While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไปเที่ยวโคราชกับเจ้านาย ขึ้นเขา เข้าป่า

คนญี่ปุ่นนี่มันตรงเวลาดีชิบหาย เขาเข้า office ตอน 9.15 ยังจะเปิดคอมเช็คเมล์อีก ผมเลยคิดว่า คงออกช้ากว่า 9.30 แน่ๆ นั่งบอกงานลูกน้องอยู่ พวกหอบข้าวของพร้อมไปแล้ว เดินลิ่วๆ ผมก็ตาลีตาเหลือกคว้าแฟ้มเอกสารวิ่งตาม ลืมของสำคัญ โทรศัพท์กับบุหรี่ สำหรับคนอื่น การขาดโทรศัพท์คงแทบขาดใจ แต่สำหรับผม ไม่ .. มันเป็นแค่นาฬิกาปลุก มีไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้นเอง บุหรี่สิสำคัญ ขาดเธอคงได้ลงแดงกันบ้างหรอก ดีนะที่มันหาซื้อได้ทั่วไป ไอ้ที่เจ็บใจ มานึกได้ตอนออกจากโรงงานไปได้ไม่ถึง 1 กม. เอ้า ลืมแล้วก็แล้วกันไป
รู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตเอามากๆ ก็พี่ดรแกเล่นเหยียบ 120-140 ตลอดทาง ขนาดบนเขายังเหยียบ 100 กว่า แล้วบอกว่ามาบ่อย ไม่ต้องห่วง ใช้เส้นนี้ตลอด ไม่น่ากลัวหรอก (เรามีสาขาที่ขอนแก่น มีรถเทเลอร์วิ่งขึ้นอาทิตย์ละ 2 ครั้ง บางทีก็ใช้ vios พา engineer ขึ้นไปดูงานด้วย มีคนขับรถ 6 คน สลับกันไป) แต่ทำไมผมฟังแล้วไม่รู้สึกสบายใจก็ไม่รู้ คนที่เคยใช้เส้นทางนี้ น่าจะรู้ และนี่มัน vios รถส่งของๆ บริษัท ไม่ใช่ camry นะโว๊ย
ผมไม่ได้ว่า vios มันไม่ดี มันดีออก คันเร่งไฟฟ้า เหยียบปุ๊ปพุ่งปั๊บ เร่งความเร็วได้ทันใจวัยรุ่น น้ำหนักเบา ประหยัดเชื้อเพลิง เหมาะมากกับการใช้งานในเมือง หรือการเดินทางระยะสั้นๆ ที่ไม่ใช้ความเร็วสูงนัก .. แต่เมื่อความเร็วถึง 120 มันเริ่มร่อน เหมือนจะบินไป มันให้ความรู้สึกไม่มั่นคง น่ากลัว กูเสียวไส้ กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าลูก หรือผมแก่เกินไปแล้วก็ไม่รู้นะ .. ผมเคยขับให้น้าครั้งหนึ่ง น้าอีกคนกำลังโคม่า แล้วน้าคนนี้ใจเสียเกินกว่าจะขับรถเอง เขามาที่บ้าน กะว่าจะไปกับพ่อแม่ผม แต่ท่านออกไปก่อนแล้ว เขาเลยใช้ให้ผมขับรถให้ ด้วยความรีบ กลัวไม่ทันไปดูใจ ผมก็เหยียบไปเรื่อย แต่แล้วก็รีบไม่ออก เพราะกลัวตายเองมากกว่าไปไม่ทันดูใจคนใกล้ตาย
เขาปักธงชัยยังคงสวยงามเหมือนเดิม ภาพที่เห็นยังคงคุ้นตา ยอดไม้ในห้วงหุบเหว ทิวไม้บนสันเขา กิ่งก้านไม้ใหญ่อายุเป็นร้อยปี ที่แผ่ปกคลุมถนน ช่องทางเล็กๆ ที่ทอดเข้าสู่ป่าดำมืดข้างทาง ช่างให้ความรู้สึกน่าค้นหา ออกซิเจนหนาแน่นที่เราไม่ได้พบกันบ่อยนัก แม้ในสวนสาธารณะกลางกรุง หูดังวิ้งๆ ตอนขึ้นสู่จุดสูงสุด (ผมนึกเล่นๆ ว่า ถ้าเราไม่กลืนน้ำลาย แก้วหูมันจะแตกไหมวะ แต่ก็ไม่ได้ลอง) มันเหมือนที่มันเคยเป็น ถึงจะผ่านมานานกว่า 15 ปี จากครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็น มันก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน oh, déjà vu ..
ผมเตรียมหนังสือมาอ่านด้วยนะ แต่ใครจะไปอ่านลง ในขณะที่มีเรื่องสวยงามและเรื่องน่าตื่นเต้น ลอยอยู่ตรงหน้าแบบนี้ .. น้องผมจบจากสุรนารี(มทส.น่ะครับ ในนั้นก็น่าอยู่เหมือนกัน มีป่าไผ่สวยมากๆ เขาว่าผีดุด้วย) ทำให้ผมขึ้นไปไม่น่าจะต่ำกว่า 10 ครั้งในช่วง 4 ปี ไปส่งบ้าง ไปหาบ้าง ไปกินเหล้าเมายาบ้าง ส่วนใหญ่ไปกับท่านพ่อท่านแม่ มีบางครั้งที่ไปรถทัวร์ตามลำพัง มันจะให้ความรู้สึกตื่นเต้นกว่าไปกับพี่ดรเยอะเลย เขาชินทาง เขาก็ซิ่งไปเรื่อย วูบวาบ .. ถ้าอยากรับรู้ถึงความรู้สึกมันส์สุดๆ ให้ทดลองกับรถทัวร์สายนครราชสีมา-ชลบุรี ที่วิ่งผ่านฉะเชิงเทราน่ะ มันจะดีตรงได้เห็นภาพ จากมุมมองที่สูงกว่ารถยนต์ส่วนบุคคลเป็นเมตร .. อาจเป็นเพราะผมใส่ใจในการดูป่า ภาพต่างๆ เลยฝังอยู่ในหัว รวมถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้นด้วย วันนี้ได้กลับไปเห็นอีก มันรู้สึกดีจริงๆ
อยากแนะนำเด็กๆ ที่ไม่อยากเรียนวิศวะด้วยเวลา 5 ปี ไปเรียนที่สุรนารีสิครับ เขาสามารถอัดหลักสูตร 5 ปีให้คุณได้ภายในเวลา 4 ปี อยู่ที่คุณจะรับไหวไหม แต่จากที่ได้ฟังมา คนที่รับไหวก็มีมากกว่าครึ่ง ที่ไม่ไหวก็ไทร์บ้าง เปอร์บ้าง ว่ากันไป .. ส่วนใหญ่เด็กโควต้าจะอยู่รอดปลอดภัย ถ้าไม่ไปเมาทุบกระจกห้องเพื่อน จนเจอทัณฑ์บนตลอดการศึกษาเหมือนน้องผม เขาเลยต้องทำตัวเรียบร้อยมากๆ อยู่เกือบปี
โดนเพื่อนต่อยก็ต่อยตอบไม่ได้ ต้องแจ้งความแทน (จริงๆ แล้วมันต่อยไม่โดนสักหมัด และที่นั่นมีสถานีตำรวจหน้ามหาลัยเลยครับ) เพราะกลัวโดนไล่ออก พ่อยิงทิ้งแน่ (ค่าเทอมที่นั่นพอๆ กับไปเรียนอเมริกาเลยครับ แต่ค่าครองชีพเป็นแบบภาคอีสาน) .. ฮ่ะๆ เห็นเรียบร้อยอย่างนั้น เขาก็ไม่ใช่เล่นหรอก ขี้เมามาตั้งแต่เด็กแหละ .. ใครสอน ผมสอนเองครับ คือของมันมีอยู่แล้วในกระแสเลือดน่ะ กระตุ้นนิดหน่อยก็ไปได้สวย ภูมิใจครับ ภูมิใจ .. คนที่ไม่มียีนส์ที่รองรับแอลกอฮอล์ มันก็ไปไม่ได้เหมือนกันนะคุณ
ส่วนมากเด็กที่เอ็นเข้ามาได้จะลำบาก ที่นั่นเข้าง่ายเรียนยาก คะแนนเอ็นทรานส์ไม่สูงแต่มาตรฐานสูงน่ะครับ ไม่รู้เดี๋ยวนี้เป็นไงแล้วนะ .. ในกรณีที่คุณใช้เวลาแค่ 4 ปีในการเรียนให้จบ คุณก็จะได้เปรียบกว่าคนอื่นปีนึง รวมทั้งทุกสถาบันทั่วประเทศด้วย (เท่าที่รู้ก็ 5 ปีหมดนะ ถ้าผมพลาดก็ขอโทษด้วย) แต่คุณจะมีศักดิ์และสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน ได้ใบ กว.(กูวิศวะ) เหมือนกัน (เราไม่พูดถึงเอกชนนะครับ เอาของรัฐอย่างเดียวก่อน) คงไม่ต้องห่วงเรื่องการปูทาง จบมาเป็น 20 รุ่นแล้ว ดูเหมือนเส้นทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ จากชื่อเสียงที่รุ่นพี่ทำไว้ให้
พูดเรื่องสถาบัน ไปต่ออีกสักนิดก็น่าจะดี อันนี้น้องผมเขาเล่าให้ฟัง ในสายงานของวิศวะ สายงานอื่นผมไม่รู้นะ เขาว่าถ้าบริษัทไหนมาจากสถาบันใด ก็จะมีแต่คนจากสถาบันเดียวกันมากกว่า 80 % ทำไมล่ะ อาจเป็นเพราะการให้เกียรติกันของรุ่นพี่รุ่นน้อง ความรักในตัวสถาบัน การสื่อสารกันได้รู้เรื่องมากกว่า หรืออาจเป็นความเอ็นดูกันเป็นพิเศษ ช่วยให้ทำงานด้วยกันได้ง่ายขึ้น แต่ผมเคยรับคนจากสถาบันเดียวกันมาทำงานด้วย ปรากฏว่ามันเลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ อาจเป็นเพราะอยู่คนละวงการ เลยใช้ตรรกแบบเดียวกันไม่ได้
เราไปถึงหน้านิคมนวนครกันราวเที่ยงสิบนาที พี่ดรแกยอดมาก เจ้านายผมก็ยอดมากเหมือนกัน เขานั่งเงียบกริบเหมือนไม่มีตัวตน ขนาดเปิดหนังสืออ่านยังแทบไม่ได้ยินเสียง เขาใช้เวลา 2 ชั่วโมงอดทนต่อความเย็น แล้วมาบอกตอนแวะปั๊มว่า เขาไม่เอาแอร์ ปรับไปทางอื่นให้หน่อย ความอดทนของเขายังมีในเรื่องอื่นๆ อีกมาก ซึ่งผมนับถือเขาจริงๆ และอยากทำให้ได้อย่างเขาบ้าง เรื่องกินก็เหมือนกัน ผมไม่เคยไปไหนกับเขา ไม่รู้หรอกว่า คนที่เป็นกรรมการผู้จัดการจะหัวสูงขนาดไหน เขาว่าติดเที่ยงหาข้าวกินก่อน อะไรก็ได้ เราเจอร้านหนึ่งใกล้ๆ เป็นร้านข้างทาง ผมถามเขาว่าร้านอย่างนี้กินได้ไหม เขาบอกว่าได้ เราก็เล่นข้าวผัดกันคนละจาน มันง่ายและน่าทึ่ง ผมชอบความเรียบง่ายติดดินของเขาจัง เคยได้ยินคุณป้าแม่บ้านที่เตรียมมื้อเที่ยงให้เขาเล่าให้ฟัง ได้เห็นกับตาก็วันนี้
เรามีนัดกับบริษัทแรกตอน 1.30 แต่ขอเข้าไปพบก่อนเวลา ซึ่งเจ้านายผมเขาซีเรียสนะ บอกให้ผมโทรเข้าไปถามก่อน ถ้าได้ค่อยเข้าไป อาจเป็นเรื่องมารยาทของคนญี่ปุ่นที่คนไทยไม่ค่อยมี ผมเคยเจอลูกค้าบอกว่าจะมาบ่าย 2 พวกมาตอน 10 โมงเช้าเฉยเลย ถ้าเป็นคนไทยก็หยวนๆ แต่สำหรับคนญี่ปุ่น อาจเป็นเรื่องรับไม่ได้
เจ้านายเขาว่า นัดอีกที่ไว้ตอนบ่าย 2 ผมก็ยิ้มละ เขาต้องรีบจบตรงนี้ เพื่อไปให้ทันตรงนั้น เต็มที่ก็ไม่น่าเกินบ่าย 3 ได้กลับ เดินทาง 3 ชั่วโมง จะได้กลับบ้านตามเวลาปกติ ใจนึกถึงแต่ลูก ไม่เคยห่างลูกนานขนาดนี้เลย ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างหนอ .. ปรากฏว่าที่แรก คุยกันชั่วโมงกว่า เกี่ยวกับการปรับราคาสินค้า และเงินสามแสนกว่าใน job ที่มีปัญหาเรื่องใบสั่งซื้อใส่ราคาผิดมา แถมงานจบไป 2-3 เดือนแล้ว แต่เราก็อยากได้เงินจำนวนนั้นคืน .. ยอดซื้อของลูกค้ารายนี้พุ่งไปเกือบสิบล้านแล้วปีนี้ ลูกค้าชั้นดี ไม่เคยมีปัญหาด้านการจ่ายเงิน ต้องคุยแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เลยต้องใช้เวลามากกว่าที่ควรจะเป็น แต่การเจรจาก็จบลงได้ด้วยดี เป็นที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย
กูต้องไม่ลืมกลับไปเฉ่งไอ้ดำ แม่งเชื่อใจลูกค้า เป็นเหตุให้ผมต้องระเห็จมาถึงโคราช .. ไอ้ดำที่ว่า ไม่ใช่ผู้ชายตัวดำล่ำเตี้ยอย่างที่คุณคิดหรอกครับ แต่เป็นน้องผู้หญิงฝ่ายขาย หน้าตาสวยน่ารัก รูปร่างดี อารมณ์ดี นิสัยดี พูดจาดี (ตอแหลพองาม) ขยันและฉลาด เอาไปออกงานได้สบาย อายุไม่ถึง 30 แถมไม่มีแฟน ใครสนใจบอก เดี๋ยวผมติดต่อให้ ขอค่านายหน้านิดหน่อยก็พอ (คุณอาจสงสัยว่า ก็ถ้ามันดีนักทำไมมึงไม่เก็บเอาไว้เสียเอง ก็แค่ไม่ใช่สเป็คน่ะครับ และผมไม่อยากมีบ่วงผูกคอ) .. ด้วยความที่เขาไม่ขาว ผมเลยเรียกเขาว่าไอ้ดำ จะเรียกว่าอีดำ มันก็ดูจิกหัวกันไปหน่อย จริงๆ แล้วเขามีชื่อที่พ่อแม่ตั้งมา ซึ่งผมคงต้องปิดบังชื่อเสียงที่แท้จริงของเขาไว้ ทั้งๆ ที่อยากจะบอกแทบตาย
หลุดออกมาจากที่แรกได้ตอนบ่ายสองครึ่ง จากนิคมนวนครไปนิคมสุรนารีมัน 50 โล .. ห่า นึกว่าใกล้ .. ไปถึงปาเข้าไป 3 โมงกว่า ลูกค้าใหม่เพิ่งติดต่อมาเมื่อวาน เจ้านายเขาเลยโชว์เพาเวอร์ เอางานในครึ่งวัน กูไง ต้องไปอ้อนวอน engineer ให้ขึ้นงานให้ทันที เพื่อที่จะได้มาพบลูกค้าเสียด้วย แถมจัดซื้อแสนดีดันมีปัญหาเรื่องการเบิกเงินสดมาจ่าย คนญี่ปุ่นที่ contact กับเจ้านายเลยไปกด ATM ของตัวเองมาเคลียร์ให้ก่อน น่ารักมากครับ อย่างนี้ท่าจะคบกันได้ยาว .. แต่มันเสียเวลา
กว่าจะจบเรื่อง 4 โมงกว่า และผมยังไม่ได้เข้าห้องน้ำมาตั้งแต่ 9 โมงเช้า .. แล้วทำไมเสือกไม่เข้า ก็ที่แรกเราขอเข้าพบก่อนเวลา ไม่รู้ว่าเขาจะเดินมาตอนไหน ไม่อยากให้เขามารอ กะว่าคุยเสร็จค่อยเข้าก็ได้ พอเลยเวลานัดของอีกที่ เราก็ต้องรีบ ผมเลยเก็บเรื่องส่วนตัวไว้ก่อน แล้วเลยต้องเก็บยาวมาถึงปั๊ม ปตท ก่อนขึ้นเขาปัก เป็นความรู้สึกที่เหนือคำบรรยายจริงๆ ครับ ไม่เคยเห็นปั๊มน้ำมันแล้วดีใจขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ .. เจ้านายผมบอกว่า สูบบุหรี่กันก่อนก็ได้นะ แล้วเขาก็ลงจากรถมานั่งหน้าเซเว่น ดูนั่นดูนี่ ใจดีจริงๆ เข้าอกเข้าใจคนติดยา ขอบคุณครับเจ้านาย
ตอน 5 โมงเย็น เรายังอยู่บนเขาปัก ป้ายข้างทางบอกว่า ฉะเชิงเทรา 147 กม. และฝนตกตลอดทางที่อยู่บนเขา ทำความเร็วได้ราว 40-60 ผมเริ่มทำใจ (จะทำยังไงได้เล่า) แล้วหันมาซึมซับความงามของป่าชุ่มฝนแทน เพ่งมองลึกเข้าไปในป่าข้างทาง เท่าที่สายตาจะรับภาพได้ มันน่าค้นหา น่าหลงไหล น่าอยู่อาศัย ผมอาจเคยเป็นควายป่ามาชาติใดชาติหนึ่ง ผมชอบควายมากด้วย แต่มาคราวนี้ไม่เห็นควายสักตัว เมื่อก่อนมีให้เห็นเยอะเลย .. มีป้ายข้างทางบอกว่า ทางเสือผ่าน ผมตีความว่า ให้ชลอความเร็ว ระวังเสือวิ่งตัดหน้า (ถ้าทำเสือตาย มึงตาย) หรือถ้ารถเสียก็อย่าออกมาเพ่นพ่านให้เสือคาบไปแดก ศพมันจะหายาก สร้างความลำบากให้พวกมูลนิธิเขา
ผมมองดูร่องน้ำที่มีน้ำสายน้อยๆ ไหลลงมาเป็นทาง แล้วจินตนาการว่า ถ้าฝนตกหนัก ทางน้ำนั้นคงจะไม่เล็กน่ารักอย่างที่เห็น (ผมเคยมีญาติห่างมากๆ คนหนึ่งไปเจอน้ำป่าแถวตีนเขาที่นั่น และไม่รอด) ความเย็นของละอองฝนทำให้เกิดหมอกบางๆ ปกคลุมพื้นที่ในหุบเขา ผมนึกดีใจที่มันไม่ลามมาถึงถนนหลวงให้ทัศนวิสัยแย่ไปกว่านี้ มีเมฆหนาที่ลอยต่ำระทิวไม้ที่ยอดเขา พลางคิดเสียดายว่า ทำไมกูไม่เอากล้องมาด้วยวะ
ช่วงที่ตื่นตาตื่นใจคือระยะทางลงเขาลาดชัน ต่อเนื่อง 6 กม. ที่มีน้ำชุ่มถนน  .. ข้างทางเจอป้ายบอกว่า  จงยำเกรงพระเจ้า(ผมมักจะคิดว่าพระเจ้าเป็นญาติผู้ใหญ่เลยไม่ค่อยรู้สึกกลัวเกรง กะว่ายังไงพระเจ้าก็ให้อภัยเสมอ) .. โค้งข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งโปรดใช้ความระมัดระวัง อีกทั้งยังมีศาลเพียงตาให้เห็นเป็นระยะ .. เล่นเอาผมขนลุกโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่า กูกลัวอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมดีใจที่ยังได้กลัว และกล้ายอมรับอย่างลูกผู้ชายว่า กูกลัว .. แปลว่า ผมยังไม่ตายว่ะ
แต่ก็นับถือพี่ดรเขาในทักษะของการขับรถเกียร์กระปุก ขับได้มันส์มากครับ(ก็เขาเป็นนักขับ) และดูน่าสนุกกว่ารถเกียร์ออโต้อย่างเทียบไม่ได้ ผมเคยหัดตอนเริ่มขับรถใหม่ๆ พ่อสอนให้และนั่งไปกับผมแค่ 2 ครั้งในซอยแถวบ้าน จากนั้นเขาก็ไม่สนแล้ว ไปได้แล้วนี่ ไปเองดิ แต่ด้วยความที่ซื้อรถเกียร์ออโต้มาใช้ สุดท้ายก็ลืมหมด ช่างน่าเสียดายจริงๆ
พอมาถึงกบินทร์ รถมากอย่างเหลือเชื่อ ผมได้แต่ดูป้ายบอกระยะทางกับความเร็วรถ พร้อมคำนวนเวลาที่น่าจะถึงบริษัท แต่ก็ยังได้เห็นท้องฟ้าสีทอง มันเป็นสีทองจริงๆ นะคุณ เหมือนการไล่เฉดสี จากเหลืองอ่อนไปถึงส้มเข้ม เป็นความงามที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แม้แต่ภาพในอินเตอร์เนท ถ้าผมถ่ายภาพนั้นได้ ต้องเอาไปประกวดชนะรางวัลอย่างแน่นอน แต่กล้องไม่มี จบ
เราถึง office ตอน 1 ทุ่ม ขากลับปาเข้าไป 4 ชั่วโมง ผมบ่นเป็นยายแก่กับน้องๆ ใน office แล้วลนลานหาทางกลับบ้าน ลูกบ๊าคต้องกินยามื้อเย็นตอนทุ่มครึ่ง ล้วงทิชชู่ในกระเป๋าเสื้อโยนลงถังขยะ โดยลืมชิ้นงานตัวอย่างจากลูกค้าที่ห่อทิชชู่ไว้ โชคดีที่เจ้านายเดินมาบอกว่าลูกค้าต้องการงานคืนด้วย ไม่งั้นคงมีเฮ ผมนี่มันท่าจะแก่จริงแล้ว ลืมนั่นลืมนี่ได้อยู่เรื่อย
แต่เมื่อเช้า ไม่ลืมที่จะสั่งเสียให้พ่อจัดการเรื่องอาหารการกิน การพาขับถ่ายของลูกบ๊าค ผมต้องปรับยามื้อเที่ยงของเขามาเป็นตอนเช้า คือต้องตื่น 6 โมง เพื่อให้กินยาก่อนมื้อเช้า 1 ชั่วโมง เพราะมันเป็นยาโรคหัวใจที่ออกฤทธิ์ได้ดีตอนท้องว่าง ผมเลยให้ยาตัวนี้ตอนเที่ยงวันกับเที่ยงคืนไง ทำให้เมื่อคืนผมต้องให้ยาตอน 3 ทุ่ม และเขาต้องรับยา overdose อยู่หลายชั่วโมง เจ้านายรู้ไหม มันอันตรายนะโว๊ย
พอได้เห็นหน้า เขามาถูไถ คลอเคลีย ทำเสียงครางหงิงๆ เหมือนจะตัดพ้อต่อว่า ว่าป๊าหายหัวไปไหนมาทั้งวัน ทั้งดมทั้งเลียด้วยความคิดถึง ต้องลูบๆ อยู่พักใหญ่ถึงสงบลง แต่ก็หมอบอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง ปกติเขาไม่ทำอย่างนี้หรอกครับ .. เอาล่ะ ผมคงต้องงีบสักหน่อย วันนี้เดินทางตั้ง 500 กว่าโล มันเพลียไม่ใช่เล่น.

ไม่มีความคิดเห็น: