช้แรงกายแรงใจมาก ต้องใช้พลังความคิดหาวิธีเอาคืนให้ได้ แต่มันไม่ได้ประโยชน์อะไร ผมเคยไม่เชื่อฟัง ล้างแค้นได้มันก็สนุกและสบายใจดี สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าที่ท่านพูดมันจริงครับ เขาทำเราแค้น เราทำเขาแค้น ก็ทำกันไปทำกันมาไม่รู้จบ เหนื่อยเปล่าๆ ถ้าเรายอมถอยสักก้าว หรือหลายๆ ก้าว (ขึ้นอยู่กับว่าอัตตาคุณสูงขนาดไหน) คนอื่นอาจมองว่าเราแพ้ แต่เรากำลังเอาชนะความต้องการฝ่ายต่ำของตัวเองอยู่ ซึ่งการที่จะเอาชนะตัวเองให้ได้ มันยากกว่าการเอาชนะคนอื่นเยอะเลยครับ มันหมายถึง การทำให้ตัวเราอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น ทีนี้ทุกอย่างก็ควบคุมได้หมด ..

คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วคนจีนเขามีอะไรมาสอนกันเหรอ คุณลองคิดถึงหนังจีนดูสิครับ แต่ต้องเป็นพวกหนังอิงประวัติศาสตร์นะครับ เช่น 36 กลยุทธ์ซุนจื่อ, สามก๊ก, จิ๋นซีฮ่องเต้ ที่เป็นหนังชุดหลายสิบแผ่นนั่นแหละครับ ถึงเรื่องราวจะเป็นการวางแผน กลยุทธ์ทางการทหาร การใช้เล่ห์กล แต่เขาก็สอดแทรกวัฒนธรรมที่ดีงามเอาไว้มาก เราจะเอาอะไรก็เลือกเอาละกันครับ อันนี้พูดกันในแง่ของวัฒนธรรมนะครับ ถ้าคุณต้องการเรื่องกลยุทธ คุณต้องอ่านเอาเท่านั้น ในหนังมันไม่ชัดเจนเท่าไหร่ หรือชัดเจน แต่จำกัดการตีความมากเกินไป .. ทีนี้คุณคงพอจะเข้าใจผมแล้วใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าถ้าคุณเป็นคนจีนเชื้อสายใกล้ เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ คำแรกที่คุณจะนึกถึงต้องเป็น .. ไอ้เจ๊กกบฏเอ๊ย .. นั่นแหละ ซึ่งผมไม่มีปัญหาอะไร ก็มันเรื่องจริงนี่ครับ.

ก่อนที่จะมาเล่นเรื่องนี้ ผมก็ลองหาข้อมูลดูว่า คำว่าเจ๊กมันมาจากไหน ทำไมถึงทำให้คนจีนรู้สึกไม่ดีกับมันได้ จริงๆ แล้ว มันมี progress ของมันอยู่ครับ ไม่ใช่ว่าพอเริ่มใช้ก็ไม่ชอบกันเลย ลองดูกันครับ

Step ที่ 1 – เจ๊ก น่าจะมาจากคำว่าเจ็ก ซึ่งหมายถึงอา ในภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือจีนแต้จิ๋ว (ไม่ใช่ชาวฮั่น) ในยุคแรก เจ็กเป็นคำที่คนไทยใช้เรียกตามอย่างคนจีน เช่น เจ็กซ้ง คือคุณอาซ้ง จัดเป็นคำแสดงการให้เกียรติ เหมือนทุกวันนี้เราเรียกคนที่ไม่รู้จักว่า น้าครับ ลุงครับ อะไรแบบนี้ พอนานเข้า เสียงเรียกมันเพี้ยนจากเจ็กมาเป็นเจ๊ก

Step ที่ 2 – การที่คำว่าเจ๊กทำให้คนจีนรู้สึกไม่ดี ก็เนื่องมาจากมีคนไทยบางคนที่นิสัยไม่ดี เอาคำเรียกมาใช้ผิดที่ผิดทาง เช่น เจ๊กตื่นไฟ จริงๆ แล้วคนไทยก็ตื่นไฟเหมือนกันแหละครับ แต่พยายามปิดบังความกลัวของตัวเอง แล้วโยนไปให้เจ๊กแทน แบบว่าเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นน่ะครับ

Step ที่ 3 – วัฒนธรรมไทยดั้งเดิม (คุณลองนึกถึงละครเรื่อง 4 แผ่นดินก่อนนะครับ จะเห็นภาพได้ชัดขึ้น) คนไทยเขาจะค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา รักษากิริยากันสุดๆ พอมาเจอคนจีนที่เสียงดัง เร่งรีบทำมาหากิน ก็รับไม่ได้ว่าเขาแค่พฤติกรรมต่างจากตัว แล้วก็ไปเรียกเขาว่าพวกเจ๊ก ด้วยนัยที่เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม

Step ที่ 4 – คำว่าเจ๊ก เริ่มกลายเป็นคำดูหมิ่นที่ชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงจอมพล ป.พิบูลสงคราม ด้วยแนวคิดแบบชาตินิยม (เหยียดเชื้อชาติน่ะแหละครับ จะพูดให้มันยากทำไมไม่รู้) ในช่วงนั้นมีคนจีนอพยพเข้ามาเป็นแรงงานจำนวนมาก และเนื่องจากพฤติกรรมไม่เข้าตา อีกทั้งยังเป็นลูกน้อง จึงใช้คำว่าเจ๊กเป็นการเรียกรวมๆ ด้วยน้ำเสียงจิกหัว คำว่าเจ๊กเลยกลายเป็นคำแสลงบาดหูไป ด้วยประการละฉะนี้

แล้วเวลาคุณถูกเรียกว่าเจ๊ก คุณรู้สึกยังไง ผมมองว่าอย่างนี้นะครับ .. มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะไปควบคุมการพูด การคิด การกระทำของคนอื่น อย่าไปเสียเวลาใส่ใจดีกว่าครับ เพราะการที่เขาจะพูด จะคิด จะทำอะไร มันเป็นปัญหาของเขา ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรของเราเลย .. มีคำจีนกล่าวว่า จงปฎิบัติดีกับคนอื่น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดี แต่จงดีกับคนอื่น เพราะเราเป็นคนดี .. ผมคิดว่าประโยคนี้พยายามบอกเราว่า อย่าให้ปัจจัยภายนอกมาส่งผลกระทบต่อปัจจัยภายใน และมาเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวคุณ .. หรืออีกประโยคหนึ่งที่ดังๆ คุณคงเคยเจอแล้วแหละ ผมจำไม่ได้ว่าใครพูดนะ เขาว่า .. คนอื่นจะคิดยังไงกับเรา ไม่สำคัญ สำคัญว่าเราคิดยังไงกับตัวเองต่างหาก .. ในทางจิตวิทยา เขาก็บอกอยู่ว่า คุณจะเป็น ในสิ่งที่คุณเชื่อว่าคุณเป็น ไม่ใช่ในสิ่งที่คนอื่นเชื่อว่าคุณเป็น..นอกเสียจากว่าคุณจะติงต๊องไปเชื่อเขา .. แต่ถ้าคุณดูดีๆ สมมุติมีใครมาบอกว่า คุณดีเลิศประเสริฐศรี คุณอาจชื่นใจ แต่คุณก็ดีได้เท่านี้แหละ หรือถ้าใครมาว่าคุณเลวทรามต่ำช้า คุณคงหงุดหงิด แต่คุณก็ไม่ได้เลวไปกว่าที่คุณเป็นหรอก คำพูดคนอื่น มันไม่มีความหมายอะไร ทำได้แค่สร้างอารมณ์ ถ้าเราสนใจนะ .. ถ้าเราไม่สนใจ มันก็เป็นได้แค่เสียง..

สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน ใช้แซ่ สกุลอะไรก็ตามแต่ จงภาคภูมิใจในชาติตระกูลของตนเองเถอะครับ ผมไม่เคยอายที่จะบอกว่า ต้นตระกูลผมเป็นคนจีนอพยพ เสื่อผืนหมอนใบ และยากจน มาตั้งรกราก ทำนา ทำสวน เป็นซินแสหมอดู ท่านสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความเหนื่อยยาก เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีกว่าที่ท่านมี.

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก