While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

ในโลกแห่งความฝัน ..

ในฝันของฉัน .. เธอทอดร่างเปลือยเปล่าอยู่ในเงามืด สัมผัสนุ่มนวลบนตัวฉัน .. ด้วยผิวเรียบลื่น เป็นมันวาวสะท้อนแสงจันทร์ .. ผมดิ้นสุดแรง ลุกพรวดขึ้นมา ใจเต้นโครมคราม .. ให้ตายสิ ฝันถึงงูอีกแล้ว ผมกลัวงูครับ แค่เห็นก็ตกใจ แต่ก็ไม่ได้กลัวขนาดไม่กล้าตีหรอกครับ ผมไม่ได้กลัวอยู่คนเดียวนะครับ mike oldfield ก็กลัว จนแต่งเพลง serpent dream ออกมาได้ไพเราะขนาดนี้ .. มีเรื่องตลกเกี่ยวกับงูด้วยนะครับ ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิแล้วเห็นแต่งูเต็มไปหมดอยู่ตรงหน้า ไม่ได้หลับนะครับ มีสติครบ จนต้องลืมตานั่งกันไปเลยวันนั้น ผมคงเคยมีปัญหากับงู มันเลยตามจองเวรไม่เลิกสักที .. จบเรื่องงูครับ
ผมรู้นะคุณคิดอะไรอยู่ ตอนแรกคุณคงสังสัยว่า ไอ้บ้านี่จะมาเขียนนิยายเรท R ขายรึเปล่าวะ .. ไม่ครับ ถ้าคุณนึกภาพตามดีๆ มันคือความสยดสยองซะมากกว่า .. คราวนี้ผมจะมาพูดเรื่องความฝันครับ เราทุกคนต้องฝัน ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่ฝัน คุณไม่ได้โกหกหรอกครับ คุณแค่จำมันไม่ได้ อันเนื่องมาจากช่วงเวลาที่คุณฝัน กับช่วงเวลาที่คุณตื่นมันห่างกัน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ .. แล้วความผันมันมีอะไรน่าสนใจเหรอ .. น่าสนใจสิครับ ก็เราทุกคนต้องฝัน สารพัดเรื่องจะเอามาฝัน  ในเมื่อเราเลี่ยงมันไม่ได้ แล้วจะปล่อยให้มันเสียเปล่าไปทำไม และจริงๆ แล้ว ความฝันมีประโยชน์นะครับ มาเอาประโยชน์จากมันกันดีกว่า
ก่อนอื่นมาดูเรื่องกลไกของการนอนหลับกันก่อนดีกว่าครับ ไม่อย่างนั้นเราจะฝันไม่ได้ .. เราต้องหลับ เพื่อให้ growth hormone ทำงาน, ให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง, พักสมอง (อันนี้เป็นประเด็นที่มีปัญหา มันได้พักจริงรึเปล่า) – ถ้าคุณนอนไม่พอ คุณก็จะล้า ง่วง หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี มีแนวโน้มที่จะอาละวาดได้ง่ายกว่าปกติ และความคิดเจอทางตัน
คุณรู้ไหม ถ้าคุณนอน 8 ชั่วโมง คุณจะใช้เวลาไปกับการฝัน 2 ชั่วโมงเลยล่ะครับ มันเป็น 2 ชั่วโมงที่สมองทำงานเต็มที่ และคุณห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ การฝันจะมี 3-5 เรื่องต่อคืน ทุกคนจะเป็นเหมือนกันหมดครับ แล้วคุณคิดว่าเราควรให้ความสำคัญกับเรื่องฝันๆ กันหรือยัง .. อ้อ หมาก็ฝันนะครับ เจ้า bach ของผมมักจะตะกุยขาและเห่า บางทีมีขู่ด้วย .. บทสรุปจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผมไม่อ้างถึงที่มานะ จำไม่ได้ครับ เขาบอกว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีความฝัน แม้แต่หนูขาวในห้องทดลองเกี่ยวกับความฝัน
ความฝันถูกพูดถึงใน 2 แบบครับ แบบแรกเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ คืออธิบายให้ชัดเจนไม่ค่อยได้น่ะครับ แบบหลังสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา
เอาแบบแรกก่อนไหมครับ เบาๆ ไม่เครียด แต่คุณอ่านแล้วอาจเครียดกับฝันของคุณก็ได้นะครับ .. คุณเคยเห็นหนังสือทำนายฝันไหม ที่บ้านผมมีเล่มนึง หนาครึ่งนิ้วได้ ปกแข็ง มีรูปซินแสแก่ๆ เครายาว นั่งขัดสมาธิอยู่ เก่ามาก น่าจะสัก 60 ปีขึ้น ผมยังเคยใช้มันอยู่ 2-3ครั้ง .. แปลว่า คนทั่วไปให้ความสำคัญกับความฝัน และเชื่อว่าความฝันบอกอะไรบางอย่าง แล้วมันบอกอะไรล่ะครับ มาเล่นแบบบ้านๆ กันก่อนละกันครับ เขาจะแยกความฝันออกเป็น 4 อย่างด้วยกัน
1.       กรรมนิมิต คือฝันที่เกิดจากกรรม จะพูดยังไงดี คือกรรมที่ทำไว้(กรรมคือการกระทำนะครับ ไม่มีอะไรเยอะไปกว่านั้น แล้วก็แยกเป็น กรรมดี กรรมชั่ว เขาสื่อความหมายให้คุณเข้าใจผิดไปว่ากรรมคือการกระทำไม่ดี จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ) คือสิ่งที่ทำไว้ออกมาเตือนถึงความถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องของมโนธรรม
2.       จิตนิวรณ์ คือเรื่องที่เราวิตกกังวลจนเก็บมาฝันน่ะครับ
3.       ลางสังหรณ์ อันนี้จะดีหน่อย เป็นเทวดามาบอกเรื่องดีเรื่องร้ายน่ะครับ เขาว่าฝันแบบนี้จะเกิดตอนเช้ามืด แปลว่าเทวดาเริ่มงานก่อนเราหลายชั่วโมงครับ (ถ้าหลังบ่าย 3 ก็อย่าเพิ่งไปขอให้เทวดาช่วยอะไรนะครับ เทวดาเลิกงานแล้ว เกรงใจท่านหน่อย จะใช้งานอะไรกันทั้งวันทั้งคืน)
4.       ธาตุกำเริบ คือกินไม่บันยะบันยัง กินก่อนนอนไม่นานพอ จะเกิดอาการฝันมั่ว เละเทะ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว อันนี้ผมเป็นบ่อยครับ เพราะมื้อดึกผมจะเป็นตอน 5 ทุ่ม ความจริงมันเป็นมื้อเย็นของคุณนั่นแหละ
No comment ครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ คงไม่อาจอธิบายให้ชัดเจนได้ ข้ามไปเรื่องต่อไปเลยละกันครับ .. ไปมันน้ำขุ่นๆ นี่ล่ะ ..
ทีนี้มาว่ากันด้วยวิทยาศาสตร์ คือสิ่งที่สามารถทำการทดลองได้ จดบันทึกได้ ประมวลผลได้ .. จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในระบบปิด (lab น่ะครับ เอาคนมานอนใน lab เขาก็หลับกันได้เหมือนกันแฮะ) มีการตรวจสอบ 2 อย่างครับ
1.       คลื่นไฟฟ้าสมอง
2.       กับอัตราการเต้นของหัวใจ
การนอนหลับจะมีวงจรประมาณ 90 นาทีต่อรอบครับ .. พอเราล้มตัวลงนอนปั๊ป สักพักเราก็จะเคลิ้ม แล้วก็หลับตื้นๆ ตรงที่หลับตื้นๆ นี่จะกินเวลาราว 60 นาที จากนั้นเราจะหลับลึกและฝัน ซึ่งใช้เวลาราว 30 นาที แล้ววนใหม่อีกรอบไปเรื่อยๆ ตลอดช่วงการนอนของคุณ .. ปัญหามันอยู่ตรงที่ตอนหลับลึกและฝันนั่นแหละครับ คลื่นสมองและอัตราการเต้นของหัวใจจะเหมือนกับคนที่ตื่นเต็มที่เลยครับ เพียงแต่ร่างกายเป็นอัมพาต แต่ลูกตาจะกลอกไปมาอย่างรวดเร็วภายใต้หนังตาที่หลับอยู่ ..
เราเรียกช่วงของการหลับตื้นๆ ว่าช่วง delta และเรียกช่วงที่หลับลึกว่า REM (Rapid Eye Movement) .. ถ้าคุณตื่นขึ้นในช่วง REM คุณจะจำฝันที่เหมือนจริงของคุณได้ แต่ถ้าคุณตื่นขึ้นในช่วง Delta คุณจะลืมหมด หรือจำได้ลางๆ เท่านั้น ..
และคุณมีวัตถุดิบมากมายอยู่แล้วในหัวของคุณเอง ผ่านทางการมองเห็น ได้ยิน สัมผัส ได้กลิ่น หรือกินเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตัวคุณไป จะถูกสะสมไว้ตั้งแต่คุณยังเป็นทารกโน่นแน่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนัง sci-fi โดเรมอน นินจาฮาโตริ หรือตำราทำอาหาร(จงระวัง สิ่งที่จะผ่านตัวคุณไป) คุณไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ถ้าในฝัน คุณเป็น dark vader บนยาน enterprise หรือหวังจู่เสียนในวัดหลานยั่วจากโปเยโปโลเย สวยขนาดนั้นเลย .. แต่ทั้งชีวิตคุณ จะมีสิ่งที่คุณรู้และจำได้ไม่กี่เปอร์เซนต์หรอกครับ ที่เหลือมันก็ไม่ได้หายไปไหนนะ มันยังอยู่แหละครับ อยู่ในส่วนที่คุณเข้าไปไม่ถึงเท่านั้นเอง แต่ความฝันเข้าถึงมันได้ .. ทำไม
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองแล้วสรุปออกมาว่า ในขณะฝัน สมองส่วน cerebral cortex จะทำการเชื่อมโยงและดึงข้อมูลจากสมองส่วนอื่นๆ นั่นคือคำตอบว่า เราเอาเรื่องจากไหนมาฝันกันนักหนา แต่เจ้า cerebral cortex กลับเว้นสมองส่วนหนึ่งไว้ ไม่ติดต่อเข้าไป ซึ่งก็คือ dorsolateral prefrontal cortex ที่มีหน้าที่ในการวางแผนและประเมินสถานการณ์ ทำให้เราไม่สามารถใช้เหตุผลในความฝัน หรือควบคุมแก้ไขอะไรในความฝันได้ ได้แต่รอรับเคราะห์ เหมือนเหยื่อผู้บริสุทธิ์ในหนังสยองขวัญ .. ไม่เข้าท่า
คราวนี้ลองมาดูคำอธิบายทางด้านจิตวิทยากันบ้างครับ ผมเข้าใจน่า จิตวิทยาเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่มันก็จำเป็นในการดำรงชีวิตนะครับ คุณอาจไม่รู้ตัว แต่คุณใช้จิตวิทยากับคนอื่นและตัวคุณเองอยู่ทุกวันน่ะแหละครับ เอาน่า ลองอ่านๆ ดูก่อนเถอะ เผื่อจะสนุกนะ
นักจิตวิทยาเขาแยกจิตของคนเราออกมา 2 อย่าง
1.       จิตสำนึก (conscious mild)
2.       จิตใต้สำนึก (subconscious mild) หรือจิตไร้สำนึก
แค่นี้ยังยุ่งไม่พอครับ นักจิตวิทยายุคใหม่บอกว่า มันยังมีอีกอย่างคือ จิตเหนือสำนึก (super conscious mild) หรือสัมผัสที่หก (sixth sense) อีกด้วย .. คุ้นๆ ไหมครับ แต่ผมจะไม่พูดเรื่องเหนือธรรมชาติแล้วครับ มันไปไม่ถูก ไม่ไปดีกว่า
แล้วไอ้จิต 2-3 อย่างนี่ มันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องความฝัน .. ทฤษฏีหนึ่งบอกว่า จิตเหนือสำนึกเป็นตัวที่กำหนดความฝัน .. อีกทฤษฏีหนึ่งบอกว่าความฝัน เกิดจากการทำงานร่วมกันของจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก .. แต่เรารู้แน่ๆ ล่ะว่า ความฝันมีการเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของเรา ซึ่งในขณะตื่น เราไม่สนใจมัน นั่นคือการเข้าถึงข้อมูลที่คุณเข้าไม่ถึงในขณะที่คุณรู้ตัว
ในทางจิตวิทยา เขาก็มีการแยกรูปแบบการฝันด้วยเหมือนกันนะครับ มีอยู่ 5 อย่างด้วยกัน
1.       Recurring dream - จะคล้ายเรื่องจริง ไม่เว่อร์มาก ความฝันแบบนี้จะเกิดจากความวิตกกังวล
2.       Epic dream - อันนี้จะฝันเป็นเรื่องเป็นราว เป็นนิทานเป็นเรื่องๆ จินตนาการฝันเฟื่องไปเลยครับ
3.       Healing dream - จะเกี่ยวกับสุขภาพกาย สุขภาพใจ ความเจ็บป่วย ปวดฉี่ก็ใช่ ..
4.       Nightmare - ฝันร้าย แบบที่ผมฝันตอนต้นไงครับ อาจทำให้คุณถึงกับตกใจตื่น
5.       Prophetic dream - ฝันบอกอนาคต ในที่นี้ไม่ใช่เทวดามาบอกนะครับ แต่เป็นกระบวนการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ ของจิตใต้สำนึก แล้วเอาคำตอบมาให้เจ้านายของเขา มันเลยเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นจริง
ตามหลักจิตวิทยา เขาบอกว่า ความฝันเป็นกลไกการทำงานของจิต เพื่อช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น .. ว่ากันเป็นข้อๆ ไปเลยแล้วกันครับ อ่านง่ายดี
1.       เพื่อลดความเครียดจากความกดดันต่างๆ ในชีวิต
2.       เป็นการแสดงตัวของเรื่องที่ฝังอยู่ในหัว แต่ถูกเรากดให้มันลืม .. ดื้อด้านนะ
3.       แสดงออกถึงเรื่องที่ถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก
4.       แสดงออกถึงเรื่องที่ยังสะสางไม่ได้ ค้างคาใจอยู่
5.       แสดงออกถึงความกลัว
6.       เพื่อระบายความรู้สึกแย่ๆ ออกไป
7.       สมองทำการจัดระบบข้อมูลใหม่ ในขณะที่เราหลับ เพื่อทำการเชื่อมโยงข้อมูลที่มี เลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไว้ให้เข้าถึงได้ง่าย อะไรไม่ค่อยมีประโยชน์ ก็เอาไปไว้ลึกๆ
คุณรู้จัก Froyd ไหม เจ้าพ่อจิตวิทยาคนนั้นบอกว่า ความฝันเป็นการแสดงความต้องการของจิตใจ - มันจะเกิดจากเรื่องที่เคยพบมาก่อน และจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่ถูกเก็บกดไว้ในจิตใต้สำนึก เพื่อการแก้ปัญหา ..
เอาล่ะ ประโยชน์หลักๆ ของการเข้าใจความฝันคือ มันจะช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ปัญหาที่กวนใจเราอยู่ รู้ความต้องการที่เราไม่กล้าคิดมันตรงๆ เห็นตัวตนของตัวเองในแบบที่เราไม่เคยยอมรับ .. แล้วคุณคิดว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณมากพอหรือยัง .. ผมเชื่อว่า ถ้าเราเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีพอ เราก็จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเราได้ และเราจะมีความสุขมากขึ้น มันน่าจะดีนะครับ
แต่ก่อนที่เราจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ เราคงต้องจำความฝันของเราให้ได้ก่อน ที่เขาทำๆ กันคือจดบันทึกความฝันครับ แต่ผมไม่เคยทำนะ ตื่นมาก็เออ เราฝันอะไรวะ แล้วตีความว่ามันบอกอะไร คือผมไม่ค่อย serious น่ะครับ .. การตีความ คงไม่ต้องไปให้จิตแพทย์ตีความให้ก็ได้ เผื่อมันเป็นเรื่องฉันรักผัวเขาขึ้นมา จะได้อายเสียเปล่าๆ .. คุณแค่ทบทวนความคิด คุณก็จะเจอเองล่ะครับว่า ฝันของคุณบอกอะไร
แต่แค่นี้มันยังไม่สะใจหรอกครับ มีสนุกและได้งานกว่านี้อีก .. การควบคุมความฝันครับ ถ้าเราปล่อยเลยตามเลย ฝันมันก็เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แต่คุณรู้ไหมมันควบคุมได้นะ จากการฝึกทักษะในการฝัน .. อย่าเพิ่งคิดว่าผมบ้าสิครับ เรื่องนี้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้วครับ .. การควบคุมความฝัน หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า lucid dream มีประโยชน์มากกว่าการฝันไปตามยถากรรม ตรงที่มันสามารถแก้ปัญหาในใจของคุณได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความกลัวหรือความกังวล .. คุณเริ่มสนใจแล้วใช่ไหม งั้นมาดูกันว่าเขาทำยังไง
ประเด็นหลักคือต้องรู้ให้ได้ว่ากำลังฝันอยู่ เพื่อให้ dorsolateral prefrontal cortex ลุกขึ้นมาทำงาน เราจะได้คุมมันได้ไง .. ไม่ง่ายครับ แล้วจะรู้ได้ไงว่ากำลังฝัน วิธีคือ
1.       ก็หนีไม่พ้นเรื่องต้องจำความฝันให้ได้ก่อนน่ะแหละครับ โดยจดบันทึกความฝัน ฝรั่งเรียกว่า dream journal การบันทึกจะทำให้คุณเห็นรูปแบบ และจดจำมันได้ เมื่อคุณเจอรูปแบบเดิมๆ คุณก็จะรู้ว่าคุณฝันอยู่
2.       ทดสอบสภาวะที่คุณเจอ ว่ามันจริงไหม เช่นลองหยิกตัวเองดู ผมเคยลองในฝัน มันก็เจ็บนะ
3.       หาสัญลักษณ์ของฝันหรือ dream sign คืออะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้น่ะครับ เช่น หมาพูดได้ ควายสีชมพู หมูกินช้าง...
การที่จะเข้าถึง lucid dream ก็มีอยู่ 2-3 วิธีครับ
1.       DILD เป็นการเข้าถึงจากความฝันปกติแหละครับ แล้วเจอ dream sign ก็รู้ว่าฉันฝันอยู่ แล้วควบคุมมัน
2.       WILD เป็นการตั้งใจเลยครับ คือให้รู้ตัวและมีสติอยู่ตลอด จนเห็นความฝันชัดเจน แต่ก็ยังรู้ตัวอยู่ (ผมฝันว่าตัวเองมีวิทยายุทธ ชนะทุกคนที่สู้ด้วย แต่ก็รู้ว่านอนอยู่และชาไปทั้งตัว อย่างนี้ใช่ด้วยไหม) นักท่องความฝัน (dream explorer) เขาบอกว่า ให้ผ่อนคลาย-มีสติ-แล้วเข้าสู่ความฝัน ซึ่งจะใช้การได้ดีตอนกลางวัน ถ้ากลางคืนมันจะหลับไปก่อนแล้วสติหลุด .. พูดง่ายชิบหาย .. ผมเลยสงสัยว่า มันเป็นการสะกดจิตตัวเองหรือเปล่า
3.       MILD อันนี้จะต้องทุ่มเทหน่อยครับ ให้สมมุติว่าตัวเองฝันอยู่ตลอด ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าฝันอยู่หรือเปล่า แล้วมองหา dream sign ถ้าเจอก็ใช่ฝันหล่ะครับ โห แล้วเราจะคิดว่าฝันอยู่ตลอดเวลาได้ยังไงล่ะนี่
ทั้ง 3 วิธีนี้จะมีจุดร่วมกันอยู่เรื่องหนึ่งคือต้องรู้ตัวให้ได้ ต้องมีสติอยู่ตลอด ถ้างั้นการนั่งสมาธิแบบฝึกสติก็น่าจะช่วยได้ดี (ไม่ใช่สมาธิแบบเอาฌานนะครับ) .. เอาล่ะ ผมว่ายังไงๆ เรื่องของความฝันมันก็คงมีประโยชน์อะไรบ้างล่ะ ต้องลองทดสอบกันดูเองนะครับ ก่อนที่จะตัดสินว่ามันมีประโยชน์จริงไหม
ก่อนจบ ผมจะทำให้คุณสับสนเพิ่มขึ้นอีกหน่อย โดยผมจะเล่า 2 เรื่องที่มันคนละด้านกันเลย จากประสบการณ์ด้านการฝันของผมเอง
เรื่องแรกเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติครับ .. 10 ปีก่อน .. ผมฝันว่าฟันหัก โบราณว่าญาติผู้ใหญ่จะเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต วิธีแก้ฝันคือไปเล่าให้ส้วมฟังครับ (อ่ะ .. ขำอีกแล้ว นี่เรื่องจริงนะ) แต่มันไม่ได้ผล อีกอาทิตย์นึงผมฝันอีก ว่ามีคนแบกโลง 2 โลง ออกจากบ้านไป ที่จำได้เพราะมันแปลกและทำให้กังวล ถัดมาไม่ถึง 2 เดือน ป้าผมเสีย และมีเหตุให้เราขุดกระดูกย่ามาตั้งสวดพร้อมกับป้าที่บ้าน เลยมีการเอาโลงออกไปจากบ้านพร้อมกัน 2 โลง .. ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมแค่อธิบายไม่ได้ ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกันไหม แต่ก็ไม่อยากคิดว่ามันคือลางบอกเหตุ .. จริงเหรอ
ความจริงแล้วผมเชื่อว่าความฝันบอกอาการทางจิตมากกว่า ผมมักจะฝันว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัด ทำให้ผมรู้ได้ชัดเจนว่าความฝันสื่อถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึก ในชีวิตปกติผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันอึดอัดนะ แต่มันก็มีเรื่องที่ผมจัดการไม่ได้อยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร เขาบอกว่าครึ่งหนึ่งของสิ่งที่คุณทำไม่ได้คือคุณไม่ได้ทำ .. สำหรับผมมันแค่คุณธรรมค้ำคอ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดีหรือไม่ คุณก็ต้องมีคุณธรรมอยู่ดีน่ะแหละ คุณถึงจะเป็นคนได้
อีกเรื่อง ที่บอกอาการทางจิตโดยตรง .. เมื่อผมตัดสินใจว่าผมจะตัดคนๆ หนึ่งออกไปจากระบบความคิด ด้วยเหตุผลที่สมควร คุณเชื่อไหมว่าจิตใต้สำนึกมันต่อต้านโดยอาศัยความฝัน ผมฝันถึงเขาทุกคืนเป็นอาทิตย์ ว่าเขาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ แต่เราต้องเข้าใจตัวจิตใต้สำนึกด้วย เขารับแต่ส่วนดี ที่เราเป็นคนยัดไว้เองน่ะแหละ มันฝังอยู่ และเขาไม่ยอมรับรู้เหตุผลจากการคิดวิเคราะห์ เราก็จะเจอทางเลือก 2 ทางครับ
1.       เชื่อว่าความฝันบอกความจริงกับเรา แล้วล้มเลิกความคิดเสีย .. ทำตัวปัญญาอ่อนต่อไป
2.       เชื่อว่าความฝัน เป็นอาการดิ้นรนของจิตใต้สำนึกที่คอยต่อต้านการคิดและการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ผมเลือกอย่างหลังครับ ผมจะยิ้มให้กับจิตใต้สำนึกของผม แล้วถามเขาว่าทำไมดื้อจังเลย จากนั้นก็ปล่อยให้เขาดิ้นของเขาไป เขาเหนื่อย เขาเบื่อ เขาก็เลิกเอง ต้องค่อยๆ บอกความจริงกับเขาครับ มันอาจใช้เวลานิดหน่อย แต่เขาก็จะค่อยๆ เชื่อ .. มันไม่ได้เป็นเฉพาะเรื่องคนหรอกครับ เรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน คุณแค่ต้องให้ความเอ็นดูใครอีกคนที่อยู่ข้างในตัวคุณให้มากหน่อย เขาก็แค่เด็กดื้อๆ ที่ไม่ฟังเหตุผลและต้องการแค่เอาชนะ .. ถ้าเขาอยากจะแสดงอะไร ก็ให้เขาแสดงออกมา ค่อยๆ สอนกันไป เดี๋ยวเขาก็รู้เรื่องเอง.

ไม่มีความคิดเห็น: