While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

X Japan : X Era !

คงเป็นมหากาพย์อีกเรื่องของผมแล้วกระมัง ใช้เวลาเขียนเข้าไป 9 วัน! ... อะ เชิญเสพ
ในยุคที่โลกมีแต่ดนตรีพันธุ์แท้ (classic, pop, jazz, dance, blue, rock, heavy metal, death) คนกลุ่มนี้ก่อตั้งวง symphonic metal ขึ้นเป็นวงแรกของโลก! แถมคนทั้งโลกยังยอมรับในฝีมือการเล่นและการประพันธ์ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายครับ กว่าจะเป็น X Japan พวกเขาก็ฟันฝ่ากันมาเยอะและทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ในขณะที่ไทยเรายังเน้นดนตรีเพื่อการตลาดอยู่เลย แถมบางวงยังมีการให้คนเก่งๆ เข้าห้องอัดเสียงดนตรีให้อีกตะหาก!
ทีนี้เรามาหาหลักฐานยืนยันคำพูดของผมกัน วิกี้บอกว่า พบซิมโฟนิคเมทัลเป็นครั้งแรกในปี 1987 ส่วน X ออกซิงเกิ้ลแรกในปี 1985 ซิงเกิ้ลที่สองในปี 1986 เคลียร์เนอะ ถ้ายังไม่เชื่อ คุณลองเสริชด้วยคำว่า symphonic metal ดูอีกที :)
ผมได้รู้จัก X ราวปี 1992 นั่นก็ชุด on the verge of destruction ออกมาแล้ว แปลว่าดังไปมากละ ชอบเพราะความน่าตื่นตาตื่นใจในการเรียบเรียงเมโลดี ฝีมือของนักดนตรี ความอลังการของตัวงาน ดนตรีมันแน่นมากครับ การมีรากฐานจากคลาสสิคก็เป็นอย่างนั้นแหละ (ถ้าจะยกตัวอย่างอีกคนที่ผมประทับใจ คงเป็น Randy Rhoads จากชุด tribute ของ ozzy osbourne เล่นสดและ improvise ในกรอบเสียงได้แน่นปึ่ก ในขณะที่เพลง dee หวานซึ้งตรึงใจ สุดยอดมาก)
X Japan เป็นวงแรกที่บุกเบิกดนตรีพันธุ์ทางขึ้นมาในโลก symphonic metal / melodic metal / power metal / speed metal จะเรียกอะไรก็แล้วมุมมองของคน แต่รูปแบบของ X คือการผสมผสานระหว่างดนตรีคลาสสิคแท้ๆ กับเฮฟวี่เมทัลแบบโคตรเร็วเข้าด้วยกัน หลายเพลงมีการเอาวงซิมโฟนีเข้ามาเล่นด้วย พวกเขาสามารถสื่อสารเอกลักษณ์ของตัวเองผ่านงานดนตรี นั่นน่าทึ่งมากจริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นมันไม่เคยมี หรือถ้าจะมีก็คงยังอยู่ไกลมากหรืออยู่ในวงแคบ จนคนยุคนั้นไม่เคยรู้ อย่างน้อยก็ผมคนนึง
วันนี้กับความรู้ปัจจุบัน ผมลองนึกย้อนกลับไปถึงวงที่ดังๆ ในยุคเดียวกันหรือก่อนหน้านั้น Van Halen, MSG, Scorpion, KISS, Deep Purple, AC/DC, Helloween, Europe มันก็ยังไม่ผสมคลาสสิคนะ แต่มี Meat Loaf, Uriah Heep ที่อาจจะมีกลิ่นไออยู่บ้าง
เรื่องที่คุณอาจไม่เคยนึกถึงเลยก็คือ นักดนตรีเฮฟวี่เมทัลทุกคนผ่านการเรียนดนตรีคลาสสิคมาตั้งแต่เด็กทั้งนั้น ลองเช็คประวัติดูได้ครับ แล้วดนตรีคลาสสิคดีๆ ที่ tempo เกิน 150 ก็มีเยอะเลย ผมว่าจริงๆ แล้วมันคือคลาสสิคที่ใส่กีต้าร์ไฟฟ้าพร้อมเครื่องช่วยกับกลองเข้าไปน่ะแหละ จะได้ความสุนทรีย์อีกแบบ คุณเคยฟัง J.S. Bach : Brandenburg Concerto No.3 in G Major, BWV 1048 Allegro แล้วนึกอยากฟังเวอร์ชั่น heavy metal ไหม อารมณ์ประมาณนั้นแหละ
Tempo(italian) = time(english) บอกค่าเป็น bpm คือ beats per minute คือจำนวนครั้งที่ให้เล่นต่อนาที สำหรับนักดนตรีจะมีเมโทรนอมไว้ช่วยในการฝึก ตัวเลขจะถูกระบุไว้ที่ต้นเพลงของโน๊ตทุกๆ เพลง ตัวอย่างชื่อเพลงที่มักใช้ในเพลงคลาสสิค ซึ่งบอกค่าประมาณความเร็วด้วย เช่น allegro 120-139 bpm, vivace 168-176 bpm, presto 168-200 bpm นี่จะเป็นกลุ่มที่ผมมักเลือกฟัง ฟังไหว! ถ้าช้ากว่านี้ผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน มันจะเครียดน่ะ .. นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ rhythm, beat, อะไรอีกสารพัด ซึ่งหากนำมากล่าวถึงมันก็จะเยอะไป ตัวผมเองไม่สามารถด้วยแหละครับ ผมจะรู้เท่าที่อยากรู้ แค่งูๆ ปลาๆ พอให้ฟังเพลงได้ซาบซึ้งมากขึ้นเท่านั้น
เกือบ 30 ปีผ่านไป ปัจจุบันมีวงดนตรีแนวนี้พอสมควร ซึ่งผมชอบมากเสียด้วย เพราะความอ่อนหวาน นุ่มละมุน หนักแน่น โหดเหี้ยม ปลดปล่อย ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว ในคนปกติมักจะมี 2-3 ด้านช่ะ(เขาถึงดังไง เพราะมันโดนใจคน) เว้นพวกโรคจิต! ที่จะมีด้านอื่นๆ เพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งคาดคะเนได้ยาก ว่ามันจะมีกี่แบบ แบบไหน ซึ่งเราควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแผนกจิตเวชจะดีกว่า!
ก่อนอื่น ผมขอเล่าถึงที่มาของชื่อ X Japan ก่อน โยบอกว่า ตอนนั้นพวกเราไม่รู้จะตั้งชื่อวงว่าอะไรดี คิดหลายชื่อ แล้วก็เริ่มขี้เกียจ เลยจัดประกวดซะเลย ให้แฟนคลับช่วยเลือก ทีนี้โลโก้ X มันเด่นมาก เลยได้ชื่อ X มา ก็ใช้ X เฉยๆ อยู่พักใหญ่ จนเมื่อคิดจะ go inter ก็พบว่าใน L.A. ก็มีชื่อวง X อยู่เหมือนกัน จึงเปลี่ยนมาใช้ X Japan!
ในปี 1992! .. เมื่ออัลบั้ม on the verge of destruction ทำให้ผมประทับใจอย่างลึกซึ้ง! ผมก็ย้อนกลับไปหางานสตูดิโออัลบั้มฟัง
Vanishing Vision เป็นอัลบั้มแรกที่ออกมาตั้งแต่ปี 1988 ผมหาฟังไม่ได้ มาได้ฟังหลังจากที่มีการแชร์ผ่าน P2P นี่เอง โดยส่วนตัว ผมชอบนะ มันมีจังหวะจะโคนดีทีเดียว นักดนตรีแต่ละคนเก่งเกินวัย เทคนิคการเล่นสูงมาก บวกกับความที่เป็นอัลบั้มแรกเสียด้วย พวกเลยจัดเต็มครับ
ชุดนี้จึงมีเพลงบัลลาด 2 เพลง alive กับ unfinished ซึ่งแม้คนไม่ฟังเพลงร๊อค ยังรักที่จะฟัง ตัว unfinished ยังเป็นการพิสูจน์ความเป็น X ด้วย ว่าสามารถทำเพลงบัลลาดนุ่มๆ ได้ดี ไม่แพ้เพลงที่ให้ความมันส์ได้สุดขั้วหัวใจ
สำหรับผม kurenai ไม่จัดว่าเป็นเพลงช้านะ มันแค่มีท่อนอินโทรที่อ่อนโยน ไลน์กีต้าร์สวยงาม อบอุ่น ราวนาทีครึ่ง! ที่เหลือเป็น allegro vivace ทั้งเพลง! ผมฟังได้เป็นวันๆ ไม่เบื่อ ส่วนที่เร็ว ไม่ได้เร็วจนฟังไม่ทัน เสียงแยกชัดเป็นตัวๆ เรียงโน๊ตได้สวยน่าฟัง และถ้าคุณลองเปิด music sheet ดู จะเห็นได้ว่า มันเป็นเพลงคลาสสิคชัดๆ กีต้าร์ที่เล่นแทรกกันไปมา ทำให้เพลงแน่นมาก ผมพลางคิด ถ้าโยนโน๊ตให้วงซิมโฟนีขนาดใหญ่สักวง นักไวโอลิน 20-30 กว่าคนนั่นคงมันส์น่าดู กับความเร็วขนาดนี้ รึเหงื่อตก? แต่พวกเขาทำได้แน่ คนพวกนั้นเก่งเหลือเชื่อ
X japan มีมือกีต้าร์ 2 คน เล่นริทึ่ม/โซโล่แทรกกันตลอดเวลา เบสฝีมือดี กลอง 2 กระเดื่องกับสไตล์การตีที่ดุเดือดได้อารมณ์ เปียโนท่วงทำนองแปลกหูแต่น่าประทับใจ(เช่น alive) แต่ละคนเล่นได้แบบเข้าถึงอารมณ์ดนตรี อ่อนโยนได้สุดขั้ว ดุเดือดได้สุดใจ ผมชอบอะไรที่มันสุดทิศสุดทางอย่างนี้แหละ ครึ่งๆ กลางๆ มันน่ารำคาญ (เดี๋ยวมาว่าเรื่องนักดนตรีกันต่อทีหลังนะครับ)
Blue Blood เล่นเอาผมคลั่งไคล้ เปิดตัวได้สวยกับ prologue world anthem สำเนียงกีต้าร์งดงามมากครับ กลอง เบส ก็ลงตัวสุดๆ ถามว่าชอบเพลงไหนที่สุด คงตอบลำบาก อาจเป็น blue blood, x, kurenai
xclamation มีความสละสลวย สวมงาม แปลกหู เพราะมากครับ คล้ายโซโลเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น แยกเสียงจากกันได้ชัดเจน โชว์ความสามารถกันเต็มที่ เจอเพลงนี้เข้าไป ผมไม่สงสัยในผีมือของคนกลุ่มนี้อีกเลย
Rose of pain จัดเป็นงานประพันธ์ที่ซับซ้อนพอดู ด้วยความยาวเกือบ 12 นาที ฟังเพลินครับ เสียงร้องไล่สเกลได้ดี ดนตรีเร้าใจ ผมฟังไม่รุ้เรื่องหรอกครับ ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมา การออกเสียงภาษาอังกฤษของโทชิก็ฟังยากจัง แต่ดนตรีมันเป็นภาษาสากลยิ่งกว่าภาษาใดๆ และมันทำให้เกิดความรู้สึกตื่นตัว
ความจริงผมสามารถฟังวนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกรำคาญเพลงไหน แปลว่าผมชอบหมดเลย ชุดนี้จะมีเพลงบัลลาดหลุดมา 2 เพลง ซึ่งเชื่อว่าใครๆ คงเคยได้ยิน เพราะผมรู้จักวงนี้ก็จากเพลงบัลลาดที่เปิดทางวิทยุนั่นแหละ endless rain, unfinished
ยุคนั้น บ้านเรากำลังนิยมร๊อคบัลลาด ส่วนใหญ่เป็นเพลงนำเข้า วงร๊อคเมืองไทยมีไม่กี่วง เพลงบัลลาดยิ่งหาได้ยากกว่า เช่น The Olarn Project - เพราะรัก จะออกแนวอีโรติคนิดแต่เมโลดี้สวย, แทนความห่วงใย ให้ความรู้สึกสวยงามเสียจนดูเพ้อฝัน!, อย่าหยุดยั้ง คงไม่มีใครไม่รู้จักกระมัง แต่ recommand ที่ผมอยากให้ลองคือ รุ่งอรุณ, เหนือคำบรรยาย จากชุดหูเหล็ก ยังมี Hirock, Uranium, Kaleidoscope, ร็อคเคสตร้า ส่วนอัสนี-วสันต์, อิทธิ, ปฐมพร แนวเพลงผสมหลายอย่าง พวกนี้เป็นวงที่แต่งเพลงเอง ร้องเอง เล่นเอง มีความไพเราะและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง
พ้นจากเพลงไทยกลุ่มนี้ไป ผมก็หันไปลองฟังเพลงนำเข้าละ ช่วงนั้นเข้ามาเยอะครับ มันเป็นยุคทองของ rock n roll จากฝั่งยุโรป/อเมริกา ร้านขายเทปจะเริ่มโปรโมทให้ โดยเอาเพลง ballad ของวงร็อคดังๆ มารวมกัน เด็กไทยเราเลยจะได้ soft rock ไว้ปูพื้น ก่อนที่ใจจะโหยหาอะไรที่ซับซ้อนกว่า ความต้องการทางดนตรีมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกครับ ถ้าวัดจากตัวผมนะ
Jealousy  เปิดฉากด้วยเพลงเปียโน เล่นเอาผมอึ้งไปเลย ตอนนั้นผมมีประสบการณ์ด้านดนตรีน้อยมาก จึงแค่รู้สึกว่า เพราะว่ะ พอเรารู้เรื่องดนตรีมากขึ้น ฟังมากขึ้น วันนี้ผมกล้าพูดว่าโยชิกิรู้เยอะ รู้จริง การแต่งเพลงให้เพราะได้ ต้องรู้ทั้งหมด แล้วเรียบเรียงมันออกมาเป็นกลุ่มตัวโน๊ตที่ไม่ว่าใครได้ฟัง จะรู้สึกว่ามันเพราะ อยากฟังซ้ำ สำหรับผม เพราะทุกเพลงอีกเช่นเคย
Silent Jealousy เป็นอะไรที่ผมประทับใจที่สุด จากเมโลดี้ของมัน มารู้ทีหลังว่ามักเป็นเพลงเปิดคอนเสริต! ที่ไม่อยากให้พลาดคือ love replica เป็นเพลงบรรเลงนุ่มๆ ที่ฮิเดะแต่ง! ฟังแล้วให้ความรู้สึกลื่นไหล ไม่ติดขัด เทคนิคในการเล่นเยี่ยมมาก
ชุดนี้ มีเพลงบัลลาดโผล่มา 2 เพลง voiceless screaming ทางกีต้าร์สวย เสียงโทชิกระชากใจ ผมเคยร้องตาม เสียงก็หลงเข้าป่าเข้าเขาไปสิครับ โทชิเป็นคนที่ช่วงเสียงกว้างมาก และร้องแนวโซปราโน่ได้ดี เสียงไปได้สูงสัสๆ
อีกเพลงคือ say anything กับประโยคฝันๆ ที่ว่า
Time may change my life, but my heart remains the same to you
time may change your heart, my love for you never changes  .. ชอบครับ น้ำเน่าดี!
เพลงนี้เพราะมากเสียจน คนบ้านเราไปก๊อปมาทั้งดุ้นโดยไม่ซื้อลิขสิทธิ์ ไม่มีการให้เครดิต(หน้าด้านว่ะ) จัดเป็นความอับอายขายหน้าของคนไทยที่รู้(และมีคุณธรรม) แต่สำหรับเขา คุณธรรมคงสู้เงินตราไม่ได้กระมัง ผลตอบรับดีมากครับ ซึ่งพอโซนี่เมืองไทยรู้ก็ตอบโต้อย่างน่าทึ่ง โดยลงใน นสพ.ไทยรัฐส่วนบันเทิงว่า ถ้าคุณคิดว่าเพลงนี้เพราะมาก อยากให้คุณลองไปฟังต้นฉบับของ X .. เพลงไทยที่ว่าชื่อเพลงอะไร ผมไม่อยากกล่าวถึงให้แปดเปื้อนริมฝีปาก!
ตอนโยมาเมืองไทย เขารู้นะ มีถามถึงด้วย แต่เขาก็น่ารักเสียจนไม่ว่าอะไร มีการบอกให้แฟนคลับลองร้องให้ฟังหน่อย(แต่เขาไม่เล่นเพลงนี้ที่อิมแพ็ค!) ซึ่งร้องกันลั่นๆ .. ตายห่า คนที่ทำสิ่งผิดไว้ อายเป็นไหมนั่น ผมเชื่อว่าเขาก็ต้องตามดู มีชนักปักหลังอยู่นี่ .. เมื่อก่อน กฎหมายลิขสิทธิ์/ทรัพย์สินทางปัญญา ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ จะทำอะไรก็ระวังกันหน่อยนะ อย่ามักง่าย
White wind from Mr.Martin ทำให้ผมเดาว่าคงใช้กีต้าร์ยี่ห้อมาร์ตินเล่น เป็นเพลงบรรเลงอีกเพลงที่นุ่มสัส พาตะเป็นคนแต่ง! ตัวเขายังออกอัลบั้ม pata raised on rock ด้วย ซึ่งผมตามแค่ชุดเดียว ผมว่าเพลง you’re my everything ริทึ่มสวยดี ในญี่ปุ่นยังมีกีต้าร์อคูสติคแฮนด์เมดอีกยี่ห้อหนึ่งที่เสียงดีมากๆ ผมรู้จักเพราะน้องผมซื้อมาใช้ K.yairi ผมจำรุ่นไม่ได้ ที่ราคาราวห้าหมื่น ผมว่ามันให้เสียงสวยกว่ามาร์ตินในราคาเดียวกัน อาจแล้วแต่คนชอบ ดูเหมือนยี่ห้อนี้ใกล้จะไม่มีคนสืบทอดแล้ว วัสดุตามมาตรฐานที่เขาคัดมาใช้ก็หายากขึ้น ถ้าใครอยากได้ควรรีบซื้อ ก่อนมันจะกลายเป็นของหายากที่แพงจนซื้อไม่ไหว (ที่บอกราคา เพราะจะทำให้คนเล่นดนตรีพอนึกออก เครื่องดนตรีทุกชนิด คุณภาพกับราคามันเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่อาจหลอกคนเล่นได้ ถ้าตั้งราคาสูงเกินจริง ก็ไม่มีใครซื้อ)
Art of Life mini album เป็นเพลง suite ชั้นเยี่ยม เพลงเดียว 30 นาที สลับช้าเร็วคล้ายเพลงซิมโฟนี 1-4 หมายเลขอะไรอย่างนั้น ผมมองว่ามันเป็นการปล่อยของๆ โยชิกิ ที่ต้องการแสดงให้โลกเห็นถึงความสามารถในการประพันธ์ และผู้คนก็ต้อนรับกันเป็นอย่างดี ผมฟังเพลงเดียวติดต่อกันได้ทั้งอาทิตย์โดยไม่เบื่อ เพราะความหลากหลายที่มีในบทเพลง มารู้ทีหลัง จากที่โทชิเล่า ว่าเฉพาะเสียงร้องก็อัดกันเป็นปี กว่าจะได้ดังใจโยชิกิ
เพลงนี้จะได้เห็นความโรคจิตในตัวกีต้าร์ได้ชัดเจนมาก มันจะสวยงามอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็เปลี่ยนแนวเป็นโหดเหี้ยม แต่มีจังหวะจะโคนเร้าอารมณ์ จากนั้นก็ทะลุสเกลออกไปหลายตัวโน๊ต ช่างทะลวงใจ หลากหลายอารมณ์มากครับ ทักษะกว้างขวาง ผมชอบทุกริฟ
ผมมักชอบอะไรที่ไม่ปกติ อาจเพราะผมก็ไม่ใช่คนปกติสักเท่าไหร่ เพื่อนสนิทผมโรคจิตทุกคนเลย! ที่แย่คือ บางทีเราก็ดูคนผิด คิดว่ามันเป็นโรคจิต แต่ไม่ใช่ เราเสือกดูไม่ออกว่าที่แท้มันก็คนธรรมดาที่พบเห็นได้กลาดเกลื่อน รึมันจิตเกินเลเวลผมไปแล้วก็ไม่รุ้นะ!
Dahlia ดูเหมือนจะมีกลิ่นไอของ thrash metal เพิ่มเข้ามา แต่ก็ยังสละสลวยสวยงาม แม้จะแปลกหูไปบ้าง แต่ทางดนตรีไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ฟังรู้อะครับว่าเป็น X Japan แน่ๆ ว่าทางสายโหด ผมชอบ dahlia กับ drain มันให้ความรู้สึกรื่นรมย์ ส่วน scars เราจะได้ฟังเสียงเบสชัดๆ เบสค่อนข้างเด่นมากครับ
เพลงบัลลาดมีมากขึ้นกว่าชุดก่อนคือ 4 เพลง อาจเพราะเพลงหนักมันหนักจริง แต่เพลงของเขาถึงจะหนักขนาดไหน ก็ยังมีเมโลดี้สวยๆ เสมอ ดังนั้นชุดนี้เลยต้องปลอบประโลมวิญญาณกันมากหน่อยด้วย longing, crucify my love, tear, forever love
tear เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากสำหรับผม ผมฟังมา 20 ปี ไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริง จนกระทั่งได้ดูหนังเรื่อง we are x ทำให้การดู mv เพลงนี้หลังจากนั้น เล่นเอาผมน้ำตาไหล ความรู้สึกที่โยชิกิมีต่อพ่อ มิตรภาพของเพื่อนผู้จากไป มันซาบซึ้งกินใจ
โยชิกิเป็นคนที่ใช้ถ้อยคำในการแต่งเพลงได้สละสลวย อันนี้ผมนับถือเลย ตัวดนตรีสามารถกระชากลากอารมณ์คนฟังได้สุดทาง ทั้งๆ ที่เป็นการเล่นแบบนุ่มนวล ยังมีการเอาวงออเคสตร้ามาเล่นเป็นพื้นหลัง มันคือความใส่ใจทุกรายละเอียด ที่ทำให้ควรค่าแก่การฟัง
ทีนี้มาว่าด้วยเรื่อง single กับอัลบั้มคอนเสริต มีเยอะมากเลย แต่ผมไม่ค่อยฟังนะ ชอบฟังแบบเป็นอัลบั้มจริงๆ มากกว่า วีดีโอจะดูเอาจาก utube บ้างเมื่ออยากรู้ว่าเขาเล่นกันยังไง อันนี้ยิ่งดูยิ่งทึ่งครับ เก่งกันทุกคนเลย เป็นวงที่เล่นได้เต็มที่จริงๆ ทุกคนทุ่มสุดตัว ตรงนั้นล่ะมังที่ทำให้ผู้คนประทับใจและรักพวกเขา (ผลงานทั้งหมดและยอดขาย https://en.wikipedia.org/wiki/X_Japan_discography)
มาต่อกันด้วยเรื่องนักดนตรีเลยแล้วกัน ประวัติอย่างละเอียดผมไม่เล่าดีกว่า มีคนทำแล้ว ตรงนี้จะเป็นอย่างหยาบนะครับ เริ่มด้วย สมาชิกทุกคนได้แต่งเพลงในอัลบั้มที่ออกกันมาด้วย รายละเอียดผมจะไม่กล่าวถึง เพราะจำไม่ได้! คุณไปดูเพิ่มเติมได้จาก X Japan discography จะบอกว่าใครแต่งเพลงอะไร
Yoshiki (โยชิกิ ฮายาชิ, 20 Nov 1965) โยชิกิ เริ่มเล่นเปียโนมาตั้งแต่ 4 ขวบ เขาเล่าว่า เขาจะได้เครื่องดนตรีปีละชิ้นในวันเกิดตัวเอง พอ 10 ขวบ (หลังจากเสียพ่อไป) เขาบอกแม่ ซื้อกลองชุดให้หน่อย แม่ก็ตอบว่า จ้ะ แล้วไปซื้อมาให้ ซึ่งโยยังแปลกใจว่าทำไมง่ายจัง สิ่งที่โยมารู้ตอนเทปดีบิวต์ตัวแรกออกคือ พ่อเขาก็เคยฝันอยากเป็นมือกลองเหมือนกัน ก่อนที่จะเจอเพลงร๊อค ทั้งหมดที่โยรู้จักคือดนตรีคลาสสิค!
ปัจจุบันเขาเล่นเปียโนและกลองเป็นหลัก กีต้าร์ก็เล่นได้ดี ผมเคยเห็นคลิปที่เขาเล่นในห้องอัด บางครั้งเขาก็ลากกีต้าร์รูปหัวใจของฮิเดะมาร่วมแจมกับวงอื่น เคยมีสัมภาษณ์ว่าเขาอาชีพอะไรกันแน่ โยตอบว่า เปียโน กลอง ครอสเพลย์! ฮาสิครับ .. แต่มันยังไม่หมดแค่นั้นสิ อาชีพหลักเขาอะคือ composer และเมื่อไม่นานมานี้ เขายังเป็น conductor เองอีกด้วย
ล่าสุด ผมเจอการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง ระหว่างคลาสสิคัลทัวร์คอนเสริต โยบอกว่า ทุกเพลงเขาจะแต่งเสร็จไปถึง 90% โดยยังไม่จับเครื่องดนตรีใดเลย จากนั้นก็เรียกรวมพล เอาคอร์ด/โน๊ตแจก อ่ะเบส อ่ะกีต้าร์ ซึ่งพวกเขาจะอุทานว่า what the f-ck! 555++
วัยเด็กของโยชิกิคือการเรียนหนังสือ เรียนพิเศษดนตรีกับภาษาอังกฤษ ความเครียด อัดอั้นตันใจต่างๆ ก็ได้กลองเป็นที่ลง แทนที่จะเป็นการทำลายข้าวของ ตอนวัยรุ่นโยเคยเป็นเด็กแว๊นด้วยนะ เขาคบเพื่อนเกเร ต่อยตี ซึ่งบางครั้งต้องบอกเพื่อนว่า วันนี้ชั้นมีคลาสเปียโนนะ ไปด้วยไม่ได้ว่ะ! ที่เขาเล่าคือ แม่บอกว่า ทำสิ่งที่ต้องทำให้ดี แล้วที่เหลือจะทำอะไรก็ได้ ครั้งหนึ่งโยเลยไปย้อมผมสีแดงมา โดนแม่จับโกนหัวเลยครับ แม่บอกไม่ใช่อย่างนี้ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ 555++
ครอบครัวของโยทำธุรกิจด้านชุดกิโมโนสืบทอดกันมาหลายรุ่น มีร้าน โชว์รูม ซึ่งก็ยังคงทำอยู่ เพียงแต่โยชิกิไม่ได้เข้าไปบริหารจัดการด้วยตัวเอง ก็ต้องมีฐานะพอสมควรจึงซื้อเปียโนให้ลูกตอนอายุ 4 ขวบไหวอะนะ

เรื่องแย่ที่สุดของเขาคงเป็นการฆ่าตัวตายของพ่อ พ่อเขายังสะสมดาบซามูไรไว้มาก บางเล่มเคยผ่านการใช้งานจริงมาแล้ว หลังพ่อเสีย แม่จึงเก็บดาบทั้งหมดออกไปจากบ้าน เพราะเชื่อว่ามีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ในดาบเหล่านั้น บางทีแม่อาจกลัวโยจะฆ่าตัวตาย แต่โยก็ชัดเจนว่า เขาไม่คิดฆ่าตัวตายแน่ๆ เขาได้รับประสบการณ์ของผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และรู้ซึ้งถึงความรู้สึกเช่นนั้นดี ความตายของพ่อยังเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของโยชิกิจนถึงทุกวันนี้ และเขาแสดงมันออกมาในบางบทเพลงที่เขาประพันธ์
คนรอบข้างมักกล่าวว่า โยชิกิเป็นคนสุภาพมาก ต่างจากภาพลักษณ์ดุดันตอนตีกลอง หลังจากดูคลิปมาเยอะๆ ผมก็เห็นด้วยนะ เขาเป็นคนที่แคร์คนอื่น ให้ความสำคัญกับผู้คนมากทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจ ซึ่งคนที่รักเขา ยอมรับได้สบายๆ อยู่แล้ว
บทเพลงที่เขาแต่งคือตัวตนของเขา สื่อสารผ่านถ้อยคำที่งดงามราวบทกวี ท่วงทำนองในการเรียบเรียงเมโลดี้ที่ผมมองว่าอัจฉริยะ อ่อนโยนได้สุดใจ เถื่อนได้สุดตีน แต่ความสำเร็จของ X Japan ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ที่สำคัญมากๆ คือความสามารถของสมาชิกในวง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน
หลายคนสงสัยว่าโยเป็นเพศไหน อันนั้นผมก็ไม่รู้ว่ะ โยมีภาพลักษณ์หลายแบบซึ่งผมก็ชอบหมด นั่นคือตัวตนของคนหนึ่งคน พวกเราก็มีหลายด้าน เพียงแต่เรามักไม่ยอมให้ใครได้เห็นด้านมืดของเราเท่านั้นเอง โยเคยให้สัมภาษณ์ขำๆ ในรายการทีวีว่า ตัวเขาตอนเด็กๆ น่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง แม่เลยจับใส่กระโปรงเล่น เป็นความผิดของพ่อแม่น่ะครับ ผมมองว่าโยมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวนะ แล้วตัวเขาเองก็สาบานกับแม่ไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด มันเลยกลายมาเป็นกฎของวงด้วย
โยยังออกซิงเกิ้ล+อัลบั้มมาอีกบาน https://en.wikipedia.org/wiki/Yoshiki_discography ชิบหาย เพิ่งรู้ว่ามี studio album เพลงคลาสสิคของโยอีก 3 ชุด ซึ่งน่าสนใจ Eternal Melody 1, Eternal Melody 2, Yoshiki Classical ผมได้ฟังละ เพราะครับ ท่าจะฟังเป็นเดือนๆ แน่คราวนี้ รูปแบบเป็นการเล่นด้วยวงซิมโฟนีครับ แต่ไม่ได้เอื่อยเฉื่อยชวนหลับ ผมสรุปว่ามันคือโยน่ะแหละ 3 ชุดนี้ขึ้นชาร์ตหลายสัปดาห์ ยอดขายไม่ใช่เล่น แต่ไปขายดิบขายดีในยุโรปอเมริกาโน่น อันนี้หาโหลดไม่ยากนะ ลองดูครับ ยังมี Yoshiki Symphonic Concert ผมว่าเจ๋งอ่ะ
Toshi (โทชิมิตสึ เดยามะ, 10 Oct. 1965 ) โทชิรู้จักกับโยชิกิตั้งแต่เรียนอนุบาล! เรียนโรงเรียนเดียวกันจนจบ ม.6 เขาบอกว่าทั้งโรงเรียนก็มีกันแค่ 2 คนที่คุยกันเรื่องเพลงร๊อค นอกนั่นไม่มีใครคุยด้วย พวกเขาเคยตั้งวงดนตรีเล่นกันในโรงเรียน ตัวโทชิเองเล่นกีต้าร์เป็น แต่ไม่ดีเท่าการร้องเพลง ซึ่งเขาเคยเข้าประกวดแล้วได้รางวัลระดับประเทศหลายครั้ง ผมเคยได้เห็นโทชิตีกลองครั้งหนึ่ง ตอนที่โยแรดๆๆ ไปทั่วเวที ก็ฮาดีครับ เรียกเสียงเฮได้อะนะ โยถึงกับหยุดแรด หันมาดู ใครมายุ่งกับกลองกูวะ!
หลังจบ ม.6 ทั้งสองคนเข้าโตเกียวด้วยตัวเอง หารายได้ หาทีม ติดต่อเล่นดนตรีตามผับ แต่ความเกรียนของโยชิกิที่มักไปอาละวาดทำข้าวของเสียหาย หลายที่จึงสั่งห้ามเข้า สมาชิกก็เปลี่ยนตัวบ่อย สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจอัดแผ่นไปวางขายหน้าผับเหล่านั้น ซึ่งขายได้ ทำให้คนรู้จักพวกเขามากขึ้น โอกาสแสดงบนเวทีก็เพิ่มขึ้น ในขณะที่นักดนตรีมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขาทั้งสองไม่เคยทิ้งกันเลย
ทีนี้ข้ามตอนดังๆ ไปถึงตอนที่โทชิขอลาออกจากวงเลยแล้วกัน ในปี 1993 โทชิเจอคาโอริ ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวโทชิหลายอย่าง มาแต่งงานปี 1997 ถูกลากเข้าลัทธิหนึ่ง โดนล้างสมอง มีขนาดว่าโทรเช็คทุก 10 นาที อันนี้โทชิเล่าให้โยฟังที่หลังนะ (โทชิยังเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น เพื่อเตือนผู้คนให้ระวังตัว)
จนกระทั่งโทชิตัดสินใจลาออกจากวง ซึ่งทำให้โยชิกิประกาศยุบวง ด้วยเหตุผลว่า ไม่สามารถหานักร้องมาแทนได้ เพราะทุกเพลงแต่งขึ้นบนฐานเสียงของโทชิ แต่ผมว่า มันมีอะไรมากกว่านั้นในความรู้สึกของโย เมื่อแยกวง สมาชิกแต่ละคนก็ไปทำอัลบั้มของตัวเอง จนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในปี 2009! และนั่นคือ 12 ปีในนรกของโทชิ กว่าจะรู้ตัว แล้วหาทางออกให้ตัวเองได้
ผู้หญิงคนหนึ่งทำลายทุกสิ่งในชีวิตโทชิ ทำลายมิตรภาพ ยังทำลายความฝันของสมาชิกทั้งวง!
วันปกติวันหนึ่งของโยชิกิในสตูดิโอที่ L.A. ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ X Japan ประสบความสำเร็จ ที่ซึ่งพวกเขาใช้อัดผลงานกันมาตั้งแต่ชุด jealousy อยู่ๆ โทชิก็โทรมาถามว่า จะมาหาที่ L.A. ได้ไหม เมื่อเจอกัน สิ่งที่คุยกันกลับเป็นอดีตเก่าๆ หลังจากนั้นการกลับมารวมตัวกันใหม่จึงเกิดขึ้น น่าเสียดายที่ฮิเดะจากไปแล้ว (โยเคยเล่าว่า สตูดิโอนี้ดีมาก คนนิยมมาอัดผลงาน ทำให้จองยากมาก ซื้อแม่มเลยแล้วกัน!
การที่ X ได้รายรับทั้งหมดโดยไม่ต้องแบ่งใคร เพราะพวกเขาตั้งบริษัททำเทปกันเองมาตั้งแต่ต้น, Extasy Records แต่ก็มีเซนต์สัญญากับโซนีในชุด blue blood, jealousy เพราะโซนีเห็นแววจากอัลบั้มแรก เลยมาชวน อยาก go inter ไหม ส่วนสองชุดหลังไปเล่นค่าย atlantic ครับ
ตัวโทชิมีออกอัลบั้ม+ซิงเกิ้ลเดี่ยวๆ เป็น 10 ชุดเลยครับ ก็น่าฟังอยู่ครับ
Hide (ฮิเดโตะ มัตสึโมโตะ, 13 Nov.1964) หลังจากที่ฮิเดะรู้จักวง Kiss ก็อยากเล่นกีต้าร์ ถ้าผมจำไม่ผิด คุณย่าเป็นคนซื้อให้ gibson lespaul ซึ่งไม่มีใครมี มันแพงน่ะคุณ เมื่อ 25 ปีก่อนราคาขายในไทยอยู่ที่ราวๆ 4 หมื่น ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ลองเทียบค่าเงินดูสิ เขาเลยถูกเรียกว่ากิ๊บสันซัง วัยเด็กของเขาก็เหมือนเด็กญี่ปุ่นทั่วไป มีเรียนพิเศษเยอะแยะ แต่อย่างนึงที่เขาไม่เอาจริงๆ คือเปียโน ซึ่งตอนโตแล้ว เขายังบ่นว่าเสียดาย
ก่อนพบกับโยและโทชิ ฮิเดะเป็นหัวหน้าวง saver tiger แต่งเพลงเล่นเอง ซึ่งตอนที่ทั้งสองคนไปดูเขาเล่น วงของฮิเดะดังกว่า โยชิกิกับโทชิก็ได้แต่ชักชวนไว้ ดันผ่าไปชวนตอนดื่มกันกลุ่มใหญ่เสียด้วย ฮิเดะต้องบอกว่า ขอร้องล่ะ อย่ามาชวนกันต่อหน้าเพื่อนร่วมวงได้ไหม หลังจากนั้นโยกับโทชิก็หมายมั่นว่า จะต้องทำให้ X ดังขึ้นมาให้ได้ ถึงจะควรค่าให้ฮิเดะสนใจ
ผ่านไปช่วงหนึ่ง วงของฮิเดะเริ่มมีปัญหาในการลาออกของสมาชิก การเปลี่ยนนักดนตรีบ่อยๆ ทำให้ฮิเดะเริ่มเบื่อหน่าย และตัดสินใจเลิกเล่นดนตรี คิดจะไปเป็นช่างตัดผม! ในวันนั้นเอง โยโทรหาฮิเดะแล้วชวนมาร่วมวงกัน เขาจึงเป็นหนึ่งในครอบครัว X Japan ตั้งแต่นั้นมา
วิธีเล่นของฮิเดะ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก สำเนียงสวยงาม หนักแน่น ตั้งแต่ vanishing vision จนถึง dahlia เป็นเรื่องที่ต้องให้เครดิตนักดนตรี เพราะการคิด riff ใส่เข้าไปในเพลง มันคือสไตล์ของแต่ละคน ความรู้และสิ่งที่ฝึกฝนมา สิ่งที่ฮิเดะใส่เข้าไป เต็มไปด้วยลูกเล่น สเกลงดงาม เพลงนุ่มก็นุ่มจับใจ เพลงหนักก็มันส์สุด แต่ไม่ขาดเมโลดี้สวยๆ
โยบอกว่า ฮิเดะเป็นเหมือนแม่ของวง เขาใส่ใจ ให้กำลังใจทุกคน แม้ตอนที่โทชิโดนล้างสมอง แต่ละคนไม่อยากทำคอนเสริต the last live เป็นฮิเดะที่เกลี้ยกล่อมให้ทุกคนทำเป็นครั้งสุดท้าย ในคอนเสริตเอง โทชิมีสภาพจิตใจไม่ปกติ จนฮิเดะกังวลใจว่าจะพูดอะไรเพี้ยนๆ ออกมา โยจึงสั่งช่างเสียงว่า ถ้าโทชิพูดอะไรไม่เข้าท่า ก็ตัดเสียงไมค์เลย ในขณะเดียวกัน โทชิเองก็รู้สึกแย่จนไม่รู้จะพูดอะไร เป็นฮิเดะอีกนั่นเอง ที่คอยให้กำลังใจในระหว่างการแสดง
เพลง kurenai จาก the last live ทำเอาผมน้ำตาร่วง ช่วงอินโทร ฮิเดะนั่งเกากีต้าร์ โทชิเดินมานั่งข้างๆ โดยไม่กล้ามองหน้า ในขณะที่ฮิเดะมองโทชิบ่อยๆ เหมือนอยากเก็บภาพไว้ในความทรงจำ เพราะมันจะไม่มีคอนเสริตร่วมกันอีกแล้ว รอยยิ้มอบอุ่นให้กำลังใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้สึกแย่ ผู้คนที่รู้จักฮิเดะมักบอกว่า เขาเป็นคนมีน้ำใจ อ่อนโยน อบอุ่น และแคร์ผู้คน
เมื่อประกาศยุบวง แต่ละคนแยกย้ายกันไปทำอัลบั้มของตัวเอง ความจริงพวกเขาเคยทำมาก่อนหน้านี้ ฮิเดะไปรวมทีมตั้งวงขึ้นใหม่ เขาแต่งเพลง ออกอัลบั้ม แสดงคอนเสริต ออกรายการทีวี เริ่มจัดรายการออกอากาศทางวิทยุ มันเป็นช่วงที่กำลังรุ่งโรจน์ แล้วข่าวก็ออกมาว่า เขาฆ่าตัวตาย!
ถ้าสรุปอย่างนั้น มันจะดูง่ายไปไหม เขาไม่มีแรงจูงใจที่จะทำ ชีวิตกำลังไปได้ดี กับแฟนก็รักกันดีไม่มีเรื่องบาดหมาง เพียงแต่วันนั้นเขาเมาหนัก! หลังการแสดงสด เขาไปดื่มกับเพื่อนและน้องชายจนเช้า ซึ่งน้องชายมาส่งที่ห้องตอน 6.30 พอ 7.30 แฟนก็มาเจอเขาในสภาพใช้ผ้าขนหนูแขวนคอตัวเองกับลูกบิดประตู ยังคงมีลมหายใจ ได้ไปถึงโรงพยาบาล แต่สมองตายแล้วจึงต้องปล่อยให้เขาไป เขาเสียตอนอายุ 33 เท่านั้นเอง(หลัง last live เพียง 5 เดือน) น่าเสียดายความสามารถ ถ้าเขายังอยู่ จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาได้อีกมากขนาดไหน เขาเป็นคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง คอยพัฒนาฝีมือตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เมื่อรู้ข่าว โยบินมาจาก L.A. ทันที โยกล่าวว่า สิ่งที่ฮิเดะทำ เป็นกายภาพบำบัดอย่างหนึ่ง ซึ่งโยก็ทำ เป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดเกร็งของกล้ามเนื้อคอ ถ้าฮิเดะไม่ได้เมามากขนาดนั้น คงไม่พลาดจนเสียชีวิต ผมมองว่าเคสนี้น่าฟังและมีเหตุผลกว่า การบอกว่าฮิเดะฆ่าตัวตาย มันไร้เหตุจูงใจ
10 ปีผ่านไป X Japan กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมซึ้งใจคือ ทุกคอนเสริตจะมีการตัดภาพขณะที่ฮิเดะแสดงคอนเสริตมาแทรก ผมพลางคิด แล้วสึกิโซ่ะจะรู้สึกน้อยใจรึเปล่า เดี๋ยวเราไปรู้จักสึกิโซ่ะมือกีต้าร์ที่มารับหน้าที่เล่นในตำแหน่งของฮิเดะกัน
ผมไปเจอเรื่องของฮิเดะกับเด็กผู้หญิงอายุ 14 คนหนึ่ง มิยูโกะ เธอป่วยด้วยโรคหายากและจะอยู่อีกไม่ถึงปี แม่เธอขอให้ฮิเดะคุยโทรศัพท์กับลูกสาวสักครั้ง แต่สิ่งที่ฮิเดะทำคือการให้พบหลังเวที พูดคุย เซนต์กีต้าร์ให้ ยังไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลหลายครั้ง บางครั้งโยก็ไปด้วย เด็กน้อยคนนั้นตอบสนองกับการรักษาดีขึ้น ฮิเดะยังแต่งเพลงให้เธออีกด้วย หลังฮิเดะจากไป เธอยังอยู่ต่อได้อีก 11 ปี ด้วยกำลังใจจากความทรงจำดีๆ ที่ฮิเดะมอบให้ ป่านนี้เจอกันละ .. เรื่องเกี่ยวกับฮิเดะและน้องมิยูโกะ ผมฟังไม่รู้เรื่องสักคำยังน้ำตาร่วง ซึ้งครับ
เกร็ดอีกเรื่องคือ ฮิเดะเป็นคนแรกที่ริเริ่มการใช้ดนตรีบำบัดเด็กออทิสติกในญี่ปุ่น! มีตั้งกองทุน ผมพอจะสรุปได้ละว่าการที่ผู้คนตั้งมากรักเขา ไม่ใช่เพราะเขาเก่งที่สุด แต่เพราะความมีน้ำใจของเขาต่างหาก
Pata (โทโมอะกิ อิชิสึกะ, 4 Nov. 1965) แรกเริ่มเดิมที การอัดเสียงนั้น ฮิเดะอัดด้วยเทคนิคที่เรียกว่า overdub ซึ่งจะให้เสียงเหมือนเล่นด้วยกีต้าร์สองตัวแทรกกัน เสียงจะแน่นขนัดจนไร้ช่องว่าง แต่จะมีปัญหาในการแสดงคอนเสริต ต้องหาคนมาช่วยเล่นกีต้าร์อีกตัว ซึ่งก่อนหน้านั้นพาตะเล่นให้วง Judy ใน live house โตเกียว ได้เจอกับโยและโทชิบ่อยๆ จนสนิทสนมคุ้นเคย
จากฝีมือและอุปนิสัยของพาตะ หลัง Judy แยกวง โยเลยชวนพาตะมาเล่นคอนเสริตด้วย ซึ่งพาตะทำได้ดีเยี่ยม หลายครั้งเข้าก็รู้สึกขาดพาตะไม่ได้ อันนี้โยพูดนะ โยจึงชวนให้มาร่วมวงด้วยกันเสียเลย ซึ่งพาตะก็เข้ากันได้ดีกับสมาชิกคนอื่นๆ ดังนั้นทางกีต้าร์ของพาตะ ในอัลบั้มที่ออกหลังจากพาตะเข้ามาร่วมวงเต็มตัวแล้ว จึงเป็นสไตล์ของพาตะเอง
โดยทั่วไปมักพูดกันว่า ฮิเดะเป็น lead guitar พาตะเป็น rhythm guitar แต่เท่าที่ผมดูคอนเสริต ผมว่าเขาเล่นแทรกกันตลอดไม่ว่าจะเป็นลีดหรือริทึ่ม ถ้าดูจากเวบไซต์อย่างเป็นทางการของ X เขาก็ไม่ได้ระบุนะว่าใครเป็นริทึ่ม ใครเป็นลีด (และในส่วนของสมาชิกวง ชื่อของฮิเดะและไทจิยังคงอยู่ด้วะ)
พาตะเรียนไม่จบมัธยมปลาย ด้วยเหตุผลว่าขี้เกียจเดินทางไปโรงเรียน แต่เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับดนตรี เรียนรู้ทฤษฏี ฝึกฝนทางกีต้าร์ เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ถ้าพูดก็จะมีมุขฮาๆ แบบสุภาพมาให้ขำกัน เขาดูเหมือนจะเป็นคนที่รับมือได้กับทุกสถานการณ์ แต่ตอนที่อีโทชิพล่ามอะไรไม่รู้ ก่อน the last song เพลงสุดท้ายในคอนเสริต last live กล้องจับไปที่หน้าของแต่ละคน ซึมแดกทุกคนเลย
ช่วงที่ X แยกวง พาตะกับฮีทไปตั้งวงใหม่ออกอัลบั้มกัน พาตะยังไปช่วยฮิเดะด้วย หลังกลับมารวมวงในปี 2010 พวกเขาก็ออกทัวร์ทั้งยุโรป เอเชีย อเมริกา ซึ่งยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่ปัญหาทางสุขภาพของพาตะและโย ทำให้ต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นช่วงๆ
ครั้งหนึ่ง พาตะถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะลิ่มเลือดอุดตัน ขณะที่หมอยังไม่อนุญาติให้กลับบ้านเลย พาตะก็อ้อนวอนโยไม่ให้ยกเลิกคอนเสริตที่แวมบลีย์ จะขอไปตายที่นั่น! แต่โยไม่ยอม เขาเลื่อนคอนเสริตออกไป รอจนพาตะแข็งแรงพอ เขาปลอบพาตะว่า อย่าให้มันเป็นครั้งสุดท้ายเลย เราให้มันเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีกันดีกว่า ส่วนสมาชิกคนอื่นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เราจะไม่แสดงคอนเสริตโดยไม่มีพาตะ
ตัวโยเองก็ดื้อไม่ใช่เล่น หนึ่งเดือนหลังผ่าตัดคอเขาก็ดึงดัน อ้อนวอนสมาชิกคนอื่น ไม่ให้ยกเลิกคอนเสริต โดยจะเล่นเปียโนอย่างเดียวซึ่งปลอดภัยที่จะทำได้ เขาบอกว่าให้เขามีเป้าหมายเถอะ เขาจะได้มีกำลังใจในการทำกายภาพบำบัดให้ร่างกายดีขึ้นไวๆ คนอื่นๆ เข้าใจ แล้วยอมเอาด้วย นั่นเลยกลายเป็นอคูสติกคอนเสริตครั้งแรกของวง X ที่เล่นเอาสมาชิกแต่ละคนประสาทแดก! แต่ก็จบลงได้อย่างสวยงาม
หลังผ่าตัดครั้งนั้น เขาเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องมีบุรุษพยาบาลคอยประกบตลอดเวลา พอเริ่มเดินได้บ้าง ก็ต้องลุกขึ้นมาเดินทุกชั่วโมงแม้จะเป็นเวลานอน เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น ตัวโยเองมีปัญหาเรื่องเอ็นอักเสบมานาน และหมอนรองกระดูกที่คอ จากสไตล์การตีกลองของเขานั่นแหละ บางคอนเสริตก่อนหน้านี้ เขาต้องฉีดยาระงับความเจ็บปวดก่อนขึ้นเวที
Taiji (ไทจิ ซาวาดะ, 12 July 1966) เขาเริ่มด้วยกีต้าร์จากความหลงไหลในเสียงดนตรีของวงควีนกับบีเทิลส์ พออายุ 16 ก็เลิกเรียนหนังสือแล้วครับ เขาตั้งวง Trash เล่นตาม live house ในแนวสปีดเมทัล
ในญี่ปุ่น ไลฟ์เฮาส์เป็นที่นิยมค่อนข้างมาก เป็นที่สำหรับวงใต้ดิน ไม่เน้นขายเหล้ายา เน้นการเปิดโอกาสให้เด็กวัยรุ่นได้มาแสดงความสามารถบนเวที ดังนั้น กลุ่มคนฟังก็จะเป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ จึงไม่มีการควบคุมอายุผู้เข้า วงใต้ดินมากมายมีโอกาสได้เกิด สร้างผลงาน สร้างกลุ่มแฟนเพลงจากจุดนี้ และทำให้ดนตรีเป็นที่นิยมกว้างขวาง เป็นแรงผลักดันให้เด็กญี่ปุ่นสนใจเล่นดนตรี
หลังจากแยกทางกับวงแทรส ไทจิเปลี่ยนมาเล่นเบสให้กับวงดีเมนเทีย แล้วเริ่มออกซิงเกิ้ล จากนั้นก็ได้เจอกับ X ซึ่งโยชอบฝีมือไทจิมาก พอมือเบสคนแรกของ X ลาออก โยจึงชวนไทจิมาร่วมวง เขามาในแบบช่วยเล่น มากกว่าจะเข้าร่วมอย่างเต็มตัว แล้วก็ออกไปร่วมวงกับเดดไวร์ช่วงหนึ่ง จากนั้นกลับมาร่วมวงกับ X ใหม่ อย่างเป็นทางการ
ดังนั้น ใน 3 อัลบั้มแรก vanishing vision, blue blood, jealousy เบสจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไทจิ ซึ่งกล่าวได้ว่าทักษะสูงและชอบเล่นของยาก ในขณะเดียวกันเขาก็ยังเชี่ยวชาญในกีต้าร์ด้วย ซึ่งฮิเดะบอกว่าไทจิมีเทคนิคการเล่นกีต้าร์เก่งกว่าเขาเสียอีก! เมื่อก่อน ผมฟังเบสไม่ออก แต่เบสของไทจิมันชัด สวย ซึ่งทำให้รู้สึกว่าถ้าขาดไป คงทำให้เพลงขาดความสมบูรณ์
ไทจิออกจากวง X ด้วย 3 สาเหตุ เท่าที่ผมอ่านเจอมานะ
1. แนวดนตรี ไทจิต้องการแนวดนตรีหนักกว่าที่
X ทำอยู่ เขาชอบสปีดเมทัล โยต้องการสร้างซิมโฟนิคเมทัล ความต้องการไม่ตรงกัน
2. ยา อันนี้ไทจิยอมรับเอง ซึ่งกฎของ
X คือไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
3. แฟนคลับ กฎอีกอย่างของ
X คือ ไม่กินแฟนคลับ
ข้อ 2-3 มันคล้ายเป็นเรื่องปกติในวงการร๊อคทั้งโลกในขณะนั้น ซึ่งไม่น่าจะเป็นเหตุผลหลัก การแยกตัวไปจึงน่าจะเป็นความต้องการทางดนตรีที่ไม่ตรงกันมากกว่า โยเคยเล่าว่า เขาโทรเรียกไทจิมาดื่มแล้วคุยกัน จากนั้นก็ทะเลาะกัน ต่อยกัน แล้วกอดคอกันร้องไห้ จากนั้น ไทจิไปอยู่กับวง loudness ช่วงหนึ่ง แล้วตั้งวง D.T.R ซึ่งออกแนวสปีดเมทัลอย่างที่เขาต้องการ แต่ไทจิก็เคยมาร่วมเล่นด้วยในคอนเสริตปี 2011 เพลง X คุณลองไปหาชมดูนะ
ไทจิฆ่าตัวตายในปี 2011 จากปัญหาหลายเรื่องประกอบกันทั้งสุขภาพ ครอบครัว แอลกอฮอล์ริซึ่ม ทำให้เขาควมคุมอารมณ์ไม่ได้ มักทะเลาะวิวาทและขาดสติ ก็น่าเสียดายที่เราต้องเสียมือเบสฝีมือดีคนหนึ่งไป การที่คอนเสริตของ X ไม่ตัดภาพไทจิเข้ามาด้วย อาจเป็นเพราะไทจิตัดสินใจออกจากวงด้วยตัวเอง ต่างจากฮิเดะซึ่งรักวง X และเห็นเป็นเสมือนหนึ่งครอบครัว ในขณะที่สมาชิกของวงที่เหลือก็ยังคงถือว่าฮิเดะเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง ไปจนกว่าจะไม่มี X Japan
Heath (ฮิโรชิ โมริเอะ, 22 Jan.1968) ฮีทเข้ามาร่วมวงกับ X หลังไทจิออกไป โยเล่าว่า เขาชวนหลายรอบ ฮีทก็บอกขอคิดดูก่อน คิดหลายเดือนเลย คือมาช่วยนะ แต่กว่าจะยอมร่วมวงอย่างเป็นทางการนี่นานมาก วันที่ฮีทรับร่วมวง โยดีใจมาก ขับรถมารับ แล้วพาฮีทไปดูฟาร์มวัว! 55++ อิบ้า!
ฮิเดะบอกว่า เขาเห็นฮีทครั้งแรกในงาน Extacy summit 1991 ในการคัดเลือกมือเบสคนใหม่ ฮีทไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่เป็นคนที่ดูแล้วมีแววที่จะพัฒนาได้มากที่สุด รวมทั้งอุปนิสัยที่เข้ากันได้กับสมาชิกคนอื่นๆ ประกอบกัน ฮีทบอกว่า แรกๆ เขาเครียดเหมือนกัน เพราะไทจิฝีมือดีมาก ต้องฝึกหนักจริงๆ แต่ไทจิก็ให้คำแนะนำด้านเทคนิค จนฮีทสามารถเล่นได้ดีในการแสดงคอนเสริต
ดังนั้น ในอัลบั้ม art of life และ dahlia เบสจึงเป็นเอกลักษณ์ของฮีท ผู้คนได้เห็นผลงานและเริ่มยอมรับในฝีมือของเขา เลิกเอาเขาไปเปรียบเทียบกับไทจิ ผมว่าฮีทเป็นคนเงียบๆ คล้ายพาตะ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแอ๊คติ้ง แต่มีความเป็นหนึ่งในครอบครัวที่ถ้า X อยู่ ฮีทก็จะอยู่ ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน
Sukizo (ยะสึฮิโร สึกิฮาระ, 8 July 1969) สึกิโซ่ะเริ่มเล่นไวโอลินตั้งแต่ 3 ขวบ ใช้เวลาฝึกวันละ 4 ชั่วโมง! พ่อสั่งให้ทำน่ะครับ หมอนี่พันธุ์ทาง ผสมหลายเชื้อชาติ ทั้งจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน จึงสวยเยี่ยงนี้ เอาเป็นว่าเท่ห์ครับ ไม่ว่าจะจับไวโอลินหรือกีต้าร์ก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา ราวเทพปีศาจเล่นดนตรี! แล้วเขาก็ออกจะแรดนิดๆ มีแอคติ้งหน่อยๆ ในการแสดงคอนเสริต น่ารักดีครับ
พอรู้จักวง KISS ก็เริ่มต่อต้านพ่อ(นี่เข้าวัยรุ่นละ) เขาเริ่มไปเรียนกีต้าร์และเบส(แหม่ มาทางเดียวกับฮิเดะเลย) มีตั้งวงดนตรีในโรงเรียนโดยเป็นมือเบส พ้นจากโรงเรียนก็เล่นให้วงอื่นสักพัก ค่อยตั้งวงของตัวเองขึ้นมา lunacy คุ้นๆ รึยัง ทีนี้มือกีต้าร์เกิดลาออก สึกิโซ่ะเลยมาเล่นกีต้าร์ลีดซะเอง
ฮิเดะมาเจอสึกิโซ่ะตอนที่ลูน่าซีเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว เห็นฝีมือ ชอบใจ เลยลากเข้า extasy records บริษัทนี้ตั้งขึ้นโดยสมาชิกของวง X ตั้งแต่ปี 1986 โน่นแน่ะครับ วัตถุประสงค์แรกเพื่อทำเทปเองก่อน จากนั้นก็ช่วยให้โอกาสกับเด็กรุ่นใหม่ มีการจัดประกวดวงดนตรี มองหาวงที่มีพรสวรรค์ ฝีมือดี เอามาปั้นให้มันดังขึ้นมา ออกเทปให้ อะไรพรรค์นั้น
เมื่อเอา lunacy มาเซนต์สัญญา เลยเปลี่ยนชื่อวงเป็น Luna Sea ทีนี้ก็ดังไปไกลครับ ออกต่างประเทศด้วยนะ ผมก็รู้จักมานาน (แต่ฟังไปไม่กี่เพลง ไม่ใช่แนวน่ะ) จนลูน่าซีแยกวง สึกิโซ่ะจึงมาทำงานเดี่ยวและแต่งเพลงประกอบหนัง ด้วยความที่เขาเก่งทั้งไวโอลินและกีต้าร์ จึงมีความได้เปรียบในการสร้างสรรค์ผลงาน
ทีนี้กลับมาที่ปัญหาที่ผมเคยสงสัย ว่าสึกิโซ่ะจะน้อยใจไหม ที่คอนเสริตตัดภาพฮิเดะขึ้นมาบ่อยๆ ความจริงไม่เลยครับ สึกิโซ่ะสนิทกับฮิเดะมาก นับถือฮิเดะเป็นรุ่นพี่ เป็นพี่ชาย ตอนที่ฮิเดะเสียชีวิต สึกิโซ่ะย้อมผมสีชมพูเพื่อเป็นเกียรติแก่ฮิเดะนานเลย
โยเล่าว่า ตอนที่ตัดสินใจกลับมารวมวง เขามองหาคนที่มีสไตล์การเล่นกีต้าร์คล้ายฮิเดะ สึกิโซ่ะเหมาะสมที่สุด และยังสนิทกับฮิเดะอีกด้วย แต่สึกิโซ่ะเองก็คิดนาน มันเป็นที่เลื่องลือกันว่า X มักกระชากปีกนกที่กำลังจะบิน  สึกิโซ่ะจึงมาช่วยเล่นในคอนเสริตก่อน ซึ่งทำได้ดีทีเดียว จนใครๆ ต่างพากันพูดว่า นี่มันร่างทรงของฮิเดะชัดๆ
แต่สึกิโซ่ะก็ยังไม่ตัดสินใจร่วมวง ด้วยเหตุผลว่าเขาไม่คู่ควรที่จะมาแทนที่ฮิเดะ โยจึงบอกว่า อย่าคิดว่ามาแทนที่เลย ให้คิดเสียว่าเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกคนที่ 6 แล้วกัน สึกิโซ่ะจึงยอมเข้าร่วมวงอย่างเป็นทางการ
ดังนั้น ทำไมทุกคอนเสริตจึงมีการตัดภาพฮิเดะขึ้นจอ เพราะพวกเขายังคงนับฮิเดะเป็นส่วนหนึ่งของวง นอกจากภาพไลฟ์แล้ว พวกเขายังมีตุ๊กตาตัวใหญ่ เป็นตัวแทนฮิเดะใส่ชุดสีเหลือง ที่พวกเขาจะอุ้มออกมาตอนปิดการแสดง
เพลงบัลลาดในการแสดงคอนเสริต สึกิโซ่ะมักอินโทรด้วยไวโอลินคู่ไปกับเปียโนของโยชิกิ ซึ่งผมว่ามันเพราะทีเดียว และมันมีความเกรียน! ลองดูคลิปนี้ เพลง kurenai  ผมว่าเขาเล่นได้ดีเยี่ยมทั้งสองอย่าง
สรุปได้ว่า สมาชิกทุกคนของวง X สามารถแต่งเพลงได้หมด เคยทำอัลบั้มแยก เคยทำงานกับหลายๆ วง เคยก่อตั้งวงขึ้นมาเอง ร้องเพลงได้ มันเป็นการรวมตัวของอัจฉริยะจริงๆ ว่ะ
ผมเจอหลายๆ ที่ เปิดประเด็นว่า X เก่งระดับไหน มีใครอื่นเก่งกว่าอีกไหม อันนั้นเป็นความคิดส่วนตัว ของใครของมัน บ้างอคติ บ้างเชิดชูบูชา ขึ้นอยู่กับ เอาอะไรเป็นตัววัด มุมมองของผมคือ คนเล่นดนตรีเก่งๆ มีเยอะนะ เทคนิคสุดลูกหูลูกตาจนเกินจินตนาการ ฟังแล้วแบบ โคตรแม่ม นั่นคนหรือเทพเซียนเล่น ผมว่าเขาก็เก่งกันหมดแหละ แต่งเพลงได้ เล่นได้ ก็ไม่ธรรมดาละ แต่ตัวผมส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่การเรียบเรียงตัวโน๊ต แล้วก็ตัวโน๊ตนั่นแหละ ที่จะส่งผลให้เพลงเป็นที่ชื่นชอบของมวลชน
วงดนตรีอื่นๆ ในญี่ปุ่นที่ฝีมือดีกว่านี้ ก็คงมี แต่สไตล์การประพันธ์ การเล่น ทำให้ทั้งโลกยอมรับนับถือหรือไม่ ผมว่าเขากล้าดี ที่ไม่ยอมทิ้งภาษาญี่ปุ่น หรือแม้โทชิจะออกเสียงภาษาอังกฤษได้สุดยอด(จากชุดแรกๆ นะ ตอนนี้ดีขึ้นเยอะละ) แต่พวกเขากลับใช้มันเป็นจุดเด่น ใช้ศักยภาพตามที่มี ค่อยๆ พัฒนามันขึ้นมา จนกลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
ครั้งแรกที่ผมพบว่าเพลงของเขามีทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นผสมกัน มันน่าทึ่ง มันเป็นการไม่ยอมลงให้กับการตลาด แต่พร้อมจะฟันฝ่าไปบนหลักการของตัวเอง แม้แต่วง KISS ยังกล่าวชมและบอกว่า นี่ถ้าเขาใช้ภาษาอังกฤษอย่างเดียว คงดังระดับโลกไปแล้ว คุณต้องนึกถึงการต่อต้านเอเชียในสมัยก่อน X พังกำแพงข้ามไปได้ เก่งมาก คุณลองนึกภาพฝรั่งร้องเพลงตามด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ไม่เข้าใจสิ ผมก็ทำได้นะ จำได้ด้วยอ่ะ! โชคดีที่ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงง่ายกว่าภาษาจีนเยอะเลย
ผ่านวิกฤติมาตั้งมาก แต่พวกเขากลับไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์ วันนี้ในวัย 50 กว่า พวกเขายังคงไล่ล่าความฝัน ยังคงทัวร์คอนเสริตในยุโรปและอเมริกา ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากแฟนรุ่นเก่า+รุ่นใหม่ ตอนนี้มีเพลงจากอัลบั้มใหม่หลุดออกมาให้ฟังบางเพลง ซึ่งพวกเขาเริ่มเอาไปเล่นในคอนเสริต โยบอกว่า งานอัดเสียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่การปรับแต่ง ซึ่งเขาพยายามทำให้มันสมบูรณ์แบบที่สุด อัลบั้มใหม่ในรอบ 20 ปี น่าจะออกมาได้ช่วงปลายปี 2018 นี่แหละ โอเค ผมเฝ้ารอ และพร้อมจะเปิดใจรับทุกเพลงที่พวกเขาตั้งอกตั้งใจ ทุ่มเท สร้างมันขึ้นมา
สิ่งที่ X ทำให้ผู้คนประทับใจมากที่สุดคงเป็นคอนเสริต มันมีพลัง มีความใส่ใจในทุกรายละเอียด เขาเล่นกันแบบทุ่มสุดตัวจริงๆ แล้วการถ่ายวีดีโอก็เยี่ยมมาก เขาให้ความสำคัญกับทุกๆ คน เท่าๆ กัน ตัดภาพสลับขึ้นจอใหญ่ไล่ไปทีละคน ไม่ได้แช่อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง คุณเคยดูคอนเสริตที่ถ่ายไม่เป็นไหม เซ็งสัส ประเด็นนี้ X อาจได้เปรียบหน่อย เพราะมันโซโล่กันตลอดเวลา จะจับตอนไหนก็ได้เรื่องได้ราว แต่คนตัดภาพต้องรู้ไง ว่าช่วงไหนอะไรเด่น
โยบอกว่า เขาเกลียดการเดินกลับไปหลังเวทีหลังเสร็จคอนเสริต ดังนั้นเขาจึงใช้พลังทั้งหมด หลายครั้งที่โยตีกลองจนสลบ เจ้าหน้าที่ต้องหามไปพยาบาล แล้วมาตะโกนบอกฮิเดะว่า ยังไม่ฟื้น เล่นต่อๆ ผมมีโอกาสได้ดูคอนเสริตนั้นด้วย โยกับโทชิหายไป คนที่เหลือต้องผลัดกันโซโล่โชว์ไปเรื่อยๆ ในกรณีที่ไม่สลบ แรงยังไม่หมด พวกก็จะวิ่งพล่านไปทั่วจนหมดแรง ผมละสงสารเหล่าบอดี้การ์ดที่ต้องวิ่งตาม
โยไม่ใช่คนแข็งแรงนะ เขาเป็นโรคหืดหอบมาตั้งแต่เด็ก แม่เขาเล่าว่า หมอบอกว่าเด็กคนนี้อาจอยู่ไม่ถึง 20 แต่แม่ก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย ตัวแม่เองยังแปลกใจที่โยอยู่มาได้จนทุกวันนี้ ผมว่ากลองช่วยได้เยอะ มันต้องออกกำลังนี่ บวกแรงขับภายใน กับเป้าหมายใหม่ๆ ที่เขาสร้างขึ้น แล้วพยายามเดินไปหามัน ทำให้คนๆ นี้มีชีวิตอยู่ได้
ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง พาตะบ่นว่า คอนเสริตเพิ่งเริ่มเอง ผมหันไปดู เขากำลังพังกลองทั้งชุด เอาอีกแล้ว! พิธีกรก็ถามโย แล้วทำยังไงล่ะทีนี้ โยตอบพลางหัวเราะพลาง ก็เป็นช่วงพบแฟนคลับครึ่งชั่วโมงครับ โยบอกว่า ในการจัดคอนเสริต ความเครียดจะสูงมาก เพราะต้องการทำให้มันออกมาดี บางทีเสียงไม่ดีเท่าที่ควร เขาก็โมโห พอตีกลองไป อารมณ์ก็ยิ่งขึ้น เลยทำลายข้าวของ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขากระโจนใส่ชุดกลอง แล้วก็นึก ทำจนได้สินะ เขาบอก เหมือนการพุ่งเข้าหาดงหอกเลย เจ็บมาก ได้แผลเต็มเลย แต่คนที่มาชมคอนเสริตก็ไม่มีใครถือสา พวกเขารัก X มากพอกับทุกการกระทำ ซึ่งมีเจตนาเพียงต้องการให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไป
ความจริง ผมอาจไม่เคยรู้ตัว วันนี้มานั่งคิด มันใช่อ่ะ การฟังดนตรีของพวกเขาจนมันซึมเข้าไปในหัวกบาล เป็นการปูพื้นไว้ให้ผมหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นคลาสสิคนุ่มๆ ซิมโฟนีทั้งวง การร้องแบบโอเปร่า บัลลาด ไปจนถึงพาวเวอร์เมทัล มันมีความหลากหลายในเพลงที่พวกเขาทำ หวานสัส โหดสัส สุดทิศสุดทางได้ใจคน ซึ่งผมว่า อุบัติการณ์นี้คงไม่ได้เกิดขึ้นกับผมแค่คนเดียว
หากจะอ้างอิงทฤษฏีที่เพิ่งค้นพบไม่นาน จากการเทียบเคียงตัวโน๊ตกับหลักการด้านคณิตศาสตร์ สรุปได้ว่า ดนตรีคือคณิตศาสตร์ดีๆ นี่เอง แล้วอะไรเกิดก่อนกัน ดนตรีหรือพิทากอรัส อันนิตอบไม่ยากนะ ดังนั้น สรุปได้ว่า คนที่แต่งดนตรีได้เพราะคือยอดอัจฉริยะ นักดนตรีย่อมต้องอัจฉริยะด้วยเช่นกัน เพราะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวโน๊ตได้ดี
ที่ยากกว่าคือ ดนตรีมันมีเรื่องของศิลปะเข้าไปเกี่ยวด้วย มันไม่ใช่ภาษาที่ตายตัวหรือทฤษฎีที่มีสมการแน่นอน ความเก่งของผู้ประพันธ์คือทำอย่างไรให้มันเรียงตัวได้งดงาม ด้วยวิธีการล้านแปด แค่โน๊ตคู่ห้ามันเพราะเองไม่ได้ อันนี้คุณลองไปดูเพิ่มเติมได้จากเรื่อง scale of fifth มันมีตรรกะ มีความเชื่อมโยง มีขั้นตอน ระบบ แบบแผน แล้วคุณจะซาบซึ้ง ถึงสิ่งที่กว่าจะออกมาให้คุณฟัง แล้วทำให้คุณรู้สึกรื่นรมย์
ผมขอปิดท้ายด้วยหนังเรื่องเดียวของวง x แล้วกัน we are x ผมไม่เล่าทั้งเรื่องนะ (ข้างบนๆ ก็มีแทรกๆ ไว้บ้างละ) อยากให้คุณดูด้วยตัวเองมากกว่า มันออกจะแปลกๆ ถ้าจะพูดว่ามันเป็นหนัง เป็นแนว documentary เสียมากกว่า สารคดีน่ะครับ ผมสรุปแบบนี้แล้วกัน เมื่อดูจบ .. จะพูดว่าไงดี มันก็แค่เรื่องราวชีวิตของนักดนตรีไม่กี่คน แต่ตัวหนังกลับมอบพลังให้ผมอย่างน่าประหลาดใจ ผมว่ามันเป็นหนังที่ดีมากๆ เท่าที่ผมเคยดูมา
พอดูหนังเสร็จก็เปิด MV เพลง tears ดูต่อเลยนะ เพิ่งเข้าใจความหมายลึกซึ้งก็วันนี้เอง น้ำตาร่วงสิครับ พวกเขาไม่เคยลืมฮิเดะกับไทจิเลยนะ หนัง we are x ทำให้ผมเข้าใจพวกเขาขึ้นเยอะเลย แต่ก็ลามปามไปถึงพวกคลิปต่างๆ อีกสารพัดที่ผมตามดูด้วยแหละนะ ผมเป็นโรคจิตประเภทหนึ่ง ถ้าสนใจอะไรขึ้นมาก็จะขุดหาเพื่อบำบัดความอยากรู้อยากเห็นไปจนกว่าจะอิ่ม! และคำว่ายิ่งรุ้จัก ยิ่งรัก เอามาใช้กับพวกเขาได้เลยครับ
อ่านรู้เรื่องไหม! รู้สึกว่าเขียนได้กระจัดกระจายมาก มันก็จะฟุ้งซ่านนิดๆ ตามสไตล์คนรัก X ฟุ้งแต่ไม่ไร้สาระนะครับ คนที่ search มาเจอก็คงรัก X เช่นเดียวกัน ดังนั้น ผมจะเหมาเอาเองว่าคุณคงไม่ถือสา :)

พื้นฐานการฟังเพลงของผม อันนี้อยากเล่า เผื่อจะชักชวนให้คุณคิดอยากลองดนตรีรูปแบบอื่นดูบ้าง ถ้าขี้เกียจอ่านแล้ว ก็ผ่านเลยครับ เรื่องของ X ผมพล่ามจบแล้ว
classic ผมมักจะเลือกฟังที่เทมโป้สูงหน่อย ช้าๆ กลุ่ม largo, andante ฟังแล้วเครียดครับ มันให้ความรู้สึกเก็บกดพิกล ที่ชอบคือซิมโฟนี เปียโนคอนแชร์โต้ ไวโอลินคอนแชร์โต้ ฟลุ๊ตคอนแชร์โต้มีไหม อย่าง the magic flute ของโมสาร์ทน่ะ เดี่ยวเปียโน+ออร์แกนก็ไม่เลว เพลงมันส์ๆ มีเยอะ แต่ผมมักฟังเพลงจากยุคบาโร๊ค ก็จะมี J.S.Bach, Vivaldi ส่วน Handel ผมไม่ค่อยเก๊ทนะ จากนั้นไปยุคคลาสสิค จะมี Mozart, Beethoven ที่ฟังเยอะเลย พอไปถึงยุคโรแมนติคนี่ยากสำหรับผมละ จะชอบไม่กี่เพลงในแนว variation อย่างของ Paganini, Tchaikovsky, Hector, Franz Liszt, Wagnor, Brahmes, Mendelsohn พอหลังจากยุคนี้ไป รูปแบบดนตรีมันเปลี่ยนเยอะ หลุดจากแนวบาโร๊คกับคลาสสิคไปมาก ผมเริ่มไม่ไหว สมองไม่ได้พัฒนามาให้รองรับตัวโน๊ตรูปแบบนั้นได้น่ะครับ
ส่วน mike oldfield - tubular bells 1-3, kitaro, two steps from hell, Jo Blankenburg ชุด elysium อันนี้ผมไม่รู้ว่าจัดเป็นดนตรีประเภทไหน เรียก neoclassic ได้ไหม
jazz / pop เป็นอะไรที่เกินใจ มันไร้รูปแบบเกินไป ความจริงเขาก็มีรูปแบบของเขานะ ผมผิดเอง ที่เสพติดเมโลดี้รูปแบบหนึ่งอย่างรุนแรง เพลงกลุ่มนี้ผมยอมแพ้ครับ
dance!  อ่ะ มีฟังบ้างนะครับ อย่าง kiss me งี้ใช่ปะ หรือ oops, I did it again ก็เมโลดี้สวย ไล่สเกลเสียงได้ดีทีเดียว .. ถ้าให้เล่าความจริงคือ ผมเคยชอบนักร้องในผับแบบเรสเตอรองแห่งหนึ่ง เป็นนักศึกษามาร้องเพลงช่วงค่ำ ผมกับน้องชอบไปกินเหล้าที่นั่น เพราะมันให้ความรู้สึกสบายๆ ดี คนที่มาฟังก็ออกแนวคนทำงาน สุภาพ ไม่ถ่อยเสียงดัง ไม่ถูกเนื้อต้องตัว เป็นแนวมากับแฟนหรือเพื่อนๆ กินดื่ม ฟังเพลง ร้องเพลงคลอ (เธคผมไม่ไหวครับ ประสาทจะแดก เวียนหัว) น้องเขาจะร้องแนวบัลลาดไปถึงป๊อป ร็อค เขายังร้อง it’s my life ได้เพราะ ความจริงผมรู้จักเพลงป๊อปเพราะฟังน้องเขาร้องน่ะแหละ ผมยังนึกชื่นชม ความเก่งของน้องเขาคือ รู้จักเลือกเพลงที่เหมาะกับช่วงเสียงตัวเอง มันเลยจะฟังเพราะไง วันไหนที่วงน้องเขามา คนแน่นร้านครับ ตอนหลังน้องเขาเลิกร้องที่นี่ รูปแบบร้านมันเปลี่ยนไป ไม่น่านั่งละ ผมเลยไปร็อคผับแทน ซึ่งสภาพแวดล้อมและผู้คนที่มาฟังไม่เลวเลย มีความเป็นผู้ใหญ่ สุภาพชน
blue ผมเริ่มรู้จักว่าสไตล์บลูเป็นอย่างนี้จาก Gary Moore! จริงครับ อ่อยังมีบางเพลงของ Trans Siberian Orchestra ด้วย แต่พอไปฟังบลูแท้ๆ ก็ยากเย็นเกินรับไหว โหดไป มันจะเกิดความรู้สึกอัดอั้นตันใจ เก็บกด ขึ้นมา แต่ผมยอมรับว่าดนตรีบลูไปได้สุดทางดี ก็พูดยากนะ เพราะผมปักหลักฟังไปไม่กี่เพลงเอง เพลงที่ดังๆ อ่ะครับ สรุปว่าถ้าเป็น Blue Rock ผมจะพอได้ แล้วชอบด้วย เพลงกลุ่มนี้ ที่น่าตื่นใจคือพลังเสียงของคนร้อง ซึ่งสามารถลากอารมณ์เราไปกับเขาได้สุดทางจริงๆ
rock เป็นกลุ่มที่ผมฟังเยอะตอนวัยรุ่น ก็มีตั้งแต่ pop rockไปจนถึง hard rock เมื่อ 20 ปีก่อน มันจะมีรูปแบบเฉพาะที่ค่อนข้างชัดเจนนะ ซึ่งเพียงพอสำหรับผมในเวลานั้น ตอนนี้ไม่พอแล้วครับ ผมต้องการอะไรที่มันซับซ้อนขึ้น ผมว่าคุณก็เป็นนะ ลองนึกเปรียบเทียบรูปแบบดนตรีที่คุณฟังเมื่อสิบปีก่อนกับตอนนี้ดูสิ คงไม่ต้องยกตัวอย่างละเปล่า ผมว่าใครๆ ก็รู้นะ ว่าร็อคคืออะไร
heavy metal / thrash metal / death metal กลุ่มนี้ผมรวมเลยแล้วกัน มันจะแรงกว่า rock ขึ้นมาอีก ดนตรีจะมีความหนักกว่า แน่นกว่า ซาวด์จะเข้มๆ ไม่หวานใสแบบร็อคละ แต่พวกเขาก็ยังมีเพลงบัลลาดแทรกอยูบ้าง ผมลองยกตัวอย่างเช่น annihilator เพลง crystal ann นั่น เพราะสัสว่ามะ ที่เหลือมันส์หูแตก หรือ riot เพลง buried alive ความยาว 9 นาทีที่ดูเหมือนสั้น ดนตรีมีเนื้อหา ฟังเพลิน เพราะจับใจ ตัวอย่างวงอื่นๆ เช่น skidrow, slaughter, msg, ac/dc, metallica, iron maiden, megadeth, manowar ผมจะฟังได้ ในกรณีที่ยังมีความงามของเมโลดี้อยู่ ถ้าเล่นกันแบบสับแหลก ผมก็ไปไม่ถึงเหมือนกัน ส่วน joan jett จะเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างชัดเจนของ thrash metal แต่เรารู้จักกันเพลงเดียวรึเปล่า I hate myself for loving you น่ะ นั่นเพลงนุ่มเขานะ จริงๆ แล้วเขามีเพลงเพราะๆ เยอะเลย แต่บ้านเราไม่เอามาเปิด!

symphonic metal เพิ่งได้รับการยอมรับมาไม่นานเท่าไหร่ กลายเป็นผมชอบมากที่สุด มันเป็นส่วนผสมของ classic กับ heavy metal บางวงก็ไปไกลถึง death metal เลย เมโลดี้กับสไตล์การเล่นมันเป็นตัวบอกน่ะครับ คนที่ไม่เคยฟังเพลงคลาสสิคเลย อาจไม่รู้ แต่ก็จะรู้สึกว่ามันเพราะดีแฮะ ซับซ้อนน่าฟัง เสียงมีหลายเลเยอร์ดี ฟังไม่รู้จักอิ่ม วงที่ทำมีเยอะครับ เหมือนเป็นความนิยมแห่งยุค แต่ที่ดังขึ้นมาได้ก็มีไม่มากเท่าไหร่ เช่น impellitteri, equilibrium, nightwish, therion, rhapsody of fire, avantasia, angra, blind guardian, dark moor, dragonland, lunatica, xandria, pathfinder, ensiferum, epica พวกนี้คือที่ผมฟังแล้วฟังอีก มันไพเราะถึงอกถึงใจ และที่ขาดไม่ได้คือ X Japan! ที่ผมรู้จักมาตั้ง 20 กว่าปี.

ไม่มีความคิดเห็น: