While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2564

วัคซีนเข็ม 3 จำเป็นหรือไม่ อาการเป็นยังไง

จำเป็นครับ เพราะภูมิคุ้มกันจะตกลงไปเรื่อยๆ อีกทั้งไวรัสก็กลายพันธุ์ไปทุกวัน จำเป็นต้องกระตุ้นมันขึ้นมาใหม่ ส่วนระยะห่างระหว่างเข็ม ขึ้นอยู่กับชนิดวัคซีนที่คุณได้รับก่อนหน้า แต่ละชนิดจะมีช่วงเวลากระตุ้นระหว่างเข็มไม่เท่ากัน

ทีมแพทย์ที่ปรึกษาของรัฐบาล จะกำหนดแนวทางการกระจายวัคซีนออกมา บนพื้นฐานด้านระบาดวิทยา ปริมาณวัคซีนที่ได้รับการส่งมอบ ระดับความเสี่ยงของผู้รับ วิธีใช้วัคซีนแต่ละชนิด(เชื้อตาย/ไวรัลแวคเตอร์) ตลาดการค้าวัคซีน การเก็บรักษาและการขนส่ง การเมืองระหว่างประเทศ และเรื่องซับซ้อนอื่นๆ อีกมาก อันมีหลายหน่วยงานวิเคราะห์สถานการณ์ด้านต่างๆ ร่วมกัน

ทีมแพทย์ที่ว่า นำโดยหมอยง ที่เป็นอาจารย์แพทย์ มีความเชี่ยวชาญด้านไวรัสและระบาดวิทยาสูงสุดในประเทศไทย ต่างประเทศก็ยอมรับงานวิจัยของท่าน ยังมี h-index เกิน 60 แปลง่ายๆ คือ อยู่ในระดับเดียวกับนักวิจัยระดับโลก! ถ้าอ่านย่อหน้านี้แล้วไม่เข้าใจบางคำ ผมแนะนำให้ไปหาอ่านเพิ่มครับ ถ้าเล่าละเอียดจะยาวเกินไปและไม่จำเป็น

มาว่ากันเรื่องวัคซีนเข็ม 3 ดีกว่า

ก่อนหน้านี้มีคนพูดถึงกันพอควร ซึ่งผมไม่ได้สนใจ ด้วยคิดว่าถ้ารัฐเห็นว่าควรให้เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

ทีนี้ไอ่หมอน้องชายส่งประกาศของโรงพยาบาลที่ออกเมื่อวันที่ 28 มาให้ ความว่า คนที่ฉีดซิโนแวคเข็มแรกและเข็มสองไปแล้ว ถ้าต้องการกระตุ้นด้วยแอสตร้า ให้ลงทะเบียนฉีดในวันที่ 29 กันยา - 5 ตุลา ผมก็ไปไล่อ่านก่อนว่ามันจำเป็นไหม

ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบผมรึเปล่า เมื่ออยากรู้อะไร ผมจะไปหาอ่านจนกว่าจะเข้าใจ โดยไม่สนว่าใครเขียน เราจะได้มุมมองจากหลายๆ ด้านไว้ก่อน เมื่ออ่านจนพอใจ ผมจะได้ข้อมูลมาเกวียนหนึ่ง จากนั้นกรองเอาด้วยตรรกะและความเป็นไปได้ แล้วดูคนให้ข้อมูลด้วย ว่ามีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือแค่ไหน ค่อยตัดสินใจ ว่าจะเชื่ออะไร

จากบทความของหมอยง ถ้าฉีดซิโนแวคในเข็มที่ 1 และ 2 แนะนำให้กระตุ้นด้วยแอสตร้าภายใน 4-6 เดือน (ซิโนฟาร์มโคตรเหง้าเดียวกันกับซิโนแวค คาดว่าใช้ทฤษฎีเดียวกัน) โรงพยาบาลก็ตอบรับด้วยการเสนอโอกาสให้ผู้รับวัคซีน ผมเห็นความสอดคล้อง จึงสรุปว่าควรรับเข็มสาม

ถ้าอยากรู้จักหมอยง ภู่วรวรรณ ให้มากกว่าที่ผมเล่า ก็หาอ่านเอาครับ(ความรู้ อยู่แค่ปลายนิ้ว) นี่เป็นอีกอย่างที่ผมจะทำ เมื่อเจอบทความเชิงวิชาการที่ค่อนข้างซีเรียส


A little diary ..

ทีแรกผมอยากลงทะเบียนบ่ายวันที่ 30 กันยา เพราะต้องพาแม่ไปหาหมอตอนเช้า จะได้อยู่ในวันเดียวกัน สองสัปดาห์มานี่ผมต้องวิ่งชลบุรี 5 รอบ ไปกลับ 120 กิโลเมตร ในขณะที่ปกติเดินทางวันละ 8 กิโลเมตร ไป-กลับที่ทำงาน! แต่วันที่ 30 ไม่มีการฉีดวัคซีน ผมจึงลงทะเบียนไว้วันแรก 8.00-9.00 ไปเลย (บทเรียนจากเข็มสอง คราวก่อน) แล้วในความคิดผม อะไรที่ต้องทำ ก็ทำให้มันจบๆ ไป จะดองไว้ทำห่าอะไร

วันพุธที่ 29 .. ผมไปถึงเทศบาลราว 7.15 คิดว่าเช้าแล้ว แต่กลับเหลือที่จอดรถด้านหน้าแค่ 3-4 ที่ มีป้ายติดไว้ว่า วันนี้ไม่มีฉีดเข็ม 1 ดังนั้นจะมีแค่เข็ม 2 กับ 3 ด้วยซิโนแวคและแอสตร้า บ้างมีใบนัดเข็ม 2 ของโรงพยาบาลมา ที่เป็นใบ print หรือเปิดโทรศัพท์ให้ดู จะเป็นเข็ม 3

ทุกคนต้องผ่านด่านแรกด้วยการประทับตรา ตรวจแล้ว ในกระดาษ แต่ผมโดนที่ข้อมือ หรือผมจะหล่อจนเขาอยากหลอกจับมือ! มารู้ทีหลังว่าพ่อแม่ผมก็โดนที่ข้อมือเหมือนกัน งั้นคงไม่ใช่เพราะความหล่อ แต่อาจเป็นกลุ่มเข็ม 3 ที่ไม่มีใบนัดจากโรงพยาบาล เพื่อความแน่นอน รวดเร็ว ระหว่างทาง

เช็คเสร็จให้นั่งต่อแถวรอในศาลาด้านล่าง พ่อแม่ผมอยู่แถว 3 เพราะผมวนรถมาส่งเขาลงด้านหน้าเลย ส่วนผมมัวไปหาที่จอดรถ แดกกาแฟ ดูดยา กว่าจะระเห็จมาถึงจุดตรวจ ก็ได้แถว 6 ที่เวลา 7.30 คนไม่ต่ำกว่า 300 ผู้คนตื่นตัวกว่าตอนผมมาฉีดเข็มแรกมาก

ก่อน 8 โมงเขาก็นำแถวขึ้นศาลาประชาคม จากนั้นแยกกลุ่มคนตามประเภทวัคซีนที่จะรับ ใช้การสแกนบัตรประชาชนตามปกติของโรงพยาบาล ก็จะได้บัตรคิวมา ซึ่งไม่ต้องสนใจ เขาเรียกเป็นแถวอยู่แล้ว ผมแค่เก็บมาให้หวย!

 

จากนั้นเดินไปนั่งต่อแถวรอหน้าจุดฉีดวัคซีน พอ 8 โมงเช้าก็เริ่ม ใช้เวลาไม่นานครับ คุณพยาบาลท่านนี้ใช้มือทาบวัดระยะ แล้วเอาเข็มทิ่ม ผมอดไม่ได้ต้องดูตอนดันเข็มด้วยความโรคจิต แต่กลับไม่ได้ดูพลาสเตอร์ที่เขาปิดมาให้ ลายน่ารักทีเดียว

 
 

พอสัก 8.20 ก็ให้มานั่งรอดูอาการละ ผมกลับถึงบ้านก่อน 10 โมงเช้า ส่งพ่อแม่ที่บ้านแล้วเข้าออฟฟิส ยังไม่มีอาการใดๆ เพื่อนถามมา ผมก็บอก ง่วง เป็นปกติ แต่บ่ายมีเรื่องต้องไปลงบันทึกประจำวันที่โรงพัก ระหว่างรอตั้งแต่ 15.30-17.30  มันร้อนอบอ้าวมาก(ตัดหญ้าเหงื่อแตกพลั่กๆ ยังดีกว่า) อาจเป็นตัวแปรให้อาการรุนแรงกว่าที่ควร(ซึ่งยังไม่ได้เวลาเริ่ม) ตอนเย็นผมยังบอกน้องผมว่า AZ ทำอะไรกูไม่ได้ว่ะ

อาการหนัก!

คืนที่ 1 .. แต่พอ 6 โมงกว่าก็ได้เรื่อง ผมเริ่มมึนตึ้บ สมองเบลอ ร่างกายล้าจนเดินไม่ไหว ผมซัดพาราไปเม็ด แล้วตะกายขึ้นเตียง หลับไป 4 ชั่วโมง รู้ตัวตื่นด้วยอาการไข้ขึ้น หนาวสัสๆ กล้ามเนื้อล้าไปทั้งตัว ผมไปห้องน้ำแบบโซเซยิ่งกว่ากินเหล้าไป 300cc ก็กินพาราต่อแล้วนอน สรุปคือกินพารา 500mg 1 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง เช้าตื่นตี 5 กว่า เพื่อพาแม่ไปหาหมอ ระหว่างเดินทางก็โอเคอยู่ แต่พอหมดฤทธิ์ยา อาการมึนตื้อ เพลียแปลกๆ ก็มาอีก กินยาต่อไปครับ

คืนที่ 2 .. ได้กินข้าวเช้าก็ดีขึ้นหน่อย! ปกติผมไม่กินข้าวเช้า จะกินขนมนิดหน่อยกับกาแฟดำ แต่มันรู้สึกเพลียจนผมคิดว่าถ้าได้ข้าวคงพอช่วยได้ (แป้งช่วยฟื้นฟูอะไรๆ ได้ดี และไม่มีนมซึ่งผมแพ้ แต่มันอยู่ในขนมเกือบทุกอย่างเลย) ผมเลยเลือกกินข้าวเซเว่นทั้งที่ไม่เคยกินข้าวเลยเมื่อไปโรงพยาบาล ไม่ต้องอุ่นเพราะผมไม่กินข้าวร้อน มันเลยจับเป็นก้อนได้อารมณ์ไปอีกแบบ ถ้าไม่ห่วงเรื่องความสะอาด ผมคงงัดขึ้นมางับกินแบบเป็นแผ่น! ผมเดินหาม้าหินที่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย พ่นแอลกอฮอล์ให้ทั่ว เช็ดด้วยทิชชู่เปียกอีกที กินแล้วก็ดีขึ้นจริง

วันนี้แม่หาหมอข้อกระดูก ที่คนไข้เยอะมากๆ กว่าจะได้พบหมอ เอายา ผมก็ง่วงเต็มที่และไม่มีที่ให้หลับ ผมกลับไปส่งพ่อแม่ที่บ้านตอนบ่ายโมงกว่า เลยงีบสักครู่ บ่ายสองค่อยเข้าออฟฟิส ก็รู้สึกสบายๆ ทำงานได้ปกติ

แต่พอดึกๆ ก็เอาอีก วันนี้ผมนั่งดู ช่างกล้องสุดขั้ว ไปได้ถึง 4 ทุ่มอาการก็มา ง่วงผิดปกติ หนาว เป็นไข้ ปวดแขนมากกว่าเมื่อวาน ผมกินพาราแล้วนอน! ตี 2 ลุกมากินอีกรอบ

คืนที่ 3 .. วันศุกร์สายๆ ยังมีไข้ชัดเจน ผมจัดพารา 1 เม็ด แล้วไข้ก็หายไปจนเย็น พอ 2 ทุ่มอาการเดิมก็มา วันนี้ปวดแขนกว่าเดิมอีก ยังมีน้ำมูกซึมออกมาตลอดเวลา หายใจไม่ค่อยออก ไอแบบมีเสมหะมากกว่าปกติ(ปกติมีบ้างจากการสูบบุหรี่) ผมเล่นน้ำขิงร้อนๆ ไปแก้วใหญ่แล้วนอน หลับยาวๆ

 

วันเสาร์ เพลียนิดหน่อย แต่ไม่มีไข้ ไม่ง่วงผิดปกติ ยังปวดกล้ามแขนมัดที่โดนฉีด เคลื่อนไหวแขนได้ในวงแคบ แค่เอาสบู่ถูหลังก็เจ็บ มันปวดล้าๆ พิกล น่าจะต้องหาคนถูหลังให้สักที!

วันอาทิตย์ ซักผ้า ล้างรถไป 3 ชั่วโมง ตัดหญ้าไป 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็โอเคนะ ผมว่าเหนื่อยง่ายกว่าปกตินิดหน่อย เสร็จก็กินพาราดักไว้เม็ดนึง ยังง่วงก่อนเวลาอันควร แต่อาจเพลียจากงานกรรมกร

ส่วนพ่อแม่ผม หลายวันมานี้ แม่มีน้ำมูกนิดนึงวันที่ 2 จากนั้นไม่มีอาการใดๆ ส่วนพ่อผมไม่เป็นอะไรเลย นี่หมายความว่าผมยังแก่ไม่พอสินะ

 

เราจะต้องทำตัวให้เคยชินกับการรับวัคซีนกระตุ้นแหละครับ ตอนนี้ผมรับวัคซีนถี่กว่าหมาอีก หมาฉีดปีละครั้ง 2 ครั้งเองนะ

12 มิถุนายน 2564 - เข็มที่ 1 - sinovac life sciences ผมเขียนไว้ตอนรับเข็มแรกกับเข็มสอง
3 กรกฎาคม 2564 - เข็มที่ 2 - sinovac life sciences
29 กันยายน 2564 - เข็มที่ 3 -
AstraZeneca Siam Bioscience

เข็ม 1-2 ห่างกัน 3 สัปดาห์ เข็ม 2-3 ห่างกัน 3 เดือน(เองเหรอ) คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมฉีดไปช่วงแรกๆ ที่ให้ลงทะเบียนฉีดอยู่แล้ว ไม่ได้ใช้สิทธิญาติหมอแต่อย่างไร(จึงไม่ใช่ก่อนหน้าคนทั่วไป) เข็มต่อไปเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น แล้วแต่รัฐจะประกาศหรือโรงพยาบาลให้ลงทะเบียน

ในความเห็นส่วนตัว ถ้าเลือกได้ ผมจะไม่เลือก MRNA จากต่างประเทศ ยกเว้นจุฬาโคฟที่วิจัยโดยหมอไทย ด้วยเหตุผลทางสถิติเรื่องผลข้างเคียงจากการฉีด ระยะเวลาที่เริ่มใช้ในคน รวมถึงรูปแบบการทำงานของตัววัคซีนเอง ซึ่งไม่น่าจะต้องเลือก เพราะเรามีฐานการผลิตแอสตร้าที่มีโอกาสจองได้มากขึ้น และมีซิโนแวคจากพี่ใหญ่ของเรา ที่คิดค้นและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเดียวกันกับซิโนฟาร์ม เพื่ออย่างน้อยๆ ต้องรองรับคนจีนกว่าพันล้านคน

เมื่อไวรัสคือสิ่งมีชีวิต มันย่อมมีการกลายพันธุ์เพื่อความอยู่รอดของมัน ผู้พัฒนาวัคซีนก็จะอัพเกรดเวอร์ชั่นตามไวรัสไป เพื่อต่อต้านและรักษาชีวิตคนไว้ เราก็จะได้ฉีดกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ ฉีดไปครับ กันตายได้

ปัญหามันไม่จบได้ง่ายๆ เพราะคนไม่ตาย .. ในสมัยโบราณที่การแพทย์ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เมื่อเกิดโรคระบาด คนตายกันพรึ่บๆ เรื่องจึงจบง่ายในเวลาสั้นๆ (ก็เป็นปี) ปัจจุบันสภาพสังคม การคมนาคมและการแพทย์ ก้าวหน้าและเอื้อต่อการแพร่กระจาย มันส่งต่อได้ง่ายกว่าเมื่อร้อยปีก่อนเป็นร้อยเท่า เราจึงจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้กันไปอีกหลายปี เราก็แค่ปรับตัวและอยู่กับมันอย่างเป็นสุขๆ เถิดก็พอ

เพราะผมเชื่อในคุณสมบัติของทีมหมอที่ให้คำปรึกษารัฐบาลอยู่ ก็จะทำตามคำแนะนำและรับโอกาสทางวัคซีนที่รัฐเสนอให้ (แต่ไม่เคยรับเงินเลยว่ะ) ใครไม่ศรัทธา ก็ไม่ต้องรับ ไม่มีใครว่าอะไร เพราะถึงรับวัคซีนแล้วก็ยังติดได้อยู่ดี แค่อาการจะไม่หนักเท่าคนที่ไม่เคยรับวัคซีน ช่วยลดภาระให้หมอ พยาบาล อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเมรุ

ส่วนใครจะเชื่อหมอที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญอะไร หรืออยากจะเชื่อพวกที่เห่าหอนไปวันๆ ตั้งตัวรู้ดีกว่าหมอด้านไวรัสและระบาดวิทยา ทั้งที่ไม่ได้จบอะไรเฉพาะทางมา ก็เอาที่สบายใจเลยครับ คงไม่มีใครอยากเสียเวลาไปต่อล้อต่อเถียงด้วย มันเป็นความเขลาเฉพาะตน ที่จะไม่ส่งผลต่อชาติ นอกจากสร้างความรำคาญ เพราะคนเหล่านี้ จะไม่มีวันได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ในสังคมอยู่แล้ว เอ๊ะ เคยมีว่ะ อีเอ๋อกับพี่มัน ที่หอบเงินไปเป็นสัมภเวสี แล้วทำให้กูต้องมานั่งใช้หนี้แทนมันอยู่ทุกวันนี้

ที่เฮงซวยคือ บางคนคิดน้อยเกินไป ที่ด่ารัฐเรื่องวัคซีน โดยไม่ได้คิดว่ากำลังด่าทีมแพทย์ที่คอยให้คำปรึกษารัฐอยู่ คนที่เสียสละตัวเอง ทำงานเหนื่อยยากเพื่อคนที่ไม่รู้จัก ไม่ให้กำลังใจเขา กลับด่าทอ ยังเป็นคนหรือไม่(แล้วภาษาหนังจีนก็มา) ในขณะที่ตัวมัน โคตรเหง้ามัน ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้ใคร นอกจากอวดรู้ไปเรื่อย สติปัญญาไม่ได้เฉียดโรงเรียนแพทย์หรือโรงเรียนนายร้อยด้วยซ้ำ นี่เรียกว่าน่าสมเพช ไม่รู้จักประมาณตน.

ไม่มีความคิดเห็น: