While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สุขแบบพุทธ (อย่างย่อของผม)



ผมรื้อลิ้นชักโต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วพบโน๊ตบนการ์ดเยอะแยะเลย น่าจะของเมื่อ 2-3 ปีก่อน ตอนที่ผมเริ่มศึกษาพุทธอย่างจริงจัง พอเจออะไรที่ตรงกับความต้องการของตัวเองก็จดไว้ ตามความเข้าใจของตัวเอง เพื่อทบทวนทีหลัง ไม่น่าเชื่อว่ากว่าจะได้ทบทวนอีกทีก็ 2 ปีกว่า อ่านแล้วก็เออ ดีว่ะ เลยอยากเอามา online เผื่อใครจริตตรงกัน คงได้ประโยชน์เหมือนกัน
เอามาจากไหน ของพระท่านไหนบ้าง จำไม่ได้ครับ ไม่ได้จดไว้ด้วย (เพราะไม่ไหวจะไปจำ) เอาคำสอนท่าน มาสอนตัวเอง ถ้าปฏิบัติตามได้ ก็คงหลุดได้ ยังไงรากเหง้าก็มาจากพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกันนั่นล่ะ ที่เหลือก็เป็นเทคนิคในการสอนที่แตกต่างของพระแต่ละองค์ ผมว่าท่านไม่ถือหรอกที่ผมจะจำชื่อท่านไม่ได้ แค่รับฟังและเรียนรู้ก็เอาเถอะ
ปัญหาของผมมันคือ รู้ทฤษฎีแต่ปฏิบัติไม่ได้ตลอดเวลา เอาน่า ผมเป็นคนที่เชื่อในทฤษฎีนะ ถ้าเรารู้สิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะปฏิบัติได้ถูกต้อง แน่นอนว่ามันจะใช้เวลาสั้นกว่า และดีกว่าการหลงทางหรือลองผิดลองถูก .. มา เริ่มกัน
โคตรเหง้ากิเลส
- โมหะ เป็นพ่อแม่ (หลง)
- โลภ เป็นลูก (ราคะ)
- โทสะ เป็นหลาน
หลงก่อน
พัวพัน อยาก - ไม่ได้ก็โกรธ
พัฒนาการของจิต
รู้สึกถึงไม่ใช่ตัวเรา ใจ-กาย แยกจากกัน
ใจอยู่ส่วนหนึ่ง โลกอยู่อีกส่วนหนึ่ง
ไม่ต้องเอา ไม่ต้องทิ้ง แค่รู้ มีก็มี ไม่มีก็ไม่มี
อย่ารักษาจิต ไม่ใช่หน้าที่เรา มันเป็นหน้าที่ของสติ
เมื่อมีสติ จิตที่เป็นอกุศลอยู่ อกุศลจะดับทันที
ขณะที่มีสติ อกุศลจะเกิดไม่ได้
ทันทีที่มีสติ จิตกุศลเกิดแล้ว
ฝึกไว้เรื่อยๆ สติจะเกิดได้เร็วขึ้นๆ
ทำสมาธิมาก ... เนิ่นช้า
พิจารณามาก ... ฟุ้งซ่าน
หัวใจของการปฏิบัติคือ การมีสติในชีวิตประจำวัน
ระวัง อย่าเอาสมาธิมาเชือดคอตัวเองตาย มันเป็นดาบ 2 คม
ตัณหา มานะ ทิฐิ ทำให้ช้า เรามีเวลาไม่มาก
ผู้หลง นำความทุกข์มาให้ .. ผู้รู้ นำความสุขมาให้
พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
จิตผู้รู้เหมือนฟองไข่ เมื่อลูกไก่เติบโตเต็มที่แล้ว มันจะเจาะทำลายเปลือกออกมาเอง
จิต .. ไม่มีที่ตั้ง
จิตเกิดที่ไหน ก็ดับที่นั่น
สมถะ .. เอาใจไว้ที่เดียว ได้ฐานความสงบ (หรือเก็บกด)
วิปัสสนา .. ต้องการให้เห็นไตรลักษณ์ (ไปต่อได้)
การตามดูจิต คือ เมื่อเกิดความรู้สึกแล้ว ค่อยตามรู้เอา มี 2 อย่าง
1. ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (โลภ โกรธ หลง)
2. ดูพฤติกรรมของจิต ว่ามันหลงวิ่งไปทางไหนของอายตนะทั้ง 6 ไม่ต้องค้นหาจิต ให้รู้เฉยๆ
นี้เรียกว่ารู้ตาม เมื่อรู้ตามจนเชี่ยวชาญ จะเกิดการ รู้ทันจิต
เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ก็ดูมันไป
มันเป็นของๆ เราล้วนๆ
ไม่ต้องไปยุ่งกับคนอื่น มันไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ความกลัวของเรา เราปรุงแต่ง (ผีของเรา)
ความอยากของเรา เราปรุงแต่ง (ตัณหาของเรา)
โทสะของเรา เราปรุงแต่ง (ที่ใจของเรา)
โมหะของเรา เราปรุงแต่ง (อวิชชาของเรา)
เมื่อออกจากสมาธิ ให้ออกเลย อย่าไปค้างๆ มันจะเหมือนหินทับหญ้า
ให้ออกมาเจริญสติต่อ ทำไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา
ให้สังเกตุความเปลี่ยนแปลงของจิต
ขณะออกจากสมาธิ กับขณะทำสมาธิ
เมื่อขี้เกียจ อยาก สนุก สบาย หงุดหงิด พอใจ ไม่พอใจ
ให้รู้ความรู้สึกทุกชนิดที่มันเกิดขึ้น
ถ้าจิตส่งออกนอก จะลืมตัว ลืมใจ
ถ้ารู้ว่าจิตคิด จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ
จิตจะหลุดออกจากโลกของความคิด จิตจะตื่นมารู้ถึงกายใจได้
เมื่อเห็นเนืองๆ จะเห็นความจริงของกายใจ เกิดวิปัสสนาปัญญา
เห็นร่างกายเป็นวัตถุธาตุ เหมือนหุ่นยนต์ เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ
จิตใจก็ทำงานไปเรื่อยๆ สุข ทุกข์ ดี ร้าย ไม่คงที่
บังคับไม่ได้ เลือกไม่ได้ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ตัวที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารวัฏ คือ
สัตว์ ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก
ตัณหา เป็นแรงผลัก ให้ดิ้นรนไป สร้างภพ สร้างชาติ
ละของเก่า อย่าไปยึดของใหม่ พิจารณาทุกอย่างให้ดี
เพราะตอนละ มันจะยากกว่าเป็น 10 เท่า
เมื่อลืมกาย ลืมใจ เราจะหลงไปอยู่ในโลกของความคิด
เมื่อหลงไปอยู่ในโลกของความคิดแล้ว ก็จะเกิดความมีตัวตนขึ้น
เพราะอย่างนั้น ความมีตัวตน ไม่มีอยู่จริง
ความมีตัวตน เป็นแค่ความคิด เป็นทิฐิ เป็นความเห็นผิด เท่านั้นเอง
ให้รู้เสมอว่า ทำอะไร ทำเพื่ออะไร ทำอย่างไร
การปฏิบัติ ต้องรู้กายรู้ใจตัวเอง ด้วยจิตที่เป็นกลาง
รู้ลงไปในปัจจุบัน รู้แล้วไม่เข้าไปแทรกแซง
รู้จนเห็นความจริงของเขาว่า มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
รู้จนไม่ยึดถืออะไร  มันจะไหลไปสู่นิพพานเอง
ติดสมถะ = เกยตื้น
สร้างภพที่ว่างๆ ขึ้นมา แล้วเข้าไปอยู่
เข้าไปแช่ อยู่ในความนิ่ง
อุปสรรค
ติดยึด .. ของมีคู่ อายตนะภายนอก-ภายใน สุข-ทุกข์
เกยตื้น .. ติดอยู่กับผลประโยชน์ ลาภสักการะ
ถูกมนุษย์จับไว้ .. ห่วง บ่วงผูกคอ
ถูกอมนุษย์จับไว้ .. ชื่อเสียง ยศ สรรเสริญ อยากเป็นพรหม
ถูกน้ำวนดูดลงไป .. กามคุณทั้ง 5 หลงไปกับสุขทางอายตนะ
จมในน้ำเน่า .. ทุศีล
ปัญหาที่เกิดในการปฏิบัติ
จิตไปหลงกับอาการของจิต
คิดสงสัยในอาการของจิต
คิดจะแก้อาการของจิต
อย่าไปสงสัย แค่ให้รู้มันไป ถ้ามันสงสัย ก็ให้รู้ว่าสงสัย เท่านั้นเอง
ปลุกจิตให้ตื่นก่อน
เป็นผู้ดู ให้รู้สึกตัวอยู่
ถ้าส่งจิตไปพิจารณา จะกลายเป็นสมถะ
หินทับหญ้าคือ เราเชื่อ แต่จิตไม่เชื่อ
ต้องฝึกรู้ ให้จิตรู้เอง เขาจะละเอง
ก่อนจะรู้ อย่าจงใจ ให้มันรู้เอง
ระหว่างรู้ สักว่ารู้ สักว่าเห็น อย่ากระโจนลงไปรู้
รู้แล้ว จบแค่รู้ ไม่แทรกแซง ไม่ปรุงแต่ง
ไม่หลงไปตามความยินดี ยินร้าย
ภาวะแยกตัวจากภายนอก
1. กำลังสมาธิกั้นไว้ (จงใจ)
2. กำลังปัญญากั้นไว้ (ผ่านวิปัสสนา ไม่ต้องจงใจ)
ไม่ต้องสนใจ แยกก็ช่าง ไม่แยกก็ช่าง
ชาติคือความเกิด ความได้มาซึ่งอายตนะ
เพราะจิตเข้าไปเกาะเกี่ยว หยิบฉวย ยึดถือ เอากาย-ใจ มาเป็นตัวเป็นตน
วันใดที่จิตรู้ว่า กายใจนี้ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ จะทิ้งเอง
เพราะรู้ตามความเป็นจริง จึงเบื่อหน่าย
เพราะเบื่อหน่าย จึงคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น
เพราะหลุดพ้น จึงรู้ว่าหลุดแล้ว
ความหลง ต้องอาศัย
1. ตา
2. หู
3. จมูก
4. ลิ้น
5. กาย
6. ใจ
step แรก ผ่านข้อ 1-5 ทำให้ลืมกาย ลืมใจ
step 2 คือใจ หลงไปคิด หลงไปเพ่ง
อุปสรรคของการเจริญสติ
1. ใจลอย เหม่อ เผลอ หลงไปคิด
2. เพ่ง บังคับ
บทสรุปของมนุษย์
โลเล ใจเสาะ อ่อนแอ ท้อแท้ ขี้บ่น ขี้เกียจ มักง่าย อินทรีย์อ่อน
ภพชาติของเรา
เดรัจฉาน .. หลง ล่องลอย ไม่รู้ตัว ลังเล สงสัย
อสูรกาย .. ทิฐิ อวดดี
เปรต .. โลภ อยาก
พรหม .. สงบ
จิตขึ้นวิถี จะลงสู่ภวังค์ มีอาการวูปเป็นระยะๆ
จิตถึงฐาน จะมีความตั้งมั่นในการรู้สภาวะ ไม่เพ่ง ไม่ส่งออก
ขณิกสมาธิ เอาไว้เดินปัญญา
เรามักจะขาดสติอยู่ตลอดเวลา
คือหลงไปจากปัจจุบัน เรียกว่า ฝันตอนตื่น
ทุกข์ กิเลส เกิดตอนที่เราเผลอ
ฝึก ให้เห็นสติชัดขึ้น เห็นกายในกาย ใจในใจ
ให้จิตอยู่ที่ฐานกายตลอดเวลา
กาย .. ลมหายใจ ความเคลื่อนไหว
เวทนา .. ความรู้สึกทางกายภาพ
จิต .. ความรู้สึกทางรูปธรรม (รัก โลภ โกรธ หลง)
ธรรม .. ความคิดกุศล อกุศล พิจารณาธรรม
มันเด่นที่ไหน ให้จิตไปอยู่ที่ตรงนั้น
ฝึกจิตให้รู้สติ ถ้ามันไม่รู้ อย่าปล่อยออกไป มันจะไปตามกิเลส
ถ้ามันรู้แล้วจึงปล่อยได้ มันจะไปแบบมีสติรู้
เมื่อพระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าเรื่องสตรี ทรงตอบว่า (ผมสรุปขั้นตอนคร่าวๆ นะ)
1. อย่าเห็นเลย
2. จำเป็นก็เห็น .. อย่าพูด
3. จำเป็นก็พูด ให้พูดเท่าที่จำเป็น พูดอย่างมีสติ
4. ต้องระวังตัวตลอดเวลา อย่าปล่อยความคิด อย่าไร้สติ
5. ถ้ารู้ตัวว่า เริ่มมีจิตสกปรก ต้องหยุดทั้งหมด ถอนตัวออกมาทันที
อันนี้สำหรับคนที่ยังไม่มี และไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ควรปฏิบัติ
เอาล่ะ เลิกใช้ชีวิตทิ้งขว้าง แล้วกลับมาดูเข้าไปข้างในกันดีกว่า ลองจริงจังกับมัน เผื่อมันจะพ้นขึ้นมา.

ไม่มีความคิดเห็น: