While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ซื้อรถ eco car อย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด (edited)

เรื่องนี้ว่าด้วยการต่อรองซื้ออีโคคาร์ป้ายแดง (แบบถึงๆ) มีแค่ 3 ประเด็นหลักๆ เท่านั้นครับ
1. ส่วนลด
2. ของแถม ของแต่ง

3. ประกัน (มีอะไรไหม ที่ศูนย์บอกไม่หมด)
เรื่องส่วนลดกับประกัน อาจเอาข้อมูลไปใช้กับรถรุ่นเล็ก กลาง ใหญ่ได้ แต่เรื่องของแต่งค่อนข้างลำบาก คุณกะใช้ยาวๆ รึขายภายในไม่กี่ปีกันล่ะ จะบอกว่ารถแต่งจะโดนกดราคามากกว่าแบบไม่แต่ง
- รถรุ่นใหญ่ส่วนมากไม่ต้องแต่ง ขืนไปแต่ง ทุเรศเลย เขาประดิบประดอยมาสวยอยู่แล้ว และบวกราคาไปในตัวรถเรียบร้อย ดูดีไม่มีที่ติ ผู้ซื้อตัดสินใจง่าย ซึ่งเราจะได้เห็นราคาพุ่งขึ้นไปสองสามแสนเมื่อเทียบกับตัวเดียวกันที่ไม่ได้แต่ง
- รถขนาดกลางอาจทำได้บ้าง แต่มีอยู่ตัวนึงเขาแต่งให้เสร็จ ทำมาเป็นรุ่นหนึ่งเลย แถมไม่มีใครเอาไปทำรถเช่าด้วย เพราะมันฟุ่มเฟือยเกินไป แต่มันคงใช้ดีจนไม่มีใครขายถ้าไม่มีปัญหา ตัวนั้นแหละที่ผมตามหาแล้วล้มเหลว หลังจากดูทุกคันในกรุงเทพหมดแล้ว ไม่มีให้ดูแล้ว อีกตัวที่ใกล้เคียงผมก็รับไม่ได้กับสิ่งที่ให้ในราคานั้น จึงควรเปลี่ยนวิธีคิด
เอาล่ะ ลืมเรื่องรถมือสองที่ผมเขียนคราวที่แล้วไปก่อน รถป้ายแดงใช้วิธีการคนละเรื่องกันเลย
ที่นี้ผมมีงบสำหรับรถไว้ 6 แสน (คือกูจะใช้เงินแค่นี้เท่านั้นสำหรับรถหนึ่งคัน) เจ้าน้องชายเลยนึกถึงอีโคคาร์รุ่นหนึ่งราคาราว 6 แสนสี่ ที่ให้ option ด้านการใช้งานมากมายจนน่าแปลกใจ เมื่อดูประวัติ เจ้านี่ตีตลาดอีโคคาร์เป็นอันดับหนึ่งติดต่อกันมาหลายปี
แล้วพี่น้องก็เริ่มถกกันเพื่อค้นหาเหตุผล ความคุ้มค่าของสิ่งที่ให้ ราคาตั้งอย่างนี้ได้ยังไง ส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอย่างไร วัตถุประสงค์ของผู้ผลิตคืออะไร ได้ข้อสรุปว่าไม่น่าจะมีสิ่งใดซ่อนเร้น มันออกมาเพื่อตีตลาดแน่ๆ ของบางอย่างปกติมีให้ในรถรุ่นใหญ่เท่านั้น แล้วให้ได้ยังไง เอาใจผู้ใช้ไงครับ (คนเรียกร้อง มึงกล้าขอกูกล้าให้) ผมว่าเขากะกวาดตลาดอีโคคาร์ให้มากกว่าเก่า
ราคา ถูกได้ด้วยซีซีเครื่องยนต์ ขนาด น้ำหนักรถ รวมถึงส่วนประกอบที่ใช้ภายใต้รูปแบบการใช้งานของอีโคคาร์ (ดูเพิ่มเติมได้จากเรื่องส่งเสริมการลงทุน) ทำให้ลดภาษีไปได้มหาศาล คุณรู้ไหมรถรุ่นใหญ่ตัวหนึ่งขายในญี่ปุ่น 9 แสน แต่เปิดราคาเริ่มต้นในไทยที่ล้านสี่!
ตัวแปรหลักที่ผมคิดคือการใช้งานและความปลอดภัย ผมใช้พอไหม ใช้อะไรบ้าง
1. ผมใช้รถคนเดียว ความสูง 168 หนัก 62 (บวกลบตามความตะกละ) พอนั่งไหม พอนะ ระยะนั่งกับระยะหลังคาเหลือบานเต ทีแรกกลัวไม่พอ เพราะปกติผมใช้รถ 1.8 เลื่อนเบาะสุด
2. ไปกลับที่ทำงานวันละ 7 โล 6 วัน (เจ้านี่รองรับได้วันละ 100-200 โล น้องคนหนึ่งใช้งานวันละ 80 โลติดต่อกันมา 3 ปี ยังไม่มีปัญหาอะไรให้เห็น)
3. ซื้อผักหญ้าอาทิตย์ละครั้ง จะได้ของมาราวกะละมังซักผ้าใบใหญ่ๆ ไปกลับ 30 โล
4. ไปหาหมอชลบุรี 4 เดือน 2 ครั้ง ไปกลับ 100 โล
5. ซื้อของที่ต้องใช้พื้นที่เป็นบางครั้ง เช่น จอบ เสียม เครื่องตัดหญ้า ดินปลูกต้นไม้ (ล้มเบาะยัดข้างหลังได้คงสะดวกดี)
7 km x 6 days x 4 weeks x 12 month = 2,016 km
30 km x 4 w x 12 m = 1,440 km
100 km x 2 times x 12/3 m =  800
2,016+1,440+800 = 4,256 ผมจะใช้รถราวปีละ 5,000 โล! เหลือเฟือ (โหจิงดิ)
เมื่อมองว่าราคารับได้ การใช้งานรับได้ เราจึงคุยเรื่อง option กันคร่าวๆ ซึ่งผมรู้สึกสนใจประโยชน์ใช้งานและความปลอดภัย VSC, TRC, HAC, ABS, EBD, ถุงลมเยอะดี มีตรงเข่าด้วย, ระบบกันโคลงปรับให้ดีขึ้น, พนักพิงซับแรงกระแทก, เกียร์สายพานกับความฮาของมัน, จอ dvd+6 ลำโพง! แต่ผมเป็นคนไม่ฟังเพลงในรถนะ ชอบฟังเสียงเครื่องยนต์มากกว่า, แอโรไดนามิคถูกนำมาใช้ยันใต้ท้องรถ!, การเก็บเสียง, ต่างๆ นาๆ
เรื่องน้ำมันก็น่าสนใจ เจ้านี่ซัดน้ำมัน 18 โลลิตรในการใช้งานปกติ ผมอยู่บ้านนอกรถไม่ติด แต่ก็ไม่ได้วิ่งยาวๆ เหมือนกัน ปกติผมใช้ไฮท๊อค1.8 (พ่อใช้ประจำ นานๆ ผมใช้ที ขับไม่เกิน 110 เว้นบนทางหลวงหมายเลข 7) เรื่องน้ำมันจึงไม่ใช่ประเด็นอะไร จัดว่าได้ก็ดี คนที่ test drive ตัวก่อนหน้านี้เขาสรุปไว้ว่า ถ้ารถติดแบบไปได้ 10 กม/ชม จะใช้น้ำมันราว 10 โล/ลิตร แล้วแยกความเร็วเป็น กิโลเมตรต่อชั่วโมง/อัตราการใช้น้ำมันกี่โลลิตร ไว้ให้ดู เช่น 90/22.5, 100/18.5, 110/15.3, 120/14.7, 130/12.0, 140/10.3, 178/6.1
1 ถังจุได้ 42 ลิตร , E20 ลิตรละ 25.54 (ณ วันนี้)
เติมเต็มถัง 42
x25.54 = 1,072.68 บาท
คิดเล่นๆ ที่ 18 โลลิตร = 42
x18 = 756 กม ผมใช้สองเดือนหมด!
แต่ในการใช้งานจริงเขามองค่าเฉลี่ยที่ 550-570 กม/ถัง ก็ยังใช้ได้เป็นเดือนอยู่ดี สงสัยต้องหัดแรดให้ไกลขึ้นหน่อย
เมื่อโฟกัสรุ่นรถได้ เจ้าน้องชายก็กลับไปทำ research และส่งข้อมูลมาให้ผมเรื่อยๆ เพื่อให้ผมแน่ใจว่าจะโอเคกับรถรุ่นนี้จริงๆ จากนั้นค่อยติดต่อเซลล์ที่เคยซื้อขายกันมาก่อน ขอข้อมูลเพิ่มเติม เขาก็ส่งข้อมูลกลับมาให้ทุกวัน แล้วเราก็เข้าไปคุย
เซลล์คนนี้ผมว่าไม่เลว ไม่ว่าเราจะเรียกร้องกดดันขนาดไหน เขาไม่แสดงสีหน้า ในการต่อรองที่หนักหน่วงยาวนาน เขาพยายามต่อรองด้วย ไม่ปิดตัวเอง มองหาจุดร่วมที่แต่ละฝ่ายต่างรับได้ แต่ภายใต้การต่อรองโหดๆ คุณต้องสังเกตปฏิกิริยาตอบโต้จากอีกฝ่ายด้วยนะ มันมีลิมิตอยู่เหมือนกัน เขาไหวหรือไม่ไหวจริงๆ มันจะแสดงออกมาด้วยคำพูด น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง ผ่อนปรนในคราวที่จำเป็น อย่าเล่นแรงเกินไป เดี๋ยวพัง ความรู้สึกดีๆ มันสร้างโคตรยาก และมันจะไม่ลื่นไหลถ้าเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
จงมองหาเซลล์แบบนี้ ศูนย์น่ะมีเยอะ ซื้อศูนย์ไหนก็ให้ความสะดวกได้เหมือนกัน และเดี๋ยวนี้ถ้าคุณจะจดทะเบียนที่ไหน คุณไม่ต้องถ่อไปต่อทะเบียนที่นั่น ผมให้เขาจดทะเบียนกรุงเทพให้เลย มันเกลื่อนกลาดดี เลี่ยงเลขได้ด้วย ผมให้เลี่ยงเลขตัวเดียวตามคำแนะนำของน้องชาย มันจะได้ไม่ยากเขานัก การซื้อทะเบียนหรือไปนั่งรอเลขสวยๆ ให้ความรู้สึกยุ่งยากและไม่จำเป็น ผมไม่เคยเชื่อถือเรื่องโชคลาง ที่พร้อมและสะดวกนั่นแหละดีที่สุด

เมื่อเจอหน้าเซลล์ สิ่งแรกที่เราทำคือการทักทายอย่างเป็นกันเอง แล้วบอกเขาว่า ให้อะไรได้บ้างล่ะ เขาก็จะนั่งเขียนๆ ลงกระดาษ A4
ส่วนลด
ผมได้ส่วนลดหนึ่งหมื่นจากการครอบครองรถยี่ห้อเดียวกันอีกคัน ก็เอาทะเบียนตัวจริงมาให้เขาดูครับ เป็นแคมเปญของเขา เขาก็ถ่ายเอกสารแนบไว้กับใบจอง
เป็นความเอื้อเฟื้อจากพี่ที่ผมนับถือคนหนึ่ง เขาลองขอราคาจากอีกที่มาให้เปรียบเทียบ ต่อรอง และเป็นตัวเลือก มีส่วนลดสองหมื่นกับรายการของแถม ผมจะลองของกับเซลล์ที่คุ้นเคยกันก่อน เรายังไม่รู้ว่าเขาให้อะไรได้บ้าง
ส่วนลดกับของที่จะเอา ตรงนี้แล้วแต่ความคิดนะครับ ถ้าคุณไม่อยากได้ของก็ตัดออกแล้วขอส่วนลดเพิ่มขึ้น แต่ผมอยากได้เลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องส่วนลดมากนัก ความคิดผมคือ ราคารถตั้งไว้ที่ 639,000 ใช่ไหม ผมยอมรับได้กับการจ่ายเงินเท่านี้ จะไม่จ่ายมากไปกว่านี้ ถ้าต้องจ่ายน้อยกว่านี้ก็ถือว่าดี ดังนั้นผมจะไปเล่นของแถมแบบเต็มแม็กซ์!
ของแถม/ของแต่ง
ไล่ดูก่อนครับว่าเขาให้อะไรมาบ้างแบบที่เรายังไม่ได้ขอ เรารู้ๆ กันว่าเซลล์ได้ค่าคอมจากการขาย แต่ผมไม่รู้ว่าคันละกี่เปอร์เซนต์ของราคารถ ซึ่งเขาจะไม่มีวันบอกความจริงกับเราแน่ เซลล์ส่วนใหญ่จะไม่่ยอมให้เราเข้าไปแตะถึงค่าคอมของเขา (บางคนก็ยอม) ดังนั้นข้อมูลของแถมที่เขาเสนอให้จึงมักจะยังไม่เข้าไปถึงจุดนั้น (ที่เขาจะบอกว่า เริ่มเข้าตัว)
เซลล์บางคนไม่ได้คิดเรื่องค่าคอมเป็นใหญ่ แต่ดูโวลุ่มเป็นหลัก เขามีการขึ้นชาร์ตแข่งขันกันภายใน ได้ยอดเท่าไหร่ได้โบนัส (บางทีเขายอมลดค่าคอมไปเอาโบนัสแทน) การมีผลงานดีติดต่อกันอาจได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับความไว้วางใจให้เป็นเทรนเนอร์ นี่คือเจ้าหนูที่เราเล่นด้วย เขาก็เล่นกับเราเช่นกัน ผมว่าคนอย่างเราหาดูยาก เราก็รู้สึกกับเขาเช่นเดียวกัน มีโอกาสได้เรียนรู้กันถือเป็นประสบการณ์ที่ดี

ประกันชั้นหนึ่ง ติดฟิลม์ เข้าศูนย์ตามระยะหรือเวลา เป็นสิ่งที่ต้องให้ฟรีอยู่แล้ว ประเด็นคือ
1. ประกันกับบริษัทอะไร เงื่อนไขการรับประกันเป็นยังไง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้น้องผมต้องเข้าไปเคลียร์อีกครั้งเป็นชั่วโมง! ซึ่งเราโทรคุยกันก่อนแล้วว่าจะเอาแค่ไหน ผมให้น้องชายตัดสินใจได้เลย แต่ผมจะเล่าแบบบุคคลที่หนึ่งนะ จะได้ไม่งง
เซลล์เขาก็ติดขัดจริงๆ ด้วยเงื่อนไขของวงเงิน ผมเข้าใจ ดังนั้นประกันผมไม่เอา ทำส่วนลดมา ผมไปทำข้างนอกเอง เดี๋ยวไปเล่าให้กระจ่างในช่วงท้ายอีกทีครับ
2. ฟิลม์ฟรี จุดนี้ผมก็พลาด เล่าให้ฟังไว้เป็นกรณีศึกษา เมื่อเราถามยี่ห้อ เขาบอกชื่อแล้วบอกว่าเป็นของ USA รับประกัน 5 ปี ผมผ่านเลยนะ พลาดเพราะพื้นฐานชีวิตผมไม่เคยสนใจเรื่องยี่ห้อใดๆ ทั้งสิ้น ข้าวของเครื่องใช้ขอให้ใช้งานได้ดี ผมพอใจ แต่เมื่อมาอ่านๆ ทีหลัง พบว่ามันกันความร้อนได้น้อยกว่ายี่ห้ออื่น นี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องคุยใหม่
ส่วนนี้ผมขอให้เปลี่ยนฟิลม์ไปเป็นอีกยี่ห้อ พร้อมให้เหตุผลที่สมควร เขาเข้าใจแต่รับไม่ไหวเพราะราคามันเกินวงเงินมาหลายพัน ผมก็โอเคไม่เป็นไร งั้นตัวนี้ราคาเท่าไหร่ตัดออกเป็นส่วนลด ผมไปติดเอง เพราะขืนติดแล้วต้องเปลี่ยนทีหลังจะยุ่งยากกว่า การลอกฟิลม์ที่ยังไม่เสื่อมสภาพจะทำให้ตัวไล่ฝ้ามีปัญหา ผมไม่ลองของเขาแล้วกัน
ผมยอมจ่ายเพิ่มค่าฟิลม์เพราะพอใจกับของที่เลือกไปแล้ว และยังมีเงินพอ support ถ้าเราขอเปลี่ยนแต่แรก เราก็ต้องไปตัดตัวอื่นให้อยู่ในวงเงินหรือเพิ่มเงิน ไม่ต่างกัน ตรงนี้ทำให้เราเห็นว่าเขาใช้จุดนี้ลดต้นทุนด้วย ซึ่งการติดข้างนอกไม่มีอะไรน่าห่วง ร้านรับติดฟิลม์ที่มีประสบการณ์สามารถทำได้ดีอยู่แล้ว
3. บริการศูนย์กี่ปี ระยะเท่าไหร่ ตรงนี้ผมได้มา 5 ปี ระยะ 150,000 กม ขยายค่าแรงฟรีเป็น 100,000 กม เช็คระยะฟรี 11 ระยะ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นได้อย่างนี้เป็นปกติไหม เพราะตอนแรกผมได้น้อยกว่า (เท่าที่รู้มันให้ขนาดนี้ในรถราคาล้านขึ้น แปลว่าให้ได้ บนเงื่อนไขของราคา) ผมต้องการเช็คฟรีระยะยาวๆ เพราะใช้น้อย ค่าเช็คมันแพงแล้วเราต้องยอมไง ถ้าไม่เช็ค รถมีปัญหาขึ้นมาเขาไม่รับผิดชอบ ถือว่าหมดประกันไปเลย
จุดนี้เราพูดคุยกันด้วยประเด็นของความเป็นลูกค้าเก่า และการใช้งานของผมที่มันจะน้อยมากๆ คือซื้อรถยนต์ใช้เพื่อลดความเสี่ยงเป็นหลัก รองลงมาคือประโยชน์ใช้สอย นี่น่าจะทำให้เซลล์มองว่าผมไม่แยแส แค่ให้มันเป็นรถยนต์ก็พอ ท่าทีของผมคือ ถ้าคุยกันไม่โอเค ผมอาจเล่นตัวที่ถูกกว่านี้สักแสนสองแสน ซึ่งค่าคอมเขาจะลดลง ผลงานตก เมื่อเขารู้ว่าเรามองหาความคุ้มค่า เขาก็เอาความคุ้มค่ามาหลอกล่อ จึงเข้าเกมของกันและกัน
อาจด้วยภาพและการให้ข้อมูล เมื่อถึงโชว์รูมผมดูรถรุ่นที่ผมจะเอาซึ่งไม่มีตัวตรง ตัวที่ดูจึงเป็นรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นการซื้อโดยดูของเทียบ! มันก็ใกล้เคียงกันแหละ ผมแค่ลองเข้าไปนั่งดูว่ามันพอนั่งไหมเท่านั้นเอง จากนั้นก็ไปดูอีก 2 รุ่นใกล้เคียงเพื่อเปรียบเทียบว่ามันมีอะไรให้บ้าง ให้ความรู้สึกยังไง
ถามถึงรถ test drive ไม่อยู่ผมก็ไม่สน เพราะเจ้าน้องชายเคยขับตัวก่อนหน้ามาแล้ว ปัญหาเดียวที่มีเป็นความตลกจากเกียร์สายพานนั่นแหละ คืออัตราเร่งจาก 0 มันจะชักช้าอืดอาดแบบสายพาน ที่กูจะไล่ step ของกูไปเรื่อยๆ อย่างสบายอกสบายใจ การ kick down จะไม่ช่วยอะไร แถมทำให้อายุเกียร์สั้นลง
ข้อมูลทางด้านเทคนิคที่เราศึกษามาก่อนบอกว่า มันปรับแก้มาแล้วให้ดีกว่าเดิม ดังนัั้นการไม่ได้ดูรุ่นตรงหรือไม่ได้ลองขับไม่ใช่ปัญหา เราแค่ถามเซลล์ง่ายๆ ว่า มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาจากตัวก่อนหน้าบ้าง  เขาก็สาธยายมาเป็นเรื่องๆ ให้เราฟังแล้วรู้สึกว่ามันคุ้มกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากตัวก่อน ถึงจะศึกษามาแล้วก็ฟังๆ ไปครับ จะได้เรียนรู้เทคนิคการจูงใจของเขา จากนั้นผมก็พูดเปรยๆ ออกมาว่า เนี่ยไปหารถมือสองมาแล้วมันไม่โอเค
ทั้งหมดนี่คือการสร้างภาพให้ดูและทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี อย่าคิดว่าคุณดูคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว คนอื่นก็ดูและวิเคราะห์คุณอยู่เหมือนกัน จงทำให้เขาเห็นและรู้สึกอย่างที่คุณต้องการ

ทีนี้มาว่ากันด้วยเรื่องของแถมอื่นๆ ตัวไหนที่ไม่คิดจะใช้ ไม่จำเป็น ตัดออกเลยครับ ไปขอตัวที่อยากได้แทน เริ่มด้วยการขอเพิ่มแบบมั่วซั่ว วัตถุประสงค์คือหลอกถามราคา เพื่อสลับสับเปลี่ยนบวกลบกันไป คุณจำแม่นไหม ถ้าไม่แม่นเขียนลงไปในกระดาษเขาแหละ ไม่ต้องอาย ดูโง่ ดีกว่าอวดดีแล้วต้องเสียค่าโง่ทีหลัง แต่ให้เล่นแบบตรงไปตรงมานะครับ ยังไงก็อย่าให้เกินราคาตั้งของตัวรถ เพราะเขาจะไม่ยอมแน่ๆ เสียเวลาพยายามเปล่าๆ อย่าเสียเวลากับสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการจริงๆ อย่าเสียเวลากับสิ่งที่รู้ว่าพยายามไปก็ไม่มีทางสำเร็จ
ชุดตกแต่งที่ผมอยากได้ มีโบร์ชัวร์ให้ดู เขาจะเอามากางล่อคุณเลย ซึ่งผมก็งับเต็มปาก ผมเลือกสีเทาเมทัลลิคตามวัยวุฒิ ซึ่งรถเรียบๆ มันให้ความรู้สึกโล้นๆ เหมือนตอนผมโกนหัวโกนคิ้วไม่มีผิด อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ดังนั้น ผมอยากได้ (นี่เป็นการสนองตัณหาล้วนๆ)
ส่วนที่ตกแต่งให้ดูงามตา ราคาแพงมากเมื่อเป็นของศูนย์ ในขณะที่คลองถมถูกกว่า 3-4 เท่าตัว แต่เมื่อทวนคิด การซื้อข้างนอกต้องไปจ้างช่างติดอีก เกิดเจาะเบี้ยวจะไปเอาอะไรกับเขา ของที่ติดตั้งทีหลังจะไม่อยู่ในประกันรถ คุณต้องแจ้งเพิ่มให้ประกันรับทราบในภายหลัง ซึ่งเขาอาจขอเพิ่มเบี้ยประกันได้อีก ผมมองว่าเป็นความยุ่งยากที่ไม่คุ้มเงิน
ของแต่งที่ติดตั้งจากศูนย์ งานต้องผ่าน QC มา ตอนตรวจรับรถถ้ามันไม่เนี๊ยบก็สั่งให้แก้ได้โดยกำหนดระยะเวลา ประกันรถยนต์จะครอบคลุมถึงของที่ติดตั้งมาพร้อมตัวรถโดยไม่เพิ่มเบี้ย ผมถามแล้ว เขาบอกว่าคุ้มครองสิ่งที่ระบุมาในใบรับรถ ดังนั้นจุดนี้ผมไม่มองราคาเป็นหลัก แต่มองเนื้องาน การคุ้มครอง และความพึงพอใจ
กล้องหน้าผมไม่เอา ของศูนย์ราคา 5,900 แพงบัดซบ ซึ่งการติดตั้งไม่ได้ยากเย็นอะไร ไปซื้อเอาทีหลังได้ ดีที่รุ่นนี้มีกล้องหลังมาให้เลย ช่วยให้ไม่ต้องกะๆ เอา ถ้าไม่มีผมคงไม่ติด ไม่เคยต้องใช้นี่
กล้องของศูนย์มันแพงตรงที่ ขณะดับเครื่องจอดทิ้งไว้ มันตรวจจับแรงกระแทกแล้วเปิดกล้องบันทึกอัตโนมัติได้ .. อ่ะฮะ viofo G1W-S + viofo32Gb MicroSD  ก็ทำได้ 1650+490=2140 บาท (ลาซาด้า ) แค่ต้องเสียบ powerbank ทิ้งไว้หน่อยตอนดับเครื่อง เพราะมันไม่มีแบตเตอรี่แต่เป็น capacitor พลังงานเดียวที่มันใช้คือไฟจากช่องจุดบุหรี่ พอดับเครื่องจึงเหลือประจุนิดเดียว พอให้จำค่าวันที่ได้สัก 1-2 วัน แต่ข้อดีของมันคือไม่มีเรื่องแบตบวมให้ต้องมานั่งเปลี่ยน ทนความร้อนได้มากกว่า โอกาสแฮ๊งค์น้อยกว่า ดีกับรถที่ต้องจอดตากแดดนานๆ ไหนใครเคยใช้ที่จุดบุหรี่ในรถมั่ง ผมไม่เคยเลย ไฟแช็คอันละ 10 บาทแม่มเวริคสุดละ
ที่ขอยากที่สุดคือสัญญาณระยะมุมกันชน 4 ตัว เขาบอกราคามา 3,700 มันน่าสนใจตรงที่จะปิดเปิดการทำงานเองที่ความเร็ว 15 กม/ชม เราก็ตัดของบางอย่างออกแล้วรบเร้าขอเอา เขาพอให้ได้เขาก็ให้ ของที่ต้องเดินสาย ดึงไฟจากระบบมาหล่อเลี้ยง ติดจากศูนย์จะดีกว่า ระบบไฟ การเดินสาย เก็บงาน แนบเนียนกว่า ชัวร์กว่า
ที่มันจี๊ดคือกันสาด ทำไมไม่ติดกับตัวรถมาเลยวะ มันคงเป็นวิธีหลอกล่อให้ลูกค้าสนุกด้วยกระมัง อันนี้จำเป็นสำหรับผมครับ ผมเป็นคนสูบบุหรี่ในรถเป็นประจำ ขึ้นรถก็จุดบุหรี่น่ะ ฝนตกพรำๆ ถ้าไม่มีกันสาดนี่จบกัน ราคาศูนย์พันกลางๆ เป็นคลิปล็อค หาข้างนอกไม่กี่ร้อยแบบแปะเอา แบบคลิปล็อคข้างนอกก็พันกว่า แต่ต้องไปวัดเอาว่าติดแล้วจะเป็นยังไง หรือไปหาคนที่เคยใช้แล้วถามเอา ราคาต่างไม่เท่าไหร่ผมขอใช้ของศูนย์ละกัน เพราะมันจะไม่หลุดแน่ๆ (ถ้าหลุดมึงก็ต้องแก้ให้กูฟรี)
ทั้งหมดนี่คุย 3 เบรคครับ รอบแรกเราขอหยาบๆ เซลล์จะเข้าไปขออนุมัติจากผู้จัดการแล้วกลับออกมาแบบไม่ได้ทั้งหมด (ซึ่งก็บรรลุวัตถุประสงค์ขั้นต้นของเราละ) เขาจะเสนอให้เราตัดบางอย่างที่ราคาเกินวงเงินออกไป ซึ่งอาจไม่ตรงใจ เราก็ดูใหม่ครับ สับเปลี่ยนสิ่งของให้ละเอียดขึ้น ดูตัวเลขด้วยกัน สุดท้ายเขาจะสรุปว่า ถ้าได้ตามนี้พี่โอเคเลยใช่ไหม แล้วเข้าไปหาผู้จัดการอีกรอบ คราวนี้กลับออกมาพร้อมความสำเร็จ
แต่เรามีไพ่อีกใบที่จะเล่นคือจำนวนเงินวางมัดจำ เขาขอห้าพัน ผมให้หมื่นนึงเลย แล้วขอเพิ่มจำนวนครั้งในการเช็คระยะฟรีกับเปลี่ยนพรม! กล่อมเขาให้วางใจว่าเรามัดจำเยอะ โอกาสทิ้งเงินมัดจำก็น้อยกว่า(รถสั่งให้แต่งถ้าเราทิ้งเงินมัดจำ เซลล์จะเจ็บหนัก ขายใคร ขายเท่าไหร่ รถเจาะมาแล้ว) และเราไม่ได้ขอมาก เซอร์วิส พรม(เขาต้องให้อยู่แล้วแค่เปลี่ยนเป็นอีกแบบที่ส่วนต่างไม่กี่ร้อย) ก็จบลงได้ด้วยดีในเวลาราว 2 ชั่วโมง มีใครเคยใช้เวลาซื้อรถป้ายแดง 2 ชั่วโมงไหม 555++
ในการต่อรองอะไรก็ตามอย่ายอมเสียเปรียบแต่ก็อย่าไปเอาเปรียบเขาแบบออกนอกหน้า การไม่ยอมเสียเปรียบกับการพยายามเอาเปรียบมันต่างกันมากนะคุณ ในการพูดคุยยาวๆ เมื่อเราแสดงท่าทีมีเหตุผล จริงใจ ไม่ดราม่า เซลล์ก็จะตอบโต้แบบเดียวกัน มันจะง่ายขึ้นเยอะ ตรงนี้ค่อนข้างสำคัญ ความรู้สึกมันไม่ต่างกับตอนที่เราเห็นผู้อื่นตั้งท่าจะเอาเปรียบเรา เราก็บล๊อคเขาทันทีใช่ไหม เมื่อเข้าไม่ถึงใจ อะไรก็ยากเย็นไปหมด (อย่าลืมว่าเซลล์เจอคนทุกวัน คุณต้องระวังการแสดงออกให้ดี)

ทีนี้มาว่าเรื่องประกันอย่างละเอียดอีกที (คงไม่ลึกเท่าเซลล์ขายประกันหรอกครับ)
บริษัทประกันที่ให้ ถ้าเราไม่พอใจก็ขอเปลี่ยน ทีนี้ค่าเบี้ยประกันของแต่ละที่มันต่างกัน ถึงมันจะชั้นหนึ่งเหมือนกันก็เถอะ ตัวแปรมันอยู่ที่บริการหลังการขายกับค่าทดแทน
ตรงนี้เราพอใจจะใช้ที่หนึ่ง จึงเช็คราคาไปก่อนหน้าแล้วเอาข้อมูลตรงนั้นมาคุย ตรงเนี้ยพลาด ผมไม่พยายามอวดดีว่าไม่มีอะไรพลาด ไม่อยากให้คุณมาพลาดตาม งั้นเรามาดูกันว่าพลาดได้ยังไง
1. เช็คจากหน้าเวบ ใส่ยี่ห้อรถ รุ่น ปี เลือกแบบประกันชั้นหนึ่ง ไม่ระบุชื่อผู้ขับ มีค่าเบี้ยประกันออกมาให้ดู ประมาณ 18,000-19,000
2. หลังเช็คหน้าเวบ มีเซลล์ 2 คนโทรมาคุย โดยเสนอราคาเบี้ยประกันที่ตรงกัน (เราใส่เบอร์ตอนขอข้อมูลประกันในเวบ)
3. เราต่อรองกับศูนย์ ต้องการใช้ประกันของที่นี่ด้วยเบี้ยประกันประมาณนี้ (18,000-19,000 ของศูนย์ 24,500)
4. รูปแบบการคุยคือ ถ้าศูนย์ให้ไม่ได้ เราขอให้ตัดค่าใช้จ่ายที่ 24,500 ออกแล้วเราไปทำเอง ถ้าทำให้ก็ต้องคิดที่ 19,000 แล้วเราไปเอาอย่างอื่นทดแทน ซึ่งสุดท้ายเขายอม
5. เราติดใจจึงเข้าไปที่เคาน์เตอร์ประกันโดยตรง ปรากฎว่าราคาอยู่ที่ 24,500 จริง สำหรับรถป้ายแดงก่อนรุ่นนี้ เขาพิมพ์ตัวอย่างใบประกันให้ เป็นแบบไม่ระบุชื่อคนขับ ประเมินราคารถที่ 619,000 ค่าทดแทนรถจากไฟไหม้/สูญหาย 590,000 (หาย 5%) ค่าชดเชยต่อบุคคลภายนอก 2 ล้านต่อคน 10 ครั้ง
กรณีนี้ถ้าเราติดต่อผ่านเซลล์หรือศูนย์จะได้ราคาเดียวกัน แต่เขาจะไปได้ค่านายหน้าจากบริษัทประกัน แล้วไปตัดลดส่วนทดแทนในสัญญา ค่าตัวรถที่ 639,000 ค่าทดแทนรถจะเหลือ 520,000 (หายไปราว 20%) ค่าบุคคลจะกลายเป็นหารสอง 10 ครั้ง
เซลล์บอกกับเราว่า รถป้ายแดงศูนย์ทำประกันให้ 80% ของราคาซื้อเท่านั้น เหมือนกันทุกที่ อันนี้ผมไม่รู้ว่าจริงไหม วานท่านอื่นช่วยชี้แนะ ถ้ามันจริงก็สรุปได้ว่า ด้วยการจ่ายเบี้ยประกันในราคาเท่ากัน หากเราไปทำกับเคาน์เตอร์ประกัน เราจะได้รับการคุ้มครองสูงกว่า!
ทำให้ผมนึกถึงที่เขาประเมินกันไว้ว่า รถป้ายแดงแค่ขับออกจากศูนย์ ราคาก็หายไป 10% นี่เกี่ยวกับเรื่องค่าทดแทนของประกันด้วยไหม .. เออ แปลกเนอะ ที่ไม่ให้เต็มราคารถ เขาคิดอย่างไร คำนวนจากอะไร ค่าเสื่อมรึ ใครเข้าใจวานสอนสั่ง ผมอยากรู้จริงๆ นะเนี่ย
คุยกับเซลล์ให้ดีนะครับ ผมมาได้ข้อมูลทั้งหมดนี่หลังจากเช็คเคาน์เตอร์แล้วกลับมาไล่เรียงเอากับเซลล์อีกที (เรียกว่าถ้าไม่พลาดจะไม่ได้รู้ จึงถือว่าโชคดี) จากคำพูดของเซลล์ เขาคิดว่าลูกค้ารู้อยู่แล้ว เหรอ งั้นผมอาจไม่รู้อยู่คนเดียว แล้วพอรู้ก็รับไม่ได้ ถ้าคุณไม่รู้ คุณก็จะรู้ในวันรับรถเลย ประกันมันมาพร้อมกัน แล้วคุณจะเอายังไง รับไว้หรือระราน คนส่วนใหญ่หน้าบางเพื่อให้ตัวเองเสียประโยชน์ที่ควรได้
เราคุยเรื่องประกันใหม่อีกครั้งและผมไม่ต้องการให้ศูนย์ทำให้ แต่ด้วยความที่ครั้งแรกเรายืนยันราคากันที่ 19,000 ผมก็จะได้ส่วนลดที่ราคานั้น ซึ่งโอเค เพราะส่วนต่างผมลงกับของแต่งไปแล้วในครั้งแรก (24,500-19,000 = 5,500 ) ก็เป็นไปตามเงิื่อนไขที่กล่าวไว้ตอนต้นว่าจะเอาเงินหรือเอาของ กรณีนี้ผมพอใจกับของแล้ว จึงเลือกที่จะรับเงินคืนมา 19,000 ไปจ่ายเพิ่มอีก 5,500 ได้ความสบายใจและพึงพอใจ
ถ้าคุณเกิดพลาดขึ้นมาหรืออยากจะเล่นแบบผม วิธีการคือ ให้คุณซื้อกล้องติดรถมาตัวนึง พอตรวจรับรถเรียบร้อย คุณก็ติดกล้อง ถ่ายรูปรถพร้อมกล้องติดรถ เอาทะเบียนกับใบรับรถไปที่เคาน์เตอร์ประกัน ทำประกันให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาเอารถ นี่จะปลอดภัยที่สุด (การติดกล้องจะได้ส่วนลดเบี้ยประกัน 5% โดยคำสั่งจากกรมการประกันภัย) ตรงนี้ถือเป็นการเพิ่มความยุ่งยากที่คุ้มค่า

ค่าใช้จ่ายนอกจากนี้ก็มี ค่าจดทะเบียน, พรบ., ป้ายแดง (คืนให้ทีหลัง 3,000) เพิ่มอีกราวเกือบ 7 พัน บวกมัดจำ 10,000 ไปแล้ว ในวันรับรถผมต้องจ่ายกับศูนย์อีก 603,346 บาท เท่ากับต้องให้ศูนย์ทั้งสิ้น 613,346 บาท
ที่จะไปซื้อเองมี ประกัน ฟิลม์ พรม กล้อง อีกราว 32,000 บาท
(613,346+32,000)-3,000 ราคารวมที่ผมต้องจ่ายเพื่อเจ้านี่จะเท่ากับ 642,346
642,346 - 639,000 = 3,346 ต้องจ่ายเพิ่มราว 3 พันกว่าจากราคารถที่ตั้งไว้ แต่ได้ทุกอย่างที่ต้องการไง ผมโอเคเลยนะ จบสวยงาม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจใคร จะต้องได้เสียใจแน่ๆ.

ภาคผนวก (จิปาถะ)
เจ้าหนูนี่หนักหนึ่งตันนิดๆ (1080 โล) เบาจัง! ผมน่าจะไม่กล้าขับเร็วมาก แก่แล้วไม่ได้กลัวตาย กลัวแต่อยากตายก็ตายไม่ได้น่ะ(เคยนึกไหม) ความเร็วเป็นหนึ่งในเรื่องของรสนิยม อันนี้ผมเข้าใจ ก็อาจปรับช่วยเรื่องน้ำหนักได้ด้วยระบบ Aerodynamics ลองศึกษาเพิ่มเติมจาก อากาศพลศาสตร์ยานยนต์, แอโรพาร์ท, สปอยเลอร์ การเลือกใช้ที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มแรงกดของลมที่ท้ายรถเมื่อความเร็วมากขึ้น การโหลดน้ำหนักคงไม่เข้าท่า มันจะกินแรงเครื่องยนต์ ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรและเปลืองน้ำมัน
การทดสอบในสนาม เช่น เปลี่ยนเลนกระทันหัน ขับสลับฟันปลา พบว่าที่ความเร็ว 70-80 เอาอยู่แบบสบายๆ (มันเกี่ยวกับน้ำหนักด้วย ที่ความเร็วสูงขึ้นการโหลดน้ำหนักให้ผลดีกว่า) ซึ่งในการใช้งานจริง รูปแบบอาจไม่ใช่ แต่นี่เป็นตัวบอกว่ามันชัวร์ที่ความเร็วไหนในภาวะฉุกเฉิน ตรงนี้ระบบ VSC, TRC, ABS, EBD ช่วยได้เยอะ บางคนปิดระบบเพราะขับมันส์กว่า ได้ความเร็วสูงกว่า ก็แล้วแต่ใจ แค่อย่าลืมว่ามันคืออีโคคาร์
ผมยังติดใจตรงที่กดได้ถึง 178 กม/ชม (จะเหยียบไปหาพ่องหรา) มันจะร่อนไหมนั่น ผมเคยนั่งรถโรงงานรุ่นเล็กอีกตัว วิ่งยาวเส้นปักธงชัย (ไปในงานน่ะ) นั่นน้ำหนักรถ 1,075 กก ไปกัน 3 คนน้ำหนักรวมราว 200 โล ตีสัก 1,300 มันก็เหยียบพุ่งกระจายดี แต่ที่ 130 มันร่อนแบบรู้สึกได้ ราวกับจะกางปีกบิน! พอ 160 ผมเริ่มคิดถึงพระเจ้าและลูกบ๊าค! ผมจะได้กลับไปเห็นหน้าลูกไหม ถ้าผมตาย ใครจะดูแลเขา
ผมไม่ชอบตัวนั้น (มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ) แต่เจ้าน้องชายบอกว่า ถ้าต้องเลือกเขาก็ขอใช้ตัวนั้นกับรุ่นใหญ่ที่ใช้อยู่ เขาชินน่ะ ผ่านรถเช่ามา 6-7 คันล้วนเป็นรุ่นนั้นกับปิคอัพ(จึงทำให้ผมรู้เรื่องรถเช่าค่อนข้างชัดเจน) พอบริษัทเปลี่ยนนโยบายมาเช่ารถเรา เขาจึงเปลี่ยนรถให้มันเหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น เลยมีเกร็ดเล็กน้อยที่เขาเคยพบว่า เมื่อเอาป้ายแดงรุ่นเดียวกันมาลงร้อยกว่าคันในคราวเดียว มันมีคันที่ไม่เหมือนกันด้วยนะ ดังนั้นถึงจะเป็นป้ายแดงก็ควรตรวจให้ละเอียดถี่ถ้วน ขับออกมาแล้วรอเคลมอย่างเดียวเลย มันควรหรือ
ปกติผมไม่ขับรถเร็วมากเพราะคิดเสมอว่า ถ้ามีอะไรตัดหน้าที่ความเร็วเท่านี้เราจะทำอะไรทันไหม ถ้าเราเป็นอะไรไปก็จะมีผลกระทบกับคนที่รักเรา (คู่กรณีก็คงมีคนที่รักเขาเหมือนกัน) เราใจร้ายพอรึเปล่า เราสนใจแต่ความรื่นรมย์ของตัวเองหรือ การตายส่งผลกระทบไม่มาก มันแค่เรื่องทางจิตใจ ถ้าไม่ตายแต่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ นั่นจะเป็นกรรมของครอบครัว คงเพราะผมเคยเฉียดตายจากโรคหัวใจ เลยมีความคิดอย่างนี้ อย่าทำตัวเป็นคนไม่คิดมาก มันไม่ดีหรอก จงคิดมากๆ คิดให้ละเอียด อย่าขี้เกียจคิด
ผมเห็นบ่อยและแปลกใจกับมารยาทของคนที่ขับรถเร็วปาดไปมาจนเกิดความเสี่ยงต่อผู้อื่น มันเป็นความเห็นแก่ตัวนะ จะไม่นึกถึงตัวเองก็เรื่องของคุณ แต่ควรคิดถึงคนอื่นที่เขามีพ่อแม่ลูกเมียรออยู่เหมือนกัน คุณไปทำให้ผู้ร่วมถนนมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่ออะไร อาจต้องถามตัวเองใหม่ บางครั้งผมก็มีคำถามในใจอยู่เหมือนกัน เช่น ไอ้เหี้ยนี่มันสอบใบขับขี่ผ่านมาได้ยังไง โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่รู้จักสั่งสอนกันมามั่งรึไง :) เดี๋ยวนี้ มีมากกว่าแต่ก่อน แปลกมากที่พฤติกรรมเลวๆ แพร่หลายได้ค่อนข้างรวดเร็วในสังคมบ้านเรา.

ไม่มีความคิดเห็น: