While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ตัดหญ้ายังไงให้สนุก! (สำหรับบุคคลทั่วไป)

1. จะเลือกซื้อเครื่องตัดหญ้าแบบไหนให้เหมาะกับคุณ
2. การใช้งานและการบำรุงรักษา (เครื่อง
, อุปกรณ์ตัด)
3. รู้ปัญหาและซ่อมได้เอง (อาการ บอกสาเหตุ และหนทางแก้ไข)

การตัดหญ้ามันสนุกได้ด้วยเหรอ ได้สิครับ แต่บนเงื่อนไขบางอย่างนะ

อรัมภบท (=พล่าม!)

จากประสบการณ์การตัดหญ้าด้วยตัวเองมา 7-8 ปี เพราะความจำเป็นที่เคยมีหมาหลายตัวเป็นลูก จะปล่อยให้หญ้ารกไม่ได้ เพื่อให้เห็นหัวงู ก่อนที่มันจะงาบลูกผม ผมเคยใช้กรรไกรตัดหญ้า+จอบถากตอนยังหนุ่มๆ พอเริ่มแก่ก็ไม่ไหวว่ะ

จากนั้นผมจ้างเหมาคนงานแถวบ้านอยู่เป็นปี จนเหลือทนกับคนเหล่านั้น ที่มักจะนัดแล้วไม่มาแล้วยังไม่โทรบอก บางทีเขาว่างในเวลาที่เราไม่สะดวก ไม่ได้อยู่เฝ้า กลับมาเจองานไม่เรียบร้อยก็รำคาญ และการต้องคอยบอกในสิ่งที่เขาควรรู้เอง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสะดวกใจที่จะทำ บางทีงานไม่เสร็จแม่มหายหัวไปก็มี เมื่อไม่อยากเจอสภาพเช่นนั้นอีกต่อไป ผมจึงตัดสินใจที่จะทำมันเอง ใช้จมูกตัวเองหายใจ ย่อมสบายกว่า

ด้วยความที่วันๆ นั่งทำงานในออฟฟิส และไม่เคยเรียนช่างมาเลย(เด็กสายวิทย์โง่ๆ น่ะ) จึงไม่รู้ห่าอะไรเกี่ยวกับเครื่องตัดหญ้าสักนิด ดังนั้นต้องหาความรู้ก่อน เพื่อป้องกันอันตราย และได้ประสิทธิผลสูงสุด ผมไล่อ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องอยู่หลายวัน จนได้บทสรุปว่าจะซื้อเครื่องแบบไหนมาใช้ดี ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเอามาตัดอะไร

บริเวณที่ผมต้องดูแลมีพื้นที่เกือบ 2 ไร่ เป็นบ้าน 3 หลังในรั้วเดียวกัน (อีก 2 หลังผีดุ! รึกูจะดุกว่า) ที่เหลือคือสวนมะม่วง แปลงกล้วย กระถางมะนาว ไม้บ้านทั่วไป และที่โล่ง อันมีหญ้าหลากหลายให้เลือกแดก ตั้งแต่หญ้าเกล็ดหอย(แผ่สวย นุ่มตีน น่านอน) หญ้าชันกาด(ต้นเล็ก ยาว ตัดยาก) หญ้าคอมมิวนิสต์(เหนียวสัส) หญ้าเนเปียร์(กรอบเคี้ยวง่าย! โคนเล็ก รากลอย พุ่มใหญ่ แต่สูงได้ท่วมหัว) หญ้าขน(แก่ๆ จะเหนียว ต้นพันกัน ตัดลำบาก) ต้อยติ่ง(ตัดง่าย แต่งอกใหม่ได้เรื่อยๆ) และมันไม่ใช่พื้นราบเรียบ ยังมีขอบบ่อ เนินดิน การเลี้ยงเป็ด ห่าน วัว ควาย กระต่าย หรือแพะ น่าสนใจ แต่ผมยังไม่พร้อมกับภาระที่จะตามมา (ได้รู้จักชื่อหญ้าก็วันนี้แหละกู)

ฤดูฝนหญ้าจะสูงได้ 4-5 นิ้วต่อสัปดาห์ ก็ไม่เห็นงูขนาดเล็กละ ที่พบได้ทั่วไปเช่น งูท้องแดง(ลูกเต๋า) สีเหมือนดินและอยู่นิ่งๆ เมื่อตกใจ บางทีม้วนหางหงายขึ้น เพื่อหลอกศัตรูให้จู่โจมผิดที่ จัดอยู่ในวงศ์งูงอดไม่มีพิษ ถ้าโดนกัดจะเหมือนมีดโกนบาดเพราะฟันคมมาก งูแสงอาทิตย์(ไม่มีพิษ) เมื่อตกใจจะไม่หนีแต่พยายามซุกเงียบๆ (เชื่อง น่ารัก เจ้านี่ชอบกินงูด้วย) งูเขียว(พิษน้อยเขี้ยวหลัง คือถ้ามันไม่แดกเราเข้าไปก็ไม่โดนเขี้ยวน่ะ, เว้นหางไหม้) งูสิง(ไม่มีพิษแต่ดุถ้าจวนตัว จงให้ทางมันหนี) หรือลูกงูเห่าซึ่งมีพิษตั้งแต่ออกจากไข่ แถมประสบการณ์น้อย ไม่รู้ควรสู้หรือหนี

ผมขอแนะนำว่าเมื่อเจองู ถ้าไม่มีพิษก็ปล่อยมันไป เจออีกทีเราจะตกใจ แต่มันไม่อันตรายนี่ ยังจะช่วยควบคุมปริมาณอาหารงูในพื้นที่ บ้างกินงูด้วยกัน จะทำให้งูมาเพ่นพ่านน้อยลง ตอนเด็กๆ ผมฆ่างูทุกตัวที่เจอ กลายเป็นเจองูบ่อยมาก เพราะอาหารมันเยอะ เช่น ลูกกบบัว เขียด อึ่งอ่าง คางคก เดี๋ยวนี้นานๆ เจอที กบ คางคก ตัวเท่ากำปั้น ใหญ่เกินปากงู เมื่อมาแล้วไม่มีอาหารที่กินได้ มันก็ไม่มา ไม่อยู่อาศัย

ถ้าไม่รำคาญกับการต้องให้คนมาแต่งสวนทุกอาทิตย์ เพื่อความปลอดภัย ก็ควรมีเครื่องตัดหญ้าติดบ้านไว้สักอัน แล้วนานไปก็จะมีอุปกรณ์ทำสวนครบแบบผม(มีกระทั่งเลื่อยโซ่ยนต์!) พวกกรรไกรยาวแต่งพุ่มไม้ ตัดกิ่งขนาดเล็ก(มือเดียวจับ) ใหญ่ด้ามยาว เลื่อยโค้ง เลื่อยพับ (สำหรับงานเล็กน้อย) ควรซื้อของดีไปเลยครับ แพงหน่อยแต่ทน ใช้ได้ยาว (ผมใช้ RACO จากที่หาอ่านก่อนซื้อ ราคา 4-5 ร้อย) มันก็แตกต่างจริง หลังใช้ให้เช็ดคราบยางไม้ที่ติดอยู่สักหน่อย พ่นโซแนคสักนิด จะคมกริบไปหลายปี โดยไม่ต้องลับคมเลย (ยางกล้วย/คราบเหนียว อย่าใช้แผ่นใยขัดกระทะ มันจะทำลายคม ให้เอาโซแนคพ่น ใช้เศษผ้าถูๆ ก็ออก)

เอาล่ะ ที่ผมต้องการคือเครื่องที่ลุยหญ้าได้ทุกชนิด ผมจะแยกเป็นประเด็นไป จากที่ได้ศึกษาและใช้งานมา ไหนๆ ก็รู้แล้ว เอามาเล่าต่อจะได้ไม่เสียเปล่า เชื่อว่าถ้าอ่านได้จนจบ คุณต้องอยากลองสักครั้ง ผมอาจชอบการตัดหญ้า เพราะชอบความรุนแรงอยู่แล้ว! และมันเป็นการทำลายล้างที่ได้ประโยชน์

ตัวเครื่องตัดหญ้า

ต้องกำลังดี น้ำหนักรับไหวในระยะเวลาที่ต้องการใช้งาน ใช้ได้ตรงตามประเภทของหญ้าและสภาพพื้นที่ เครื่องตัดมีหลายประเภท ผมจะแยกตามแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วกัน เช่น แบตเตอรี่ ไฟบ้าน น้ำมัน

1. แบตเตอรี่ (แบบที่หาซื้อได้ทั่วไป) จะมีน้ำหนักเบาที่สุด อยู่ที่ 1.5-3 Kg ใช้ถือด้วยมือทั้ง 2 ข้างในแนวตรงเพื่อบังคับทิศทาง ปรับความยาวได้ราว 1-1.3 เมตร มีอุปกรณ์ตัดหลายแบบให้เปลี่ยนตามลักษณะการใช้งาน เช่น ใบเหล็ก ก้านพลาสติก เอ็น เครื่องชนิดนี้การ์ด(ใบบัง)มักจะอยู่ที่หัวตัดเลย จึงให้ความปลอดภัยสูงสำหรับวัสดุที่อาจกระเด็นใส่ แต่อาจลำบากในการมองหัวตัดสำหรับงานละเอียด

เหมาะกับสนามหญ้าขนาดเล็ก มีระยะข้างบ้านออกไปให้หญ้าขึ้นสัก 1-5 เมตรโดยรอบ หญ้ามีความเหนียวไม่มากนัก เช่น หญ้าญี่ปุ่น หญ้ามาเลย์ ยังใช้แต่งไม้พุ่มกิ่งเล็กขนาดย่อมๆ ได้ เช่น โมกข์ ไทรเกาหลี ชาดัด คริสติน่า ถ้าพุ่มไม้ใหญ่และมีมาก การใช้ bush cutter โดยตรงจะเหมาะสมกว่า ซึ่งก็มีให้เลือกตามแหล่งพลังงานคล้ายเครื่องตัดหญ้านี่แหละครับ แต่ต้องดูเรื่องขนาดซี่ฟันกับความยาวเพิ่มอีกหน่อย

เครื่องแบบนี้มีหลายราคา แบ่งเป็นของยี่ห้อโนเนมราคาพันกว่า กับของยี่ห้อดังราคาหลายพันบาท แล้วมันแตกต่างยังไง

ประเมินจากความคิดเห็นผู้ใช้ ที่ผมไปไล่อ่านเมื่อสนใจจะซื้อ ของพันกว่าจะใช้ได้ราว 15-20 นาทีต่อแบต 1 ก้อน ค่ากลางอยู่ที่ 2 ก้อนต่อการตัด 1 ครั้ง ถ้าดันทุรังกับแบตก้อนที่ 3 ไม่รู้ว่ามอเตอร์จะทนไหวไหม อาจคล้ายเลื่อยไฟฟ้าไร้สายที่ผมซื้อมาลอง เมื่อเกินรับไหว มันจะส่งกลิ่นไหม้ออกมา แล้วเราก็ต้องหยุดเพราะกลัวมันพัง หันไปจับเลื่อยมือมาเถือต่อแทน

ของยี่ห้อ ราคาแพง จะพรีเซนต์ว่าของเขาใช้ได้นานเป็นชั่วโมงต่อแบต 1 ก้อน ก็เข้าใจได้ เพราะราคามักแปรผันตรงกับวัสดุที่ใช้ ที่ให้ความคงทนกว่า สมบุกสมบันกว่า ถ้าไม่รวมค่ายี่ห้อกับค่าโฆษณา ราคาคงถูกกว่าที่ตั้งไว้ได้นิดหน่อย อันนี้แทบไม่มีความเห็นเรื่องการใช้งาน อาจด้วยความที่มันแพง คนเริ่มทดลองใช้ยังไม่แน่ใจนักว่าจะสนุกกับมันไหม เลยเลือกที่จะลองกับของราคาถูกก่อน และคงเพียงพอต่อการใช้งาน เลยไม่ค่อยมีคนซื้อของแพงใช้

คำถามเพิ่มเติม .. คุณมีแรงตัดหญ้าเป็นชั่วโมงไหม งานคุณเยอะขนาดนั้นรึเปล่า ถ้างานมาก เครื่องแบบนี้ก็ไม่เหมาะ แต่ถ้าคุณจะแบ่งทำวันละนิดวันละหน่อยหลังเลิกงาน อันนี้พอไหว

2. ต่อไฟบ้าน มีแบบรถเข็นกับแบบมือถือ ถ้ารถเข็น พื้นที่คงต้องเรียบ กว้าง ภาระจะอยู่ที่ขนาดและการบังคับทิศทางให้มันวิ่งไปบนพื้น

ว่าด้วยแบบถือเอา น้ำหนักจะสูงกว่าแบตเตอรี่สักหน่อย ด้วยระบบไฟกับมอเตอร์ ความยาวเครื่องส่วนใหญ่อยู่ที่ 1 เมตร คอนโทรลได้ด้วย 2 มือเหมือนกัน มีสายไว้เสียบกับไฟบ้าน

กรณีที่สายพ่วงที่แถมมา สั้นเกินการใช้งาน คุณก็ไปซื้อสายสีส้มที่หัวท้ายเป็นปลั๊กตัวผู้-ตัวเมียมาใช้พ่วง สายชนิดนี้จะอ้วนใหญ่ มีชนวนหลายชั้น ค่อนข้างปลอดภัยกับเครื่องมือที่ใช้พลังงานมาก กลางแจ้ง ผมเคยดูที่ไทวัสดุ ยาว 30 เมตร ราคาอยู่ที่ 7-800 บาท เทียบกับการแยกซื้อสายกับหัวมาประกอบเอง ซื้อเอาถูกกว่าครับ นอกจากพลาดไปตัดมันขาดแล้วต้องซ่อม! ก็ซื้อเฉพาะหัวมาตัดต่อเข้าไป จะปลอดภัยกว่าต่อที่สาย ซึ่งทำได้ไม่ยาก

[ที่พอรู้เรื่องสายไฟเพราะผมมีเครื่องแต่งพุ่มไม้ไฟฟ้าอยู่เครื่องหนึ่งของ bosch น้ำหนัก 3.5 Kg (ราคาราว 6000 หลายปีก่อน) ที่ซื้อรุ่นนี้เพราะใบยาวที่สุด น้ำหนักน้อยที่สุด ในทุกรุ่นทุกแบบที่มีขายในท้องตลาด ณ เวลานั้น มันจะรองรับความต้องการใช้งานของผมได้ และผมยกไหว แต่เจอแนวโมกข์กว้าง 1 เมตร ยาว 20 เมตร ก็บักโกรกได้เหมือนกัน เขาแถมสาย 15 เมตรมาด้วย ซึ่งตัดขาดไป 2 ครั้ง ไม่ใช่ผมทำหรอก คนช่วยเขาคงตัดสนุกไปหน่อยจนลืมเรื่องสายน่ะ ครั้งแรกผมต่อสายเอา แต่ครั้งที่สองจะต่ออีกที พ่อน้องชายไม่เห็นด้วย เขาเลยไปซื้อหัวมาเปลี่ยนให้ใหม่ ตัดส่วนที่ขาดทิ้งไปเมตรครึ่ง]

ตัวนี้ราคาต่ำสุดที่พอใช้ได้อยู่ที่ 2000 ขึ้น (มีขายตามบิกซี ไทวัสดุ โฮมโปร) ชิ้นส่วนทนกว่าแบบใช้แบตเตอรี่ตัวต่ำสุด ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด แบตเสื่อม แต่ก็ต้องแลกกับการลากสายไปมาและระวังไม่ไปตัดมัน การใช้งานใกล้เคียงกับแบบแบตเตอรี่

3. ใช้น้ำมัน จะมีเครื่อง 2 จังหวะกับ 4 จังหวะ ที่ต่างด้วยลักษณะการทำงานของเครื่องยนต์ (รอบการอัดอากาศของลูกสูบและกระบวนการเผาไหม้) ศักยภาพ น้ำหนัก และราคา .. แบบรถเข็นผมจะไม่พูดถึงนะครับ เพราะไม่เหมาะกับการใช้งานของผม จึงไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม

รูปแบบมาตรฐานทั่วไปจะเป็นหัวเครื่องที่มีลูกสูบ จานไฟ ลานสตาร์ท หัวเทียน ถังน้ำมัน คาบูเรเตอร์ กับระบบต่อเชื่อมต่างๆ ที่ตั้งค่าเพิ่มได้อีก และคลัช อีกส่วนคือท่อยาวที่มีชามคลัช(ไว้ต่อเข้ากับคลัชที่หัวเครื่อง) มีเหล็กเพลาที่มีเฟืองหัวท้าย ปลายอีกด้านเป็นหัวเกียร์ เอาไว้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในการตัดชนิดต่างๆ ใช้กับสายสะพายบ่าที่มีทั้งแบบบ่าเดี่ยวและบ่าคู่ ถ้าต้องการแบบสะพายหลัง ต้องเป็นเครื่องแบบก้านอ่อนซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่า มีคันจับ 2 ข้างคล้ายแฮนด์จักรยานใช้บังคับทิศทาง

- เครื่อง 2 จังหวะ ยี่ห้อทั่วไปราคาอยู่ราว 1700 ขึ้นไป ถ้ายี่ห้อดังๆ ราว 6 พันขึ้น

เครื่องนี้จะมีถังน้ำมันอันเดียว ใช้แกสโซฮอล์ 91 หรือ 95 ในปริมาณ 25 ส่วน แล้วเติมน้ำมันเครื่อง 2T เพิ่มไปอีก 1 ส่วน ซึ่งเขามีขวดพลาสติกที่มีขีดสำหรับผสมน้ำมันมาให้ จงใช้มัน ผมเคยใช้ขวดเหล้าขนาด 1 ลิตรผสมแบบกะๆ เอา เพราะขี้เกียจตวงที่ละ 600 ซีซี เครื่องรวนครับ ใช้ขวดผสมชัวร์กว่า

2 จังหวะ ชิ้นส่วนของเครื่องน้อยจะกว่าแบบ 4 จังหวะ จึงทำให้น้ำหนักน้อยกว่า(น้ำหนักเครื่องเปล่าราว 5-6 kg + น้ำมันอีก 0.8-1 ลิตร) การทำงานหยาบกระด้างกว่า สั่นสะเทือนกว่า กินน้ำมันกว่า ควันออกมากกว่า ให้กำลังราว 7000 รอบต่อนาทีเป็นอย่างต่ำ(ที่ 40cc) เหมาะลุยป่า! ด้วยความที่กำลังมาก ถ้ามีดตัดดี คนมีแรง ก็จัดการกับหญ้าได้ทุกชนิด

ถังน้ำมันจะมีแบบอยู่ด้านบนกับด้านล่าง ถังล่างจะใช้ระบบปั๊มดูดน้ำมันขึ้น ถังบนใช้แรงโน้มถ่วงดึงน้ำมันลงมา แนวโน้มที่จะมีปัญหาน้อยกว่า ทำให้ผมเลือกถังบน แม้จะอยากได้ตัวเล็กๆ น้ำหนักเบา แต่ถังมันอยู่ข้างล่างไง ผมกลัวจะมีเรื่องวุ่นวายเพิ่ม

รุ่นพิมพ์นิยมจะเป็นรุ่นเลียนแบบ 411 อะไรที่คนนิยมใช้ ประเมินได้คร่าวๆ ว่ามันน่าจะใช้ง่าย ใช้ดี ปัญหาน้อย ถ้ามีปัญหาจะหาอะหลั่ยได้ง่าย การซ่อมบำรุงมีคลิปแนะนำมาก(ในปัจจุบัน) ตอนที่ผมเริ่มใช้ครั้งแรก คลิปไม่มี อยากรู้อะไรก็หาอ่านเอา ทำให้ผมต้องอ่านหนังสือเกิน 7 บรรทัดต่อปี! เอาจริงๆ ก็หลายพันหน้า เป็นคนโบราณครับ ชอบอ่าน

ความเห็นส่วนตัวกับที่ช่างโรงงานบอก มันอยู่ที่การบำรุงรักษา ไม่จำเป็นต้องเล่นของแพง ถ้าไม่ได้ไปรับตัดหญ้าเป็นอาชีพ ที่ต้องตัดกันทั้งวัน ทุกวัน ผมจึงเลือกเล่นของราคา 2000+/- ซึ่งก็ใช้ได้นานเกินคุ้มละครับ

นี่เป็นตัวเลือกของผม แต่ก็ทำพังไป 2 เครื่องเพราะดูแลไม่เป็น ปัจจุบันมี 2 เครื่อง ใช้สลับกันอยู่ 2 ยี่ห้อ(ไทย-จีน) ผมจะเล่าเรื่องการบำรุงรักษาและซ่อมแซมเบื้องต้นไว้ตอนท้ายนะครับ

- เครื่อง 4 จังหวะ ยี่ห้อไม่ดังราคาราว 4 พันขึ้น ถ้ายี่ห้อดังก็ 9 พันขึ้น มีถังน้ำมัน 2 ถัง ถังใหญ่ใส่ 91 หรือ 95 ถังเล็กให้ใส่น้ำมันเครื่อง 4T บ้างเอาน้ำมันเครื่องรถยนต์ใส่แล้วว่าไม่เป็นไร! ซึ่งควรเปลี่ยนทุกการใช้งานครบ 10 ชั่วโมง ชิ้นส่วนซับซ้อนกว่าเครื่อง 2 จังหวะ การเผาไหม้สมบูรณ์กว่า แต่ก็ทำให้น้ำหนักสูงกว่าด้วย (เครื่องเปล่าจะอยู่ราว 9 Kg ขึ้นไป + น้ำมัน 0.5-0.6 ลิตร) เครื่องทำงานสมูทกว่า สั่นสะเทือนน้อยกว่า ควันน้อยกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า ใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่า ให้กำลังราว 4000 รอบต่อนาที(ที่ 40cc) เรื่องน้ำหนักกลับเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ ที่ต้องร่างกายดีจริงๆ เหมาะกับคนที่รับตัดหญ้าหรือทำสวนเป็นอาชีพ ผมน่ะอยากใช้มันมาก แต่แบกไม่ไหวแน่

 

อุปกรณ์ตัด

ที่ต้องตัดแล้วขาด ไม่ใช่ปั่นแล้วหญ้ามันลู่ไปเฉยๆ หรือต้องเร่งเครื่องเกินความจำเป็น(คลัชก็เกี่ยว เดี๋ยวเล่าตอนท้าย) ซึ่งมีหลายประเภทตามการใช้งานครับ ผมมีเกือบครบ เว้นลวดสลิง(รู้สึกอันตรายไป)กับใบมีดมะละกอ(คิดว่าไม่น่าดีเท่าแบบผืนผ้า) เมื่ออยากรู้ฟิลลิ่งในการใช้แต่ละแบบผมก็ซื้อมาลอง การใช้เงินซื้อความรู้ไม่ใช่เรื่องแปลก (บางทีเราก็ใช้มันจ่ายค่าโง่นี่นา) มันแค่รกบ้านเมื่อไม่ถูกใจ และเราจะไม่ทิ้งเพราะเสียดาย กับเผื่อจะใช้

1. เอ็น เหมาะกับหญ้าอ่อน พื้นที่ไม่เรียบ เก็บขอบทางเดิน ริมผนัง ข้างกำแพง งานละเอียด มีขนาดตั้งแต่ 1.5, 2, 2.5, 3, 4 mm หลายรูปแบบ

- เอ็นกลม บางคนชอบนะ แต่ผมซื้อมาใช้แล้วรู้สึกว่ามันตัดไม่ค่อยขาด เลยไม่ได้ใช้อีก เหลืออยู่ทั้งม้วนอย่างนั้น

- เอ็นสี่เหลี่ยม อันนี้ตัดได้ดีมาก ผมใช้ขนาด 3 มิล สามารถตัดกวาดที่หน้าดิน ได้คุณภาพพอๆ กับการใช้จอบถาก ผมเคยใช้ลุยหญ้าขนมาแล้ว (ตอนที่ยังไม่กล้าใช้ใบมีด) มันก็พอไหว แต่เหนื่อยหน่อย ใช้ๆ ไปเอ็นจะสึก ทื่อ แรงเหวี่ยงลดลง ตัดไม่ค่อยเข้า ก็ดึงในกระปุกออกมา ตัดปลายทิ้งไป

- เอ็นเกลียว จะใช้เอ็นกลม 2-3 เส้น ควั่นเกลียวคล้ายเชือกไนล่อน เมื่อดูจากรีวิว ผลการทำลายล้างไม่ต่างจากเอ็นกลมปกติ ผมเลยไม่คิดจะลอง

- เอ็น 5 เหลี่ยมขนาด 3 มิล หน้าตัดจะเหมือนดาว 5 แฉก ใช้การได้ดีกับหญ้าที่เพิ่งขึ้น ด้วยความที่มันเป็น 5 แฉกพื้นที่กลางเส้นจึงน้อยกว่า 3 มิลปกติ ทำให้น้ำหนักเบา แรงเหวี่ยงน้อย ส่วนที่คมสึกเร็ว อาจเพราะผมตัดกวาดโคนหญ้าที่หน้าดิน พอสึกก็ตัดไม่ค่อยขาด ต้องคอยดึงออกมาบ่อยๆ เมื่อรำคาญผมก็ไม่ใช้ เหลือเกือบทั้งม้วน 30 เมตรได้ ถ้าตัดแต่ยอดหญ้า มันก็น่าจะโอเคอยู่

- สลิงหุ้มพลาสติก อันนี้เป็นเอ็นกลมที่มีลวดสลิงอยู่ตรงกลาง ผมยังไม่ได้ลอง ได้แต่จินตนาการเอาว่ามันน่าจะเป็นยังไง

- ลวดสลิง บางคนเอามาใช้ มันคือสลิงเส้นเล็กๆ ควั่นเกลียวแบบเชือกไนล่อน ผมนึกภาพเมื่อมันโดนของแข็ง ปลายคงกระจุย แล้วถ้ามันขาดปลาย คงเป็นเศษเหล็กที่พุ่งออกไปแบบไร้ทิศทาง ไม่น่าจะดี

- เข็มขัดรัดสายไฟ บางคนใช้มันแล้วบอกว่าดี แต่ผมลองแล้วไม่ชอบ มันเบาบาง สึกขาดง่าย ผมใช้ครั้งเดียวเลยไม่ใช้อีก

การใช้เอ็น ต้องใช้กระปุกหรือจานเอ็นร่วมด้วย ซึ่งมีสารพัดรูปแบบให้เลือก ผมแยกแค่จานธรรมดาอันละ 60 กับกระปุกอันละ 3-400 แล้วกันนะครับ ที่แพงกว่านี้ ลองแล้วอายุกับการใช้งานไม่ต่าง เลยบอกไว้เป็นราคากลางแล้วกัน

- จานเอ็น เป็นเหล็กกลม 2 แผ่นอ๊อกติดกัน มีรูด้านข้าง 4 รู กับรูทะลุด้านบนอีก 4 รู ใช้เอ็นสอดเข้ารูข้างแล้วเอาปลายทิ่มลงรูขวางเป็นการล๊อคสายเอ็นไว้ (เอ็นใหญ่สุดที่ผมยัดได้คือเหลี่ยม 3 มิล) ใส่เข้ากับหัวเกียร์แบบเดียวกับการใส่ใบมีด ใช้งานค่อนข้างง่าย

เราจะได้เอ็น 4 เส้นยื่นออกมา ฟังดูน่าจะดี แต่การตัดก็ไม่ได้ดีกว่า 2 เส้น ข้อเสียที่ผมรู้สึกชัดคือ น้ำหนักเบา แรงเหวี่ยงน้อย ต้องเร่งเครื่องมาก และเปลี่ยนเอ็นยากกว่าแบบกระปุก

- กระปุกเอ็น ใช้เอ็นม้วนใส่กระปุก ปลายยื่นออกมา 2 ข้าง มีรูต๊าป M8 ไว้ใส่กับ Die M8 ที่หัวเกียร์ ดึงเอ็นออกง่าย น้ำหนักดีกว่าจาน โดยส่วนตัวผมว่าใช้งานได้ง่ายกว่า ตัดขาดกว่า ที่คุณต้องดูคือวิธีการใส่เอ็นในกระปุกแต่ละแบบ ยากง่ายอย่างไร การดึงเอ็นให้ยาวออกมามันง่ายไหม เมื่อเจอแรงเหวี่ยงมันยังอยู่เหมือนเดิมหรือหลุดลุ่ย

ที่ผมใช้อยู่เป็นแบบมีปุ่มยื่นออกมา เคาะกับพื้นแล้วมันจะค้างไว้ พอเร่งเครื่องจะเหวี่ยงเอ็นให้ยาวออกมาทีละนิ้ว แล้วปุ่มเด้งออก ให้เคาะใหม่ ซึ่งใช้ไม่ได้จริงว่ะ ผมต้องไปนั่งกดมันแล้วดึงเอ็นอยู่ดี (กดปุ่มปลดล็อค ดึงเอ็น กระปุกล็อค กดใหม่ ทำซ้ำๆ จนยาวพอ) ก็ไม่เป็นไร เพราะต้องตัดปลายทิ้งอยู่แล้ว

ยังมีกระปุกแบบมีหัวเกลียว ใช้มือหมุนคลายเอ็น หรือแบบใช้มือคลายเอ็นแล้วกดโคนเอ็นใส่ร่องล็อคไว้ อันนี้ผมใช้ไปทีนึงก็ไม่เอา รู้สึกลำบากว่ะ ลองค้นหาในร้านออนไลน์ จะมีให้เลือกครับ

- กระปุกประกบ 2 ชิ้น อันนี้ตลกร้าย มันเป็นโลหะหล่อ 2 ชิ้นน้ำหนักกำลังดี ด้านนึงมีรูต๊าป M8 เข้าหัวเกียร์ ให้งอเอ็นใส่ร่อง แล้วหมุนเกลียวอีกชิ้นล๊อคไว้ จะได้เอ็น 3 คู่ยื่นออกมา ผมคิดว่าคงใช้ง่ายและน่าลอง เลยซื้อมาอันจากร้านออนไลน์ แต่เมื่อใช้ไปไม่กี่นาที เกลียวมันคลาย ดีที่เห็นก่อนมันจะกระเด็นไปโดนอะไร ทีแรกผมคิดว่าเอ็นใหญ่ไป เกลียวอาจลงไม่สุด ลองเปลี่ยนเอ็นเป็นเล็กสุดก็คลายอยู่ดี ทั้งๆ ที่ตอนหมุนมันแน่นมาก เลยใช้ครั้งเดียวเลิก อันตรายมาก

สรุปความเห็นส่วนตัวเรื่องขนาดเอ็น

1.5, 2, 2.5 mm เล็กเกินไป ใช้ได้นิดหน่อยก็สึก ต้องหยุดดึงออกมาตัดทิ้งบ่อยๆ น่ารำคาญ
3
mm กำลังดี ถ้าไม่เจอขอบปูนก็ตัดได้นานหน่อย จากที่ลองความยาวหลายๆ แบบ ผมพบว่าการให้เอ็นยาวออกมาประมาณคืบหนึ่ง จะตัดได้ดีที่สุดกับหญ้ายืนต้น แต่ถ้าตัดกวาดโคนต้อยติ่งที่ผิวดิน การดึงให้ยาวออกมาอีกสัก 2 นิ้ว จะได้งานเร็วและเนี๊ยบ

4 mm ใหญ่เกินกระปุกหรือจานเอ็นทั่วไป ผมซื้อมาลองแล้วใช้ได้ไม่ดีนัก มันพอจะยัดใส่กระปุกได้อย่างยากลำบาก และแข็งเกินไป เอ็นเป็นการใช้แรงเหวี่ยงและการสะบัด เจ้านี่ไม่เหมาะ เลยเหลือเกือบทั้งม้วน 15 เมตรได้ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลย

เมื่อใช้เอ็นก็ต้องตัดมัน การใช้กรรไกรทั่วไปจะตัดไม่ค่อยเข้า กรรไกรตัดกิ่งไม้เล็กๆ ก็ไม่ดีนัก เมื่อก่อนผมใช้คีมปากตัด(ลวด) ภายหลังผมพบว่ากรรไกรตัดสายไฟใช้ได้ดีกว่า

2. ใบมีด ส่วนใหญ่ก็เป็นเหล็ก จากความรู้พื้นฐานในงานที่ทำ เหล็กยิ่งแข็งยิ่งเปราะ ความแข็งน้อยจะเหนียวกว่า เราคงหวังให้ใบมีดกระแทกอะไรแล้วบิดเบี้ยว ไม่ใช่แตกกระจายไร้ทิศทาง แต่ใบมีดมันไม่ได้ราคาแพง แล้วส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้บอกว่าเหล็กอะไร (หรือบอกว่า เหล็กเหนียว เหล็กสปริง คาร์บอนสูง) เมื่อใช้งานก็ลองสังเกตเอา ว่าโดนของแข็งแล้วเป็นยังไง ถ้าเยิน บิดเบี้ยว คือดี ที่มันจะไม่แตกกระเด็นไปไหน

รูปแบบมีดตัด ผมจะไล่ตามลำดับที่ผมลองแล้วกันนะครับ

- ใบมีดฟันเลื่อย 3 แฉกโค้ง(8.5 นิ้ว) เมื่อมองดงหญ้าขนแล้วคิดถึงการใช้ใบมีด ผมพบว่ามันน่าสนใจเลยซื้อมาลอง ตัดได้ดีจนน่าประทับใจ สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ใบมีดเลย ใช้ในพื้นที่เล็กๆ ได้ เก็บขอบได้เกือบสะอาด มันทำงานคล้ายการเกี่ยวหญ้าด้วยเคียวเกี่ยวข้าวเล็กๆ ที่เป็นฟันต่อกันอยู่ กินหญ้าได้ครั้งละเท่าเส้นผ่านศูนย์กลางใบ แต่น้ำหนักเบา จึงไม่ได้แรงเหวี่ยงจากใบมีดมากนัก ต้องใช้รอบเครื่องเป็นกำลังหลัก

- ใบมีดตัดหญ้าฟันเลื่อยทรงหางปลา(12 นิ้ว) น้ำหนักมากกว่า 3 แฉก และความเป็น 2 ด้านของมัน จึงได้แรงเหวี่ยงมากกว่า ลดการใช้กำลังเครื่องลง กินหญ้าได้มากและเร็ว ด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางการหมุนที่ใหญ่กว่า

- สี่เหลี่ยมผืนผ้า(ใบแถมมากับเครื่อง) ผมพบว่าใบชนิดนี้ใช้ดีที่สุดถ้าเอามาลับให้คมขึ้น ใบมีฟันมันก็ดี แต่ผมว่าเจ้านี่ตัดได้ลื่นกว่า คล้ายมีพื้นที่ในการเฉือนมากกว่าน่ะครับ ที่ตลกคือผมมีเก็บไว้หลายใบโดยไม่เคยหยิบมาลองใช้เลย กลายเป็นตอนนี้ชอบที่สุด จนเก็บใบชนิดอื่นเข้ากล่อง

- ใบเลื่อยวงเดือนไม่ติดเล็บ(10 นิ้ว) อันนี้ผมซื้อมาแต่ยังไม่ได้ลอง ลืมว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน(แก่สัส) น้ำหนักดี ใบหนา มีหลายขนาดฟันให้เลือก ถ้าเจอคงต้องลองด้วยตัวเองสักครั้ง แต่รื้อหาไม่เจอจริงๆ เท่าที่คุยกับเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างๆ เขาว่าเคยลองแล้วมันกินหญ้าได้เท่าระยะฟัน คือทีละนิ้ว!

- ใบกลมติดใบตัดชิ้นเล็กๆ อันนี้ผมคิดว่าไม่น่าลอง ชิ้นส่วนมันหลายชิ้นไป ถ้าไม่แน่นสนิทดีคงสร้างปัญหา แต่โต๊ะข้างๆ ผมเขาชอบและใช้ตัดหญ้าคันนาอยู่

สรุปประเด็นใบมีด

1. ต้องคม หญ้าจะขาดง่าย งานเร็ว ไม่เหนื่อยมาก ทำให้คมเท่ามีดในครัวได้ยิ่งดี

2. น้ำหนักดี(ไม่เบาไป) จะได้แรงเหวี่ยงของใบช่วย ทำให้ไม่ต้องเร่งเครื่องมาก ลดภาระเครื่องตัดหญ้า

3. ความหนาบาง บอกความแข็งแกร่งของใบ ผมเห็นมีขายตั้งแต่ 1.6, 1.8, 2 มิล ผมเลือกหนาสุด สบายใจกว่า

4. สภาพหลังใช้งาน ตัดๆ ไปก็หยุดดูมันบ้าง เผื่อได้รับความเสียหาย เช่น ปลายใบบิดเบี้ยวก็ควรซ่อม ทื่อ-บิ่นก็ลับคมใหม่

5. ถ้ามีรอยร้าวที่เหล็ก ห้ามใช้ต่อเด็ดขาด ส่วนเรื่องสนิมขึ้นเป็นเรื่องปกติ แต่ควรเอาตะไบถูๆ ดูบ้าง ถ้าเนื้อเหล็กข้างในยังอยู่ดี ก็ใช้ได้

6. การประกอบต้องมั่นใจว่าแน่นหนาดี ใบมีด ประกับ น๊อต พวกนี้ถ้าใช้ไปนานๆ สนิมขึ้น สึกกร่อน ขันได้ไม่แน่น ควรซื้อเปลี่ยน ราคาไม่แพง ร้านออนไลน์มีขายเยอะแยะ กรณีที่น๊อตคลายตัว จะเห็นได้ง่ายว่าใบมีดหมุนฟรี จงหยุดแล้วแก้ไขทันที

7. วิธีที่จะทำให้หญ้าไม่พันหัวตัด ง่ายที่สุดคือ ตัดโดยให้ใบมีดเอียงองศากับพื้น จะเอากี่องศาก็แล้วแต่ลักษณะหญ้า ถ้าหญ้ายาวต้องเอียงมากหน่อย ไม่งั้นพันแน่นอน แล้วเราก็ต้องเสียเวลาหยุด นั่งรื้อ ส่วนหญ้าสั้นๆ อ่อนๆ การให้ใบมีดขนานกับพื้นจะเก็บงานได้สวย ง่าย และเร็ว

มันมีใบกันหญ้าพัน เป็นเหล็กกลม 5 แฉก ปลายใบงอขึ้น 45 องศา ให้ใส่เหนือใบมีด แต่ผมว่ามันพันกว่าเดิมว่ะ ทั้งที่ลับคมใหม่แล้ว ใช้ไป 2-3 ครั้งผมก็เลิก การเอียงใบมีดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

8. อย่าไปกระแทกอะไรที่ทำให้ใบตัดหยุดทันทีบ่อยนัก (เช่น ตอไม้) มันจะทำให้เฟืองรูด ทีนี้ก็ยากละ คุณอาจต้องเปลี่ยนแกนเฟืองในท่อ (ซึ่งผมถอดมันไม่ได้) ผมเคยพยายามดึงก้านเฟืองออกมา เพราะอยากจะชโลมจารบี ดึงไม่ออกว่ะ (ถ้าต้องเปลี่ยนแล้วดึงไม่ได้จริงๆ มันก็มีขายทั้งดุ้น : ชามคลัช ท่อ เพลา ใส่มาเรียบร้อย)

9. การลับคมใบมีด บางคนใช้ลูกหนูเพื่อความรวดเร็วทันใจ ผมก็มี แต่รู้สึกอันตรายที่จะใช้ เลยใช้ตะไบสามเหลี่ยมกับงานหยาบ แล้วตามด้วยหินลับมีดด้านละเอียดอีกที ก็คมกริบ เสียเวลามากกว่าเล็กน้อย แต่คอนโทรลเครื่องมือง่ายกว่า สบายใจกว่า บางทีงาน manual ก็คลาสสิคดี

 

การดูแลรักษา ***

รวมถึงปัญหาและการแก้ไข (ในระดับผู้ใช้งาน) ถ้าเจอปัญหาแบบนี้ จะพอรู้ได้ว่าสาเหตุมาจากตรงไหน แก้ไขได้เองเบื้องต้น เช่น การปรับตั้งความเร็วรอบต่ำ เช็คไฟหัวเทียน ใบตัดหมุนตอนดึงเชือก เครื่อง/ก้านตัดสั่นเป็นเจ้าเข้า เปลี่ยนคลัช ล้างคาบู เป็นต้น (คือเครื่องมันยาวน่ะ บ้านผมไม่มีรถกระบะ ทำให้ขนไปซ่อมยาก เลอะเทอะ การศึกษาเอง ช่วยลดความยุ่งยาก และไม่ต้องรอต่อคิวซ่อมหลายวัน)

1. ใช้เสร็จให้ปิดก๊อกน้ำมันแต่ไม่ปิดเครื่อง ให้เครื่องมันใช้น้ำมันในถ้วยให้หมดจนดับเอง จากนั้นผมเทน้ำมันออกหมด(จนหยดสุดท้าย) ปิดฝาน้ำมันไว้หลวมๆ(ให้มันระเหย) ครั้งต่อไปที่ใช้งานจะสตาร์ทง่าย

ผมทำพังไป 2 เครื่อง เพราะไม่ได้ทำแบบนี้ การคาน้ำมันผสมไว้ เมื่อน้ำมันระเหย น้ำมันเครื่องยังอยู่เท่าเดิม สัดส่วนที่จะใช้เลยผิด ทำให้สตาร์ทไม่ติด พอดึงสายสตาร์ทมากๆ น้ำมันก็ท่วม ยุ่งเข้าไปอีก ส่งซ่อม ช่างเขาล้างคาบูมาให้ มันก็ใช้ได้ แต่เขาไม่บอกว่าต้องเทน้ำมันออก(กูก็โง่) มันเลยพังซ้ำชากจนขี้เกียจซ่อม ซื้อแม่มใหม่

เมื่อทำตามวรรคแรกกับเครื่องที่ 3 แบรนด์ไทย ผมใช้มาได้ 5 ปีโดยไม่พัง ตัดทีละชั่วโมง พัก แล้วตัดใหม่ 3-4 รอบ เฉพาะวันอาทิตย์ วางทิ้งไว้หลายเดือนก็ไม่มีปัญหาอะไร (ผมเก็บในที่ร่มนะ เพื่อถนอมซีล-สายต่างๆ ของเครื่อง เคยวางแบบโดนแดดครึ่งวัน พวกยางๆ เปื่อยยุ่ย-แตก-รั่ว)

2. น้ำมัน ผมแนะนำให้ใช้ขวดผสมที่เขาแถมมาให้ มันจะขนาดเล็กๆ แค่ 600 ซีซี น่ารำคาญหน่อย แต่มันชัวร์ ตัดได้ยาวด้วยกำลังเครื่องคงที่ ไม่เจอปัญหาแบบที่เคยใช้การกะๆ เอา เช่น

ถ้าสัดส่วนน้ำมันมากเกินจะทำให้ติดง่าย เครื่องแรง แต่ร้อนเร็ว พอร้อนมากเข้ากำลังจะลดลง บางทีน๊อคดับไปดื้อๆ การสึกหรอเร็วกว่าที่ควรจะเป็น อายุการใช้งานของเครื่องสั้นลง

ถ้าสัดส่วนน้ำมันเครื่องมากเกินจะติดยาก ถ้าเอาจนติดได้จะเร่งไม่ค่อยขึ้น แต่ส่วนใหญ่มันไม่ยอมติดตั้งแต่ต้น ผมก็ต้องเทน้ำมันออกมาผสมใหม่อยู่ดี

ส่วนน้ำมันเครื่อง ผมใช้เชลล์แอดว๊านซ์ 2T กระป๋องดำ 1 ลิตร มันแพงหน่อย แต่กระป๋องนึงก็ใช้ได้นานจนลืม ผมอาจติดที่ใช้ตัวนี้มาตั้งแต่ตอนใช้มอเตอร์ไซค์ 2 จังหวะ เลยมั่นใจในมันกระมัง

3. หัวเทียน ถ้าเครื่องติดยากก็ลองถอดดู (ดึงจุกยางขึ้น เอาประแจหกเหลี่ยมขันไปทางซ้าย) ถ้ามีคราบน้ำมันเยอะแยะคือสัดส่วนน้ำมันเครื่องมากไป ให้เอาทิชชู่เช็ด ถ้ามีเขม่าดำคือสัดส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงมากไป ใช้กระดาษทรายขัด จะสตาร์ทได้ง่ายขึ้น

การเช็คว่าพังไปหรือยัง ทำได้โดยถอดออกมาจากเสื้อสูบ เอาด้านบนยัดจุกยางของมันไว้ ด้านล่างแตะตัวเครื่องส่วนที่เป็นโลหะ ดึงสายสตาร์ท ถ้ามีไฟวาบๆ ตรงเขี้ยวก็ยังไม่พัง อันนี้ราคาไม่แพง ซื้อสำรองติดบ้านไว้บ้างก็ดีครับ

ระยะเขี้ยว ถ้าห่างไปก็เคาะให้ชิดขึ้น ชิดไปก็ง้างออก อาจดูด้วยตาจากตอนเช็คไฟ ความยากง่ายในการสตาร์ท หรือสังเกตจากความราบรื่นของเสียงขณะเครื่องทำงานหรือเดินเบาก็ได้

4. การสตาร์ทอย่างง่าย หลังไม่ได้ใช้งานหลายวัน ให้ปิดโช๊ค(งัดขึ้นมาค้างไว้) เพื่อไม่ให้อากาศเข้า เชื้อเพลิงจะเข้มข้น ดึงสายสตาร์ทช้าๆ เพื่อวอร์มคาบู 2-3 ครั้ง จากนั้นค่อยกระชากแบบติดเครื่องจริง พอเครื่องติดก็กดโช๊คลงให้อากาศเข้า (ถ้าลืมกดโช๊คลงมันก็จะดับ ได้ออกแรงใหม่อีกที) หลังพักเครื่องในวันเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้

ถ้าทำตามนี้แล้วยังไม่ติด อย่ากระชากซ้ำมากนัก เดี๋ยวน้ำมันท่วมจะยุ่งยากขึ้นอีก ให้กดล็อคคันเร่งไว้จะช่วยได้ พอติดดีก็คลายมัน อันนี้ที่ต้องระวังให้มากคือ หัวเกียร์จะหมุนแรงทันทีที่เครื่องติด ต้องอยู่ในจุดที่ไม่มีคนหรือสัตว์เพ่นพ่านอยู่ใกล้ๆ

การตั้งเดินเบาไว้น้อยไปก็อาจมีส่วนทำให้สตาร์ทยาก ถ้าเดินเบาแล้วเสียงเครื่องเหมือนจะขาดใจ หายใจกระท่อนกระแท่น ก็ควรปรับขึ้นอีกนิด

5. ลานสตาร์ท มี 2 แบบ ให้ผู้ใช้ได้ออกแรงแตกต่างกัน

- ลานหนัก มักเป็นเครื่องเก่าจากยุคที่ยังไม่มีลานเบา วิธีใช้ที่ถูกต้องคือ ให้ดึงเชือกช้าๆ จนเฟืองสตาร์ทไปเกี่ยวกับเขี้ยวสตาร์ทก่อน แล้วค่อยกระชากตรงนั้น ถ้ากระชากยาวตั้งแต่ต้นทางเลย อาจติดๆ ต้องใช้แรงมาก อาจทำให้เขี้ยวหัก เชือกขาด สปริงขาด-หลุด งานนี้ยุ่งแน่ ต้องรื้อ ซื้อของมาเปลี่ยน (ผมทำพังมาแล้วทุกแบบ!)

ถ้าดึงเชือกไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ที่เจอคือสปริงคลัชหักคา ค้ำอยู่ในห้องคลัช ให้ถอดโคนก้านตัดออก ตรวจสอบคลัช (มีเรื่องคลัชตอนท้าย)

- ลานเบา จะดึงง่ายมาก การวอร์มเครื่องให้ทำแบบเดียวกัน ทีนี้ถ้าเราอยากเปลี่ยนจากลานหนักเป็นลานเบา ก็สามารถทำได้โดยซื้อลานสตาร์ทแบบเบา ซึ่งฝาลานต้องมีรูปแบบเดียวกับเครื่องที่เรามี กับจานไฟสำหรับลานเบา เขี้ยวรับมันสูงต่ำไม่เท่ากันน่ะครับ บางคนมีเครื่องอ๊อก อาจโมเองได้

เปลี่ยนได้โดยถอดฝาลานสตาร์ทออกก่อน ของผมมันยากตรงลานไฟน๊อตแน่นมาก แถมหัวน๊อตเป็นรูสำหรับประแจแอล ซึ่งที่แถมมามันสั้นโคตร ความแน่นนั้นต้องใช้ค้อนช่วย ไม่สามารถใช้ไขควงแบบเปลี่ยนหัวขันมันได้ เมื่อล็อคจานไฟให้อยู่กับที่ได้(ด้วยหัวเทียนปลอม) ผมยัดประแจแอลด้านสั้นลงรู เพื่อมีด้านยาวไว้ใช้ค้อนตอก ใช้โซแนคฉีดเข้าไปข้างน๊อต พอน๊อตเริ่มคลาย ครีบจานไฟจะหักไปเรื่อยเพราะมันไม่หมุนตามน๊อต

เมื่อถอดน๊อตได้ให้หมุนเกลียวกลับลงไปตื้นๆ ใช้ไขควงปากแบนสอดไปใต้จานไฟ(ผมได้คุณอาช่วยกดเลยง่ายขึ้น) จากนั้นเอาค้อนตอกบนน๊อต(ใช้โซแนคช่วยก็ดี) ตรงนี้ผมเจอสลัก ก็ใช้มันด้วยนะครับ เมื่อเปลี่ยนเป็นลานเบา ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะ

6. การตั้งเครื่องเดินเบา ถ้าเบาเครื่องแล้วดับก็ไม่โอเค หรือเบาเครื่องแล้วหัวเกียร์ยังหมุนก็ไม่ใช่ เครื่องมันควรเดินอย่างสม่ำเสมอเมื่อไม่กดคันเร่ง จุดนี้มีสกรูก้านสีทองสอดอยู่ในสปริง อยู่ข้างสายไฟที่ต่อจากเครื่องมาคันเร่ง ที่หัวสกรูมีรอยบากให้ใช้ไขควงแบนหมุนได้ หมุนขวาคือเร่ง หมุนซ้ายคือเบา ก็ลองหมุนเอาที่พอใจ

7. ใบตัดหมุนตลอดเวลา แม้เครื่องเดินเบา ผมเจอกับเครื่องจีนที่ซื้อออนไลน์ หาสาเหตุอยู่นานก็พบว่าถ้วยคลัชมันเบี้ยว (ทีหลังจะซื้อตามร้านเหมือนเดิม เขาประกอบไว้แล้ว ทดลองได้เลย)

ผมคาดว่าปัญหาน่าจะอยู่แถวนี้แหละ เลยรื้อก้านตัดออกจากตัวเครื่องก่อน(มีน๊อต 4 ตัวที่โคนก้าน) สภาพคลัชปกติ สปริงคลัชปกติ ชามคลัชหมุนแล้วแปลกๆ ผมเลยเอาสีเมจิกมาร์คขอบชามคลัชไปรอบๆ เทียบกับฐานมัน พบว่าเอียงเกือบ 10 องศา

ผมใช้ข้อต่อตรงท่อพีวีซีใหญ่ๆ วางไปที่ก้นถ้วย เอาค้อนค่อยๆ ทุบบนท่อปรับให้ขอบชามมันขนานกับฐานรับ อย่าทุบที่ขอบชามคลัชโดยตรงนะ มันไม่ได้แข็งแรงอะไร บิดเบี้ยวไปคือพังครับ (ช่างเขาแก้อย่างนี้แหละ ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนชามคลัช) ก็กลับมาใช้ได้ปกติอย่างที่ควรจะเป็น คือเมื่อเดินเบา ใบมีดต้องไม่หมุน

เมื่อสตาร์ทเครื่อง คลัชจะหมุนเลย พอเราเร่งเครื่อง คลัชหมุนเร็วขึ้น แรงเหวี่ยงจะทำให้สปริงยืดตัวกางขาคลัชออก หน้าคลัชจะไปจับกับชามคลัช ที่โคนชามคลัชจะมีเฟืองสำหรับเสียบต่อกับแกนตัดหญ้าด้านหนึ่ง อีกด้านไปต่อเข้าหัวเกียร์(อยู่ในท่อนั้นแหละ) เมื่อรู้ว่ามันทำงานอย่างนี้ เราก็สโคปปัญหาได้แคบลง

8. ก้านตัดสั่น ไล่เหตุจากง่ายไปยากนะครับ

- ใส่มีดไม่กึ่งกลาง หรือดึงสายเอ็นออกมาไม่เท่ากัน แรงเหวี่ยงสู่ศูนย์กลางมันไม่ได้ เลยสั่นเป็นเจ้าเข้า

- ชามคลัชเอียง ก็เป็นเหตุ

- เฟืองหัวเกียร์เข้าก้านเกียร์ตื้นเกินไป อันนี้แก้ได้โดยตัดปลายท่อออกด้วยเลื่อยท่อน้ำ เจาะรูยึดน๊อตใหม่ด้วยสว่านไฟฟ้า เพื่อขยับให้เฟืองหัวเกียร์เสียบเข้าก้านเฟืองได้ลึกขึ้น มันก็จะหายสั่น อันนี้ผมดูไปเจอ ยังไม่เจอปัญหาจริง

9. คลัช มีผลต่อการตัดจริง มีหลักๆ เป็นแบบ 2 ขา กับ 3 ขา

บ้างว่า 2 ขาตัดนิ่มกว่า เครื่องที่พังไปก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้รื้อ(ทิ้งไปแล้ว น่าเสียดาย) ที่ใช้อยู่เป็น 3 ขาทั้งคู่ เลยจำความต่างไม่ได้

ยังมีคลัชผ้าดำกับผ้าแดง อันนี้ลองแล้วแตกต่างจริง เครื่องเก่าผ้าคลัชเกือบหมดแล้ว ผมเลยลองผ้าแดงที่เขาว่าตัดนิ่มกว่า ซื้อมา 2 อัน เปลี่ยนไปทั้ง 2 เครื่องเลย ตัดนิ่มกว่าจริงครับ ถ้าจะเปลี่ยนพอดีก็ลองดู ปัญหาของผมคือ เมื่อเริ่มตัด เครื่องยังสด กำลังดี จะคุมคันเร่งยากนิดนึง มันค่อนข้าง sensitive แล้วใบมีดจะหมุนเร็วกว่าที่ต้องการ ต้องคอยลดคันเร่ง แต่พอตัดไปสักพักจะดีขึ้น เพราะเครื่องมันล้าลง

เปลี่ยนสปริง ช่างบางคนบอกว่า การใช้สปริงคลัชที่อ่อนลงจะช่วยให้ตัดนิ่มขึ้น ใช้กำลังเครื่องน้อยลง มันก็มีสปริงที่บอกว่าอย่างดีขายแยกอยู่ครับ ตัวละไม่กี่บาท คุณอาจลองวิธีนี้ก่อน ถ้าคลัชยังไม่หมด

การเปลี่ยนคลัช (ยากสัส แม้รู้วิธีการ) มันดูง่ายมากจากคลิป แต่ผมทำไม่ได้อย่างที่เขาทำว่ะ

1. ถอดโคนก้านตัดออกก่อน จะเจอคลัชติดอยู่กับตัวเครื่อง

2. ขันน๊อตที่ยึดคลัชกับเครื่องออกจากกัน คลัชมันจะหมุนตามประแจบล็อกในมือเรา การทำให้มันไม่หมุนทำได้โดย

- ใช้ประแจปากตาย หรืออะไรแข็งๆ ค้ำลงไปที่ขาคลัชกับช่องในห้องคลัช

- ใช้เชือกหย่อนลงไปในช่องหัวเทียน เพื่อให้ลูกสูบไม่ขยับ เครื่องแรกผมทำอย่างนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่อีกเครื่องตอนเอาเชือกออกแม่มขาด(สงสัยยังใหม่ ลูกสูบคมไป) ทีนี้ต้องรื้อช่องไอเสีย เอาลวดเกี่ยวมันออกมา งานเพิ่ม!

- ใช้หัวเทียนปลอม(คราวหน้าผมจะใช้นี่แทนเชือก) ซื้อออนไลน์อันละ 40 กว่าบาท หรือจะทำเองโดยหักเขี้ยวหัวเทียนที่พังแล้ว เหลาไม้ขนาดเท่ารู ตอกลงไป แล้วตัดให้ยาวพอที่จะค้ำกระบอกสูบพอดี! ถ้าไม้หักล่ะ ถ้าเศษไม้ไปตกหล่นอยู่ในห้องเครื่องล่ะ งานนี้ได้ผ่าเครื่อง ผมคิดแล้วไปกดสั่งซื้อทันที มันไม่กี่บาทเอง

3. เมื่อถอดน๊อตยึดได้ ใช่ว่าจะงัดมันขึ้นมาได้ง่ายๆ ให้เอาประแจปากตายสอดเข้าไปคาไว้ใต้คลัช 2-3 ด้าน(ง่ายกว่าคือใช้เหล็กงัดยางรถ กูจะมีไหม) ใช้น๊อตยาวหมุนเข้ารูน๊อตยึดเดิม เอาค้อนตอกบนน๊อต คลัชมันจะกระเด้งขึ้นมา ตามคลิปเขาทำแค่นี้จริงๆ ผมตอกอยู่นานก็ไม่ขึ้น อาจตอกไม่แรงพอ(กับเครื่องเก่า) บางช่างมีตัวดูด 3 ขาก็จะง่ายหน่อย(pulley) แต่ผมไม่มี

ผมเลยไปจบที่การถอดน๊อตขาคลัชออกจากฐานมัน แล้วใช้น๊อตของมันขันลงไปที่ฐานทั้ง 3 ด้าน ให้มันดันตัวเองขึ้นมา ก็ได้ผลแบบแยกชิ้นส่วน อีกเครื่องผมเริ่มเหมือนเดิม เคาะไม่กี่ทีก็กระเด้งขึ้นมา งงดิครับ

ผมไม่เจอสลักคลัช ทั้งที่มีร่องสลักอยู่ ก็ช่างมัน เปลี่ยนอันใหม่ใส่ ขันน๊อตให้แน่นก็ใช้ได้ปกติ ตอนถอดจำไว้ด้วยนะครับว่าอะไรอยู่บนอยู่ล่าง(มีแหวนรองกับสปริงมั๊ง) ถ้าผิด เครื่องหมุนแต่คลัชไม่หมุน ควันโขมง ก็ต้องรื้อออกมาใส่ใหม่ให้เสียเวลาเล่น ที่รู้เพราะผมทำมาแล้ว!

10. ล้างคาบูเพื่อ ถ้าทำหมดนั่นแล้วเครื่องก็ยังไม่ติด, เครื่องสำลัก, เร่งแล้ววูบ, ใช้ไม่นานเครื่องดับเอง ให้ลองล้างคาบู มันไปไม่พ้นเรื่องการป้อนน้ำมันหรือหัวฉีด

ส่วนนี้จะอยู่ข้างกรองอากาศ ถอดกรองอากาศออกจะเจอน๊อตยึดคาบู ผมคงเล่าขั้นตอนไม่ไหว ไปหาคลิปล้างคาบูดู แล้วทำตามเขาละกัน มันมีชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ไม่ยากในการถอดใส่ ไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษอะไร(ประแจที่แถมมา รื้อได้ทั้งเครื่อง) ที่เน้นๆ คือ ถ้วยน้ำมัน ลูกลอย ปีกผีเสื้อเปิด-ปิดบนลูกลอย รูนมหนู เข็มฉีดน้ำมันที่มีรูโดยรอบ ให้เอาปลายเข็มจิ้มๆ รูด้วยก็ได้ เผื่อมันตัน ล้างด้วยน้ำมันตัดหญ้านั่นแหละครับ อาจมีแปรงสีฟันเล็กๆ อีกสักอันไว้ขัดถู

ส่วนการตั้งระยะเข็มคันเร่ง ผมยังไม่มีปัญหาในการเร่ง จึงยังไม่จำเป็นต้องปรับแต่งอะไร

11. อัดจารบี อัดจารบีที่หัวเกียร์บ้าง มันมีน๊อตด้านข้างหัวเกียร์ให้ถอดได้ง่ายๆ แปลว่ามันควรต้องทำ ที่หัวเกียร์จะมีน๊อต 3 ตัว 1 ตัวปิดรูอัดจารบีไว้ อีก 2 ตัวใช้ยึดหัวเกียร์กับก้านตัด คนทั่วไปอย่างเราๆ คงไม่มีใครมีเครื่องอัดจารบี ก็ใช้ไซริงค์ใหญ่ๆ แทนได้ แต่ผมเจอง่ายกว่านั้น มันมีจารบีหลอดสำหรับอัดหัวเกียร์ขายโดยตรง เสียบปลายหลอดเข้ารูอัดจารบีแล้วบีบอัดเข้าไปได้เลย

ทาจารบีที่แกนเพลา บางคนดึงมันออกมาได้ แต่ผมทำไม่ได้ แกนเพลาจะมีพลาสติกประคองอยู่ในท่อ เขาว่าดึงแกนเพลาออกมาทาจารบีบ้าง จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ก็ลองดูครับ

12. ล้างกรองอากาศ กรองน้ำมัน เมื่อถอดฝาครอบออก เราจะเจอตัวกรอง 2 ชิ้น(คล้ายฟองน้ำ) ให้เอาน้ำมันตัดหญ้าแหละครับใส่ถ้วย ขยำๆ เอาสิ่งสกปรกออกมา บีบให้แห้ง ใส่กลับไปที่เดิม

13. การ์ดหรือใบบัง ถ้าหญ้ากระเด็นเข้าหาตัวมากเกินไป ลองขยับมันไปทางใบตัดให้มากขึ้น แต่อาจมองหัวตัดลำบากหน่อยเมื่อเก็บงานละเอียด เมื่อตัด หญ้าจะกระเด็นไปทางซ้าย(ใบตัดหมุนทวนเข็มนาฬิกา) เราจะควบคุมทิศทางได้บ้าง เพื่อให้ต้องเก็บกวาดน้อยลง

ชิ้นส่วนทุกชิ้นของเครื่องตัดหญ้า ถ้าพังชิ้นไหนก็มีให้ซื้อเปลี่ยน หรือจะเล่นทั้งชุด เช่น คาบู/หัวเครื่อง ก็มีขาย สำหรับน๊อตหัวจมหกเหลี่ยมที่ล็อคส่วนต่างๆ ของเครื่อง(สำหรับประแจแอล) นานไปขึ้นสนิมแล้วรูมันจะฟรี ถ้าถอดไม่ได้ให้ลองใช้ประแจกริ๊ปช่วย

14. ผ่าเครื่อง เปลี่ยนลูกสูบ ใช้ในกรณีที่ลูกสูบติด(เศษชิ้นส่วนเข้าไปคา) เครื่องหลวม(รอยครูด ประเก็นเสื่อม) จะถอดยากนิดนึง ไปหาคลิปดู know how เอาครับ ผมลองใช้ประแจแอลที่แถมมาขันเสื้อสูบ ถ้าไม่รื้อชิ้นส่วนรอบนอกออกก่อน น่าจะถอดไม่ได้ ประแจมันสั้นน่ะ และคีมถ่าง-คีมหนีบ หัวเล็กๆ ก็ต้องมีไว้ ถ้าต้องการถอดสปริงบางจุด เช่น ลูกสูบ ชามคลัช

15. ประเก็น เครื่องไทยมีแถมมาให้ชุดนึง(เครื่องจีนไม่แถมว่ะ) แต่ผมลืมไปละ เพิ่งเจอวันก่อน ตอนที่คิดจะลองรื้อเพื่อบำรุงรักษา ผมจึงสั่งมา 2 ชุด (ชุดละ 60) เผื่อไว้ครับ กับเครื่องที่ใช้มานานๆ ตอนรื้อ ประเก็นน่าจะขาด ถ้าไม่มีเปลี่ยนจะทำให้ชิ้นส่วนไม่แนบสนิท ใช้ไม่ได้

 

ห่อตัวแค่ไหนให้พอดี

จัดอย่างหนา แต่เหงื่อซ่ก ความร้อนขึ้น มันก็ตัดไม่ไหวอะนะ อันนี้ผมเสียเงินซื้อมาแล้วใช้ไม่ไหวก็หลายอย่าง(เช่น ชุดเอี๊ยม PVC หนาๆ, หมวกตัดหญ้า) เล่าสู่กันฟังครับ จะได้ไม่เปลืองเงินซื้อมาให้เกะกะบ้านอย่างผม

เริ่มแรกผมใช้กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ เสื้อแจ็คเก็ต รองเท้าบูท ถุงมือผ้า แว่นนิรภัย หมวกชาวนาแบบปิดหน้า ใช้อยู่เป็นปีเหมือนกัน ทีนี้มันร้อนจะเป็นลมตาย เลยเปลี่ยนกางเกงมาเป็นผ้าเวสปอยท์แทน(กางเกงทำงานเก่า)

ผ่านไปอีกปี ผมเริ่มคุ้นกับเครื่องตัดหญ้า รู้วิธีใช้ให้ปลอดภัย ผมเลยใส่ขาสั้นอยู่บ้านที่เป็นผ้า(หนาหน่อย ยาวเกินเข่า) ทับด้วยขาก๊วยผ้าธรรมดา เสื้อเชิ๊ตทำสวนแขนยาวบางๆ รองเท้าบูท ถุงมือผ้า หมวกตัดหญ้าโดยตรง มันจะได้ระบายความร้อนได้ง่ายหน่อย

หมวกตัดหญ้านี่น่าสนใจ มีลักษณะคล้ายหมวกกันน๊อคแต่เปิดด้านหลัง จะใช้หมวกกันน๊อคเลยได้ไหม ก็คงได้ ถ้าคุณทนความร้อนกับเหงื่อที่ไหลอาบไหว ปัญหาของหมวกตัดหญ้าที่ผมเจอคือ มันใหญ่จนใส่หมวกไม่ได้ กระหม่อมบางๆ เลยรับแดดไปตรงๆ เอาผ้าเปียกๆ โพก ก็ช่วยได้ไม่มาก หลังโควิดมานี่ผมลองเฟสชิลด์ไปครั้งนึงแล้วติดใจ มันปลอดภัยเท่ากัน และสามารถใส่หมวกปีกกว้างได้(เลือกแบบมีรูระบายอากาศเยอะๆ จะสบายหัวกว่า) เลยซื้อมา 50 อัน ไว้ตัดหญ้าโดยเฉพาะ (ถ้าใส่ไปทำงาน มันจะดูเว่อร์ไปนิด)

ส่วนสายสะพายที่แถมมา โยนทิ้งไปเถอะครับ มันเล็ก บาง กดไหล่เจ็บเปล่าๆ ผมซื้อใหม่แบบหนานุ่ม กว้าง 3 นิ้ว ใช้สบายกว่ามาก ราคาร้อยกว่าบาท(บ่าเดี่ยว) แบบบ่าคู่เคยใช้ช่วงแรกๆ มันช่วยกระจายน้ำหนักไป 2 ไหล่ได้ดีก็จริง แต่แผ่นพลาสติกมันกดหน้าอกทำให้อึดอัด(ผมมีโรคหัวใจร่วมด้วย) ยิ่งเหนื่อยยิ่งแย่ ถ้าคนปกติคงไม่เป็นไร

สิ่งที่ต้องเอาไปด้วย

คือมันไกลครับ เลยต้องมีตะกร้าใส่ของถือไปกับตัว จะเอาอะไรเดินกลับบ้าน มันก็ไม่ไหว(เดินไปเดินมา เหนื่อยตายห่าพอดี) ที่ผมขนไปจะมี ประแจแอล หกเหลี่ยม สี่แฉก ที่เขาแถมมากับเครื่องนั่นแหละครับ น๊อตอะหลั่ย หัวเทียนสำรอง กระดาษทราย กระปุกเอ็น/ใบมีด สายเอ็น ตะไบ หินลับมีด ทิชชู่ แก้วเก็บความเย็นใส่น้ำแข็งไปเต็มๆ น้ำ บุหรี่ ไฟแช็ค แค่นี้ก็ไปได้ยาวๆ แล้วครับ(อาหารไม่ต้อง วันหยุดผมกินแค่ 2 มื้อ ถ้าวันทำงานกินประมาณ 5 มื้อ!) เหนื่อยตรงไหนก็นอนแผ่มันตรงนั้น

ที่ขำคือ ถ้าเสียงเครื่องเงียบไปนานๆ แม่ผมจะตะโกนเรียก ถ้าอยู่ไกล ผมไม่ได้ยิน ไม่ขาน พ่อจะเดินมาดู เช็คว่ามันตายไปแล้วหรือยัง!

ไม่มีความคิดเห็น: