While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปีศาจในใจ ..


ผมไม่รู้ว่าปีศาจตัวจริงกับปีศาจในใจของเราเอง อันไหนมันจะน่ากลัวและทำลายเราได้มากกว่ากัน คุณล่ะคิดว่าไง ..
นานมาแล้ว มีน้องคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จัก เขาถามผมว่า พี่เชื่อใจตัวเองไหม ผมตอบว่าไม่ .. ถ้าคุณคิดว่าคุณเชื่อใจตัวเองได้ ผมอยากจะขอให้คุณทำการทดลองสักอย่างกับตัวคุณเอง คุณลองนึกถึงอะไรขึ้นมาสักเรื่อง แลัวจดไว้ว่า วันนี้คุณคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง ทำสัก 2-3 วันกับหัวข้อเดิม คุณก็จะรู้ว่าคุณเชื่อใจตัวเองได้ไหม ..แต่ผมรู้ตัวเองว่า ใจผมมันยังเชื่อไม่ได้ ยังไว้ใจไม่ได้ มันยังหลงไปง่ายๆ กับสิ่งที่มากระทบ ทั้งๆ ที่ฝึกใจมาครึ่งค่อนปีแล้วก็ตาม ..
ปีศาจในใจ .. เป็นสิ่งที่ตลบแตลงและโกหกตอแหลมากกว่าคนที่โกหกตอแหลที่สุดในโลกเสียอีกครับ มันสร้างภาพลวงให้เรารู้สึกนั่นรู้สึกนี่ ล่อหลอกให้เราเดินในทางผิด แต่อาจเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการทำสิ่งที่ถูก สะดวกสบายกว่า และบำบัดความอยากได้ดี .. ผมคิดว่านักปราชญ์โบราณรู้เรื่องพวกนี้อย่างลึกซึ้ง - แต่อาจเป็นเรื่องของการสร้างกำลังใจ .. ถ้าเราบอกให้ผู้คนต่อสู้กับใจของตัวเอง มันคงจะยากกว่า การบอกให้ผู้คนต่อสู้กับปีศาจและการล่อลวง .. ว่ากันจริงๆ เลย ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า เวลาที่เราคิดอะไรชั่วๆ เช่น อยากกระทืบคน อยากด่าคน หรืออยากแย่งของๆ คนอื่น มันเกิดจากปีศาจในใจหรือการล่อลวงของปีศาจตัวจริงกันแน่
จากการที่ผมสังเกตตัวเองหลายครั้งหลายหน ที่ผมตั้งใจจะระวังความคิดให้ดี (การกระทำคงไม่ต้องพูดถึง คนที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนควบคุมมันได้ดีอยู่แล้ว) มันจะมี การล่อลวง .. ผมหมายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ในความคิดหรือความรู้สึก ซึ่งช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ .. ตรงนี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า มันเหมือนกับปีศาจในใจกับปีศาจตัวจริง มันกำลังพยายามร่วมมือกันลากขาเราลงนรก ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของตัวเราเอง และเราก็เปิดประตูอ้าซ่า รอต้อนรับมันอยู่ .. แต่จะว่าไป มันก็เป็นโอกาสให้เราได้ทดสอบตัวเองด้วยเหมือนกัน ในกรณีที่วิทยายุทธของคุณผ่านขั้นพื้นฐานไปแล้ว
ถ้าเรารู้ตัวได้ทัน มันก็จะไม่เสียหายเท่าไหร่ แต่ถ้าเราเผลอปล่อยให้ปีศาจในใจกับปีศาจภายนอกจับมือกันได้ จิตวิญญาณของเราจะถูกทำลายย่อยยับ คุณเคยเจอการล่อลวงทั้งจากภายในและภายนอกในเวลาเดียวกันไหม มันสนุกอย่าบอกใคร .. กว่าจะดิ้นให้หลุดออกมาได้ กว่าจะรักษาใจให้หยุดแกว่งแล้วกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง มันต้องใช้กำลังเยอะแยะและเวลาอีกมาก ที่เราไม่ค่อยจะมี ..
มันจะดีกว่าไหม ที่เราจะกันปีศาจ 2 ตัวนี้ไม่ให้มันเชื่อมต่อถึงกัน .. ปีศาจภายนอกเราคงทำได้แค่ ช่างหัวมัน .. แต่ปีศาจในใจเราควบคุมมันได้ ซึ่งเราควรจัดการกับมันก่อนที่จะถึงจุดอันตราย แล้วเราต้องมานั่งตามล้างตามเช็ด สิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นในใจ ..
โชคดีที่ใจเรามี 2 ส่วน ส่วนดีและส่วนเลว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะให้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายชนะ ผมมักจะคิดว่า ด้านหนึ่งเป็นเทวดา อีกด้านหนึ่งเป็นปีศาจ เราอยู่ตรงกลาง แล้วเลือกเอาว่าจะเดินไปหาใคร  .. อันนี้เป็นการคิดแบบสร้างจินตนาการนะครับ ซื่งมันอาจยากสำหรับคุณบางคน ..
จริงๆ แล้ววิธีที่ถูกต้องคือการฝึกใจให้เข้มแข็ง เพื่อเอาไว้ต่อสู้กับความต้องการฝ่ายต่ำ .. มนุษย์ทุกคนมีทั้งเทพและมารอยู่ในตัวทั้งนั้นแหละครับ มันจะเห็นได้ชัดเจน ในเวลาที่คุณคิดเรื่องร้ายๆ จะมีความคิดด้านดีมาต่อต้าน หรือเวลาที่คุณคิดเรื่องดีๆ มันก็จะมีความคิดด้านร้ายมาคัดค้าน
ผมว่าโลกนี้คงไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอกครับ เพียงแต่ใจมันอ่อนแอเกินไปที่จะต่อสู้กับความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ปีศาจในใจที่คอยนำเสนอเรื่องง่ายๆ ให้คุณ ใครๆ ก็ชอบเรื่องง่ายๆ สบายๆ กันทั้งนั้น มันเลยแพ้เอาง่ายๆ .. เราตามใจตัวเองมากเกินไป มันก็เหมือนเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัว มันจะเสียผู้เสียคน ไม่รู้เรื่องว่าอะไรถูกอะไรผิด หรือก็รู้แหละแล้วจะทำไม ก็เรื่องผิดมันทำได้ง่ายกว่าเรื่องที่ถูกนี่ ผมพูดถูกไหม .. การจะเป็นคนดีให้ได้ มันโคตรยาก
ความลับที่มันไม่ได้ลับอะไรคือ ไอ้เจ้าปีศาจในใจตัวนั้นมันเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณ คุณจะทำยังไงกับมันก็ได้ แล้วคุณจะเป็นคนควบคุมมันหรือจะให้มันมาเป็นคนควบคุมคุณล่ะ อย่าปล่อยให้มันได้ใจอีกเลย มาทำให้มันเชื่องกันเถอะครับ ให้มันอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ
วิธีการก็เหมือนกับการฝึกสัตว์น่ะแหละครับ แต่เรานำมาใช้กับใจ เพื่อให้สั่งได้ .. มีการบังคับกันจนกว่ามันจะยอมลงให้กับความคิดที่ถูกต้อง อย่ามาทำตัวนอกลู่นอกทาง ให้มันรู้ว่าใครเป็นจ่าฝูง อย่ามาหือนะโว๊ย อะไรทำนองนี้ .. ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่คุณต้องใช้ความอดทน ต้องใช้เวลา ต้องทำซ้ำๆ .. หลักการคือ ถ้าคุณต้องการให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นนิสัย คุณก็แค่ทำมันทุกวัน พอผ่านไป 1 เดือนคุณก็ไม่ต้องไปบังคับให้มันทำแล้ว มันจะลงไปอยู่ในสันดาน คุณอยากได้สันดานที่จะเป็นผลดีกับตัวคุณเองไหมล่ะครับ
การฝึกใจคือการบังคับให้ตัวคุณ ไม่ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ และทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ เป็นการต่อต้านความอยากและความไม่อยาก (ความไม่อยากมันก็เป็นความอยากอีกชนิดหนึ่งนะครับ คุณเคยเจอคำว่าภวตัณหากับวิภวตัณหาไหมล่ะ มันก็คือตัณหาเหมือนกันนั่นแหละ) เป็นการหักหน้าปีศาจในใจคุณ ทำให้ยอมแพ้ให้ได้ .. แค่นี้แหละครับ มันง่ายไหมล่ะ จะว่าง่ายมันก็ง่าย จะว่ายากมันก็ยาก แต่มันจะยากมากๆ ในช่วงแรกเท่านั้น ..
เมื่อเราเริ่มฝืนความต้องการของตัวเอง ใจมันจะดิ้นพล่าน เหมือนเอาสัตว์ป่าดุร้ายมาขังกรง เราก็ปล่อยให้มันเซ่นซ่านของมันไป เราแค่ดูเฉยๆ ก็พอ อย่าไปยอมปล่อยมันออกมา พอมันล้ามันก็หยุด แต่บางทีไอ้อาการเซ่นซ่านมันอาจจะมีมากหน่อยสำหรับบางคน เช่นผมเป็นต้น อาจมากครั้ง อาจใช้เวลามากในแต่ละครั้ง กว่าจะยอมสงบลง คุณก็แค่อดทนดูเท่านั้น
แล้วทำไมต้องมาบังคับกัน เหมือนฝึกหมาให้สั่งได้น่ะแหละครับ .. พอเราควบคุมใจเราได้เมื่อไหร่ เวลาที่เราเจอกับสถานการณ์ เราก็จะสั่งมันได้เหมือนกัน เช่นความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เรารู้ว่ายาวแน่ เมื่อเราสั่งให้หยุด มันต้องหยุด ถ้าเราสั่งไม่ได้อาจเป็นเรื่องใหญ่โต แล้วอย่างไหนดีกว่ากันล่ะครับ อย่างไหนจะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่ากัน ..
ถ้าเราหยุดตัวเองไม่ได้ เราก็ไม่มีทางที่จะประเมินหาสถานการณ์ที่เราจะสามารถสร้างขึ้นเพื่อให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบได้ - เราอาจแสดงอาการของคน EQ ต่ำออกไป ซึ่งมันจะน่าอาย - เราอาจทำอะไรโง่ๆ ที่จะสร้างปัญหาจนเราแก้ไม่ตก - เราอาจโกรธจนความดันพุ่งกระฉูด .. ไม่ว่าจะทางไหน มันก็ไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเราทั้งนั้นแหละครับ
ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ เพราะผมได้ประโยชน์จากมันมาบ้างแล้ว การทำให้ปีศาจในใจสยบอยู่แทบเท้า มันมีข้อดีอยู่ครับ เช่น เวลาที่มีใครทำเรื่องที่สร้างความยุ่งยากให้ผม (สมมุติว่ามันคือปีศาจภายนอกละกัน) ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะเดือดเป็นไฟ เพราะมันกระทบตัวตนของผม (นี่เป็นปีศาจในใจ) .. แต่ตอนนี้ ผมเห็นมันเป็นแค่ตัวแปรตัวหนึ่ง แค่อยู่ดีๆ กลับมีเรื่องที่เราต้องทำมากขึ้น เราก็แก้ไขไปตามสถานการณ์ มันก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรกระทบอะไร ใครอยากเดือดร้อนมันก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้อยากจะไปเดือดร้อนด้วย มันก็เป็นเรื่องของเรา .. ปีศาจภายนอกกับปีศาจในใจไม่เจอกัน จบเรื่อง ..
แต่ถ้าเราปราบปีศาจในใจของเราไม่ได้ มันจะตรงกันข้ามหมดเลย ผมจะเดือดเป็นไฟเหมือนเดิม ถามว่า จะมีใครมาเดือดร้อนด้วยไหม ไม่มีหรอกครับ มันมีแต่ตัวเราที่เร่าร้อนอยู่คนเดียวน่ะแหละ แล้วเราจะปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้นเพื่อประโยชน์อะไร
เทคนิคง่ายๆ ของผม กับคำพูดประโยคเดียว ที่เป็นเหมือนการปิดประตูใส่หน้าปีศาจในใจ กูไม่ยอมให้ใครมาลากกูลงนรกหรอก แค่นี้มันก็หงอยแล้วครับ ช่วงแรกคุณอาจต้องใช้ความพยายาม แต่พอผ่านไปสักพักมันจะกลายเป็นระบบอัตโนมัติเอง ทีนี้เวลาที่มีใครมาสร้างปัญหาให้ผม คำพูดนี้มันก็ผุดขึ้นมา ทุกอย่างหยุดหมด .. แล้วเราก็จะมีเวลาพิจารณาสถานการณ์โดยรวม ได้มองหาวิธีดำเนินการที่ถูกต้อง เหมาะสม และได้เปรียบ เพราะความโกรธไม่สามารถทำให้คุณขาดสติได้แล้วนี่ .. เราก็ไม่ต้องไปแสดงอะไรแย่ๆ ออกมา ไม่ต้องไปทำเรื่องร้ายๆ ทำบาปทำกรรมกับใคร หรือกลายเป็นปีศาจภายนอกของคนอื่น
ถ้าผมอยากจะลงนรก ผมจะหาทางไปของผมเอง ไม่ต้องให้ใครมาช่วยหรอกครับ หรือคุณอยากจะให้มีใคร มาควบคุมปีศาจในตัวคุณล่ะ .. ผมไม่ยอมให้ใครมาสั่งหมาของผมแน่ และคุณก็ต้องสอนมัน ให้มันไม่ยอมให้ใครมาสั่งมันเหมือนกัน .. มันเรื่องอะไร ก็กูเลี้ยงของกูมา จริงไหมครับ ..

ไม่มีความคิดเห็น: