While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความโง่กับความฉลาด งาน และการต่อสู้


ภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า ให้ฉลาดในเรื่องที่ควรฉลาด ให้โง่ในเรื่องที่ควรโง่ .. ผมว่า มันเป็นความคิดของคนที่มี IQ เกิน 180 แน่ๆ เลย หรืออีกอันหนึ่งที่ว่า ต้องรู้ในสิ่งที่ควรรู้ และไม่ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้ผม..มักจะฉลาดในเรื่องโง่ๆ และโง่ในเรื่องที่ควรฉลาด รวมทั้งไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ด้วย เลยกลายเป็นคนไม่ทันคน..ดูเหมือนมันเกินจะเยียวยาจริงๆ นะเนี่ย

ถ้าจะมาวิเคราะห์กันนะครับ ผมว่าความโง่ในปี 2013 นี่ ไม่ค่อยเป็นอันตรายเท่าไหร่หรอก นอกจากจะสร้างความอับอายขายหน้าให้แก่เจ้าของ กับทำให้เจ็บใจไม่หาย ก็แค่นั้น .. แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ 2000 กว่าปีก่อนในยุคสามก๊ก ถ้าคุณ อ่านไม่ออก บอกไม่ได้ ใช้ไม่เป็น นี่เรื่องใหญ่เลยนะครับ ถึงขั้นโดนตัดหัวเสียบประจานเลยทีเดียว ทั้งขงเบ้ง ทั้งโจโฉ ไม่มีใครเอาทั้งนั้นแหละครับ เก็บไว้มีแต่จะนำภัยมาให้เสียเปล่าๆ ยกตัวอย่างเช่น กรณีของม้าเจ๊ก ที่เล่นเอาขงเบ้งต้องลดตำแหน่งของตัวเองลงด้วย เพราะเลือกใช้คนผิด -- สามก๊กเป็น recommand book จริงๆ ครับ ไว้วันหลังเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน มันยาว..มาก

พอพูดเรื่องคน ผมก็มานึกถึงแบบทดสอบวัดทัศนคติในการรับคนเข้าทำงาน จาก website ด้าน HR (มันก็คือแบบทดสอบทางจิตวิทยานั่นแหละ พูดให้ฟังดูไม่น่ากลัวเท่านั้นเอง)  มีอยู่คำถามหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องโง่ๆ ฉลาดๆ น่าสนใจดี เขาถามว่า คุณจะเลือกคนประเภทไหนเข้าทำงาน เพราะอะไร เป็นคำถามปลายเปิดด้วยนะ ให้โอกาสอธิบายเหตุผลที่เลือกได้ด้วย มี choice ให้เลือกอีกตะหาก
1.       คนฉลาด + ขี้เกียจ
2.       คนโง่ + ขยัน
3.       คนโง่ + ขี้เกียจ

ลองคิดกันเล่นๆ นะครับ ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกข้อไหน เพราะอะไร .. สำหรับผม ผมจะเลือกคนฉลาด+ขยัน .. อ้าว .. แต่มันไม่มีใน choice นะ ก็ใช่ครับ แต่ผมมองว่า นี่น่าจะเป็นคำตอบที่ดี คนเลือกเขามีสิทธิ์เลือกได้นี่ครับ ไม่จำเป็นต้องมาเอาคน 3 ประเภทนี้ก็ได้ มันจะไม่มีโผล่มาสักคนเลยเชียวเหรอ .. มันจะบอกได้ว่า คุณกล้าคิดต่างไหม แต่คำตอบนี้มันก็มีความเสี่ยงนะครับ ถ้าคุณไปเจอองค์กรที่เขาต้องการคนที่อยู่ในกรอบของเขา คำตอบนี้ก็จะทำให้คุณต้องกินแห้วเอาง่ายๆ ..ถ้างั้นมาลองดู choice ที่มีกันดีกว่าครับ

ทางเลือกแรก ฉลาด+ขี้เกียจ มันก็น่าจะฟังดูดีอยู่หรอก อย่างน้อยเขาก็จะเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็ว แต่คนแบบนี้ มักจะสร้างปัญหาให้คนอื่น (ถ้าคนอื่นยังไม่รู้ตัว มันก็ยังไม่ใช่ปัญหา) เขาจะหลบปัญหาได้ทุกเรื่องโดยไม่คิดที่จะแก้ไขอะไร เขาจะโยนเรื่องยุ่งยากให้คนอื่นได้อย่างน่าประทับใจ และยังมีความสามารถในการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้ดีอีกด้วย และแน่นอน องค์กรไม่พังหรอกครับ เพราะยังมีคนที่รับเรื่องของเขามา คอย clear ปัญหาให้เขาอยู่ ทุกอย่างยังดูสวยงาม ภาพพจน์ไม่มีที่ติ

แบบที่สอง โง่+ขยัน ฟังดูน่าจะพอรับได้นะครับ แต่ก็ต้องว่ากันเป็นเรื่องๆ ไป ถ้าเสือกไปขยันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มันจะกลายเป็นสร้างปัญหาซะมากกว่า คงจะไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวัง เขาอาจจะเรียนรู้ได้ช้า แต่ความพยายามของเขา จะทำให้เขาสามารถเรียนรู้ได้เท่าๆ กับคนอื่นหรือมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ผมว่าความพยายามของเขาควรเป็นเรื่องที่น่ายกย่องทีเดียวล่ะ .. โง่ในที่นี้ เราพูดกันถึงเรื่อง IQ ซึ่งเป็นลักษณะทางกายภาพเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีใครผิด ที่เลือกเกิดไม่ได้นี่ครับ และมันเป็นเรื่องดีนะ ถ้าคุณจะให้โอกาส คนที่มีความพยายาม และเห็นคุณค่าของโอกาสที่เขาได้รับ

แบบที่สาม โง่+ขี้เกียจ อันนี้หมดหวังครับ ถ้าเขาไม่รู้แล้วยังไม่เอา คุณจะไปทำอะไรได้ ความพยายามของคุณ มันจะเหมือนคุณโบกมือผ่านลมน่ะครับ โบกให้ตายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันจะเมื่อยเสียเปล่าๆ .. ทำให้ผมนึกไปถึงความตอนหนึ่งในหนังสือ the last lecture ที่ Dr.Randy ถูกโค้ชฝึกหนัก แล้วผู้ช่วยโค้ชพูดกับเขาว่า ดีแล้ว แสดงว่าเขายังไม่หมดหวังในตัวคุณ ผมว่าเรื่องแค่นี้ มันก็ให้ข้อคิดเยอะเลย เราจะทำตัวเราให้ใครบางคนรู้สึกหมดหวังในตัวเรา แล้วต้องยอมปล่อยมือที่พยายามให้ความช่วยเหลือเราอยู่หรือเปล่า the helping hand ไม่ได้พบได้ทั่วไปนะครับ ..ผมไม่ยอมเสียมันไปแน่ๆ และจะเล่าเรื่องของผมให้คุณฟังด้วย ถือเป็นกรณีศึกษาแล้วกันนะครับ

ผมเองก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ออกจะโง่ๆ แหละครับ คิดถึงตอนที่เริ่มมาจับงานตรงนี้ใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันเป็นเรื่องเครื่องจักร เครื่องกลน่ะครับ ให้ตายห่าสิ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยเรียนเข้าไปเฉียดๆ เลยด้วยซ้ำ แล้วต้องมานั่งเรียนรู้ ability ของเครื่องจักร..ทั้งโรงงาน..คุณคิดดูสิ -- boss ใหญ่ต้องเป็นคนสอนงานให้ผมเอง ซึ่งเขาเป็นคนญี่ปุ่นที่ฉลาดสุดๆ (คนอะไรไม่รู้ รู้ทุกเรื่องจริงๆ คำว่าสากกระเบือยันเรือรบ ยังน้อยไป) เวลาที่ผมทำท่างงๆ เขาก็หงุดหงิดนะ (ผมเข้าใจ ว่ามันคงเป็นเรื่องปกติ ที่เวลาคนฉลาดๆ คุยกับคนโง่ๆ แล้วคนโง่ๆ ไม่เข้าใจ มันก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา) เขาจะถามผมว่า บอกไปแล้ว ทำไมจำไม่ได้ หรือ ทำไม ไม่เข้าใจนะ.. โห โคตรแรงเลย .. ตอนนั้น คิดอยู่อย่างเดียว เราต้องพยายามให้มากกว่านี้ เราต้องเรียนรู้ให้ได้ ผมจดทุกอย่าง ขนหนังสือเล่มโตๆ กลับบ้าน ศึกษามัน แสดงความโง่กับคนทุกคน ถามมันทุกเรื่องที่ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไรนี่ แล้วเราจะรู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ เอง ก็ต้องขอขอบคุณ ทุกๆ คำตอบ ที่ช่วยให้ผมฉลาดขึ้น .. โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า ถ้าเราโง่แล้วอวดฉลาด มันจะทำให้เราพัฒนาไม่ได้ และโง่มากขึ้นไปอีก..

มันอาจจะออกมาเป็นแนวคิดที่ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร ยากแค่ไหน ถ้าคุณมีกำลังใจที่จะฮึดสู้ คุณต้องทำมันได้แน่ๆ ขอเพียงอย่าดูถูกตัวเอง อย่าคิดว่า ชั้นทำได้แค่นี้แหละ คนส่วนหนึ่ง..มักจะจำกัดขีดความสามารถของตัวเองไว้ เพื่ออะไรไม่รู้ จริงๆ แล้ว ถ้าคุณลองทำเรื่องยากๆ ดูบ้าง คุณก็จะค้นพบว่า คุณมีศักยภาพที่จะทำอะไรๆ ได้มากกว่าที่คุณคิดเยอะเลย

กลับมาเรื่องแบบทดสอบทัศนคติ ผมเคยถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งด้วยความสงสัย ทำไมเราไม่ใช้การสอบคัดเลือกคนเข้าทำงานหล่ะ ท่านก็บอกว่า จะใช้ทำห่าอะไร (คือท่านเป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัวน่ะครับ) มันก็ฝากๆ กันมาทั้งนั้น ญาติคนนั้น พวกคนนี้ ของมึงยังเด็กฝากเลย .. เออ เข้าตัว .. ผมแค่นึกเลยเถิดไปถึงเรื่องประสิทธิภาพของคนเท่านั้นเอง ถ้าคนมีคุณภาพ องค์กรก็โตได้เร็ว จริงไหมครับ .. แต่มันก็เป็นสัจธรรมนะ เดี๋ยวนี้ระบบพรรคพวกมันก็มีอยู่เกลื่อนเมือง จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น: