While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ – The Holy Bible


เนื้อหา
- พระคัมภีร์มีอะไรนักหนา ทำไมมีคนโจมตีเยอะจัง
- แนวคิดที่ต่อต้านพระคัมภีร์ มีอะไรบ้าง .. เหตุผลหักล้าง มีไหม
- ศาสนาคริสต์ มีของขลังรึเปล่า .. มีเหมือนกันนะคุณ
- พระเจ้าสร้าง หรือวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต กับการค้นพบทางโบราณคดีใหม่ๆ
- วันสิ้นโลก เกิดขึ้นได้จริงไหม ในแง่ของวิทยาศาสตร์
พอดีเมื่อวาน ผมได้ดู VDO ที่ download มาจาก youtube เกี่ยวกับประวัติของพระเยซู ความยาวราว 40 กว่านาที โดยอ้างอิงที่มา จากคัมภีร์ที่เขียนโดยชาวนอสติกสักคน ถูกขุดพบในไหขนาดใหญ่กลางทะเลทราย (คนละอันกับคัมภีร์คุมรานหรือ Dead Sea Scolls นะครับ) เป็นคัมภีร์ฉบับ cover ที่มีเนื้อหาแตกต่างจากพระคัมภีร์ที่เรารู้จักในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อย ถูกเขียนขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูราว 180-200 ปี ซึ่งมีการตรวจพิสูจน์รวมทั้งค้นคว้าหาข้อมูลและหลักฐานมาประกอบการพิจารณาถึงความถูกต้อง แล้วเลยมีผู้ลงทุนทำภาพยนตร์เป็นเรื่องเป็นราวออกมาเผยแพร่ให้ได้ชมกัน แต่กลับไม่บอกว่าเป็นของค่ายไหน แปลก .. เป็นภาษาอังกฤษครับ แต่เนื่องจากเป็นสารคดี และมีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว เลยฟังรู้เรื่อง ในตอนท้ายเขาสรุปว่า เป็นพระคัมภีร์ในอีก version หนึ่ง ก็ให้ความบันเทิงได้ไม่เลว และต้องขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากเขียนเรื่องนี้ ทำให้ผมมีความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย
ศาสนาคริสต์ ต้องยอมรับกันว่าเป็นศาสนาที่มีคนนับถือกันมากที่สุดในโลก เอาตัวเลขมาพูดกันหน่อยดีไหม เผื่อจะทำให้คุณเชื่อมากขึ้น .. ด้วยประชากรโลกประมาณ 6000 ล้านคน มีผู้นับถือศาสนาคริสต์ 2000 ล้านคน, อิสลาม 1300 ล้านคน, ฮินดู 600 ล้านคน, พุทธ 390 ล้านคน, อื่นๆ รวมถึงลัทธิต่างๆ 1700 ล้านคน อันนี้เป็นข้อมูลจาก National Geographic นะครับ แยกเฉพาะศาสนา ไม่แยกนิกาย
ด้วยความที่เป็นศาสนาที่มีคนนับถือกันมากที่สุดในโลก เลยมีแนวคิดที่แตกต่างจากสารบบของพระคัมภีร์ออกมาเยอะแยะ ถ้าจะพูดกันให้ตรงๆ เลย คือ แนวคิดที่ต่อต้านการดำรงอยู่และความเป็นจริงของพระคัมภีร์น่ะครับ ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังทั้งหมด เท่าที่ผมเคยอ่าน เคยดู เคยเจอมา ในช่วงต่อไปของเรื่องดีไหม คุณจะได้ไม่ต้องแปลกใจเมื่อไปเจอทีหลังว่า มีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ มันจริงรึเปล่าวะ .. เหมือนอย่างที่ผมเคยต้องแปลกใจ แต่พอเจอหลายๆ เรื่องเข้า มันก็ลดความน่าแปลกใจลง และกลายเป็นรับฟังได้ การรับฟังได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องเชื่อนี่ครับ การที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้ที่เรามี รวมถึงเหตุผล และความเป็นไปได้ .. ถ้าเราไม่ยอมรับฟังความคิดที่แตกต่างจากความคิดของเราเลย เราก็ออกจะใจแคบไปหน่อย .. แหม .. ก็เขาอุตส่าห์ทุ่มเท ค้นหาข้อมูล หาหลักฐานมาสนับสนุน ก็ลองฟังๆ เขาดูหน่อย เขาจะได้ไม่เหนื่อยเปล่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เราควรใจกว้างกับคนทุกคน แม้แต่ศัตรู ไม่ใช่หรือ ..
แต่ก่อนอื่นเลย เราควรจะมาทำความรู้จักพระคัมภีร์กันก่อนสักหน่อย เอาแบบตื้นๆ พอให้อ่านบทความนี้รู้เรื่องก็คงพอ ผมจะไม่มานั่งบรรยายว่ามีใครเขียนบ้าง เขียนเรื่องอะไรกัน มันน่าเบื่อออก .. ผมจะใช้ศัพท์แสงของคนธรรมดานะครับ เพราะผมไม่ใช่นักบวช อีกทั้งไม่ใช่คนคลั่งศาสนา ซึ่งอาจทำให้คนคลั่งศาสนาไม่พอใจได้ ก็อย่าถือกันเลยครับ คนมันอยากแต่ความสามารถไม่ถึงน่ะ .. ถ้าคุณเคยอ่านเรื่องอื่นๆ ของผมก็คงพอจะเข้าใจได้ .. และคิดว่าคนที่มาอ่านเจอเรื่องนี้ อาจไม่มีนักบวชเลย โอกาสโดนด่า น่าจะมีน้อย ..
พระคัมภีร์หรือ The Holy Bible ที่ฝรั่งเรียกกัน เป็นหนังสือที่รวบรวมมาจากหนังสือ 66 เล่ม ที่มีทั้งภาษาฮีบรู อาราเมอิก และกรีก – หนังสือ 39 เล่มแรก ถูกเขียนโดยภาษาฮีบรู รวมเป็นพระธรรมเก่าหนึ่งเล่ม – อีก 27 เล่มหลัง เป็นภาษาอาราเมอิกและภาษากรีก รวมเป็นพระธรรมใหม่อีกหนึ่งเล่ม .. เราเลยเรียกอีกอย่างว่าสารบบพระคัมภีร์ การเขียนใช้เวลาราว 1600 ปี โดยผู้เขียนประมาณ 40 คน ซึ่งเป็นชาวเอเชีย คัมภีร์ทั้ง 66 เล่ม มีความสอดคล้องกัน ไม่มีเล่มไหนขัดแย้งกันเลย จัดเป็นหนังสือที่เก่าแก่และขายดีที่สุดในโลกด้วย โดยภายใน 60 ปี ขายได้ 2500 ล้านเล่ม นั่นเป็นสถิติของเมื่อ 40 ปีก่อนนะครับ ..
แต่นั่นหลังจากปี 1454 ที่มีการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในภาษาเยอรมัน โดยสำนักพิมพ์กูเทนเบิร์ก ที่มีมาร์ติน ลูเธอร์ เป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการจัดพิมพ์ เนื่องจากก่อนหน้านั้น พระคัมภีร์เป็นภาษาลาติน ผู้มีความรู้และได้รับอนุญาติเท่านั้นจึงมีสิทธิ์อ่านได้ เป็นความคิดบุกเบิกของลูเธอร์ ที่ต้องการให้คนธรรมดาสามารถเข้าถึงพระคัมภีร์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งกว่าจะทำได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกครับ .. ในช่วง 50 ปีหลังจากนั้นมีการตีพิมพ์ถึง 100 ครั้ง แล้วถึงจะมีภาคภาษาอังกฤษฉบับ King James ในปี 1611 หลังจากนั้นจึงมีการแปลเป็นภาษาอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันพบว่า พระคัมภีร์ฉบับเต็ม (พระธรรมเก่าและพระธรรมใหม่) ถูกแปลไปมากกว่า 300 ภาษา ในขณะที่พระธรรมใหม่อย่างเดียว มีมากกว่า 2000 ภาษา อันนี้รวมถึงภาษาพื้นเมืองด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมเว่อร์ ...
จนในปี 2002 ในไทยเราก็มีพระธรรมใหม่ เล่มใหม่ เนื้อหาก็เหมือนเดิมทุกอย่างแหละครับ แต่มีคำอธิบายเชิงอรรถเพิ่มเข้ามาท้ายหน้า ซึ่งมีทั้งการเปรียบเทียบเนื้อหาระหว่างผู้เขียนพระคัมภีร์ วัฒนธรรมภายในสังคมของคนยุคนั้น อธิบายเพิ่มเติมว่าใครเป็นใคร รวมถึงรูปแบบของสถานที่ อีกเยอะครับ .. ผมว่าดีนะ นี่ช่วยทำให้คนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ต่างถึง 2000 ปี สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องวิ่งไปถามบาทหลวงทุกครั้งที่ไม่เข้าใจ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะปล่อยให้มันผ่านไปเสียมากกว่า .. ที่ผมชอบจริงๆ คือ กระดาษบางมากครับ ทำให้มีขนาดเท่าพ็อคเก็ตบุคที่มีความหนาครึ่งนิ้วเท่านั้น
ก่อนหน้าที่โลกจะมีการตีพิมพ์ มีการรวบรวมพระคัมภีร์เสร็จสมบูรณ์ราวศตวรรษที่ 3 และใช้วิธีคัดลอกด้วยมือ ตกแต่งด้วยภาพวิจิตร เป็นภาษาลาติน ซึ่งถือว่าเป็นภาษาชั้นสูง คนมีความรู้ถึงจะอ่านออก ในขณะที่จะตีพิมพ์ครั้งแรก ได้มีการรวบรวมสำเนาทั้งหมด พบว่ามีถึง 2000 ฉบับ ที่ข้อมูลเหมือนกันทุกตัวอักษร คุณว่ามันน่าทึ่งไหม .. เหตุผลที่ไม่มีความผิดพลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียวก็เพราะ ผู้คัดลอกเชื่อว่า พระคัมภีร์เป็นคำพูดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสกับมวลมนุษย์ มันจึงมีที่ผิดไม่ได้ .. ผมกำลังคิดถึงความยากลำบากในการทำงาน การคัดลายมือด้วยตัวอักษรโบราณที่มีเส้นหนักเบา เส้นคู่ เล่นลายเส้น ใช้ปากกาขนนกหรือคอแร้ง จิ้มหมึกทีนึงลากไปได้ไม่กี่เส้น อักษรหนึ่งตัวไม่ใช่การลากเส้นหนึ่งครั้ง แถมยังมีหลายสี มีภาพประกอบ .. ถ้าเขียนผิดตัวนึง ต้องว่ากันใหม่หมดทั้งหน้า พระคัมภีร์เล่มใหญ่เท่าโต๊ะ lucky & kingdom หนาเป็นคืบ มันเป็นงานที่ต้องทุ่มเทด้วยชีวิตเลยทีเดียว .. ต้องขอขอบคุณมาร์ติน ลูเธอร์ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสพระคัมภีร์กัน
ในความเป็นจริง เรายังมีพระคัมภีร์นอกสารบบอยู่อีกมาก .. การไม่นำเข้าไว้ในสารบบ ไม่ใช่เหตุผลด้านข้อมูลที่ขัดแย้ง มันก็แปลกที่ไม่มีเล่มไหนขัดแย้งกันเลย .. แต่ด้วยตัวงานเขียนเอง ไม่มีความสมบูรณ์พอที่จะรวมเข้าไว้ในสารบบพระคัมภีร์ เนื่องจากการรวบรวมพระคัมภีร์ในยุคแรกเริ่ม กระทำโดยนักบวชชาวยิว หลังจากนั้นเป็นงานของผู้มีความรู้แตกฉานในเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ หลังจากยุคนั้นจึงตกเป็นหน้าที่ของชาวคริสต์ยุคแรก ในเวลานั้นยังไม่มีการแบ่งแยกเป็นนิกายกันหรอกครับ ..
เงื่อนไขในการคัดเลือกว่าหนังสือเล่มใด ควรรวมไว้ในสารบบพระคัมภีร์ ในกรณีของพระธรรมใหม่คือ อย่างแรกเลย ผู้เขียนต้องเป็นศิษย์ของพระเยซู หรือมีความเกี่ยวข้องกับศิษย์ของพระเยซู และเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา ถัดมาเป็นเรื่องของความมีคุณค่าด้านจิตวิญญาณ จากนั้นเป็นเรื่องของหลักคำสอนที่หนักแน่น ถูกต้องและชัดเจน มีการปรากฏอยู่ของคุณธรรมสูงส่งฝ่ายวิญญาณ เรื่องสุดท้าย มีการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า อันนี้เข้าใจได้ยากสักหน่อย .. ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกครับ เลยอธิบายประโยคนี้ไม่ได้ แต่นี่คือวิธีการคัดเลือกว่า หนังสือเล่มใดควรอยู่ในสารบบพระคัมภีร์ของชาวคริสต์เมื่อ 2000 ปีก่อน .. และมันเลยตัดปัญหาเรื่องที่ว่าจริงหรือไม่จริงทิ้งไปได้ .. แต่ถ้าคุณยังเชื่อว่าไม่จริงอยู่อีก คุณก็คงต้องหาหลักฐานมาอธิบายให้ได้ว่า ทฤษฏีสบคบคิดแบบใด ที่ใช้ได้กับคนกลุ่มใหญ่มากๆ ขนาดนี้ และใช้ได้มานานตั้ง 3600 ปี เป็นอย่างน้อย .. ฮ่ะๆ งานใหญ่ คุณคงต้องทุ่มเททั้งชีวิตเพื่องานนี้เลยล่ะ
แล้วในพระคัมภีร์มีอะไรบ้าง ..
ในด้านกายภาพ พระคัมภีร์พูดถึงภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ แหล่งวัฒนธรรม ซึ่งในการขุดค้นทางโบราณคดีที่ผ่านมา ได้รับการยอมรับแล้วว่ามีความถูกต้องตรงกันกับที่พระคัมภีร์กล่าวถึง ตรงแม้กระทั่งการพบล้อรถม้าในทะเลแดง เรือโนอาห์ รวมถึงบ้านและหลุมฝังศพของโนอาห์ในตุรกี หรือเมืองโสดมและโกโมราห์ที่ถูกไฟไหม้ล้างเมือง .. เอ่อ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสว่าจะไม่ทรงใช้น้ำและไฟกับมษุษย์อีก .. แต่ไม่ได้ทรงตรัสว่า จะไม่ใช้แผ่นดินไหวกับภูเขาไฟระเบิดนะ อย่าเพิ่งวางใจกันไป เรายังมีมหาภูเขาไฟ yellow stone ถ้าระเบิดขึ้นมา ได้ตายห่ากันหมด ..
และคุณเชื่อไหมว่า ความเชื่อผิดๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่คนโบราณเชื่อกัน ไม่เคยปรากฏที่ใดในพระคัมภีร์เลย อันนี้ก็น่าคิด ถึงคำพูดที่ว่า พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า ถ้าคน เขียนด้วยตัวเอง มันต้องมีผิดสักที่สิน่า แต่ก็ยังไม่มีใครเจอ ทั้งๆ ที่มีการตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ากันไปทีละตัวอักษรเลยทีเดียว ..
แต่เรื่องเหล่านี้ยังไม่สำคัญเท่าเนื้อหาทางด้านจิตวิญญาณ เพราะวัตถุประสงค์ที่สำคัญกว่า คือคำสั่งสอน ถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ รวมทั้งวิธีคิด เพื่อเป็นหลักปฎิบัติในการดำเนินชีวิตที่ดี .. สั้นๆ แค่นี้ล่ะ แต่เนื้อหาและวิธีการ มากครับ .. อื่นๆ ล่ะ ก็คงเป็นผลข้างเคียงที่ได้จากพระคัมภีร์ เช่น ในด้านภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ทั่วโลกยอมรับว่า พระคัมภีร์มีการใช้ภาษาที่สละสลวยและมีพลัง และใช้ถ้อยคำมากกว่า 8 แสนคำ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานเขียนที่โด่งดังอย่าง The Divine Comedy ของ ดังเต้ อลิเกีย หรือ Paradise Lost ของ จอห์น มิลตัน อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้จัก เขาดังไปทั่วโลกเลยนะคุณ ..
ด้านดนตรี จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์เป็นที่มาของศาสนา และศาสนาเป็นพลังขับเคลื่อนให้ดนตรีได้รับการพัฒนาจนเกิดทฤษฏีดนตรีที่เอามาใช้สอนกันทุกวันนี้ ซึ่งทฤษฏีดังกล่าวได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดนตรีว่า ถ้าจะแต่งเพลงให้ไพเราะ ก็ต้องใช้ทฤษฏีแบบนี้แหละ เรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันจากประวัติศาสตร์ด้านการดนตรี คุณไปสืบค้นเพิ่มเติมได้ .. และนักดนตรีดังๆ ทุกคน ผลงานส่วนหนึ่งของพวกเขาต้องมีเพลงวัดชุดใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น เอาชื่อที่คุณรู้จักดีก็แล้วกัน บ๊าค โมสาร์ท บีโธเฟ่น เป็นต้น แต่เราคงไม่ค่อยได้เจอถ้าไม่ค้นหา มันก็เพราะแหละแต่ฟังยาก ผมเองยังเข้าไม่ถึงเลย แล้วคงไม่มีใครเอามาใช้ประกอบภาพยนตร์หรือโฆษณาหรอกมั๊ง นอกจากหนังย้อนยุคหรือหนังที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ ซึ่งก็มีไม่เท่าไหร่
สุดท้ายที่ผมคิดออก คงเป็นเรื่องของความบันเทิง ตัวพระคัมภีร์เองไม่ได้บันเทิงเท่าไหร่หรอกครับ มันมีคุณค่าทางใจมากกว่า แต่เนื้อหาในพระคัมภีร์ มีการนำมาตรวจสอบ วิเคราะห์ วิจารณ์ ตีความ ครั้งแล้วครั้งเล่า อันนี้เป็นความบันเทิงของผู้ที่มีความสุขในการเสพความรู้น่ะนะครับ บทสุดท้ายของพระธรรมใหม่สิ ที่สร้างความบันเทิงให้กับคนไม่เลือกหน้า .. Revelation หรือบทนิวรณ์ ที่ทำนายถึงวันสิ้นโลก มีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง คุณคงเคยได้ดูสักเรื่องอยู่กระมัง ก็ต้องยอมรับว่าสนุกและตื่นเต้นดีทีเดียว
แต่เราก็ต้องยอมรับอีกแล้วล่ะว่า พระคัมภีร์เป็นเรื่องราวที่ต้องตีความเพื่อทำความเข้าใจ และมีช่องโหว่มากมาย ช่องโหว่ที่ว่าคือ ช่วงเวลาที่หายไป .. และคนบางกลุ่มก็อาศัยช่องว่างนี้ เติมเรื่องเข้าไปบ้าง บิดเบือนข้อมูลบ้าง ตีความให้แตกต่างจากที่ควรจะเป็นบ้าง แล้วหาหลักฐานมาสนับสนุนทฤษฏีของตนเอง .. ก็ดีครับ จัดว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีทีเดียว  ..
ในส่วนของการทำความเข้าใจพระคัมภีร์ เราควรรับรู้ก่อนว่า เนื้อหาภายในพระคัมภีร์มีความหลากหลายในเรื่องของ สถานที่ ยุคสมัย ผู้เขียน ซึ่งมีตั้งแต่คนเลี้ยงแกะ ชาวบ้านธรรมดา คนหาปลา ธรรมาจารย์ กระทั่งอดีตนักรบ บางคนก็เป็นแพทย์ กษัตริย์ก็ยังมี ที่ตัวงานเขียนเอง ทำให้สามารถรู้ได้ชัดเจนว่าเป็นงานเขียนของใคร มองจากมุมไหน อีกทั้งยังมีรูปแบบของสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ รวมทั้งการเป็นบันทึกที่หยาบกว่า diary .. คุณต้องกลับไปยืนในช่วงเวลาของเรื่องที่คุณอ่านแล้วค่อยคิด ถ้าคุณคิดจากจุดยืนของคุณ ณ เวลานี้ คุณจะไม่มีทางเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง .. และถ้าเราพิจารณาถึงองค์ประกอบต่างๆ อย่างถี่ถ้วน เราก็จะไม่ตีความอย่างมั่วซั่ว
แล้วคุณคิดจริงๆ เหรอว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่จัดให้พระคัมภีร์ เป็นหนังสือที่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตะวันตก กับผู้คนที่เจริญแล้วทั้งในด้านความคิดและวิทยาการ เขาจะยอมเชื่อในพระคัมภีร์ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นของจริง .. พระคัมภีร์ถูกผู้คนตรวจสอบมานานเท่าๆ กับอายุของมัน โดยนักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักเทววิทยา นักอักษรศาสตร์ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ มีการจับเอางานเขียนโบราณมารวมเล่ม แล้วบอกว่า นี่เรื่องจริงนะ เอาไปเรียนรู้กัน .. สำหรับเรื่องนี้ ผมไม่มีความสงสัย
แล้วเรื่องอัศจรรย์ทั้งหลายแหล่ล่ะ .. คัมภีร์ของทุกศาสนา ล้วนมีเรื่องอัศจรรย์ทั้งสิ้น ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำหรับคนบางกลุ่ม ที่หยิบยกขึ้นมาอ้างถึงความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ .. เราก็ต้องยอมรับกันอีกทีว่า เรื่องอัศจรรย์อาจเป็นที่สงสัยของคนกลุ่มใหญ่ ว่ามันเกิดขึ้นได้จริงเหรอ ผมยังสงสัยเลย .. บางเรื่องดูไม่น่าเป็นไปได้ เช่น การที่พระเยซูทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ ไม่ใช่กลายเป็นซอมบี้นะครับ คืนชีพมาเป็นแบบเราๆ นี่ล่ะ หรือ พระพุทธเจ้าทรงประสูติปั๊ป เดินไปได้ 7 ก้าว มีดอกบัวโผล่ขึ้นมารองพระบาท จะเป็นไปได้ไหม หรือที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้นางอะไรไม่รู้ ดูภาพคนเกิด โต แก่ เจ็บ ตาย เน่าสลาย ในเวลาสั้นๆ เป็นไปได้จริงหรือ ..
แต่สำหรับผม ผมสามารถผ่านเรื่องเหล่านั้นไปได้ เพราะเห็นว่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่อง ประเด็นหลักของเรื่องคือคำสั่งสอน ที่ศาสดาแต่ละท่านพยายามจะสื่อสารกับพวกเราต่างหาก เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องมันก็เป็นแค่เรื่องประกอบ กรุณาอย่าหลงประเด็น แล้วจับเอาเรื่องยิบย่อยมาเป็นเรื่องหลัก เช่น เด็กแรกเกิดเดินได้ เป็นไปไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วคำสอนที่ดีๆ ทั้งหลายจะไม่จริงทั้งหมด คุณว่าการคิดแบบนี้มันถูกไหมล่ะ หรืออย่างเรื่องหลัง เราควรโฟกัสไปที่เหตุการณ์ หรือการสอนเรื่องสังขารกันแน่ ..
เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งพูดกับผมว่า สามก๊กไม่ใช่เรื่องจริง .. ถูกครับ เขาก็บอกอยู่แล้วว่า นวนิยายสามก๊ก เขียนโดยหลอกว้านจงในราชวงศ์แมนจู โดยอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ เขียนหลังยุคสามก๊กเป็นพันปี ยุคสามก๊กประมาณ 127 ปีก่อนคริสตกาล ถ้าผมจำไม่ผิดนะ .. นี่เป็นเรื่องที่เราต้องรับรู้และทำความเข้าใจ เราก็จะรู้ว่าประวัติศาสตร์มีเรื่องบันทึกไว้ไม่มาก คำพูดโต้ตอบก็คงไม่มี การเอาเรื่องสั้นๆ มาเขียนเป็นนิยายยาวๆ ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์อะไร .. อีกเรื่องที่ต้องรับรู้ หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และถูกแปลไปมากกว่า 200 ภาษา ทำไม .. ผมเคยพูดว่า สิ่งที่หลอกว้านจงพยายามสื่อ คือ ประวัติศาสตร์ สันดานคน กลวิธี ผลประโยชน์ การเอารัดเอาเปรียบ และการเอาตัวรอด .. นั่นหล่ะ ถามว่าความถูกต้องมีไหม มีน้อยมาก แต่เราเอาอะไรมาใช้กัน ซึ่งใช้กันไปทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า ประชาชน การเมือง การปกครอง ยันการทหาร และตัวงานเขียนเองก็บ่งบอกว่า หลอกว้านจงมีความรู้ทางด้านจิตวิทยา ปรัชญา การเมืองการปกครอง และเป็นนักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ ที่เชี่ยวชาญ เราไม่ควรอ่านเพราะมันไม่จริงทั้งหมดอย่างนั้นหรือ คงน่าเสียดายสิ่งที่ควรได้จากการอ่านแย่เลย .. นี่คือตัวอย่าง เรื่องการหลงประเด็นหรือไม่
ผมเชื่อว่าวัตถุประสงค์หลักของพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นของศาสนาใด เขียนโดยใคร ได้รับการดลใจจากใครหรือไม่ก็ตามแต่ มีขึ้นก็เพื่อต้องการให้เรามนุษย์ ได้เรียนรู้แนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ใช่เพื่อให้ผู้คนมานั่งฝัน ถึงสิ่งที่เราไม่อาจสัมผัสได้ หรือเพ้อฝันกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ ดีไม่ดีข้ามชาติ หรือมัวแต่งมงายกับเรื่องเหนือธรรมชาติ และหวังว่าสักวันมันจะเกิดขึ้นกับเรา .. เคยได้ยินไหม ให้ทำความดีเพื่อความดีน่ะ แค่นั้นมันก็พอแล้วล่ะ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักพอ
ทุกวันนี้ เรากำลังหลงประเด็นกันไปเยอะมากๆ ทุกศาสนาเลยล่ะครับ .. ทั้งจากความต้องการของเราที่ขาดเหตุผล ทั้งจากการโน้มน้าวไปในทางที่ไม่ถูกต้องของผู้เผยแพร่ศาสนา เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล .. แต่เราไม่ได้เฉลียวใจ เรากำลังหลงไปไกลจากเส้นทางที่ถูกที่ควร .. เป็นเรื่องที่อันตรายและน่าเศร้าใจ ถ้าศาสดาท่านมาเห็นก็คงต้องส่ายหัว กับการเอาคำสั่งสอนของท่านมาหาผลประโยชน์กันอย่างไม่มีความละอาย .... แล้วคุณคิดอย่างผมไหมว่า เราต้องใช้วิจารณญานกับทุกสิ่งจริงๆ แม้กระทั่งกับความต้องการของตัวเอง
ทีนี้ลองมาดูกันว่า ความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากพระคัมภีร์ มีอะไรกันบ้าง .. เฮ้อ เล่าสักที จะอ่านตรงนี้แหละ
เรื่องแรกน่าจะเก่าแก่ที่สุด เป็นเรื่องของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 4 (อาเมนโนฟิส, อัคนาตัน, อาเคนาแทน) เป็นฟาโรห์ลำดับที่ 10 แห่งราชวงศ์ที่ 18 เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนโมเสสปรากฏตัวราว 50 ปี พูดอย่างนี้ ผมเชื่อว่าคุณนึกไม่ออกหรอก แต่ถ้าบอกว่าลูกชายของเขาคือฟาโรห์ตุตันคามุน ที่หลุมฝังพระศพไม่เคยถูกปล้น ทำให้เจอสมบัติมากมายกับหน้ากากทองคำอันเลื่องชื่อ เป็นข่าวไปทั่วโลกอยู่หลายปี และยังมีพระมเหสีที่เป็นหญิงสวยที่สุดในยุคโบราณ แถมขึ้นครองราชย์ต่อในช่วงเวลาสั้นๆ โดยใช้พระนามฟาโรห์สเมนคาเร-พระนางเนเฟอร์ตีติ คุณคงพอนึกออกแล้วล่ะมัง ..
นักเทววิทยาบางคนเชื่อว่า ฟาโรห์พระองค์นี้เป็นพระเยซูเสด็จลงมาเกิดเป็นมษุษย์เป็นครั้งแรก แต่ล้มเหลว .. สาเหตุที่ทำให้พวกเขาคิดอย่างนั้น เนื่องจากอียิปต์โบราณนับถือเทพเจ้าหลายองค์มากๆ ฟาโรห์องค์นี้ปฎิวัติความเชื่อทางศาสนา ให้มีการนับถือเทพเจ้าองค์เดียวคืออาตัน และห้ามไม่ให้มีการบูชารูปเคารพต่างๆ ด้วย .. เป็นทฤษฏีที่มีความเป็นไปได้และดูเข้ากันดี แต่ไม่ใช่ เนื่องจากว่า ..
เทพเจ้าอาตันคือเทพแห่งแสงอาทิตย์ มีความเกี่ยวข้องกับเทพรา เทพแห่งดวงอาทิตย์ และเป็นเทพเจ้าทางธรรมชาติที่มีมาก่อนหน้านั้น ไม่ใช่รูปแบบของพระผู้เป็นเจ้า การที่ทรงนำเทพอาตันมายกย่องขึ้นเพียงองค์เดียว ก็เพื่อให้มีศักดิ์สูงพอที่จะริดรอนอำนาจของนักบวชแห่งอามุน ซึ่งในบางยุค มีอำนาจมากกว่าฟาโรห์เสียอีก อ้อ เทพอามุนถือเป็นเทพที่ใหญ่สุดในหมู่เทพน่ะครับ คล้ายๆ ซีอุสหรือเง็กเซียนฮ่องเต้อะไรแบบนี้ ถ้าจะทำให้คุณพอนึกออก .. เรื่องนี้ เป็นอันพับเก็บไปได้ ถ้าคุณเข้าใจเรื่องการเมืองและศาสนา ที่เป็นตัวแปรซึ่งกันและกันในยุคอียิปต์โบราณ เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงเป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่ศาสนา
เรื่องต่อมา น่ากลัวถูกด่าที่จะพูด แต่ต้องพูดครับ ก็มันมีนี่ .. พระเยซูเคยมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าครับ ก็ว่ากันไป แต่ไม่ใช่แน่ เนื่องจากแนวทางของศาสนามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง .. ศาสนาพุทธไม่มีเรื่องเทพเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าเลย หรือที่เขาเรียกกันว่าอเทวนิยม มีแต่เรื่องของธรรมชาติล้วนๆ สอนเรื่องกรรมหรือการกระทำ สอนเรื่องเหตุและผล คือสร้างเหตุดี ผลก็ดี อะไรทำนองนี้น่ะครับ สอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือความไม่เที่ยง สอนเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือวิธีจัดการกับกับความทุกข์ ข้อปลีกย่อยมีอีกมาก อันเป็นแนวทางปฎิบัติเพื่อให้เป็นคนดี มีเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด และวิถีทางที่จะหลุดพ้นจากวัฎสงสาร จนสิ้นสุดที่นิพพาน ในขณะที่ศาสนาคริสต์มีพระเจ้าองค์เดียว ที่เขาเรียกกันว่าเอกเทวนิยม มีชาติเดียว สิ้นสุดที่นรกหรือสวรรค์ สรุปว่า มีเรื่องเดียวที่เหมือนกันคือสอนให้เป็นคนดี นอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้ ไม่เกี่ยวกัน .. จบ .. ก่อนที่จะมีใครมาด่า
ประกาศกอีซาของศาสนาอิสลาม .. มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันมาก แม้ในกลุ่มคนชาวอิสลามเอง ก็ยังคิดว่าประกาศกอีซาคือคนเดียวกับพระเยซู ซึ่งตัวผมเองเคยฟังเรื่องนี้จากเพื่อนที่เป็นมุสลิมมา เมื่อ 20 ปีก่อนได้มั๊ง แต่ไม่ได้ใส่ใจ วันนี้เพิ่งมาสนใจ ก็ไหนๆ จะเขียนเรื่องนี้แล้ว ก็เอาให้มันครบๆ ไปแล้วกัน ผมเลยหาข้อมูลจาก internet จะให้ไปหาจากไหนล่ะคุณ .. ทำให้ทราบว่า ความเข้าใจผิด เกิดจากการถือกำเนิดของประกาศกอีซา ที่มีความคล้ายคลึงกับการกำเนิดของพระเยซู คือเกิดจากหญิงพรหมจรรย์ .. ข้อมูลที่พบ เขียนโดยอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ น่าจะเป็นผู้ทรงความรู้ในแวดวงอิสลาม ท่านบอกว่า ไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอน ข้อแรก ประกาศกอีซาเป็นมนุษย์เท่านั้น อีกข้อที่สำคัญ ประกาศกอีซาไม่ได้ถูกฆ่าตายและไม่เคยถูกตรึงกางเขน มีข้อปลีกย่อยอีกนิดหน่อยที่ผมไม่ได้จำมา คุณต้อง search ด้วยคำว่า อีซากับเยซูคนเดียวกันหรือไม่ .. เป็นอันโล่งอก หายสงสัยกันสักที
พระเยซูไม่ถูกตรึงกางเขน .. เอาล่ะสิ ถ้าจริง พระคัมภีร์ก็ผิดหมดล่ะครับ เคยมีคนพูดกับผมเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน นอกจากสารคดีหรือข้อมูลที่พบใน internet .. เรื่องนี้ตัดทิ้งไปได้ จากวิธีการในการรวบรวมและคัดกรองพระคัมภีร์ข้างต้น นอกจากนี้ยังมีการค้นพบทางโบราณคดีที่ยืนยันการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จากบันทึกทางประวัติศาสตร์
ทาซิตัส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษแรก บันทึกว่า คนที่ชื่อไครส์ ที่มีผู้นับถือมากมาย ผู้ซึ่งถูกทรมาณในช่วงการปกครองของปิลาตในรัชสมัยของไทเบริอุส
อาลักษณ์ของจักรพรรดิฮาเดรียน บันทึกว่า มีชายชื่อเครสตัส มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่หนึ่ง .. อันนี้เป็นการยืนยันการมีอยู่จริง
ฟลาวิอุส โจเซฟฟัส นักประวัติศาสตร์ชาวยิว บันทึกว่า ในขณะนี้ มีนักปราชญ์คนหนึ่งชื่อเยซู เขาเป็นคนประพฤติดีและเป็นที่รู้กันว่าเป็นคนชอบธรรม มีผู้คนมากมายหลายชนชาติมาเป็นสาวกของคนผู้นี้ ปิลาตเป็นคนสั่งให้ประหารเยซูโดยการตรึงที่ไม้กางเขนในช่วงเทศกาลปัสกา
ธัลลัส นักประวัติศาสตร์อีกคน บันทึกถึงการหารือกัน เรื่องความมืดที่เกิดขึ้น หลังการตายของเยซูบนไม้กางเขน .. แค่นี้พอหรือยังครับ ขี้เกียจพิมพ์แล้ว
จูดาสไม่ใช่คนทรยศ .. อันนี้ก็สนุกครับ เป็นคัมภีร์ฉบับจูดาสโดยผู้ที่นับถือจูดาส ปัญหาคือ คัมภีร์นี้ถูกเขียนขึ้นราวเกือบ 200 ปี หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู .. ตัวคัมภีร์บอกว่า จูดาสเป็นศิษย์รักที่พระเยซูไว้วางใจที่สุด และทรงสั่งให้จูดาสขายพระองค์เพื่อให้เป็นไปตามพระธรรมเก่า ก็ว่ากันไป .. แต่เราก็ต้องนึกถึงศิษย์อีก 11 คน ที่เล่าเรื่องราวถูกต้องตรงกัน รวมถึงคำพูดของพระเยซูเองด้วย .. อันไหนจะมีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือมากกว่ากัน
เรื่องจากพระคัมภีร์เป็นเรื่องแต่งขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นจริง .. กรุณาย้อนกลับไปดูเรื่องการคัดกรองพระคัมภีร์อีกครั้งครับ รวมทั้งบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีด้วย .. ที่สำคัญ นิทานจะมีผลให้สาวกรุ่นแรกออกเผยแพร่ศาสนากันเหรอ .. มันไม่ใช่โลกยุคปัจจุบัน ที่คุณจะไปยืนพูดตรงไหนก็ได้ .. ในสังคมของชาวยิวที่ยึดถือในพระธรรมเก่า พวกเขาถูกต่อต้าน ลองดูสิ่งที่ชาวยิวทำกับพระเยซูเป็นตัวอย่าง .. ในสังคมของชาวโรมันที่ครองอำนาจอยู่ในขณะนั้น พวกเขานับถือเทพเจ้าหลายองค์ การเผยแพร่ศาสนาไม่ได้ทำให้ดัง แต่คือการเสี่ยงชีวิต พวกเขาต้องโดนจับขังคุก ถูกทรมาณ ถูกประหารชีวิต ซึ่งก็โดนกันหมดแหละ ยกเว้นยอห์นผู้เขียนบทนิวรณ์ แต่เขาก็ถูกคุมขัง นั่งเขียนเรื่องนี้ในที่คุมขัง และแก่ตายอยู่ในคุกน่ะแหละ .. การเผยแพร่ศาสนาใหม่ เป็นเรื่องลำบากลำบนและถึงตาย จะมีใครทำเพื่อนิทานเหรอ
โมเสสก็ไม่มีอยู่จริง .. งานนี้เล่นหลายศาสนาเลยนะครับพี่ .. คริสต์และยิวใช้พระธรรมเก่าเล่มเดียวกัน คนแรกที่เขียนคือโมเสส เรื่องราวก่อนโมเสสเป็นการเขียนย้อนไปโดยพระเจ้าบอก พระคัมภีร์ว่าอย่างงั้น อิสลามก็ใช้ด้วย แต่ภายหลังเขาใช้คัมภีร์อัลกุรอ่าน แต่พวกเขาก็ยังศึกษาตัวพระธรรมเก่า ผมไม่รู้ว่าเขาเรียกอะไร หรือรวมอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอ่านก็ไม่รู้นะ ผมไม่เคยได้สัมผัส ไม่ว่ากันนะ แต่โมเสสที่พวกเขารู้จักคือประกาศกโมเซ .. พูดถึงศาสนาอิสลาม เมื่อราว 10 ปีก่อน ผมเคยเข้าไปอ่านทุกหน้าเลย ของเวบอิสลามแห่งประเทศไทยมาแล้ว ขอคุยหน่อย ทำให้พอเข้าใจแนวคิดของพวกเขา แต่เพราะความรู้สึกว่า มันไม่ใช่ทางเราน่ะ เลยไม่เคยไปศึกษาต่ออีก .. เอาล่ะ โมเสส อาจโดดไปโดดมานิดนึงนะครับ ผมยังมึนอยู่ แต่ตรงนี้จะเล่นบันทึกทางโบราณคดีถึงความเป็นไปได้ที่จะมีโมเสสอยู่จริงนะครับ ไม่ใช่บันทึกจากพระคัมภีร์ ..
จารึกเฮียโรกริฟฟิคมีการพูดถึงการใช้ทาสชาวฮีบรูให้สร้างเมืองพิตุมและเมืองรามเสส ในรัชสมัยของฟาโรห์เซติที่ 1 - ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในราชวงศ์ที่ 19 ตรงกับช่วง exodus ของเรา .. จารึกอีกที่บอกว่า Hibiru is waste, bare of seed แล้วอ้างถึงเวลาที่เด็กชายแรกเกิดชาวฮีบรูถูกฆ่าเรียบ นักโบราณคดีตีความว่าน่าจะเป็นบันทึกเรื่องการฆ่าเด็ก ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่อ้างถึงในพระคัมภีร์ อยู่ในรัชสมัยของฟาโรห์เซติที่ 1 .. ชื่อของโมเสสแปลว่า ปลอดภัยมาจากน้ำ .. ชาวฮีบรูอพยพเข้าสู่อียิปต์ประมาณ 350 ปีก่อนโมเสส เป็นช่วงที่ชนเผ่าฮิคซอสครองอียิปต์ มีบันทึกการมอบที่ดินให้ชาวฮีบรูตั้งรกราก .. ฟาโรห์ที่ตามล่าโมเสส ไม่ใช่ฟาโรห์รามเสสที่ 2 แต่เป็นองค์รัชทายาท เจ้าชายอามุนเฮอเคพเชฟ พบมัมมี่ที่กระโหลกมีรอยแตก สิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 30 ปี เหตุการณ์แวดล้อมอื่นๆ ในช่วงเวลานั้น ตรงกับช่วงที่บันทึกไว้ใน exodus ตอนหนีข้ามทะเลแดง ..
นักโบราณคดีขุดพบหลักฐานของแหล่งวัฒนธรรมหลายแห่งในเส้นทางอพยพ ตรงตามที่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ .. Reed Sea not Red Sea เขาว่าเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่เป็นป่ากก ใหญ่พอๆ กับทะเลแต่ไม่ใช่ทะเลแดง แล้วอ้างว่าคัมภีร์ของยิวใช้ Reed Sea ผมก็ไม่เคยเห็นคัมภีร์ที่ชาวยิวใช้ซะด้วยสิ ไม่รู้ใครผิดล่ะ ต้องกลับไปดูต้นฉบับภาษาฮีบรูกันนะ เรื่องนี้ผมช่วยไม่ได้เพราะไม่รู้ภาษาฮีบรูสักคำ แต่เขาก็ว่า ถ้าเป็น Reed Sea การข้ามก็เป็นไปได้โดยไม่ต้องอาศัยพระเจ้า อ้าว แล้วล้อรถที่เจอในทะเลแดงล่ะ ตัว e ตกไปตัวนึงด้วยหรือเปล่า แต่ของเขามีรูปประกอบนะ มีคำอธิบายทางภูมิศาสตร์ด้วย คงไม่ผิดมั๊ง ก็เอาเถอะ แต่ตอนนี้เราไม่ได้มุ่งประเด็นไปที่โมเสสแยกน้ำรึเปล่า ที่รู้แน่ๆ คือ บันทึกทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ตรงกับพระคัมภีร์ มีการหนีจริง ข้ามทะเลจริง ทะเลไหนก็ช่างเถอะ คนที่เทียบเท่าฟาโรห์ตามล่าและตายจริง เพราะงั้นโมเสสมีจริง .. เอาล่ะ มึนพอไหมครับ
กลับไปเรื่องวีดีโอที่ผมเล่าให้ฟังในตอนแรก .. เรื่องนี้เป็นรูปแบบของการเติมข้อมูลในช่องว่างของช่วงเวลาที่ไม่ได้กล่าวถึงในพระคัมภีร์ เรารู้กันดีว่า พระคัมภีร์กล่าวถึงวัยเด็กของพระเยซูน้อยมาก โผล่มาอีกทีก็อายุ 30 ออกเทศนาสั่งสอน แล้วสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนตอนอายุ 33 .. เขาเติมช่วงที่หายไปนี่หล่ะ มั่วได้มันส์มากครับ ผมจะเล่าไปทีละเรื่องละกัน ลองอ่านกันดูเอาสนุก
พระเยซูตอนเด็ก เกเรและเจ้าอารมณ์แถมมีพลังพิเศษ ตบเพื่อนทีเดียวตายเลย หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ว่า เล่นกับเพื่อนแล้วเพื่อนตกจากที่สูงคอหักตาย เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผลักเพื่อนตกลงมา ก็ทรงบอกให้เพื่อนลุกขึ้นมาอธิบาย เพื่อนก็ฟื้นขึ้นมาอธิบาย .. หลังเหตุการณ์นี้ เลยทรงทราบว่ามีพลังพิเศษและคิดที่จะใช้ในทางที่ถูก เลยเลิกเกเร .. คัมภีร์ยังพูดถึง ทรงเดินไปพบหญิงหนึ่งนั่งร้องไห้และมีลูกเล็กๆ ที่สิ้นใจแล้วอยู่ในอ้อมแขน ทรงเรียกให้เขาตื่น เขาก็ตื่นขึ้นมา .. เออ เว่อร์กว่าฉบับจริงเยอะเลย
ทรงปั้นนกจากดินเหนียว เป่าลมหายใจเข้าไป แล้วนกก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า .. อันนี้ฉบับจริงมีไหม ไม่รู้นะครับ ผมไม่แม่นพระคัมภีร์ แต่เรื่องนี้เคยมีคนจับเอาข้อความแค่ประโยคเดียวนี้หล่ะ มาเขียนเป็นนิยายเล่มโตๆ ขายได้ เป็นนิยายแปลที่ผมเคยอ่านเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว เลยจำได้เลือนราง เล่าให้ฟังไม่ได้ว่ามันเป็นยังไง
พระเยซูเดินทางมาอินเดียก่อนการออกเทศนา .. อันนี้พูดถึงตอนโตแล้ว บอกว่า เมื่อโตเป็นหนุ่ม พระองค์ทรงเดินทางมาอินเดีย โดยใช้เวลาหลายปี ศึกษาศาสนาพราหม์ ฮินดู แล้วนำคติความเชื่อของทั้ง 2 ศาสนามาผสมกัน นำไปใช้ในการเทศนาสั่งสอน อันนี้ก็คิดได้เนอะ .. แต่ข้อขัดแย้งที่ชัดเจนที่สุดคือ พราหม์และฮินดูนับถือเทพเจ้าหลายองค์ ในขณะที่ศาสนาคริสต์นับถือพระเจ้าองค์เดียว อีกทั้งคติความเชื่อในการดำเนินชีวิตก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีที่ไหนในคำเทศนาสั่งสอนของพระองค์เลย เป็นอันจบไป
พระเยซูมาบวชเป็นพระ ศึกษาพระธรรมกับพระธิเบต .. ไม่มีเหตุผลสนับสนุนพอๆ กับเรื่องพระเยซูเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าเป็นพระเยซูน่ะแหละครับ เพราะความเชื่อต่างกันอย่างสิ้นเชิง วิธีคิด วิธีปฎิบัติ ก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
เรื่องสุดท้าย การกลับคืนชีพไม่เกิดขึ้นจริง อันนี้เขาหยิบข้อความในพระคัมภีร์มาพูดว่า ศิษย์ที่ไปที่พระคูหา เห็นจำนวนเทวดาไม่เท่ากัน เลยไม่จริง .. อื้ม .. อันนี้ต้องว่ากันยาว ถึงสถานการณ์ ณ เวลานั้น เมื่อคนอย่างน้อย 7-8 คน มาเจอก้อนหินปิดคูหาฝังศพที่ต้องใช้คน 4-5 คนช่วยกันกลิ้ง เลื่อนไปอยู่ด้านข้างเอง .. อ้ะ สงสัยได้ว่าอาจมีการขโมยศพ แต่พระเยซูในยุคนั้นไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น จะเอาศพไปทำไมให้ยุ่งยาก ..
การเห็นจำนวนเทวดาไม่เท่ากัน ต้องดูทั้งเรื่องธรรมชาติและเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องธรรมชาติคือ คนเราไม่สามารถไว้ใจประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเราได้ เรื่องนี้มีการวิจัยด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรก โดยเรอเน เดคาร์ท (Rene Descartes) ผู้เป็นทั้งนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ เขาได้ทำการทดลองเกี่ยวกับรับรู้ทางประสาทสัมผัสในปี 1637 และให้ข้อสรุปว่า มันเชื่อถือไม่ได้ .. ในแง่ของเรื่องเหนือธรรมชาติ เอาง่ายๆ บางคนเคยเจอผี บางคนไม่เคยเจอเลย .. สรุปว่า นี่มันเรื่องขี้มด ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเป็นประเด็นอะไรได้เลย ประเด็นอยู่ที่ มีคนหลายคนพบพระเยซูหลังสิ้นพระชมน์ พระคัมภีร์ว่าอย่างนั้น ความเป็นไปได้ที่เราน่าจะลองมานึกกันดู ถ้าพระอาจารย์ตายไปเฉยๆ สาวกจะลงทุนออกเผยแพร่ศาสนากันไหม มันเป็นเรื่องอันตรายถึงตาย พวกเขายอมตายกันเพื่ออะไร .. จบมันดื้อๆ อย่างงี้แหละครับ
แถมให้อีกเรื่อง อันนี้เป็นข้าวของที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ ที่ภายหลังมีการค้นพบว่ามีอยู่จริง และคนมากมายเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์จนถึงกับรบกันเพื่อแย่งชิง หรือส่งทีมขนาดใหญ่ออกค้นหา .. อย่าเพิ่งดูถูกสิ่งที่ยังไม่ได้รับการค้นพบทางโบราณคดีเลย อย่างแอตแลนติสหรือกรุงทรอย เราก็เจอกันแล้ว คนที่เคยเถียงหัวชนฝาว่ามันไม่มี ก็หน้าแหกไป อ่ะมาลองดูกันครับ ..
หีบพระบัญญัติ (The Ark of Covenant) – เป็นหีบที่โมเสสสร้างขึ้นเพื่อใส่แผ่นหินจารึกพระบัญญัติ 10 ประการ แบกข้ามทะเลทรายมา 40 ปีน่ะแหละครับ นักเทววิทยาต่างสงสัยว่า ความเชื่อแบบไหนกันที่ทำให้มนุษย์ทำเรื่องแบบนี้ได้ มีปรากฏการณ์อะไรไหมที่ทำให้พวกเขาเชื่อขนาดนั้น .. อย่างเรื่องการใช้ไม้เท้าเคาะหินแล้วทำให้น้ำไหลออกมา หรือมานนาที่นักวิจารณ์บางท่านบอกว่าเป็นเห็ด กลางทะเลทรายเนี่ยนะ ก็ฟังยากอยู่เหมือนกันสำหรับคนในปี 2013 จนมีการเอามาวิเคราะห์กันถึงความเป็นไปได้ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการเอาหลักการด้านฟิสิกส์ เคมี ไฟฟ้า สารพัด มาอธิบาย ก็ดูมีเหตุผลครับ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 3500 ปีก่อน ลองไปดู Ancient Discovery .. หรือวิทยาการชั้นสูงที่สูงกว่ายุคของเราก่อนน้ำท่วมโลก มีจริง แล้วหลุดมาอยู่ในมือของโมเสส
มีความเชื่อว่า ถ้าแบกหีบนี้นำทัพ บุกไปถึงไหนก็ชนะไปถึงนั่น ความเชื่อนี้มีที่มาจากไบเบิล ที่พูดถึงพลังมหาศาลในระดับที่สามารถทำลายล้างผู้บังอาจเข้าไปแตะต้อง ให้ถูกไฟเผาตายได้ เลยทำให้มีคนเชื่ออีกว่า ถ้าเอาหีบนี้ไปวางในสมรภูมิรบแล้วเปิดออก จะมีพลังพุ่งออกมาทำลายล้างกองทัพของศัตรูได้ เท่าที่รู้ ฮิตเลอร์เชื่อมากถึงกับตั้งทีมออกค้นหาเลยล่ะครับ .. นักคิดวิเคราะห์เขาว่า มันคงเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากำลังสูง ที่ซ่อนอยู่ในกล่องไม้เล็กๆ หุ้มทอง .. อื้ม .... และการที่วางไม่ติดพื้น ก็เป็นการใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า เขาลงทุนทำการทดลองให้ดูกันเลยนะครับ .... 3500 ปีก่อน อย่าลืม
ตามหลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์บอกไว้ว่า โอรสของกษัตริย์โซโลมอน เป็นผู้นำหีบพระบัญญัติมาไว้ที่โบสถ์แห่งเมืองอักซุม เมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว มีการกล่าวถึงนักบวชที่ต้องประจำอยู่ภายในโบสถ์อย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลา มานานถึง 3000 ปี ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ .. แต่ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาติให้เข้าไปภายใน นอกจากคนที่มีหน้าที่ดูแลเท่านั้น เรื่องนี้เลยไม่รู้ว่า ตกลงหีบพระบัญญัติถูกเก็บไว้ที่นี่จริงหรือไม่ ถ้าใช่ เป็นของจริงไหม .. เพราะการที่จะบอกว่าเป็นของจริงได้ ต้องผ่านการตรวจสอบด้วยวิทยาการสมัยใหม่ทางด้านโบราณคดีเสียก่อน เหมือนการตรวจสอบผ้าคลุมพระศพแห่งตูริน ที่เชื่อว่าเป็นผ้าคลุมศพพระเยซูนั่นแหละครับ ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นของยุคนั้นจริง เป็นของคนที่ตายจากการถูกเฆี่ยนตี ถูกตรึงกางเขน และมีรอยถูกแทงจริงๆ หน้าตาก็เหมือนชาวยิวทั่วไป ไม่ได้หล่อเหลาเอาการเหมือนในหนัง ตรงกับที่พระคัมภีร์พูดล่ะครับ รายละเอียดในการตรวจสอบมีเยอะมาก ดูกันกระทั่งละอองเกสรดอกไม้ที่ติดอยู่ .. ยาวครับ ขี้เกียจเล่าตรงนี้ ไปหาอ่านต่อเอาเองแล้วกันนะครับ
หอกลองกินุสหรือหอกแห่งโชคชะตา (Spear of Destiny, Holy Lance, Holy Spear, Spear of Christ) - เป็นหอกที่ใช้แทงเพื่อทดสอบว่า พระเยซูตายแล้วหรือยังน่ะครับ .. เชื่อกันว่า หากมีหอกนี้ไว้ในครอบครอง รบที่ไหนก็ไม่แพ้ นำทัพบุกที่ไหนชนะที่นั่น เลยทำให้มีการค้นหาและแย่งชิงกันมาตั้งแต่สมัยโรมันโน่นล่ะครับ มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ในการครอบครองโดย พระเจ้าคอนสแตนตินมหาราช ถัดมาคือพระเจ้าชาร์ลมาญมหาราช และตามมาด้วยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 3 มหาราช จากนั้นตกไปอยู่ในมือของสภาเมืองนูเรมเบิร์ก ทำให้นโปเลียน โบนาปาร์ต ถึงกับปิดล้อมเมืองเพื่อให้สภาเมืองส่งมอบหอกลองกินุสให้ตน แต่ไม่ได้ไปหรอกครับ ในสมัยโบราณ คนยอมตายเพื่อรักษาศาสนากันเลยนะครับ พวกเขานำหอกลองกินุสไปซ่อนยังกรุงเวียนนา ออสเตรีย ..
แต่ในปี ค.ศ.1938 เมื่อฮิตเลอร์ยึดออสเตรียได้ ก็ยึดหอกลองกินุสไปด้วย จนเมื่อเยอรมันแพ้สงคราม นายพล George S. Patton ได้พบหอกลองกินุสในบังเกอร์ใต้ดินใต้ปราสาทนูเรมเบิร์ก เขาจึงนำหอกลองกินุสกลับไปยังออสเตรีย และเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ Schatzkammer จนถึงปัจจุบัน
จอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail) ที่พระเยซูใช้ในอาหารค่ำมื้อสุดท้าย  .. เชื่อว่า ใครได้ดื่มน้ำจากจอกนี้จะเป็นอมตะ หายจากความเจ็บป่วย หากใช้จอกนี้ตักน้ำราดลงบนบาดแผล แผลฉกรรจ์ขนาดไหนก็จะหาย ใครอยากเป็นอมตะก็ลองไปตามหากันดูนะครับ .. เมื่อวันก่อนเจอ The Ancient X-Files พูดถึงวาเลนเซียกาลิคซ์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่โบสถ์วาเลนเซีย เชื่อกันว่าเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ จากการตรวจสอบก็พบว่ามาจากยุคของพระเยซูจริง ใช้กันทั่วไปในสังคมของคนที่พอมีฐานะ ก็วิเคราะห์กันไปถึง จานชามที่ใช้ก็คงเป็นของบ้านที่ทรงเสวยอาหารมื้อสุดท้าย ดูถึงฐานะของเจ้าของบ้านว่ามีจอกแบบนี้ได้ไหม และความเป็นไปได้อื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ .. ปัญหาคือ มีจอกศักดิ์สิทธิ์ใบอื่นอีก 2-3 ใบที่มีคุณสมบัติตรงกัน เลยไม่รู้ว่าใบไหน แต่เนื่องจากถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เลยไม่มีใครเอามา ลองของ .. ผมนึกถึงก๋งผมที่ลองพระดังๆ ด้วยการแขวนไว้แล้วยิงใส่ บางองค์ยิงไม่ออกจริงๆ นะ ... แต่ไม่มีใครยอมให้คุณลองกับจอกนั้นหรอกครับ งั้นเราควรปล่อยให้ผ่านไป มันไม่ใช่ประเด็น อย่าไปคิดมาก
มีของขลังอย่างหนึ่งที่มันไม่ต้องยากขนาดนั้น คนธรรมดาอย่างเราๆ มีสิทธิ์มีไว้ในครอบครอง แต่เราไม่ค่อยรู้กันหรอกครับ ว่าเราก็มีของขลังเหมือนศาสนาอื่นเขาเหมือนกันนะ ไม่ต้องเก่าร้อยปี ไม่ต้องราคาแพง ไม่ต้องดั้นด้นไปค้นหา และชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันอย่างจริงจังมาหลายร้อยปีแล้วด้วยสิ ตามบันทึกเขาว่าเริ่มมีให้เห็นแพร่หลายในศตวรรษที่ 12 แต่เชื่อกันว่าของสิ่งนี้มีมาไม่น้อยกว่าพันปี อยากรู้กันแล้วสิ ...
สายประคำครับ สายประคำธรรมดาๆ นี่แหละ จะราคาไม่กี่สิบบาทหรือราคาเป็นแสนเป็นล้าน ก็มีความขลังเหมือนกันหมด .. เขาว่าจะแคล้วคลาด แต่นี่เป็นผลข้างเคียงน่ะครับ สำหรับคนที่เชื่อเองก็ไม่ได้มีไว้ เพื่อเรื่องนี้เป็นวัตถุประสงค์หลัก งั้นเรามีกันไว้ทำไม เอาไว้สวดไงครับ และก็เหมือนคนที่ห้อยพระทั้งหลาย คือเอาไว้เตือนตัวเองตลอดเวลา ให้ทำแต่สิ่งที่ดี พูดดีๆ คิดดีๆ เท่านี้แหละครับ ตัวผมเองไม่พกนะ เหตุผลคือ ผมยังมีความเลวอยู่มาก ไม่คู่ควรน่ะ ไม่อยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องแปดเปื้อน แต่ก็ห้อยไว้ในรถ ไม่รู้สิครับ เห็นคาทอลิกทุกคนเขาก็ทำกัน
อีกเรื่องละกัน ตกลงพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งหรือมันเป็นเรื่องของวิวัฒนาการ ดาร์วินผู้สร้างทฤษฏีวิวัฒนาการ บอกว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ รายละเอียดเยอะครับ เล่าตรงนี้ไม่ไหว .. นักโบราณคดี นักชีววิทยา นักธรณีวิทยา ก็ร่วมกันสรุปมาให้เราได้เรียนกันว่า สัตว์ต้นตระกูลมนุษย์รุ่นแรกคือไพรเมต มีอายุราว 60 ล้านปี อยู่ในช่วงท้ายยุคไดโนเสาร์ หน้าตาคล้ายชะนีตัวเล็กๆ น่ะครับ แล้วกลายมาเป็นโฮมินิต เมื่อ 17 ล้านปีก่อน อันนี้ก่อนแยกสายมาเป็นมนุษย์กับกอริลล่านะครับ ....
ข้าม ข้าม ข้าม ข้าม .. มามีมนุษย์กันสักที เมื่อ ..
2.2 - 1.9 ล้านปีก่อน เกิดมนุษย์พวกแรกคือ
Homo Habilis หรือมนุษย์วานร ทำเครื่องมือหินได้
1.9 - 1.4 ล้านปีก่อน มี
Homo Ergaster เริ่มสื่อสารระหว่างกันได้
1.4 - 1.25 ล้านปีก่อน มี
Homo Erectus เกือบๆ จะเหมือนคนยุคนี้ละครับ
1.25 ล้านปีก่อนมาถึงปัจจุบัน ก็มีเรานี่แล้วไง สายพันธุ์
Homo Sapiens อ่านว่า โฮโมซาเปี้ยนส์ เผื่อใครถามว่าคุณพันธุ์อะไร จะได้ตอบเขาได้
ปัญหาเรื่องทฤษฏีวิวัฒนาการคงไม่ถูกสงสัย ถ้านักโบราณคดีไม่ดันผ่าไปเจอเอาฟอสซิลอายุ 110 ล้านปี ที่มีรูปมือเหมือนมือเราๆ เนี่ย ประทับอยูในชั้นหินปูน .. แล้วยังไปเจอฟอสซิลนิ้วมือ ที่เหมือนนิ้วมือมนุษย์ยุคนี้เลย ในเขตอาร์กติคของแคนาดา ตรวจสอบอายุได้ 100-110 ล้านปี .. คุณเคยเจอเรื่องรอยเท้าไดโนเสาร์ในหินไหม เราเจอรอยเท้ามนุษย์ใส่รองเท้าหนัง หุ้มข้อมั๊ยไม่รู้ ที่เมืองเดลต้า รัฐยูท่าห์ ในชั้นหินดินดาน อายุราว 300 ล้านปีขึ้นไป คุณลองนึกภาพตัวคุณเอง ใส่ถุงเท้าไนกี้หนาๆ แล้วเหยียบลงบนดินเหนียว รูปร่างมันออกมาเป็นอย่างนั้นแหละครับ
นอกจากนี้ยังมีการขุดพบท่อโลหะ ท่อน่ะครับ ไม่ใช่เหล็กตันๆ ในหินชอล์กที่ฝรั่งเศส มาจากยุคครีเตเชียส ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของมหายุคเมโสโซอิค ที่กินเวลาย้อนไปราว 252-66 ล้านปี .. ในปี 1885 มีการพบท่อโลหะในก้อนถ่านหินอีก และในปี 1912 ก็เจอกาน้ำโลหะในก้อนถ่านหิน แล้วยังเจอสร้อยคอระย้าทำจากทองคำฝังเพชร ที่มาจากยุคเมโสโซอิคเช่นเดียวกัน ... ความซวยเริ่มมาเยือนดาร์วินแล้ว เพราะสิ่งที่พบ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องทบทวนเรื่องทฤษฏีวิวัฒนาการที่ใช้กันมาเป็นร้อยๆ ปี อีกครั้ง ..
แล้วพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งรึเปล่า ไม่รู้ดิครับ .. ก็แล้วแต่คุณจะคิด .. นักวิทยาศาตร์บอกว่าโลกมีอายุ 4600 ล้านปี ถ้าเราเจอฟอสซิลของมนุษย์หรือข้าวของที่มนุษย์ทำขึ้น ที่มีอายุ 4600 ล้านปี ก็คงไม่มีใครกล้าเถียงแล้วล่ะครับ .. แต่ที่แน่ๆ ทฤษฏีวิวัฒนาการที่เราใช้กันมา เริ่มสั่นคลอนแล้วล่ะครับ
ผมหมดความสงสัยเรื่องพระคัมภีร์แล้วล่ะ ยังเหลือเรื่องสุดท้ายที่ผมยังติดใจไม่หาย บทนิวรณ์ครับ ว่าวันสิ้นโลกมันจะมาถึงเมื่อไหร่ .. คุณอย่าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้นะ นักวิทยาศาตร์ทุกสาขาได้ทำการวิเคราะห์กันแล้วว่า มันมีความเป็นไปได้สูงมาก ลองมาดูในมุมมองของวิทยาศาตร์กันดีกว่าครับ
ในเมื่อเราอยู่ในโลกที่ยังไม่ตาย เราก็มีแมกม่าที่เคลื่อนตัวอยู่ภายในโลก ทำให้แผ่นทวีปมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีการเสียดสี ก็ต้องมีแผ่นดินไหว หนักเบาก็ขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภาพของการเสียดสีกัน .. ถ้าโลกตายแล้ว ก็จะมีลักษณะเหมือนดาวอังคารแหละครับ
เรามีวงแหวนแห่งไฟ ซึ่งเป็นขอบของแผ่นเปลือกโลก มีความยาวราว 40,000 กิโลเมตร ทอดตัวตามแนวร่องสมุทรในมหาสมุทรแปซิฟิก โค้งตามแนวทวีปออสเตรเลีย มาเอเชีย อ้อมไปอเมริกา ตีวงลงมาถึงแอฟริกาใต้ ที่น่าห่วงคือบนแนวที่ว่า มีภูเขาไฟอยู่ 452 ลูก ส่วนที่กำลังคุกรุ่นอยู่ มีปริมาณถึง 75% ของภูเขาไฟทั้งโลก และการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงทั่วโลก 80 % เกิดขึ้นในบริเวณนี้ ว่ากันคร่าวๆ ก็ทำให้คนตายไปราว 4 แสนคนแล้ว .. และทำให้แผนที่โลกเปลี่ยน เดิมยุโรปกับอเมริกาชนกันอยู่นะครับ สักวันอเมริกาจะมาเจอกับเอเชีย แต่เราคงตายไปหลายสิบล้านปีแล้ว
เรายังมีมหาภูเขาไฟที่รอการระเบิดอยู่ และไม่รู้ว่าจะระเบิดวันไหน แต่ก็ใกล้แล้วแหละ .. ย้อนไปดูภูเขาไฟลูกใหญ่ๆ ที่เคยระเบิดกันก่อนดีไหม จะได้นึกภาพออก เช่น ภูเขาไฟกรากาตั้วในอินโดนีเชีย ระเบิดในปี 1883 การระเบิดครั้งนั้น เถ้าภูเขาไฟลอยขึ้นไปสูงถึง 80 กิโลเมตร มีรัศมี 240 กิโลเมตร รัศมีนะครับไม่ใช่เส้นผ่านศูนย์กลาง สร้างสึนามิสูง 30-40 เมตร ท้องฟ้ามืดเหมือนคืนข้างแรม .. ภูเขาไฟเซนต์เฮเลนในอเมริกา ระเบิดในปี 1980 ต่อเนื่องกัน 9 ชั่วโมง เถ้าภูเขาไฟพุ่งสูงถึงเกือบ 500 กิโลเมตรน่ะครับ กระจายตัวไปในรัศมี 650 ตารางกิโลเมตร
กลับมาที่มหาภูเขาไฟที่ว่า ภูเขาไฟ Yellow Stone ครับ เคยระเบิดมาแล้ว 3 ครั้ง ประมาณทุก 7-8 แสนปีต่อครั้ง แล้วตอนนี้มันก็ผ่านมา 6 แสน 4 หมื่นปีแล้ว จากการระเบิดครั้งล่าสุด นักธรณีวิทยาคาดว่าการระเบิดปกติของมัน จะมีความรุนแรงกว่าทุกๆ ภูเขาไฟระเบิดที่เราเคยเจอในช่วงหมื่นปี ค่าประมาณคือ เถ้าภูเขาไฟจะกระจายไปในรัศมี 1600 กิโลเมตร หมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลาง 3200 กิโลเมตร เถ้าที่ว่า ถ้าเราหายใจเข้าไป ก็เป็นการเอาละอองหินเข้าไปเคลือบเนื้อเยื่อปอดเปียกๆ น่ะครับ พักนึงก็ได้ตายแล้วแหละ ลองอุดจมูกดู อาการแบบนั้นล่ะครับ
ตามมาด้วยอุณหภูมิโลกจะลดลงอย่างน้อย 10 องศาเซลเซียส ฟ้าจะมืดสนิท เถ้าภูเขาไฟจะถมสูงเป็น 10 ฟุตในรัศมีการกระจายตัวของมัน พืชตาย สัตว์ตาย แล้วคนจะกินอะไร อาจทำให้เกิดยุคน้ำแข็งย่อย และแรงสั่นสะเทือนอาจไปกระตุ้นให้ภูเขาไฟลูกอื่นระเบิดตาม เอาแค่ว่าจะรอดจากเหตุการณ์มาได้สักกี่คนก่อนแล้วกัน .. ลองไปอ่านเรื่องกลไกการทำงานของภูเขาไฟ คุณจะเคลียร์ว่า ไม่มีทางที่มันจะไม่ระเบิด
ยุคน้ำแข็ง คุณเคยดู Ice Age กันไหม ก็ประมาณนั้นแหละครับ โลกถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ไม่มีอะไรกิน อดตาย ไม่ก็หนาวตาย ที่เกิดขึ้นคราวก่อน ทำให้สัตว์สูญพันธุ์กันไปบานตะไท .. ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นราว 10,000 – 15,000 ปีก่อน และคาดว่าครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในอีกประมาณ 1500 ปีข้างหน้า โดยมีตัวแปรคือ ระดับความเข้มข้นของก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลก การเปลี่ยนแปลงวงโคจรของโลกและดวงจันทร์ ที่ทำให้โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าปกติในทุกรอบหมื่นปี องศาของแกนโลกที่เปลี่ยน รวมถึงการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกก็มีผล .. ระยะเวลาโดยประมาณของยุคน้ำแข็งแต่ละครั้ง ก็ราวๆ 100-200 ปีน่ะครับ ใครอยู่ได้ก็อยู่ไป
อุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก .. มันเคยมีมาแล้วในยุคไดโนเสาร์ ทำไมมันจะมีอีกไม่ได้ .. เมื่อ 65 ล้านปีก่อน โลกเราเจออุกกาบาตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 กิโลเมตร พุ่งชนคาบสมุทรยูคาทาน แรงปะทะส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด รังสีความร้อนที่แผ่ออกมากวาดสิ่งมีชีวิตบนภาคพื้นดินไปถึง 70 % ในทะเลหมดไป 90 % ข้อมูลนี้มาจากการค้นพบฟอสซิลของสัตว์ก่อนหน้านั้น เปรียบเทียบกันสัตว์ที่เรามีทุกวันนี้ รวมถึงเรื่องการกลายพันธุ์ด้วยนะครับ
เรามี Nasa คอยดูท้องฟ้าอยู่ก็จริง แต่ผมสงสัยว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง ทำให้โลกเดินทางเร็วขึ้นสักชั่วโมงเพื่อให้พ้นวิถีการพุ่งชนได้ไหม จารึกของอียิปต์โบราณนานกว่า 4000 ปี ก็ยังใช้วันเท่าเรา พวกเขาสังเกตุดวงดาวเพื่อกำหนดวันเดือนปี เพื่อให้รู้ฤดูเพาะปลูกที่แน่นอนน่ะครับ .. แปลว่าความเร็วของโลกในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 4000 ครั้ง ไม่คลาดเคลื่อนเลย แต่แนววงโคจรเปลี่ยนไปนิดหน่อย อันนี้สรุปจากการเปรียบเทียบบันทึกทางดาราศาสตร์เรื่องตำแหน่งดวงดาว ของโลกโบราณกับโลกยุคปัจจุบัน ..
หรือเราจะทำแบบหนังเรื่องอามาเกดอนได้หรือเปล่า เจาะรูเข้าไปแล้วระเบิดมันให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ เพราะแทนที่เราจะเจอกระสุนนัดเดียว เราจะเจอกับห่ากระสุนแทน .. ยิงด้วยระเบิดนิวเคลียร์เหรอ ผมไม่แน่ใจว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์มันใช้ได้ในอวกาศรึเปล่า ถ้าผมจำไม่ผิด มันต้องใช้ออกซิเจนร่วมด้วย .. เอ้า ค่อยๆ คิดกันไปนะครับ
สงครามนิวเคลียร์ อันนี้คงเข้าใจได้ไม่ยากมังครับ .. คุณคงพอจะจำระเบิดนิวเคลียร์ 2 ลูกที่ถล่มญี่ปุ่นในปี 1945 ทำให้มีคนตายราว 2 แสนคน .. แต่ระเบิดในปี 2013 มันรุนแรงกว่านั้นมาก เกิดมีใครยิงใส่กันสัก 2-3 ลูก ก็คงชิบหายกันไปหมด แต่ผมกำลังนึกภาพสงครามโลกซึ่งมีการแบ่งแยกฝ่าย ทำให้ที่เราจะเจอ คงไม่ใช่แค่ 2-3 ลูก .. เท่าที่รู้กัน ในการลงนามสนธิสัญญาห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ 8 ประเทศ แต่ละคนมีไว้ในครอบครองกันดังนี้
รัสเซีย มีหัวรบพร้อมยิง 11,500 หัวรบ หัวรับสำรอง 17,000 หัวรบ
อเมริกา มีหัวรบพร้อมยิง 9,200 หัวรบ หัวรบสำรอง 5,700 หัวรบ
ยูเครน มีหัวรบพร้อมยิง 1,104 หัวรบ
คาซัคสถาน มีหัวรบพร้อมยิง 600 หัวรบ
ฝรั่งเศส มีหัวรบพร้อมยิง 530 หัวรบ
จีน มีหัวรบพร้อมยิง 735 หัวรบ
อังกฤษ มีหัวรบพร้อมยิง 200 หัวรบ
เบรารัส มีหัวรบพร้อมยิง 34 หัวรบ
อีก 3 ประเทศไม่ลงนาม แต่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองอย่างเป็นทางการ คือ
อิสราเอล มีหัวรบพร้อมยิง 1,104 หัวรบ
อินเดีย มีหัวรบพร้อมยิง 50 หัวรบ
ปากีสถาน มีหัวรบพร้อมยิง 35 หัวรบ
รวมทั้งโลกก็มีน้ำหนักราว 9,700 ล้านตัน ลองนึกเล่นๆ กันดูครับ .. ตอนนี้เรามี Tsar Bomb ที่น้ำหนัก 27 ตัน พลังการทำลายเท่ากับ 50 เมกกะตันทีเอ็นที รัศมีการทำลายล้าง 5 กิโลเมตร แรงระเบิดต่อ 1 ลูก เท่ากับแรงระเบิดที่ใช้ทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คูณด้วย 10 .. เรื่องนี้ผมเข้าใจ ผมเองก็ไม่เคยยิงใคร มันเป็นเหตุผลด้านความปลอดภัย ..ก็คงไม่เป็นไร ถ้าไม่มีใคร เกิดอยากทำตัวเป็นเด็กเกเรขึ้นมา
พายุสุริยะ เป็นเปลวไฟขนาดใหญ่ที่ปล่อยพลังงานความร้อนและสนามแม่เหล็ก ออกมาจากดวงอาทิตย์ทุก 11 ปี ทำให้ระบบสื่อสารเกิดการขัดข้อง เช่น การควบคุมการบิน ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงไฟดับในแคนาดาและอเมริกาเมื่อ 11 ปีก่อนด้วย โลกเรามีสนามแม่เหล็กหุ้มอยู่ก็จริง แต่ภาพถ่ายจากกล้องบนดาวเทียม F17 ในปี 2010 ก็พบว่า พายุสุริยะทะลุผ่านชั้นแม่เหล็กโลกเข้ามาได้เป็นบางครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และโลกบริเวณที่มีความเบาบางของสนามแม่เหล็กหมุนไปเจอ ที่เขากลัวกันคือ มันจะสร้างปัญหาให้กับระบบควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ด้วยรึเปล่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกัมมันตภาพรังสี ที่จะทำให้เราเป็นมะเร็ง หากเราอยู่ในที่ๆ สนามแม่เหล็กโลกไม่หนาพอ ภาวนาให้มันหนาอย่างนี้ไปตลอดกันเถอะครับ
ความผิดพลาดในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ อย่างเรื่อง Resident Evils ไงครับ .. ผมไม่ได้ตลกนะ มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากในโลกของวิทยาศาสตร์ แล้วไม่ต้องทดลองอะไรกันเหรอ มันก็ไม่ได้อีกน่ะแหละครับ เราคงได้แต่หวังว่า นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายคงสามารถจัดการกับสิ่งผิดพลาดได้ ก่อนที่มันจะหลุดออกมาสู่โลกภายนอก
โรคระบาด เราเคยมีกาฬโรคในยุโรปยุคกลางช่วงคริสตศตวรรษที่ 14 ที่ทำให้คนตายไปราว 25 ล้าน, ไข้หวัดสเปนในปี 1918 มีคนตายราว 50 ล้านคน, โรคซาร์สในปี 2003 , ไข้หวัดนก, ไข้หวัด H1N1 มันจะมีโอกาสไหม ที่วันหนึ่งเราจะควบคุมโรคได้ไม่ทัน แล้วมีคนตายเป็นเบือ หรือมีการเอาโรคมาทำเป็นอาวุธชีวภาพ มันเป็นไปได้อยู่แล้ว ยิ่งเรามีการคมนาคมที่ไฮเทค การแพร่กระจายของเชื้อโรคย่อมเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อ 100 ปีที่แล้วแน่ๆ
คำถามคือ สิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อีกหนึ่งหมื่นปีข้างหน้า หรือวันนี้ .. แล้วไง .. มาหลอกให้กลัวกันรึไง .. ใช่ครับ กลัวกันบ้างก็ดี อย่าหลงระเริงกันไปนักเลย ความจริง .. ถ้าเราดีพอแล้ว จะตายวันไหนหรือตายในศาสนาใด มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ จริงไหม
และเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดยคนที่เป็นคาทอลิกมาตั้งแต่เกิดและไม่ได้คลั่งศาสนา เจาะมาเรื่องเดียว จากเรื่องราวทั้งหมดที่สั่งสมมาเป็นเวลา 40 ปี ข้อมูลที่ได้ มาจากการศึกษาทั้งในระบบการศึกษาของคาทอลิกในวัยเด็ก การอ่านเอกสารนอกตำราและการดูสารคดีในวัยผู้ใหญ่ ทั้งไทยทั้งเทศ ถ้าเรื่องไหนสร้างความสงสัยให้คุณ ก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูครับ ถ้ามันไม่ถูกต้อง เชิญด่าผมได้ งานนี้ไม่มีมั่วมาครับ .. ผมไม่ได้มาเผยแพร่ศาสนา ไม่ได้มาต่อต้านศาสนา แค่มันร้อนวิชา และอยากจะทำอะไรที่มันดีๆ บ้าง .. ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ ก็คงเป็นโทษกับใครบ้างหรอกครับ.

ไม่มีความคิดเห็น: