While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

สวนหัวใจ อีกครั้ง!

ครั้งสุดท้ายที่ผมนอนโรงพยาบาล คือเมื่อ 5 ปีก่อน ผ่าเนื้องอกในพุง! เกือบลืมไปแล้ว ว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์

คราวนี้ เรื่องมันเริ่มเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ผมว่าต้นๆ พฤศจิกาได้ ผมแน่นหน้าอกเหนือราวนม ลามมาที่คอ ขึ้นหัว ไปไหล่ แขน หายใจลำบาก ด้วยคิดว่าไม่เป็นไรมั๊ง เดี๋ยวก็หายเอง เลยไม่ไปหาหมอ จากที่เป็น 2 วันครั้ง มาเป็นทุกวัน จนวันละหลายครั้ง ความแน่นกดทับทรมานเพิ่มขึ้น เลยยอมไปหาหมอ ไม่ใช่ด้วยความกลัวตาย แต่กลัวพิการมากกว่า หลายครั้งที่ผมนอนลง พยายามหายใจ แล้วบอกเด็กๆ ว่า ถ้าป๊าตาย มารับป๊าด้วย

5 ธันวา วันเสาร์ ราว 10 โมงเช้า ผมให้พ่อพาไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด ที่ผมมีประกันสังคมอยู่ เข้าห้องฉุกเฉิน แน่นหน้าอก โรคหัวใจ ก็นอนเข้าไป เขาจับ x-ray, EKG, วัดความดัน, ตรวจเลือดดูเอนไซม์หัวใจ ทำอย่างละ 2 รอบ มียาฉีดที่ไม่รู้ยาอะไร นอนอยู่ในห้องนั้น 4 ชม เพราะต้องตรวจเลือดห่างกัน 3 ชม สุดท้ายก็มีหมอมาดู ด้วยความที่ผมไม่ได้เจ็บตรงหัวใจ คุณหมอท่านก็เอานิ้วโป้งกดๆๆ บริเวณอกบน แล้วถามเจ็บไหม เจ็บดิ ผมถามหมอ ผมเป็นอะไร หมอบอกยังไม่รู้!

จากนั้นพักใหญ่ก็มีพยาบาลมาสรุปผลตรวจ ว่าที่ผมเป็นไม่ใช่เพราะหัวใจ ให้ลองเอายาแก้ปวดมากิน เป็น tramadol 20 เม็ด, datapain 20 เม็ด และยานวด 1 หลอด กลับบ้านได้ ถ้ามีอาการอีกให้รีบมาโรงพยาบาล จบเรื่องบ่าย 3 โดยที่ยังไม่ได้กินอะไร กลับถึงบ้านผมกินนิดหน่อยแล้วนอน ดึกๆ ก็เป็นอีก เลยกินยาที่เขาให้มา มันดีขึ้น ผมเลยคิดว่าเขาคงรักษาถูกละ

วันอาทิตย์ไม่มีอะไร จนค่ำๆ แน่นหน้าอกขึ้นมาอีก เหมือนโดนกดทับแบบจะตาย  ผมพยายามหายใจยาวๆ ราว 10 นาทีก็ดีขึ้น เช้าวันจันทร์เลยไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกรอบ ตรวจโน่นนี่ไปราวครึ่งวัน คราวนี้สรุปว่าเกิดจากหัวใจขาดเลือด ผมขอให้ส่งตัวผมไปชลบุรี เพราะผมรักษาโรคหัวใจอยู่ที่นั่น เขาว่าที่นี่ก็รักษาได้ เมื่อผมยืนยันความประสงค์ เขาทำเอกสารรายงานผลตรวจให้ถือไป แต่ไม่ยอมทำใบส่งตัวให้

การไม่มีใบส่งตัวไป จะทำให้ผมต้องเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง ทั้งๆ ที่ผมมีสิทธิประกันสังคม ผมว่าแสบว่ะ(เพื่อนผมคงรู้ว่าผมไม่ใช้คำนี้หรอก มันมีอีกคำที่ตรงกว่า) และผมหมดศรัทธากับหมอละ ผมรู้ว่าพยาบาล/เจ้าหน้าที่ทุกคนทำเต็มความสามารถ ซึ่งผมก็ซึ้งใจ แต่การวินิจฉัยโรคผิดวันก่อน อาจทำให้ผมตายหรือพิการ ถ้ารักษากับเขาต่อ เขาจะประเมินอาการผิด แล้วรักษาผิดพลาดไหม ถ้าผมพิการขึ้นมา คนที่ต้องทุกข์ยากไปอีกนานคือครอบครัวและตัวผม ผมไม่เสี่ยงด้วยดีกว่า ก่อนออกมาเขาให้ผมเคี้ยว clopidogrel 2 เม็ดรวด มันเป็นยาป้องกันเกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่ม กันผมตายกลางทาง

ด้วยความที่ผมมีนัดที่โน่นในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เลยทำเรื่องขอใบส่งตัวได้ตามปกติ แต่จากการกระทำเยี่ยงนี้ของพวกเขา ทำให้ผมตัดสินใจว่า กูย้ายประกันสังคมไปชลบุรีดีกว่า ยังไงก็ไม่เคยรักษาอะไรกับที่นี่อยู่แล้ว จะต้องมานั่งขอใบส่งตัวกับมันทำเหี้ยอะไร ในเมื่อเรามีสิทธิเลือกสถานพยาบาลที่เราเชื่อใจ พอเขาประกาศให้ขอย้ายโรงพยาบาลได้ผ่านหน้าเวบ ผมก็ทำเรื่องขอย้าย ใช้เวลา 1-2 วัน ทางโน้นก็รับ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกรา 2564 ไปจนตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงเช็คชื่อแล้วเจอประวัติเก่าว่ารักษากับเขาเป็นประจำ ก็จบๆ กับทางนี้ไปสักที

หลายคนสงสัย เผื่อเป็นอะไรฉุกเฉินจะทำยังไง มันมีเรื่องสิทธิ UCEP รักษาฟรี 72 ชั่วโมงทุกโรงพยาบาลอยู่ ซึ่งกำหนดภาวะฉุกเฉินไว้ 6 อาการ อันนี้ลองไปหารายละเอียดเพิ่มเติมอ่านดูนะครับ เป็นเรื่องที่ควรรู้ไว้ สำหรับโรคหัวใจ เมื่อจะกำเริบมักมีอาการเตือนก่อนนานพอควร เช่น เหนื่อยง่ายขึ้น จุกแน่นหน้าอก เจ็บแปลบ วูบ มึน หายใจลำบาก 9ล9 อยู่ที่เราใส่ใจมันไหม คิดว่ามันซีเรียสไหม ที่พลาดๆ ตายหรือติดเตียงไป เพราะคิดว่าไม่เป็นไร กรณีของผมเฉียดเอาการ เพียงแต่มันคงยังไม่ถึงเวลาของผม นรกยังไม่เอา สวรรค์ไม่ต้องการ คนที่ไปก่อนก็ยังไม่อยากเห็นหน้า บุญ-กรรมยังไม่หมด

ผมนึกถึงป้า อาการแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับป้าผมก่อนท่านจะเสีย เมื่อ 19 ปีที่แล้ว(6 กพ 2545) ป้าผมจุกแน่นอย่างนี้ แล้วบ้านเราก็พาป้าเข้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง นอนอยู่เป็นเดือน อาการดีแล้วก็กลับบ้าน มาอยู่บ้านได้ 3-4 วัน กินอาหารแล้วอ้วกออกมาหมด กินไม่ได้ เลยเข้าโรงพยาบาลนี้ ก็ดีขึ้น เริ่มกินได้ เย็นวันสุดท้ายผมยังไปป้อนข้าวต้มให้ป้า เช้ามืดวันรุ่งขึ้นป้าก็เสีย

ผมช๊อคไปเป็นอาทิตย์ เพราะผมนอนกับเขามาตั้งแต่เกิด รักเขามากกว่าแม่แท้ๆ ป้าเลี้ยงหลานทุกคนมาตั้งแต่เกิด พวกเราเลยสนิทกับป้ามากกว่าพ่อแม่ตัวเอง แต่มีผมคนเดียวยึดป้าไว้นอนด้วย ความที่เป็นพี่ใหญ่ ยึดก่อน น้องๆ เลยไม่กล้าแย่งกระมัง

แม่เล่าว่าผมถีบกระเพาะปัสสาวะแม่แตก เลือดออกไม่หยุด พอคลอดผมแล้ว แม่ต้องไปนอนจุฬาเป็นเดือน จนหมอคิดว่าไม่น่ารอด แต่แม่ผมก็ตายยากเหมือนผม พอได้กลับบ้านก็เอาผมไปนอนด้วย แต่ผมไม่ยอมหลับ ต้องให้ป้ามากล่อมนอนทุกคืน ป้าเลยเอาไปนอนด้วย

ผมไม่ได้จำชื่อคุณหมอคนนั้นมา ถึงจำได้ก็บอกไม่ได้อยู่ดี เพราะผมจะโดนข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสีย(อาญา) แม้เรื่องที่ผมพูดจะเป็นความจริง! เพื่อให้ชนะคดี ผมต้องไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาวินิจฉัยโรคผิดยังไง ความผิดพลาดนั้นจะทำให้คนทั่วไปเดือดร้อนได้ยังไง

ผมต้องไปขอหลักฐานการตรวจรักษาเคสผมวันนั้นกับโรงพยาบาล คุณว่าเขาจะให้ผมมาแบบครบๆ ไหม ยังจะต้องไปพิสูจน์หลักฐานกันในศาลอีกนานโข ผมไม่อยากจะไปเสียเวลาเกี่ยวข้องด้วย เวลามีค่ากว่าเงินทอง .. ผมเขียนประเด็นนี้เพื่อเตือนว่า จะพูดอะไร คิดให้มาก ตามคำที่ว่า คุณมีสิทธิที่จะไม่พูด แต่ถ้าคุณพูด คำพูดของคุณจะถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล และมาตรา 64 บอกไว้ว่า บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้....

ส่วนคำแนะนำที่น้องผมสอนไว้คือ ก่อนจะมีคดีความกับใคร ให้ดูก่อนว่าเราหรือเขาจะต้องเป็นคนไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ข้อกล่าวหา ถ้าเป็นเราก็อย่าทำเลย มันจะเหนื่อย แต่นั่นก็เป็นเหตุผลส่วนใหญ่ที่คนยิงกันตาย ตายก็จบ ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน สั่งสมอะไรมาเท่าไหร่ .. วงเหล้าบ้านผมคือแหล่งเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนง!

หมอไม่ได้เก่งกันทุกคน ก็คงเหมือนวิชาชีพสายอื่นๆ เรียนจบได้ พ.บ.(ยังไม่แยกเฉพาะทาง) ทำให้ผมนึกสงสัย หมอคนนี้จบที่ไหนมาวะ ผลการเรียนเป็นยังไง อยู่อันดับที่เท่าไหร่ในรุ่น เรียนเฉพาะทางมาหรือยัง มีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน มันอาจเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ และใช้วิจารณญาน เมื่อจะต้องรับการรักษา ถ้าเลือกได้ ก็เลือกโรงพยาบาลที่มีหมอประสบการณ์สูงทำงานอยู่ ความปลอดภัยของเราจะสูงขึ้น ถ้าเลือกไม่ได้ ก็ถือเป็นบุญกรรม

ที่น่าชื่นชมคือ โรงพยาบาลนี้แผนกฉุกเฉินเก่งมากในการช่วยชีวิต ที่เขาก็ช่วยผมและแม่ให้รอดมาแล้ว แต่เท่าที่รู้ เขาไม่ได้มีหมอสวนหัวใจ แล้วหมอด้านหัวใจของที่นี่เชี่ยวชาญแค่ไหน ผมก็ไม่รู้ ผมอาจอารมณ์เสียไปหน่อยกับหมอเวรวันนั้น ที่อาจไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่สรุปได้ว่า เมื่ออาการดีพอที่จะย้ายโรงพยาบาลได้ ก็ควรย้าย

เขาเสนอให้รถพยาบาลไปส่ง กลัวไปตายกลางทาง แต่ผมไม่เอา(จบคือจบครับ) ด้วยคิดว่าถ้าผมถึงคราวตาย คงตายไปหลายวันละ ไม่รอดมาได้ถึงวันนี้หรอก พ่อผมโทรบอกน้องที่เป็นหมอ(ลูกคุณน้าผม) มันก็ว่า มาเลยๆ ไปถึงพ่อก็จอดให้ลงตรงแผนกฉุกเฉิน นอนเข้าไป ผมเอาเอกสารการตรวจรักษาจากโรงพยาบาลแรกให้เขา ซึ่งเขาก็ตรวจใหม่หมดแบบเคสหัวใจ EKG, XRAY, วัดความดัน ตรวจเลือด สารพัด

ผ่านไปสักชั่วโมงก็เข็นผมไปตึก สก. (ผมจำชั้นไม่ได้ละ) ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้ป่วยโรคหัวใจ ด้านซ้ายจะเป็นห้องรวม 7 เตียง 4-5 ห้องเรียงไปตามความยาวตึก ด้านขวาเป็นห้องกระจก ออฟฟิสของคุณพยาบาล ผมได้ที่ลงหน้าห้อง หน้าเคาน์เตอร์พยาบาลพอดี เพราะในห้องไม่มีที่ว่าง แล้วโดนขังไว้บนเตียง ใช่ครับ เขาเอาราวกั้นขึ้นหมด ขังผมไว้ในนั้น แปะสายสัญญาณชีพที่หน้าอกกับที่ท้อง เอาที่วัดความดันพันแขนทิ้งไว้ ตั้งเวลาให้วัดทุก 15 นาที ให้กินข้าว ฉีดยาที่พุง

เย็นๆ ไอ่หมอตามมาดูเคส เรียกพ่อไปเซนต์เอกสารในห้องพยาบาล แล้วเขาคุยกันนานเลย จากนั้นมันแวะมาคุยกับผมว่าเดี๋ยวหาห้องพิเศษให้ ผมบอกไม่เป็นไร อยู่ได้ อย่างนี้สะดวกดี ไม่ต้องมีคนเฝ้า มันว่าเออ อยู่ไป 4-5 วัน ให้เขาฉีดยา! พ่อกลับบ้านเพราะวันรุ่งขึ้นต้องพาแม่มาศูนย์มะเร็ง

ถ้าอยู่ห้องพิเศษ จะต้องมีคนเฝ้า 24 ชม พยาบาลพิเศษก็ไม่มีให้จ้าง คือเขาไม่ว่างกันเลยน่ะครับ ที่รู้เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนแม่ผมมานอนอยู่หลายอาทิตย์ พ่อเป็นคนเฝ้า ผมอยู่บ้านกับหมา 2 ตัวของพ่อ วันหยุดน้องผมก็ขับรถมา รับผมที่บ้านแล้ววิ่งมาหาแม่กัน มี 2-3 วันที่พ่อต้องไปทำธุระ เราต้องไปรบกวนคุณอาบ้าง คุณน้าบ้าง มาช่วยอยู่เป็นเพื่อนแม่ สำหรับผมห้องรวมก็อยู่ได้ แม้ไม่สะดวกนัก คนอื่นเขายังอยู่กันได้เลย พ่อแม่ผมจะได้ไม่ลำบากมากไปกว่านี้

พอมืดๆ ผมก็ขอเข้าห้องน้ำ เขาจะไม่ให้ไป ให้ฉี่บนเตียง! ผมว่าเข้าห้องไปแค่นี้เอง(ราว 10 ก้าวอะ) เขาว่าแค่นี้ก็เคยมีไปล้มตายมาแล้ว!!! ผมยังรบเร้าต่อ ให้ผมไปเถอะ ด้วยความรำคาญเขาเลยให้คุณพยาบาลคนนึงพาไป ให้แง้มประตูไว้ กลับมาก็โดนขังต่อ แล้วให้น้ำเกลือ ราว 2-3 ทุ่ม มีย้ายเตียงในห้อง 1 เตียงไปไหนไม่รู้ เขาก็ลากเตียงผมเข้าไปแทนที่ อยู่กลางห้องพอดี ต่อสายสัญญาณชีพให้เหมือนเดิม ผมดีใจ ถัดไปอีกเตียงก็เป็นห้องน้ำละ

พอน้ำเกลือหมด ผมก็ร้องขอเข้าห้องน้ำอีก น้ำเกลือเป็นลิตร มันก็ปวดฉี่ไง ทีนี้เขาคงรำคาญ เลยเปิดราวกั้นข้างซ้ายทิ้งไว้ให้ (อันนี้ผมเปิดเองไม่เป็นจริงๆ ว่ะ) กำชับว่าเข้าห้องน้ำอย่าล๊อคประตู ครั้งต่อไปที่เข้าห้องน้ำผมเลยแกะสายออกเอง มันเป็นเหมือนกระดุมแบบกดให้ติดกันน่ะครับ ผมพยายามจำสีไว้ แต่กลับมาก็ลืมอยู่ดี เลยได้นั่งพิจารณาตัวย่อที่หัวต่อ ว่าอันไหนควรอยู่ตรงไหน แกะเองติดเองครับ จะได้ไม่ต้องไปรบกวนคุณพยาบาลเขามากนัก (ผมแพ้กาวที่มาติดกับตัวด้วยว่ะ แปะไว้นาน ตอนแกะออกมันแดงๆ คันๆ)

พอตีสามเขาก็มาเช็ดตัวผู้ป่วยกันแล้ว มันเป็นห้องแอร์ที่ไม่รู้แอร์ออกมาตรงไหน ผมคิด โหดสัส ตี 3 นี่กำลังหนาวเลย แต่เขาคงใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวให้ผู้ป่วย คุณพยาบาลถามผม อาบน้ำเองไหวไหม ไม่ไหวจะอาบให้ ผมบอกอาบได้ครับ ห้องน้ำนั้นผมจอง เพราะคนอื่นเป็นผู้ป่วยติดเตียงกันหมด ผมมีสบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ใส่ย่ามมาแค่นี้ ผ้าเช็ดตัวไม่มี เลยใช้ชุดผู้ป่วยชุดเก่านั่นแหละเช็ดตัว ผมไม่ได้ขอผ้าห่มใหม่ ได้มาตั้งแต่ตอนเข้า ER เขาห่มมาให้ เป็นผ้าคลุมเตียงแหละมั๊ง มันไม่ได้หนาวมาก ผืนนี้พอ ผมเลยไม่ขอให้เขาเปลืองผ้า

เขาปรับยาให้ใหม่ ดูอาการใกล้ชิด วัดความดันทุกชั่วโมง วันอังคารเที่ยงๆ พาไป ECHO ผลตรวจคงโอเค พอมืดๆ เลยได้กลับบ้าน พ่อผมเดินติดต่อห้องยาจนปวดหัว ใบรับรองแพทย์ลงมาให้ 3 วัน จันทร์ถึงพุธ แล้วมีใบนัดหมอหัวใจคนใหม่ให้ วันที่ 29 ธันวา วันพุธผมเลยพักอีกวัน หวังให้มันฟื้นตัวมากหน่อย นอนให้เต็มคราบครับ ห้องที่ผมไปนอน เสียงเครื่องร้องเกือบตลอดเวลา

ที่น่าทึ่งคือเตียงตรงข้ามผม ญาติเขาเอาเทปธรรมมาทิ้งไว้ให้พยาบาลพิเศษเปิดให้ฟังเป็นช่วงๆ เป็นแนวปฏิจสมุปบาท การดูไตรลักษณ์ โชคดีที่ผมเล่นแนวนี้อยู่เลยเข้าใจและได้ทบทวนไปด้วย ตอนผมนั่งรอบนเตียงจะกลับบ้าน ยังได้เจอลูกชายเขา น่าจะแก่กว่าผมพอดู เขาทักผมด้วยภาษาจีนพรืดหนึ่ง ที่ผมพอฟังออกว่าลูกหลานจีนใช่ไหม ผมกลัวเขาพูดต่อเลยเลิกคิ้ว เขาก็แปลเป็นไทยให้ คุยแบบทั่วไปไม่กี่คำ ผมลูกหลานจีนน่ะใช่ แต่เกิดไม่ทันรุ่นก๋ง-ย่าที่พูดจีนไฟแล่บ ด้วยเป็นลูกจีนแท้ๆ รุ่นพ่อผมไม่มีใครพูดแล้ว ป้าฟังรู้เรื่องหมดแต่ไม่พูดเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงรู้ศัพท์จีนบางคำที่เป็นทางการ(จากที่เคยสนใจเรียนรู้เอง) ภาษาพูดไม่รู้เรื่องเลย

7 วันหลังจากนั้น ผมอม isoram 5 mg วันละ 2-3 เม็ด เพราะมีนัดไอ่หมอ 15 ธันวา แล้วมันด่า ว่ามึงอย่าไปทน แน่นก็อมไป พออมแล้วดีขึ้น ผมเลยอมไปเรื่อย อาการแน่นๆ ยังมีอยู่ แต่ไม่แย่เท่าก่อนหน้านี้

29 ธันวา 2563 วันอังคาร อาทิตย์นี้ผมได้หยุดทั้งอาทิตย์เพราะเลื่อนมาตั้งแต่สงกรานต์ ผมไปโรงพยาบาลคนเดียว ถึงก่อน 6 โมง แล้วนอนรอให้ถึงเวลาลงทะเบียนตอน 8 โมงกว่า คนตรงนั้นจะได้เหลือน้อยหน่อย ตอนผมไปเหลือคนอยู่ไม่ถึง 10 หน้าห้องเวชระเบียน ที่จุคนได้ 2-3 ร้อยตอน 7 โมงเช้า วันนี้ใบนำทางบอกชื่อตึกที่ผมไม่รู้จัก เลยถามเจ้าหน้าที่ เป็นตึกด้านหลังชั้น 4 ที่มีผู้ป่วยโรคหัวใจนัดตรวจไม่ถึง 20 เพียงแต่ใบนัดผมมันผิด!

คุณพยาบาลเอาใบนัดไปดูแบบงงๆ เขาเช็คในคอมพักใหญ่ โทรหาหลายคน แล้วมาบอกว่า เขานัดมาให้ผิดวัน คุณหมอท่านนี้ลงตรวจวันพฤหัส จะนัดใหม่หรือจะรอดี ผมบอกรอดีกว่าครับ เขาก็ว่าจะติดต่อคุณหมอมาตรวจให้ แต่ต้องรอนานเลยนะ เที่ยงๆ โน่นแหละ เพราะคุณหมอติดสวนหัวใจ ผมก็ว่าไม่เป็นไรครับ ผมรอได้ เขาไล่ผมไปหาข้าวกินก่อน สัก 11 โมงค่อยกลับมาใหม่

ด้วยความที่กลัวโควิดขึ้นสมอง ผมเลยไม่กิน เป็นปีมานี่ ผมกินข้าวนอกบ้านไปถึง 5 ครั้งหรือเปล่า กินเพราะจำเป็นจริงๆ อย่างวิ่งรถมาชลกับน้อง พี่น้องยังไม่ได้กินอะไรมาแต่เช้า หรือไปธุระแล้วขอนอนบ้านเพื่อนเป็นต้น ผมลงมาชั้นล่าง นั่งรอเวลาแถวม้าหินหน้าตึก ที่ไร้ผู้คน

สัก 11 โมงตามที่คุณพยาบาลบอก ผมขึ้นไปใหม่ เมื่อรู้เวลาผมก็ไม่ร้อนรน นั่งรอไปเรื่อยๆ ตามลมหายใจเล่นๆ ไป จนเที่ยงกว่า คุณพยาบาลเรียก คุณลุง กินข้าวรึยัง! ผมไม่หันเพราะไม่คิดว่าเขาเรียกผม ทั้งที่ผมนั่งอยู่คนเดียว เขาเลยถามอีก คราวนี้เก๊ท เรียกกูนี่แหละ เลยหันไปตอบเขาว่า เรียบร้อยแล้วครับ ทั้งที่ท้องร้องลั่นๆ คือผมแค่หัวหงอก แต่ยังไม่แก่ขนาดนั้นละเปล่าวะ

เที่ยงครึ่งคุณหมอก็มาตรวจให้ พูดคุยซักถามอาการ แล้วดุผมชุดใหญ่เรื่องสูบบุหรี่ ยังถามมีญาติมาด้วยไหม จะได้เรียกมาด่าพร้อมกัน ผมว่าที่รอเพราะอาการไม่ค่อยดี ยังมีแน่นอยู่ คุณหมอเลยว่างั้นนัดมาฉีดสีดูแล้วกัน เคยทำไปหลายปีแล้วนี่ ยังจำได้รึเปล่า ผมก็ว่าคราวก่อนผมน๊อค ไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ได้เลยครับ คุยเสร็จก็ขอบคุณคุณหมอที่อุตส่าห์สละเวลามาตรวจให้ คุณพยาบาลทำเอกสารให้ลงไปชั้น 1 เพื่อนัดวันฉีดสี ผมได้คิว 1 กุมภา ให้มาเช้า นอนวัน ทำวัน ถ้าไม่มีอะไรอีกวันได้กลับ

คุณหมอเพิ่มยามาให้อีกตัว เป็น Ismo (isosorbide mononitrate) 20 mg กินเช้า-เย็น ครั้งละครึ่งเม็ด ผมสบายตัวขึ้น ใช้ isoram 5 mg น้อยลง เหลือวันละเม็ด บางวันไม่ต้องอม ผ่านไป 10 วันก็เริ่มถากหญ้า ตัดหญ้าไหว วันอาทิตย์ก่อนไปแอดมิดยังลงคลองไปโกยโคลนเปิดช่อง เอาไดโว่ดูดน้ำเข้าบ่อให้ปลา ยังเจอปลิงควายตัวยาว 5-6 นิ้ว (ไอ่เหี้ย นึกว่างู) ตัวใหญ่อะไรอย่างนี้ กว้างเท่างูท้องแดงรุ่นๆ เลยครับ แต่ไม่ได้กินเลือดผมหรอก ผมรู้ว่ามันมี ผมเลยใส่ขาก๊วยกับรองเท้าเข้าป่าแบบลุยโคลน มัดเชือกมิดชิด รู้ตอนมันหล่นจากขาเมื่อผมตะกายขึ้นบกโน่นแหละ หันไปดูผลงานเลยเห็นมันกระดึ๊บๆ กลับลงคลอง

ที่ต้องทำงานใช้แรงก่อน เพราะรู้ว่าการสวนหัวใจจะทำให้ผมทำอะไรไม่ไหวไปพักใหญ่ คราวก่อนหลายเดือน กว่าจะมีแรงตัดหญ้า ทำสวน เมื่อเห็นผลตรวจยิ่งแปลกใจ ผมน่าจะน๊อคตายไปตั้งแต่วันที่ตัดหญ้าอาทิตย์ก่อน ที่ตัดไปชั่วโมง นอนพักชั่วโมง 3-4 รอบถึงเลิก

1 กุมภา 2564 วันจันทร์ ผมหาข้อมูลล่วงหน้ามาบ้าง ทั้งอ่านและดูคลิป ว่าจะต้องโดนอะไรบ้าง ดีสุด-แย่สุดคืออะไร คร่าวๆ คือ หมอจะสอดท่อเข้าไปฉีดสีดู ถ้าเจอตีบตันก็ยัดขดลวดได้เลย โอกาสตายน้อยกว่า 0.11% (จากแผ่นพับที่เขาให้มาอ่าน) ซึ่งพอให้ลูกน้องดู มันหาอันนี้ก่อนเลย แล้วบอกไม่ตายหรอก หัวหน้าจะตายแบบเรื่องง่ายๆ อย่างสำลักข้าวตายเป็นต้น .. ไอ่สัส .. มันโรคจิตนะ เวลาโดนผมด่า ดูมันมีความสุขเชียว

ผมคงไม่โชคดีขนาดนั้น ความจริงการตายไม่ได้น่ากลัวสำหรับผม ที่น่ากลัวคือช่วยตัวเองไม่ได้นั่นแหละ และที่ผมเจอทำให้รู้ว่า ทฤษฎี บางครั้งก็ไม่เหมือนตอนปฏิบัติ!  ลองดูตามคลิปนี้ก็ได้ครับ เตรียมความพร้อม ก่อน-หลัง สวนหัวใจและหลอดเลือด

เขาให้เตรียมของใช้ส่วนตัวไปด้วย ผมต้องไม่ลืมยาดม ผมมีกระเป๋าเล็กๆ หรืออาจเรียกว่าล่วมยาอย่างย่อ ในนั้นจะมียาดม ยาแก้แพ้(ผมเป็นภูมิแพ้แบบอ่อนๆ อากาศเปลี่ยน ฝุ่น กลิ่น จะมีน้ำมูกซึมๆ ออกมาให้พอรำคาญ) พารา ยาคลายกล้ามเนื้อ น้ำตาเทียม ที่ผมพกไปทำงานทุกวัน อันนี้เอาไปด้วย ทิชชู่ธรรมดา กับม้วนใหญ่(เผื่ออึล้างก้น จะได้เช็ดมือ-ก้นง่ายๆ อึนอกบ้านน่าจะไม่ได้อาบน้ำเหมือนที่บ้าน) ทิชชู่เปียก ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ผืนเล็ก 2-3 ผืน(เผื่อจำเป็นต้องให้พยาบาลเช็ดตัวให้ อันนี้ได้ใช้ผืนนึงเช็ดมือ) สบู่เหลว(ถ้าคุณพยาบาลทำให้ ซึ่งไม่ได้ใช้ เพราะเขาให้ทางเลือก) สบู่ก้อน(ผมใช้เอง ผมใช้สบู่เหลวไม่เป็นว่ะ แม่มล้างแล้วยังลื่นๆ ไม่ชอบอะ) แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พาวเวอร์แบงค์(นี่ก็ไม่ได้ใช้ แบตเหลือบาน ผมปิดเสียงทุกอย่าง เพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น) และหนังสืออีก 2 เล่ม ที่ขนไปให้มันหนักเล่น เพราะป้ายปลายเตียงขีดฆ่ารูปคนอ่านหนังสือ! อย่าหาเรื่องให้คุณพยาบาลดุเอาเลย

ผมไปกับพ่อ เพราะเขาบอกต้องมีญาติใกล้ชิดไปด้วย ออกจากบ้าน 6 โมงกว่า ถึงโรงพยาบาล 7 โมงกว่า ก็นอนเล่นในรถ รอเวลารับลงทะเบียน 8 โมง วันนี้ไม่ต้องไปเวชระเบียน ให้ติดต่อห้องรับแอดมิดเลย ผมยื่นเรื่องแล้วนั่งรอพักใหญ่ เขาก็มาติดแท็คที่ข้อมือ แล้วให้นั่งรถเข็น ไปต่อรถกอล์ฟ เพื่อไปตึกสวนหัวใจด้านหลัง เข้าไปก็โดนสัมภาษณ์ มาจากไหน อำเภออะไร ไปไหนมาบ้าง ไปเดินห้าง เข้าร้านอาหาร เทคผับ สถานที่เล่นการพนัน มาบ้างรึเปล่า เพื่อเช็คพื้นที่เสี่ยงโควิด

timeline ผมง่ายมาก บ้าน-ที่ทำงาน ห่างกัน 2 โล วันๆ ไปอยู่แค่นี้ แม่เขียนโปรแกรมไว้ เมื่อพบว่าผมมาจากพื้นที่สีเขียว ความเสี่ยงต่ำ เขาก็พาไปส่งที่เตียง บริเวณนี้เป็น CICU คือไอซียูเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจน่ะครับ แล้วให้เซนต์ชื่อเป็น 10 ที่ ให้พ่อเซนต์รับทราบความเสี่ยง ที่อาจพิการ อาจเสียชีวิต ตรงนี้เพื่อป้องกันญาติงี่เง่า มาฟ้องร้องโรงพยาบาลเอาทีหลัง

แล้วไล่พ่อกลับบ้าน ห้ามเยี่ยมทุกกรณี  ผมเห็นมีหลุดเข้ามา คน 2 คน เขายอมให้ 5 นาที แล้วไล่ออกไป เพราะเกรงจะเอาเชื้อโรคเข้ามาแพร่ ตรงนี้มันเขตปลอดเชื้อน่ะครับ ผู้ป่วยแต่ละคนไม่ได้แข็งแรงกันสักเท่าไหร่ ค่อนข้างอ่อนไหว เปราะบางกับโรค วันที่ทำคือวันรุ่งขึ้น พ่อไม่ต้องมา มารับวันกลับเลย ถ้ามีอะไรจะโทรหา ดีครับ ผมก็ห่วงพ่อต้องวิ่งรถไปๆ มาๆ จะให้หาโรงแรมนอนก็ห่วงแม่ที่อยู่บ้านคนเดียว

พอพ่อกลับไป ก็ได้ฤกษ์เจ็บตัว เขาให้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเจาะเลือดตรวจ เสื้อผ้าที่ผมใส่มา เขามีถุงพลาสติกกางมาให้ผมใส่ชุดลงไปแล้วผูกปากเลย คุณพยาบาลบอกตรวจเลือดนะคะ ต้องตรวจเอดส์ด้วย โอเคนะ ผมก็ครับไม่มีปัญหา (ผมสะอาดและสันโดษยิ่งกว่าพระ) กะด้วยสายตาคาดว่าเขาต้องการเลือดประมาณ  40 cc แต่ต้องทิ่มเข็มไป 6 ที่ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณพยาบาล แต่อยู่ที่เส้นเลือดผมเอง ที่มันเล็ก แบน และบาง เขาเจาะตรงเส้น เลือดไหลมาคาโคนเข็มแล้วหยุด ดึงไซริงค์ก็ไม่มา เลยต้องเปลี่ยนที่ใหม่ จนคุณพยาบาลถามว่าผมแขวนพระอะไร คงสงสัยว่าผมเล่นของรึเปล่า!

เข็ม 1-2 ผมโดนที่ข้อพับแขนซ้าย ไม่ได้เลือด คุณพยาบาลเลยเรียกอีกคนที่ดูอาวุโสกว่ามาช่วย เข็มที่ 3-4-5 โดนที่ข้อพับแขนขวา เข็มที่ 5 เลือดมาช้าๆ จนได้พอที่ต้องการ แต่ตอนเอาไปใส่หลอดตรวจ ได้แค่ 3 หลอด ที่เหลือมัน clot คือแข็งตัวเป็นลิ่มใช้ไม่ได้ละ เลยต้องโดนอีกเข็มนึง

เปลี่ยนเป็นคุณพยาบาลอีกคนที่ดูท่าจะอาวุโสกว่า 2 คนแรก เข็มที่ 6 เป็นหลังมือซ้ายจุดที่จะเปิดเส้นให้น้ำเกลือ ทิ่มไปเลือดไม่ย้อนมาเข้าเข็ม คุณพยาบาลพึมพำ มันต้องได้สิ เขาขยับเข็มเล็กน้อยเลือดก็มา เอาอีก 10 cc เขาถามคาสายสำหรับให้น้ำเกลือไว้เลยไหม(ให้ทางเลือกนี่นา) ผมถามอาบน้ำได้ไหมครับ เขาว่าไม่ควรโดนน้ำเดี๋ยวติดเชื้อ ผมเลยบอกไว้เจาะใหม่ตอนเช้าดีกว่า เขาก็ว่าตามใจคนไข้ละกัน โดนหลายเข็มแล้ว สงสารเลย คุณพยาบาลแนะนำให้ออกกำลังแขนบ้าง เส้นเลือดจะได้ใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น

นี่เป็นเรื่องปกติของผม ที่การเจาะเอาเลือดจะค่อนข้างยากเย็น ไอ่ที่เขาว่าเจ็บเหมือนมดกัดน่ะ ผมไม่เคยเจอหรอก ส่วนใหญ่ก็ดูเข็มค่อยๆ ทิ่มผ่านผิวหนังเข้าไป สัมผัสได้ถึงความเจ็บจากน้อยไปมาก อาจมีปวดร่วมด้วย แล้วลุ้นว่าเลือดมันจะมาไหม ถ้าไม่มาเข้าไซริงค์ จะโดนที่ใหม่หรือจะโดนควานหาเส้น

เจาะเลือดเสร็จก็ตรวจ EKG แล้วเขาก็เข็นเครื่อง x-ray เคลื่อนที่มา x-ray ให้ถึงเตียง คุณบุรุษพยาบาลมาถามเรื่องอาหาร กินอะไรได้บ้าง งดอะไรไหม หมู ไก่ เนื้อ กินได้ไหม กินผักไหม ผมบอกกินได้ทุกอย่างครับ เมื่ออยู่กับคนหมู่มาก ผมไม่เรื่องมาก มันจะเป็นการเพิ่มภาระให้คนอื่น

สักพักมื้อเที่ยงก็มา ผมกินไปไม่ถึงครึ่งของที่เคยกินปกติ เมื่อมานอนโรงพยาบาล ความอยากอาหารจะหายไปโดยปริยาย อีกทั้งการนอนเฉยๆ ไม่ได้ใช้พลังงานอะไร ยิ่งทำให้ไม่หิว บวกกับอาหารรสจืดๆ น้ำหนักผมหายไป 4 โล นั่นคือน้ำ 4 ลิตรกระมัง ไขมันไม่น่าไปได้ภายใน 2 วัน มันต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ กลับบ้านไปถ้าพยายามกินแบบนี้ มันน่าจะดีขึ้น ถ้าได้กลับ

พื้นที่ CICU แบ่งเป็น 3 โซนกว้างๆ 1 โซนวางได้ 2 ด้าน ด้านละ 3 เตียงห่างๆ แต่ละโซนกั้นด้วยผนังสูงราวเมตรครึ่ง เหลือช่องด้านบนไว้เมตรกว่า คาดว่าเพื่อให้เคาน์เตอร์พยาบาลที่อยู่หน้าโซนกลางมองเห็นเครื่องวัดสัญญาณชีพได้ทั่วถึง เพราะหน้าจอมี 2 ด้าน ผมก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน

การจัดให้ใครนอนตรงไหน อาจขึ้นอยู่กับระดับความวิกฤติ ตอนเข้าไป เขาให้ผมไปนอนเตียง 11 ที่อยู่ด้านในสุด โซนในสุด (หมายเลขสุดท้ายของเตียงทั้งหมดคือ 12 สำรอง ไม่ใช้ 13 แฮะ) พอรู้ว่าอาการเดิมคือแน่นหน้าอก ปรับยาแล้วดีขึ้น รวมทั้งมีหลวงพี่ที่เพิ่งสวนหัวใจเสร็จออกมา เขาเลยย้ายผมมาไว้โซนหน้าเคาน์เตอร์ด้านในสุดติดผนัง เตียง 7 หลังผนังเป็นหลวงพี่เตียง 10 ที่คุยลั่นๆ กับเตียงข้างๆ อยู่หลายชั่วโมง!


พอท่านหลับ ทั้งโซนก็เงียบกริบ จนคุณยายอีกคนเข้ามา ไว้หน้าเคาน์เตอร์ อาการค่อนข้างแย่ มีเรียกคน คุยไปเรื่อย คุณพยาบาลก็น่ารักมาก พยายามช่วยกันคุยด้วย จนดึกแกไม่เลิกคุยสักที เลยได้ยานอนหลับเข้าไปเข็ม คนไข้อื่นๆ จะได้นอนกันบ้าง ผมเข้าใจว่าแกเพ้อ ไม่ได้รำคาญอะไร เห็นใจเสียมากกว่า ก็นอนดูใจตัวเองไป ตอนมันรู้สึกอะไรขึ้นมา

นอน กิน และนอน รอเวลาครับ เขาว่าวันอังคาร 10-11 โมง น่าจะได้ทำ เช้าวันรุ่งขึ้นตีห้า เขาก็มาบอกให้ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะได้เปิดเส้นให้น้ำเกลือ คือหลังมือซ้ายใกล้ที่โดนดูดเลือดไปเมื่อวานแหละครับ เอาจริงๆ การเจาะใหม่ เจ็บอีกที ดีกว่าคาเข็มข้ามคืนไว้มาก เรื่องเจ็บหลายรอบจัดเป็นเรื่องปกติของผม การเจาะคราวนี้ง่าย เลือดย้อนมาเต็มสายทันที ผมยิ้มเลย คุณพยาบาลเขาว่าเข็มให้น้ำเกลือมันดีกว่าเข็มเจาะเลือด ก็คาเข็มอ่อนกับสายไว้ น้ำเกลือค่อยไปให้ตอนทำ

วันอังคารที่ 2 กุมภา ยังได้กินมื้อเช้า กินยา แล้วให้งดน้ำ+อาหาร ผมก็หลับๆ ตื่นๆ รอ ตอนคุณพยาบาลมาวัดไข้ เสียงตี๊ดทำให้ผมหันขวับไปมอง ผมเป็นคนนอนรู้ตัวง่าย และไม่ค่อยเปลี่ยนท่า ทำให้มักปวดไหล่ตอนเช้า เขาบอกวัดไข้ ไม่มีอะไร แล้วว่าผม หลับเก่งนะเรา อ่าวก็ผมไม่รู้จะทำอะไรนี่

มันก็แค่อีกเรื่องยากๆ ที่เวลาจะพาเราผ่านมันไป ความวิตกกังวลไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น ผมไม่รู้คนอื่นๆ เขาหลับกันได้จริงไหม แต่กับผม การนอนโรงพยาบาลถ้าหลับได้ต่อเนื่องถึง 20 นาทีก็บุญโข เตียงดี ที่นอนก็ดี ถึงตรงนี้จะเงียบกว่าคราวก่อนที่ผมไปนอน ซึ่งมีแต่ผู้ป่วยติดเตียง แล้วเครื่องก็ร้องเกือบตลอดเวลา ก็ไม่ทำให้หลับได้ดีกว่า แล้วคนที่ต้องนอนอยู่อย่างนั้นนานๆ จะต้องทนทรมานขนาดไหน ผมได้แต่ภาวนา อย่าให้ต้องตกอยู่ในสภาวะอย่างนั้น

สัก 12.15 คุณพยาบาลก็เดินมาบอก ไปห้องน้ำก่อนไหม พร้อมรึยัง แล้วเขาก็บอกเองว่า ไม่พร้อมหรอก ผมหัวเราะแล้วบอกเขาว่าเรียบร้อยแล้วครับ เขาว่าเราหนุ่มสุดนะวันนี้ ไม่รู้เป็นการปลอบใจผมรึเปล่า แล้วเขาก็เข็นเตียงผมไปเข้าห้องที่อยู่ตรงข้ามกับโซนในสุด เป็นประตู 2 ชั้น

เข้าไปเจอห้องโถง กับราวแขวนเสื้อกันรังสีหลาย 10 ชุด นอนรอครู่หนึ่งคุณพยาบาลก็ถาม เดินไหวไหม ไหวสิ ไปเข้าห้องน้ำเองได้นี่ แล้วให้ผมเดินเข้าไปอีกห้อง ผมเจอพยาบาล 7-8 คน คุณหมอ กับตู้กระจกติดผนังที่มีท่อ สาย อุปกรณ์ ห้อยเป็นพรืดอยู่ในนั้น และเครื่องหน้าตาประมาณนี้

ที่นอนแคบจนผมคิด กูจะเจ็บจนดีดดิ้นตกลงมาไหม คุณพยาบาลตบแท่นเบาๆ บอกให้ผมขึ้นไปนอน มันสูงเท่าเอวผม ผมมองหาที่ขึ้น ไม่มีว่ะ เลยถามเขา ขึ้นยังไงอ่ะครับ เขาก็ว่าเดี๋ยวๆ แล้วอีกคนก็เอาบันไดมาให้ไต่ขึ้น ความจริงคือที่ความสูงนั้น เหมาะกับการย้ายผู้ป่วยจากเตียงด้วยแผ่นสไลด์ โดยปรับระดับเตียงคนไข้ให้สูงขึ้นมาเท่าเจ้านี่ จะลากคนไปมาระหว่างเตียงได้สะดวก นั่นคือทำไมพยาบาลรุ่นใหม่จึงสูงไม่มาก ผมเดาว่าคงช่วยให้ดูแลผู้ป่วยบนเตียงได้ถนัดมือ!

คุณพยาบาลพูดว่า เคยทำแล้วนี่ ไม่กลัวมั๊ง ผมบอก คราวก่อนผมไม่รู้ตัว หมดสติมา ล้ม ตายไปเลย แล้วหมอช่วยไว้ เขายังถาม แล้วนี่กายหยาบรึกายทิพย์ล่ะ ...

เริ่มด้วยการจัดท่า ด้านขวามีแผ่นยื่นออกไป ปรับองศาได้ตามแนวระนาบ กว้างราว 4-5 นิ้ว แบนราบ เพียงพอสำหรับวางแขนขวาแล้วมัด จากนั้นทาโพวาดีนที่ข้อมือ ยังไปทาที่โคนขาหนีบทั้ง 2 ข้างด้วย คงเผื่อไว้ถ้ามีปัญหาดันท่อเข้าข้อมือไม่ได้ ก็ไปยัดที่โคนขาได้ทันทีกระมัง แขนซ้ายถูกจัดวางในร่องแนบไปกับลำตัวแล้วมัด ข้อเท้าทั้งสองข้างก็มัด โอเค ไม่ต้องกลัวดิ้นตกลงมาละ

คุณพยาบาลเชื่อมต่อสายน้ำเกลือ ใช้ตัวหนีบสำหรับตรวจคลื่นหัวใจแบบเรียลไทม์มาคีบที่แขน ขา ติดกระดุมที่หน้าอก 2 ด้าน ข้างขา 2 ข้าง แล้วห่มผมด้วยผ้าสีเขียวเข้มหนาๆ หลายชั้น ใช้ปูรองเครื่องมือข้างเตียงอีกหลายชั้น ใช้ผ้าเยอะมากจริงๆ ในการทำหนึ่งคน ยังมีพลาสติกเป็นถุงครอบจอและอุปกรณ์อื่นๆ คาดว่ากันเลือดสาด!

เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เขาบอกให้ผมแบมือเหยียดให้สุด แล้วปาร์ตี้ก็เริ่มแบบสดๆ! ตรงจุดที่เราจับชีพจรกันแหละครับ เคยดูคลิปมา เขาใช้ยาชากันนี่หว่า รึกูไม่ชาเองวะ(ผมคิดในใจ) แต่ได้ยินนักเทคนิคหัวใจคุยกับคุณหมอหัวใจว่าไม่ใช้ยาชา เส้นเลือดเล็กมากและบาง ผมเลยเดาว่าเขาคงเห็นว่าการใช้ยาชาจะทำให้ความเสี่ยงสูงกว่าการไม่ใช้กระมัง พลางนึกหวั่น ถ้าเส้นเลือดแตก ทำไม่ได้ แล้วจะยังไงต่อ

แทรกตรงนี้นิดนึงที่ตอนแรกผมก็สับสน คิดว่าคุณหมอหัวใจเป็นคนสอดท่ออะไรๆ เอง ความจริงจะมีนักเทคนิคหัวใจจัดการสอดท่อต่างๆ นาๆ แล้วคุณหมอหัวใจจะคอยบอกว่าให้ทำอะไรตรงไหนด้วยไมโครโฟน โดยดูภาพเส้นเลือดหัวใจผมผ่านจอ ผมเข้าใจคร่าวๆ อย่างนี้นะ ในใบรายงานการตรวจวินิจฉัยเลยจะมีตำแหน่งอยู่ 4 แบบ
1.
cardiologist คุณหมอหัวใจ
2.
scrub คอยส่งเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้นักเทคนิคหัวใจ
3.
circulator คอยเปิดเครื่องมือเพิ่มให้ scrub ทำเอกสารทางการแพทย์
4.
cardiothoracic technologist นักเทคนิคหัวใจ คนนี้จะเป็นคนสอดท่อต่างๆ เข้าเส้นเลือดเรา (อันนี้ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ไปหาข้อมูลมาอ่าน สโคปงานคร่าวๆ ผมจะเอาไปไว้ท้ายเรื่องนะครับ)

เริ่มจากการใส่ท่อนำที่มีขนาดพอๆ กับสายน้ำเกลือ ยาวราว 4-5 นิ้ว ตามรูปเนี่ยครับ ผมตะลึงมองตอนเขาดึงออกมา ไอ่ห่าใหญ่ ยาวด้วย ตอนสอดท่อเข้าไม่เห็นหรอก เขาคลุมผ้าผมทั้งตัว เหลือช่องแค่พอทำงาน ความปวดถ้าเต็ม 10 ทีแรกผมก็ให้ 10 นะ แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจ ให้ 7 ก็พอ จุดนี้เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มือผมชาจนแทบไม่รู้สึก ผมกังวลเล็กน้อย เลยกระดิกปลายนิ้วน้อยๆ ไล่ไปทีละนิ้ว อ่อ นิ้วกูยังอยู่ดี


จากนั้นก็มีบางอย่างถูกฉีดเข้ามาตามสายน้ำเกลือ เจ้านี่สิผมให้เต็ม 10 เลย ยาวิ่งเข้ามาถึงไหน ความปวดก็แผ่ซ่านไปถึงนั่น ผมปวดจนร้องอ่าก เขาให้มีคุณพยาบาลหนึ่งคนไว้คอยดู คอยถามอาการอยู่ข้างหัว เขาถามเจ็บเหรอ ผมบอกปวด คนดันท่อถามปวดตรงนี้เหรอ ผมบอกปวดด้านซ้าย พยาบาลที่ดันยาอยู่ก็ตอบ อ่อปวดตรงหนูนี่ ถ้าจะเทียบกับที่โดนลูกหมาขย้ำมือที่ว่าปวดสุดๆ แล้ว งานนั้นผมตัดคะแนนให้เหลือแค่ 8 พอ เพียงแต่ลูกหมาทำให้ปวดมากๆ เป็นอาทิตย์ อันนี้ปวดนับเป็นนาที ผมถูกให้ยาเข้าสายน้ำเกลือ 3 รอบ จากที่จำได้ว่าได้ยินคนหนึ่งพูดชื่อและปริมาณ แล้วอีกคนที่คุมอยู่ข้างสายน้ำเกลือทวนตอบรับ คาดว่าการให้ยา ขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นบนสารพัดหน้าจอในห้องนั้น

ยาที่ลงไว้ในแฟ้มผมมี 2 ตัว
1.
nitroglycerine คร่าวๆ เป็นยาขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดการขาดออกซิเจนในเลือด
2.
enoxaparin ป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของเลือดและช่วยละลายลิ่มเลือด ป้องกันหลอดเลือดดำอุดตัน

จากท่อนำที่คาข้อมืออยู่ซึ่งเจ็บจนชาไปแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงสายท่อบางอย่างเคลื่อนตัวผ่านเส้นเลือดที่แขนเข้ามาจนถึงไหล่ ก็ปวดเอาเรื่อง ร่างกายผมเริ่มเกร็งทั้งตัวเพื่อต่อสู้กับความปวดโดยอัติโนมัติ ผมพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อแขน ด้วยเกรงว่าจะทำให้งานของหมอยากขึ้น ซึ่งไม่ง่ายเลย เหงื่อเริ่มซึมออกมาทั้งตัว หน้ากากผ้าเริ่มทำให้ผมหายใจไม่ออก เหงื่อไหลท่วมหัวภายใต้หมวกคลุมผม ที่นอนแบนราบทำให้ผมเริ่มรู้สึกปวดบั้นเอว

ผมอดทนเพราะเข้าใจความเหนื่อยยากของเจ้าหน้าที่แต่ละคน ไม่อยากจะแหกปากสร้างภาระทางใจเพิ่มให้พวกเขา แต่ช่วงเวลาที่ต้องทนทุกข์ ช่างให้ความรู้สึกแสนยาวนาน ผมลองวิชาที่เคยได้ยินมา ถอดจิตไปไว้บนขื่อ..ไม่ได้ผลว่ะ.. พลันนึกถึงที่เคยได้ยินมา ว่าคนตายเขาจะอัดฟอร์มาลีนเข้าที่เส้นเลือดข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง ต้องเจ็บกว่านี้แน่ๆ เจ็บแค่นี้ทนเอาน่า แล้วก็นึกถึงนักบุญร๊อคที่ผมศรัทธา ช่วยผมที ให้ผมปลอดภัยหรือไม่ก็ตายไปเลยนะครับ อย่าให้ผมต้องพิการช่วยตัวเองไม่ได้

ด้วยความที่นอนว่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างน่ารำคาญสำหรับคนฟุ้งซ่าน บวกกับความอยากรู้อยากเห็น อีกทั้งเขาไม่ได้ห้ามหันหัว ผมเลยแอบดูจอภาพ พลางฟังข้อความที่คุณหมอๆ กับคุณพยาบาลสื่อสารกัน เข้าใจได้สัก 30% กระมัง เขาฉีดสีในหัวใจ ที่ผมเห็นเหมือนน้ำทะลักออกมาจากท่อแตก มันเป็นสารทึบรังสี(สารไอโอดีน นี่คือทำไมคุณพยาบาลถามหลายรอบว่าแพ้อาหารทะเลรึเปล่า) สารนี้จะช่วยให้เห็นเส้นเลือดชัดเจนขึ้นว่าตีบตันที่จุดไหนบ้าง ของผมมี 3 จุดที่เป็นปัญหา จุดแรกเป็นจุดที่ทำไว้คราวก่อน มันเกือบจะตันแล้ว เขาเอาขดลวดใหม่ไปวางแทน

ลวดขดแรกให้ความรู้สึกที่น่าตื่นใจเอามากๆ ผมรู้สึกได้ถึงความปวดหนึบจนใจสั่น ขณะตุ้มลวดค่อยๆ ขยับกระดึ๊บๆ เข้ามาทีละ 2-3 เซนต์ จนพ้นไหล่เข้ามาแล้วนั่นแหละจึงไม่รู้สึกถึงมันอีก คุณพยาบาลคอยถามว่าเจ็บหน้าอกไหม แน่นไหม หายใจออกไหม ซึ่งผมรู้สึกดีกว่าปกติ แค่หายใจไม่ค่อยออก คุณเคยโดนอะไรกระแทกที่ทำให้ปวดมากๆ ไหม การหายใจจะขาดห้วง ถี่กระชั้น แล้วก็ยังรู้สึกว่าอากาศไม่พออยู่ดี มันเป็นระบบประสาทอัติโนมัติที่เราพอจะแทรกแซงได้ ผมพยายามลากลมหายใจให้ยาวขึ้น ก็พอช่วยได้บ้าง

แล้วสติก็เริ่มสับสน แน่นอนผมทนไหว ไม่แหกปากโวยวาย การตอบสนองทางร่างกายที่จอวัดสัญญาณชีพก็บอกสภาวะของผมกับคุณหมอและพยาบาลว่ามันไหว แต่ผมเริ่มไม่แน่ใจในลำดับความจำ ว่าเป็นก่อนหรือหลังขดลวดที่ 2 ยัดเข้าไป ผมได้ยินคนสอดท่อพูดว่าตรงที่ฉีดสีมัน clot ผมนึกในใจ ชิบหายละ clot คือการแข็งตัวของเลือด ผมเริ่มหวั่นไหว กูจะพิการไหมเนี่ย แล้วผมก็ได้ยาอีกตัว enoxa 35 ผ่านไปครู่หนึ่งคนที่สอดท่อก็เสียงตื่น เลือดพุ่งย้อนมาเยอะเลย .. เอาแล้วไง .. แต่ครู่เดียวก็แก้ไขได้ จุดที่ 2 นี่ยัดขดลวดเข้าไปได้สำเร็จ

จุดที่ 3 ยัดไม่ลง เขาพยายาม 3 ครั้ง ยังไงก็ไม่ลง คุณหมอเลยให้หยุด ด้วยกลัวจะเป็นอันตรายเกินไปกับผม สรุปว่าจุดนี้แก้ไขไม่ได้ ให้กินยาช่วยแล้วตรวจติดตามการรักษา การทำไม่ได้เกิดขึ้นได้เป็นปกติ คุณหมอก็จะใช้วิธีอื่นในการรักษา ไปจนถึงการบายพาส ซึ่งหมายถึงการเปิดอก ผ่าหัวใจ! ซึ่งจะเป็นการตัดต่อเส้นเลือดในหัวใจตรงนั้นใหม่ ให้เลือดมันไหลผ่านไปได้ คล้ายตัดต่อท่อน้ำ! คุณลุงเตียงตรงข้ามผมทำบอลลูนไม่ได้ ต้องบายพาส

เมื่องานจบ ผ้าถูกเก็บออกทีละผืน เหงื่อผมชุ่มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ครู่เดียวก็แห้ง แสดงว่าห้องนั้นเย็นพอควร ขวดน้ำเกลือยังคาอยู่ ผ้าที่มัดขาแขนถูกรื้อออก คนสอดท่อทำความสะอาดข้อมือชุ่มโพวาดีนให้ผม ผมเลยได้เห็นท่อที่คาอยู่ กับตอนที่เขาดึงมันออกมา เมื่อกลับมาศึกษารายงานการตรวจที่เขาให้มา ก็ได้เห็นว่าเขาใช้อุปกรณ์อะไรไปบ้าง

ผมรู้สึกโอเคเลยทำท่าจะลุกนั่ง แต่คุณพยาบาลรีบห้าม เครื่องมือถูกเคลียร์ออก เตียงประจำตัวผมโดนลากเข้ามาด้านซ้าย แล้วเขาก็ลากผมผ่านแผ่นสไลด์ลงเตียง เมื่อออกมาข้างนอกผมถูกย้ายที่อีกรอบ ได้ยินว่าหลวงพี่กลับวัดแล้ว คุณลุงอีกคนช่วยตัวเองไม่ได้ เลยย้ายไปที่ผมนอนเมื่อคืน แล้วให้ผมมานอนที่เดิมของหลวงพี่ เตียง 10

เตียงประจำตัวคือ เมื่อคุณแอดมิด เตียงแรกที่คุณนั่งลงไปจะถูกย้ายตามตัวคุณ การย้ายตำแหน่งเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ เขาจะลากเตียงคุณไปด้วย คุณจะอยู่กับเตียงอันนั้นจนกว่าจะถึงวันออกจากโรงพยาบาล .. ถ้าได้ออก


คุณพยาบาล 1 คน ใช้มือกดผ้าก๊อซแข็งๆ ที่ปากแผลสอดท่อที่ข้อมือตั้งแต่ดึงท่อออก แล้วกดไว้อย่างนั้นราว 10-15 นาที เมื่อจัดเตียงเข้าที่เรียบร้อย นักเทคนิคก็พิมพ์ผลตรวจพร้อมรูปภาพหัวใจผม มายืนอธิบายให้ฟังข้างๆ แล้วให้แฟ้มผมเก็บไว้ ซึ่งผมก็ครับๆๆ ไปก่อน พยายามฟังด้วยความตั้งใจ แล้วคิดว่าเดี๋ยวไปศึกษาเพิ่ม น่าจะเข้าใจ

ตอนนี้จะมีพยาบาลมารุมกันหลายคนครับ เพื่อจัดการให้ผมเข้าที่เข้าทาง ตรวจ EKG กันอีกรอบ แล้วต่อสายเครื่องวัดสัญญาณชีพ วัดความดัน วัดไข้ ห่มผ้าให้ ผมถามไม่ห่มได้ไหม เขาว่าร้อนเหรอ ผมบอกครับ เมื่อกี้ข้างในเหงื่อแตกเลย เขาว่ามันเย็นนะ ผมนึกในใจแม่มร้อนสัส อีกคนถามเจ็บหน้าอกไหม ผมบอกเจ็บหู เขางงๆ แล้วบอกอ่อ เจ็บหู แล้วหันไปบอกคนที่วัดไข้ผมอยู่ว่า เธอกดเขาแรงไป ครั้งถัดมาที่เขามาถามว่าเจ็บหน้าอกไหม เขาเลยถามด้วยว่า ยังเจ็บหูอยู่ไหม แล้วหัวเราะใส่ผม


มื้อเที่ยงรออยู่บนโต๊ะข้างเตียง ตอนนั้นเกือบบ่าย 3 แล้ว ผมทำให้พวกเขาเสียเวลาไป 2 ชั่วโมงกว่าแน่ะ คุณพยาบาลถามหิวไหม หิวครับ ลุ้นจนหิวอะผม เขาจะป้อนข้าวให้ แต่ผมเกรงใจบอกเขาไม่เป็นไรครับ ผมใช้มือซ้ายตักกิน คำแรกคุณพยาบาลอีกคนก็เดินมาข้างหลังบอก กินข้าวได้งั้นอ๊อฟน้ำเกลือได้ ผมช่างคิดถูกที่หิวและกิน เขาว่าท่าจะลำบาก แล้วช่วยถอดปลอกแขนวัดความดันออกให้ บอกมีเวลากินข้าว 15 นาทีนะ เพราะเขาตั้งเวลาให้วัดไว้ทุก 15 นาที อันนี้เมื่อเวลาผ่านไป เขาจะตั้งเวลาวัดให้ห่างขึ้นเป็น 30 นาที, 1 ชั่วโมง

พอครบเวลากดแผล เขาก็เอาเทปปิดแผลเหนียวๆ พันทับผ้าก๊อซ ใช้แถบตีนตุ๊กแกพันทับแน่นๆ อีกที แล้วใช้ถุงผ้าที่มีแผ่นไม้ข้างในมาพันดามไว้ ไม่ให้ข้อมือเคลื่อนไหว 6 ชั่วโมง ตามหลักการ นั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกทำกับข้อมือถ้าเป็นไปได้ คนไข้จะลำบากน้อยกว่า กับการอยู่นิ่งๆ 6 ชั่วโมงของข้อมือ ถ้าไปเทียบกับ 10 ชั่วโมงของขาข้างหนึ่ง คราวก่อนที่ผมทำ คือ 6 ปีก่อนน่ะครับ ผมโดนที่โคนขาขวา แต่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไร น้องผมเล่าว่าเขามัดแขนขาผม แล้วคุณพยาบาลก็บ่นกับน้องผมว่า ดื้อนะ ดิ้นน่าดู ตอนที่รู้ตัวก็ได้แต่เจอว่ามีรอยแผลตรงนั้น

ก็นอนครับ หลับๆ ตื่นๆ ไปเรื่อย คุณลุงอีก 2 ท่านที่นอนอยู่ใกล้ๆ เขาทำไปก่อนหน้าผม คุณพยาบาลบอกว่าของผมจะเอาไม้ดามออกได้ราว 2 ทุ่ม พอสัก 6 โมงเย็น เขามาเอาไม้ออกให้คุณลุงๆ เขาก็ถามผมอยากเช็ดตัวไหม ผมบอกไม่เป็นไรครับ ไว้อาบตอนเช้าก็ได้ เขาถามอีก อยากเข้าห้องน้ำไหม อยากครับ เขาเลยถอดสายที่ตัวออกให้

ผมคิดว่าเอาเฝือกออกสักแพพคงไม่เป็นไร เข้าห้องน้ำมือเดียวกูจะทำยังไง เลยดึงออกแล้วลุกไป ตอนเดินไปบอกว่าฉี่ไปประมาณกี่ cc เขาตกใจว่า เอาเฝือกหนูไปไว้ไหน ผมบอกถอดไว้บนเตียงน่ะครับ เขาว่าอย่างนี้ก็ไม่ช่วยอะไรแล้ว แล้วเอาแถบผ้าตีนตุ๊กแกออกให้ บอกผมว่าพยายามอย่าเพิ่งขยับข้อมือนะ ที่เขาไม่ดุผมตอนแรก น่าจะลืมดู เพราะคุณลุงๆ เขาถามโน่นนี่ แล้วยังต้องปลดสายให้ผม เขาเก็บเฝือกผมมาแล้วเขายังลืมเลย

มานอนเที่ยวนี้ ไปห้องน้ำต้องกลับมาบอกคุณพยาบาลทุกครั้งครับ ว่าฉี่ไปประมาณกี่ cc แล้วต้องกินน้ำที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้เท่านั้น เพื่อเช็คปริมาณน้ำเข้าออก ดูประสิทธิภาพไต ผมใช้วิธีกะๆ เอา บางคนฉี่ใส่คอมฟอทที่แขวนไว้ในห้องน้ำแล้วถือมาให้คุณพยาบาลดู! ถ่ายไหม ถ่ายกี่ครั้ง เขาก็จะถาม ผมไม่ถ่ายเลย จากปกติถ่ายทุกวัน อาจด้วยผิดที่ผิดทาง กินอาหารไม่ถึงครึ่งของที่เคยกินปกติ มันก็คาอยู่ในไส้ ปวดเมื่อยในท้อง แต่ไม่รู้สึกอยากถ่าย ลองไปนั่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่เป็นไร เก็บกลับบ้าน พรุ่งนี้ก็ได้ขรี้ละ ผมนึกภาพห้องน้ำที่บ้านด้วยความโหยหา

ค่ำๆ คุณพยาบาลมาจดค่าต่าง วัดไข้ แล้วถามผมว่าปวดแผลไหม ผมบอกนิดหน่อยครับ ความจริงก็เยอะแหละ แต่มันทนได้ เขาก็คงรู้ ถึงถามผมว่าเอาพาราหน่อยไหม ผมรีบบอกก็ดีครับ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจ ได้พารา 1000 mg ไปเม็ด รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย พอดึกๆ ยาหมดฤทธิ์ ผมเลยไปควานกระเป๋าหาพารามากินอีกรอบ ไม่อยากไปขอ เกรงใจเขาครับ งานเขาเยอะมากแล้ว ทั้งคืนผมพยายามวางแขนให้นิ่งที่สุด มันระบมครับ แค่เปิดฝายาดมยังเจ็บ เจ้ายาดมนี่จัดว่าช่วยชีวิต ผมใช้ดับความอยากบุหรี่ ซึ่งได้ผลพอควรเลย


นี่คือหน้าต่างที่ผมนอนมองมา 2 วัน 2 คืน จนเล่นกสิณหน้าต่างไปเลย! ตำราบอกว่าอย่าไปรู้อะไรเกินกายใจนี้ แต่นอนนานๆ มันเบื่อนี่ จำต้องหาอะไรอื่นเล่นบ้าง

ผมถูกต่อสายสัญญาณชีพไว้ถึงตี 2 เพราะบอกเขาว่ามีเหนื่อยๆ อยู่บ้าง ผมสังเกตุว่าตอนผมเหนื่อย หายใจไม่ทัน pulse ผมจะลงมาใกล้ๆ 50 พอต่ำกว่า 50 เครื่องมันก็แหกปากร้อง คุณพยาบาลวิ่งหน้าตาตื่นมาในครั้งแรก รีบถาม เป็นยังไงมั่ง มันเหนื่อยๆ พอพยายามหายใจยาวๆ มันก็ดีขึ้น รอบ 2 ที่เครื่องร้อง เขาเลยหันหลังเครื่องไปทางเคาน์เตอร์ มันจะร้องตอนผมผลอยหลับแล้วลืมหายใจยาวๆ กระมัง ค่า pulse ปกติของผมจะอยู่ที่ราว 53-56 มานานแล้ว จากการวัดความดันที่บ้านนะ นี่ใส่ขดลวดไป 2 อัน เลือดมันควรไหลไปได้สะดวกขึ้น ไม่น่าเป็นอะไร

พอมันนิ่งๆ ดีเขาก็ปลดสายให้ อาจรำคาญมันขอเข้าห้องน้ำด้วยแหละ ผมเคยชินกับการเข้าห้องน้ำทุก 3 ชั่วโมงมาหลายปีแล้วครับ จากที่ปกติกินน้ำราววันละ 2.5 ลิตรเป็นอย่างน้อย ก็จะเข้าห้องน้ำทุก 3 ชั่วโมง แม้ตอนตี 3 ผมก็ลุกมาเข้า การที่บ่ายนี้ทนได้ 6 ชั่วโมง เพราะไม่ได้กินน้ำมาตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงเกือบบ่าย 3 มันเลยไม่มีอะไรให้ฉี่

ตี 5 วันพุธ คุณพยาบาลมาบอก เดี๋ยวไปอาบน้ำนะจะทำแผลให้ ผมยื่นข้อมือให้ดูเป็นคำถาม เขาว่าเปียกได้เลยเดี๋ยวทำทีหลัง ผมไปอาบน้ำโดยไม่แปรงฟัน มันต้องใช้ข้อ ให้ใช้มือซ้ายคงไม่ต่างจากไม่แปรง ยังระบมอยู่เลย ผมอยากให้มันฟื้นตัวเร็วที่สุด ดังนั้นผมสรุปในใจ ไว้คืนนี้ค่อยแปรงแล้วกัน

สักพักเขาก็มาทำแผลให้ ตอนดึงเทปกาวออก เขาดึงจากด้านหลังข้อมือมา ถอนขนให้ผมเรี่ยมเลย เขาว่าแผลดีนะแล้วทำความสะอาดคราบเหนียวๆ ออก ปิดพลาสเตอร์ให้ใหม่ ทับด้วยฟิลม์กันน้ำอีกที ค่อยสบายขึ้นหน่อย จากนั้นถอดสายน้ำเกลือให้ ผมคิดว่าที่คาไว้ทั้งคืน คงเผื่อกรณีฉุกเฉิน จะได้ช่วยได้เร็วที่สุด (คราบเหนียวพวกนี้คุณพยาบาลบอกว่าใช้เบบี้ออยด์ช่วยให้ถูออกได้ง่าย)


มื้อเช้ามาตอน 7 โมง กินข้าว กินยา สักพักคุณพยาบาลก็มาบอกให้เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ รอเภสัชมาให้คำแนะนำการใช้ยาแล้วกลับได้เลย โซนนี้มีผมกับคุณลุงอีก 2 คน คนนึงที่ทำไม่ได้ ต้องรอเจอคุณหมอ ทั้ง 2 คนรีบไปเปลี่ยนชุด ส่วนผมยัง ผมว่าผมใกล้ปวดอึละ อีกนิดน่า เพราะเมื่อคืนคุณพยาบาลเขาให้มะขามแขกมา 2 เม็ด บอกจะได้กลับบ้านเบาๆ ตัว ก็ได้ผลครับ

ที่ขำคือคุณแม่บ้านเดินมาตีก้น บอกกางเกงตูดขาดรู้รึเปล่า ผมบอกรู้ครับ เขาว่าทำไมไม่บอกจะได้เอามาให้เปลี่ยนใหม่ ผมว่าไม่เป็นไรครับ เปลืองชุด เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว มาเล่าให้ลูกน้องฟัง มันว่าหน้าด้านนะหัวหน้า ผมบอก กูมั่นใจว่าตูดขาว โชว์ให้คนอิจฉาเล่น!

ได้ยา ได้ใบรับรองแพทย์ โดนคุณพยาบาลดุตอนเอายามาคืน เรื่องแกะยาจัดใส่ตลับที่แยกเป็นวันๆ เขาบอกแกะอย่างนี้จะไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร แล้วคุณภาพยามันจะลดลงด้วย ผมไม่เถียงเพราะรู้ว่าเขาหวังดี เขาให้เอายาที่กินมาด้วย ผมขี้เกียจขนซองยามาเยอะๆ เลยเอากล่องพร้อมเขียนชื่อยาใส่กระดาษมา ผมชินของผมไงว่าตัวไหนยาอะไร แต่เขาเจอคนไข้สารพัดที่กินยาต่างกัน ผมเข้าใจได้และเห็นว่าสมควรจะโดนดุละ

ผมเห็นว่าให้ยามาแค่ 2 อาทิตย์ น้อยจัง เลยถามคุณเภสัช เขาว่าใช่ค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะนัดอีก 2 อาทิตย์ค่อยมาเอายาเพิ่ม แล้วคุณพยาบาลก็มาบอกว่า เดี๋ยวรอสรุปค่าใช้จ่ายสักครู่ ผมนึก ตังค์พอไหมวะ ผมมีในกระเป๋ากางเกง 3 พันกว่า เพราะคราวก่อนคุณพยาบาลเห็นแล้วดุว่าอย่าเก็บเงินไว้กับตัว ให้ฝากญาติไว้ แต่ผมเอา atm มาด้วย ที่กดอยู่หน้า 7-11 โน่น

เสร็จเรื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอะไร นัดคราวหน้าวันจันทร์ที่ 15 กุมภา เขาให้ปิดแผลไว้อีก 3 วัน ห้ามใช้ข้อมือเยอะ ห้ามยกของหนักเกิน 3 โล 7 วัน ผมระวังเต็มที่เพราะต้องการให้หายเร็วที่สุด งานที่รออยู่ต้องใช้ข้อมือและแรงงานพอสมควร ผมมีโปรเจ็คทำสะพานไม้ไผ่อันนึง แล้วจะซ่อมสะพานชายคลองอันเก่าและขยายมันให้กว้างขึ้นไว้นั่งจิบชา! อาจทำในบ่ออีกสักอัน ไว้ไปนั่งคุยกับไอ่เข้ลูกสาว

ค้อนปอนด์ เลื่อยชักไร้สาย ดอกเจาะโฮลซอว์ ซื้อหมดแล้ว เชือก น๊อต ตะปูพร้อม เครื่องมือครบ หลักการเต็มหัว ต้องทำได้สิ ผมเป็นโรคจิต ประเภทที่อยากทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เลยซื้ออุปกรณ์ไว้เต็มบ้าน มีกระทั่งเลื่อยวงเดือน เลื่อยโซ่ยนต์ ลูกหมูตัดเจียร ที่วัดระดับน้ำ คิดว่าด้วยเครื่องมือที่มี ถ้าจะสร้างบ้านสักหลัง คงทำได้! นี่ยังไม่นับเครื่องมือทำสวนอีกเป็น 10 ที่รับแต่งสวนได้เลย แม่บ่นว่าเกะกะรกบ้าน ก็ผมคิดจะใช้ ไม่งั้นจะซื้อเรอะ บางอันใช้ไปครั้งเดียวแล้วไม่เคยหยิบใช้อีกเลยก็มี ก็มันไม่เวริคอย่างที่คิด

พอเขาให้กลับ ผมก็คว้ากระเป๋าจะเดินออกไป คุณแม่บ้านดุ เขาห้ามเดิน นั่งรถนี่เลย เขาเข็นออกมาส่ง ออกมาเจอแม่นั่งรออยู่กับพ่อ ผมงง ถามเขา มาทำไม เขาบอกคิดถึง ผมขำเลย ผมบ่นเขาว่าจะมาทำไม เหนื่อยเปล่าๆ แค่มารับกลับ การมาโรงพยาบาลจะต้องมาถึงก่อน 7 โมง ไม่งั้นจะไม่มีที่จอดรถบนตึก พ่อเคยต้องออกไปหาที่จอดข้างนอก ผมไม่อยากให้เขาลำบาก แต่เขาก็ห่วงผมเยอะน่ะ

พูดถึงที่จอดรถบนตึก สำหรับผมทางขึ้นลงมันจะแคบอะไรขนาดนี้ ผมประสาทแดกทุกครั้งที่ต้องขึ้น แต่ก็ไม่เคยไปฝากสีรถไว้ที่นั่น ซึ่งมีรอยถูไว้เพียบ เห็นแล้วหลอนน่ะครับ เมื่อก่อนใช้รถพ่อซึ่งยาวกว่ารถผมเกือบเมตร ก็รอดมาได้ด้วยดี ทีนี้ถ้าจะไม่ขึ้นตึก มันมีลานจอดรถด้านหน้าและด้านหลังตึกจอดรถ ด้านหน้าลืมมันซะ ผมไม่เคยเห็นมันว่างเลย ส่วนด้านหลัง ผมเคยมาถึงตี 5.50 เหลือที่จอด 2-3 ที่ ดังนั้นเวลาผมมาคนเดียวผมเลยจะตื่นตี 4 ออกจากบ้านก่อนตี 5 จะได้ไม่ต้องประสาทแดกกับตึกจอดรถ

กลับถึงบ้าน 10 โมงครึ่งมั๊ง ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น เปลี่ยนเสื้อผ้า เคลียร์ฝุ่น ขึ้นเตียง แล้วหลับยาวๆ ไป วันรุ่งขึ้นก็ไปทำงานได้แล้วครับ หมอเขาทำใบรับรองแพทย์มาให้หยุดแค่ 3 วันแหละ ลูกน้องถามผมว่า ทำไมผมหงอกเป็นกระจุกอย่างนี้ (เหนือหน้าผากทั้ง 2 ข้าง) เมื่อก่อนไม่มีนี่ ตกใจอะไรมารึเปล่า เหมือนหมาที่บ้านหลังไปผ่าตัดมาเลย ก่อนผ่าขนมันก็ดำดีนะ หลังผ่าขนมันขาวเป็นกระจุกๆ งี้เลย .. สัส! กูไม่ได้ตกใจ กูเจ็บ

ร่างกายมันคงหลั่งสารอะไรบางอย่างออกมามั๊ง คนกับหมาใช้ยาหลายอย่างเหมือนกันได้ เซลล์ร่างกายและการตอบสนอง คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยังไงเราก็มาจากไม้ต้นเดียวกัน (tree of life) เมื่อวันที่ผมทำ เขาไลน์มาถามไถ่ทั้งคู่ ผมมีแต่มือซ้ายที่ใช้ได้ เพลีย เจ็บ และง่วง เลยพิมพ์ตอบไปแค่ เจ็บเหี้ยๆ เขาตอบมาว่า หัวหน้าด่าได้ น้องก็โล่งใจ..

ด้วยความที่ 1 จุดยังไม่ได้แก้ปัญหา ทำให้ผมกังวลนิดหน่อย แต่ยังไงก็ตั้งใจไว้แล้ว ผมปรับอาหารทั้งหมดทันที จากที่กินเป็นยัดทะนาน ลดลงเหลือไม่ถึงครึ่ง ข้าวที่เคยกินวันละ 7-8 ทัพพีเหลือแค่ 2-3 ทัพพี เลิกขนมปัง เนื้อสัตว์แปรรูป ของมัน  ลดของหวาน โซเดียม เป็นความพยายามให้มีอะไรเข้าไปจับในหลอดเลือดให้น้อยที่สุด การลดโซเดียม เรามักนึกถึงของเค็ม แต่มันมีอยู่ทั่วไปแม้ในข้าวเปล่า ไข่ต้ม หรือนมจืด ลองหาตารางดูเอาครับ

2-3 วันแรกเป็นช่วงที่ร่างกายปรับตัว ซึมเซื่องไปเลยครับ แต่ร่างกายมันฉลาด เดี๋ยวมันก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนพรรค์นี้ได้เอง ผ่านมา 5 วันผมรู้สึกสบายขึ้น สดชื่นขึ้น ตั้งใจจะคุมไปอย่างนี้ เพราะถ้ายังกินอยู่แบบเดิมก็คาดได้เลยว่า ไม่เกิน 5 ปีผมจะเจอสภาพอย่างนี้อีก คราวหน้าจะโชคดีได้ตายหรือหาย หรือโชคร้ายกลายเป็นเป็นผู้ป่วยติดเตียง ผมไม่อยากลุ้นเท่าไหร่ คิดว่าถ้าดูแลตัวเองดีๆ อย่างน้อยคงแข็งแรงพอที่จะทำอะไรๆ ได้บ้าง การต้องนั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ออกสวนใช้กำลัง มันเกินทนจริงๆ

ลูกน้องเห็นผมเขียนบล็อคอีกแล้ว มันมาถามงานด้วยความเกรงใจ เพราะรู้ว่าผมจะตกอยู่ในภวังค์เวลาเขียนหนังสือ มันว่าเขียนดีๆ นะ เอาไว้พิมพ์หนังสือแจก ผมถาม งานศพกูน่ะเหรอ มีทุนไหม เอาเท่าไหร่ มันบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเรี่ยรายเอา ร่วมกันทำบุญให้หัวหน้า ...

----------------------------

Through many deaths ทำไม ตายยากเย็น

เนื่องจากตัวผมรอดตายมาหลายครั้ง ตรงนี้จะเป็นการเล่าประสบการณ์แล้วกัน เมื่อย้อนคิด ผมรู้สึกว่าชีวิตมันไม่ได้แน่นอน เปราะบาง พร้อมแตกดับ คนเราตายกันได้ง่ายๆ นะ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ผมแค่ยังไม่ตายสักที

ครั้งแรก คงเป็นตอน 2 ขวบ แม่เล่าว่านั่งบนสะพานอาบน้ำในบ่อ แค่แม่หันไปหยิบสบู่ ผมก็หายไป แม่รีบดำลงไปควานได้ตัวผมขึ้นมา ผมเลยโดนป้าสอนว่ายน้ำตั้งแต่ 2-3 ขวบ โดยเอาเชือกผูกเอวให้มันตะกายไปในบ่อ ทำท่าจะจมก็ดึงขึ้นมา เกือบจะตายตั้งแต่เด็กแล้วครับ กรรมผมคงมาก เลยอยู่มาจนบัดนี้ อยู่เพื่อใช้กรรมหรือมีโอกาสได้ทำบุญ อาจเป็นทั้ง 2 อย่าง

ครั้งที่ 2 คือตอนเรียนปี 2 ผมกับเพื่อนๆ หลายคนไปเที่ยววังตะไคร้ ปลายหน้าฝน น้ำไม่มากแล้ว มันเป็นธารน้ำใต้น้ำตกที่ห่างมาราว 50 เมตร ผมว่ายข้ามไปที่โขดหิน ระยะแค่ 2 เมตร เพื่อจะเดินไปดูอีกฝั่งให้ชัด ต้นไม้สวย ร่มรื่นดี แต่ไม่ได้ขึ้นไปหรอกครับ ป่า น่าจะมีงูชุกชุม แค่ครู่เดียว น้ำไหลแรงขึ้น ตอนว่ายกลับ ผมสู้แรงน้ำไม่ได้และจะจม  ถัดจากตัวผมไปเป็นน้ำตกเตี้ยๆ ลงไปเป็นแอ่งกว้าง ถ้าโดนพัดตกไป ไม่รู้มีก้อนหินอยู่ตรงไหน ความแรงน้ำเพิ่มขึ้นอีก ผมพยายามตะกาย กำลังหมดแรงจะจม เพื่อนคนนึงส่งไม้มาให้จับ ลากผมเข้าฝั่ง มันช่วยชีวิตผมไว้ ไอ่นี่ฝังตระกรุดไว้ 3 อันใต้ท้องแขน ผมจำหน้ากับเรื่องของมันได้แค่นี้ ชื่อยังจำไม่ได้เลย

อีกครั้งน่าจะตอนปี 3 ผมกับน้องแอบขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลาด (ถนน 2 เลนสวนกัน ระยะทาง 9 โล) สมัยก่อนรถน้อยมาก แต่ที่บ้านผมก็ห้ามเด็ดขาดอยู่ดี ด้วยความดื้อ ผมโกหกว่าไปแถวบ้าน วันนั้นผมขี่ น้องซ้อน ขากลับ อีก 5 โลจะถึงบ้านละ ผมหลบรถบรรทุกที่ตามมา เจอไหล่ทาง กลิ้งกันไปหลายตลบ ดีที่ล้มออกจากถนน ถ้าล้มเข้าถนนคงไม่รอดทั้งคู่ กลับมาถึงบ้านแบบเลือดชุ่มๆ พ่อพาไปหาหมอ แม่กับป้าร้องไห้ หลังจากนั้นผมไม่ทำอีกเลย งานนั้นล้างแผลกันเป็นเดือน มันถลอกแบบหนังกำพร้าหายไปเป็นเปื้อนน่ะครับ น้องผมเนื้อเยื่อไม่ปกติ เหลือรอยแผลเป็นใหญ่ๆ ติดตัวหลายที่

เจ้ามอเตอร์ไซค์คันนั้น ผมใช้มาจนเมื่อ 2 ปีก่อน ก็แค่ข้ามถนน 2+2 เลน (ที่ทำงานกับบ้านผม อยู่ในซอยตรงข้ามกันพอดี) ผมผูกพันกับมัน คุยกับมัน ก็ซ่อมไปใช้ไปไม่มีปัญหาอะไร จนเขาทำถนน 3+3 เลน ผมเลยต้องไปซื้อรถยนต์ใช้ เพราะช่วงทำถนนอันตรายมาก ขนาดรออยู่ใน U-turn ดีๆ รถปิคอัพมันแซงเข้ามาใน u-turn เฉยเลย เฉียดล้อหน้าผมไปแค่คืบ เล่นเอาผมหลอนไปหลายวัน

ครั้งแรกที่เข้าโรงพยาบาลคือเมื่อ 6 ปีก่อน วันที่ 8 เดือน 9 ปี 2014 ที่จำได้เพราะเป็นก่อนลูกบ๊าคตายไม่ถึง 2 เดือน ก่อนหน้านั้น 2-3 เดือนผมมีอาการแน่นหน้าอก ก็ไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่ผมมีประกันสังคมอยู่ คุณหมอคงคิดว่าผมเป็นโรคประสาท เพราะเขาว่าน่าจะเกิดจากความเครียด ให้ยาคลายเครียดมากินก่อนนอน ผมมาเล่าให้เพื่อนพยาบาลฟัง มันก็ว่า มึงต้องบอกอาการของโรคหัวใจแบบหนักๆ เลย มันถึงจะตรวจหัวใจให้

อาการนั้นหลายวันเป็นที ผมทนเอา ก็หาหมอแล้วเขาว่าไม่เป็นไรนี่ (เข้าสวนระวังเจองู เข้าโรงบาลระวังเจอหมอโง่) จนผ่านมาเป็นเดือนมันเป็นหนักขึ้น คราวนี้ผมไปคลีนิคที่บ้านผมรักษาประจำอยู่แต่เช้า คุณหมอให้ผมไป x-ray ที่ lab ใกล้ๆ ทีนี้ผลมันจะได้เกือบเที่ยง ผมก็กลับบ้านมาก่อน แล้วค่อยไปเอาผลไปให้หมอดู คุณหมอทำหนังสือส่งเรื่องเข้าโรงพยาบาลทันที

ขณะที่ผมยืนรอพ่อไปเอารถอยู่หน้าคลีนิค ผมก็ล้มตายตรงนั้น มารู้ตัวในอีกหลายวันถัดมา แต่ความจำผมหายไปหลายเดือน จากข้อมูลที่หลายคนเล่า ผมล้มหงายด้านหลัง หัวฟาดและคงถาก ผมเลยไม่ขึ้นกระจุกหนึ่งราว 2 ตารางเซนต์เป็นรูปหัวใจ! คุณหมอที่ผมไปหา ช่วยปั๊มหัวใจผมขึ้นมา ซึ่งสมองผมคงขาดอากาศไปไม่ถึง 3-4 นาที ผมฟื้นมาแบบจำใครไม่ได้และเบลอไปหลายเดือน แต่ไม่ปัญญาอ่อน  คงเป็นผลจากแรงกระแทกและขาดออกซิเจน

เมื่อหัวใจผมเต้นอีกที คุณหมอก็เรียกรถพยาบาลมารับ ไปเข้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลประจำจังหวัด พ่อมารับไม่เจอผม แต่เจอญาติที่เปิดร้านอยู่ใกล้ๆ พอรู้เรื่อง ญาติผมไปส่งพ่อที่โรงพยาบาล แล้วเอารถพ่อไปไว้บ้านเขา เมื่อพอเคลื่อนย้ายได้ ทางนี้ทำเรื่องส่งต่อไปชลบุรีกับรถซิ่งโรงพยาบาล เพราะที่นี่สวนหัวใจไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่มีหมอประจำด้วยซ้ำ พ่อโทรบอกไอ่หมอน้องชาย ไปถึงเขาก็สวนหัวใจให้เลย .. ไม่ตาย แต่พ่อก็เครียดหนัก เพราะผมไม่รู้ตัวหลายวัน พอรู้ตัวก็อาละวาดจนต้องโดนมัดกับเตียง ทุกคนลุ้นว่าสมองผมจะกลับมาเป็นปกติไหม

น้องผมรู้ก็รีบมาเย็นวันนั้น มันว่าเจอคุณอากับเพื่อนสนิทผม(นั่งร้องไห้)อยู่หน้าห้อง ICU ไม่ให้เข้าเยี่ยม อีกวันมันมาเจอทั้งออฟฟิสผมเลย วันนี้ให้เข้าได้ คนเกือบ 10 ยืนรอบเตียง ผมลืมตามามองไปทีละคนด้วยสายตาว่างเปล่า จำใครไม่ได้เลย มันก็กลัวละ แต่พอเห็นหน้ามัน ผมยิ้ม มันค่อยโล่งใจ อย่างน้อยยังจำมันได้

งานนั้นนอนโรงพยาบาลอยู่ 2 อาทิตย์ เมื่อสติกลับมา สิ่งที่ห่วงคือบ๊าค เขาเป็นโรคหัวใจเหมือนกัน (มีโรคไตด้วย) ต้องกินยาทุก 12 ชั่วโมงเพื่อให้หัวใจทำงานปกติ พ่อมาอยู่เฝ้าผม แม่อยู่บ้านกับบ๊าค พ่อแว่บกลับไปดูแม่บ้าง ยาไม่มีใครป้อนได้นอกจากผม ขาดยามันจะเป็นยังไง การป้อนยาหมา ไม่ใช่ยัดขนมยื่นให้แล้วมันจะกิน ต้องยัดเข้าไปโคนลิ้นโน่น ต้องรู้จังหวะ ต้องเร็ว ผมเชี่ยวชาญกับหมาผม เมื่อผมไม่อยู่ แม่ช่วยให้อาหาร เปลี่ยนน้ำ พาอึฉี่ แล้วว่ามันสบายดี แค่กินน้อยลง แล้วหงอยๆ บ๊าคคงคิดถึงป๊า

วันที่ได้กลับบ้าน ผมเดินพรวดๆ เข้าห้องไปกอดบ๊าคก่อนเลย บ๊าคดีใจมากๆ ดูเหมือนเรื่องจะเป็นไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 2 เดือนบ๊าคก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งผมเขียนไว้หลังจากบ๊าคตายไปไม่นาน เกี่ยวกับการดูแลหมาป่วย ทั้งเรื่องยา เรื่องอาหาร การประคองอาการ อยู่ในเรื่อง การดูแลสุนัขป่วย (my last diary)

ตอนนั้นผมคิดจะเลิกเขียนบล็อคจริงๆ แม้รู้ว่าการแชร์ความรู้ ความคิด จะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ยังช่วยให้ผมได้เรียบเรียงความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น ได้ประโยชน์ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น ถ้ามีเรื่องให้เขียนก็ลองเขียนดูเถอะครับ บางทีเราอาจทำอะไรดีๆ ได้ โดยไม่ต้องหวังว่าจะมีผลตอบแทนเป็นชื่อเสียงหรือเงินทอง

ตอนนอนโรงพยาบาลเพื่อนๆ มาเยี่ยมมากมาย แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้แบบไม่มีภาพหลงเหลือด้วย ที่รู้เพราะพวกมันเล่าให้ฟัง มีภาพถ่ายให้ดู ผมพักฟื้นที่บ้านอีก 2 อาทิตย์แล้วไปทำงาน ยังคิดเลขได้ ทำงานได้ คุยรู้เรื่องเหมือนคนปกติ แต่ความจำหลายเดือนนั่นไม่เหลืออยู่เลย นอกจากเรื่องของบ๊าค

ผมสงสัยตั้งแต่วันนั้น บ๊าคตายแทนผมรึเปล่า เจ้าเทวดาตัวน้อยของป๊า .. อย่าขำ ถ้าใครพูดว่าหมาเป็นเทวดาประจำตัว หากคุณสังเกต พวกเขาสอนเรามากมายในเรื่องพื้นฐานของความเป็นคน อยู่ที่เราเรียนรู้หรือเปล่า บางคนก็เรียนรู้ยากเย็น

ครั้งล่าสุดที่จะตาย ต้องเข้าโรงพยาบาล คือเมือปลายปี 2015 ห่างจากตอนหัวใจวายแค่ปีเดียว อันนี้ผมเดาว่าเป็นเพราะยาโรคหัวใจไปช่วยให้มันเร็วขึ้น เนื้องอกมันคงมีมานานแล้ว แต่ไปเจอยาละลายลิ่มเลือด ทำให้มันใหญ่เร็วขึ้นรึเปล่า เนื้องอกทำให้ผมเลือดออกเรื่อยๆ เป็นเดือน จนเลือดเหลือไม่พอหล่อเลี้ยงร่างกาย หัวใจจึงบีบตัวแรงขึ้น เร็วขึ้น จนมันจะวาย ผมเดินตัวลอยๆ หัวโหวงๆ วูบเป็นช่วงๆ อยู่พักใหญ่ สุดท้ายเจ็บหัวใจเลยยอมไปหาหมอ

ตามตำราที่หมอเขียน เสียเลือด 10% จะวิกฤติ แล้วเรามีเลือดอยู่คนละกี่ลิตรวะ เขาประมาณไว้ว่าเลือดคนจะมีประมาณ 70cc/kg เอาง่ายเข้าว่าก็ 70x65 = 4550cc เสียได้ 10% ก็เอา 4550x10/100 = 450cc (เครื่องคิดเลขผมมันต้องกดอย่างนี้ว่ะ)

งานนี้ขอใบส่งตัวไปชลบุรี ไปถึงก็แอดมิดในห้องรวมคนชราที่กลับบ้านไม่ได้แล้ว 1 คืน ทำเอาผมปลงสังขารไปได้มาก ผมได้เลือดไปถุงใหญ่ก็ดีขึ้น ได้น้ำเกลือตามเข้าไป วันถัดมาก็ได้ห้องพิเศษประกันสังคม เป็นห้อง 2 เตียง แต่มีผมคนเดียว นอนโรงพยาบาลอยู่ 2-3 วัน ได้เจอหมอเฉพาะทาง เขาให้ยามากิน 2-3 อาทิตย์ แล้วค่อยนัดผ่าตัด ทีแรกคุณหมอไม่อยากผ่าตัดให้ เพราะต้องวางยาสลบ สภาพร่างกายผมก็แย่เกินไป เขาคงกลัวผมตายระหว่างผ่าตัด เขาเสนอยาลดขนาดเนื้องอก ซึ่งต้องใช้ติดต่อ 6 เดือนด้วยการฉีดเดือนละครั้ง และไม่รับรองผล ผมบอกผ่าไปเลยเถอะ มันจะได้จบๆ ไป

เมื่อมีโรคเพิ่ม คุณหมอที่โน่นต้องทำเอกสารให้ผมมายื่นที่นี่ว่าผมเป็นอะไร ทางโน้นรับรักษาให้นะ ผมต้องไปรอพบคุณหมอเฉพาะทาง ซึ่งคุณหมอท่านนั้นก็เขียนอนุมัติให้ส่งตัวผมไปที่โน่น เมื่อเห็นว่าที่โน่นรับรักษาให้ (เข้าใจว่าเขาคงดีใจที่ไม่ต้องมารับความเสี่ยงเองเหมือนกัน) ผมต้องเอาใบนั้นมาที่ห้องประกันสังคมเพื่อให้เขาเพิ่มโรคเข้าไปในใบส่งตัวที่ใช้อยู่ เพื่อคัดลอกจากใบเก่าทุกครั้งที่ทำใบส่งตัวไปโน่น ซึ่งไอ้ใบนี้มีอายุ 1 เดือน และผมต้องไปราว 3-4 เดือนครั้ง เพื่อพบคุณหมอ 2 ท่านที่นัดไม่ตรงกัน (นี่กูทำมาได้ยังไงตั้ง 5-6 ปี ความอดทนสูงชิบหาย)

วันนัดไปผ่าตัด ต้องไปนอนก่อน 1 วัน เจอหมอผ่าตัดจะไม่ผ่าให้อีก ถามว่าคุณหมอหัวใจ confirm หรือยังว่าผ่าได้ ผมบอกชื่อหมอน้องชายว่าเขาคุยไว้แล้ว คุณหมอไม่เชื่อ ให้ผมต่อสายให้เขาคุยหน่อย ผมต่อสายแล้วขึ้นมึงกูตามปกติ เขามองหน้าถึงรู้ตัวว่าพูดไม่สุภาพต่อหน้าคนไม่รู้จัก เขาเอาไปคุยพักใหญ่ มีถามให้จองห้อง ICU เตรียมไว้เลยไหม!

สรุปว่าคุณหมอยอมผ่าตัดให้ แต่ให้ตรวจซ้ำหลายอย่าง รวมถึง X-ray และ ECHO อีกที เลยทำให้รู้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจของผมมัดนึงมันตายไปเลยจากคราวก่อน (ฟังจากที่เขาสอนนักเรียนให้ดูภาพจากจอ) ตัวเนื้องอกของผมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เซนต์ ผมคลำจากด้านนอกมันแค่ 2-3 เซนต์เอง ทีแรกหลงดีใจคิดว่า six pack!

ตอนผ่าก็โดนวางยาครับ เขาถามโน่นนี่ ชวนคุยจนผมสลบไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีเจอออกซิเจนครอบปาก หายใจไม่ออก (เข้าใจความรู้สึกหมาละ) เที่ยวนี้นอนโรงพยาบาลอยู่ 4-5 วัน กลับมานอนบ้านอีก 2-3 อาทิตย์ก็ไปทำงานได้ ด้วยความซน อยากทำขอบอิฐให้ลูกๆ พอได้เดือนผมก็เริ่มยกอิฐประสานก้อนโตๆ ละ เกร็งท้องเอาครับ ทำให้แผลหายเร็วมาก แล้วไม่เคยเจ็บแปลบอีกเลย

 

2-3 วันก่อนผมแวะไปป่าช้า อยู่ๆ ก็นึกอยากไป (คงมีใครเรียกหา) ผมเอากาแฟกับบุหรี่ไปฝากพ่ออางค์ตามเคย ช่วงบุหรี่ 1 มวน ผมยืนคุยกับท่านไปเรื่อยในหัวข้อ ชีวิตสงฆ์เป็นยังไง ความสันโดษ ศรัทธา ความเชื่อ สวรรค์ ผมเล่น 2 ศาสนาเชิงลึกทั้งคู่ แล้วมันโอเคไหม

ผมเกิดไม่ทันบาทหลวงท่านนี้ พ่อเล่าว่าท่านรักพ่อเหมือนลูก ชอบกาแฟและสูบยา ผมเลยเอาไปฝากทุกครั้ง แล้วคุยกับท่านแบบหลานกับก๋งสูบยาคุยกัน จากนั้นแวะคุยกับญาติๆ แล้วเดินไปเรื่อยระหว่างหลุมฝังศพ สัมผัสความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าอะไร .. อาจเป็นความสลดใจ

คนเหล่านี้เคยเป็นเด็ก เติบโต สุข ทุกข์ มีชีวิตเหมือนเราๆ แล้วก็ตายไป ทุกสิ่งที่เคยมี เหลือแค่นี้ พื้นที่แค่พอให้ใส่โลงศพได้ 1 ใบ เราดิ้นรนกับชีวิตจนเกินความต้องการมากไปไหม  .. พระท่านว่า กิเลสมักพาจิตเจ้าของให้เป็นทุกข์ เราส่วนใหญ่ดำรงอยู่เพื่อบำบัดและยอมเป็นทาสมัน ผมเองก็ไม่ต่าง

หลายปีมานี่ ผมเสียเวลากับเรื่องไร้สาระไปมาก เมื่อโดนบังคับให้ต้องคิดว่าไม่รู้จะอยู่ได้อีกสักกี่วัน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะยังมีชีวิตอยู่ไหม ผมคลายมือจากหลายสิ่งที่สร้างภาระเกินความจำเป็น กรรมเป็นเรื่องเฉพาะตน ไม่มีใครช่วยใครให้พ้นไปได้ นอกจากตัวเอง.

7 วันผ่านไป หายแล้วครับ เหลือร่องรอยแค่นี้ แต่อย่าเพิ่งกดนะ ยังช้ำๆ อยู่ข้างใน

----------------------------

*ส่วนขยาย*

cardiothoracic technologist คือนักเทคนิคหัวใจ จะแยกเป็น 3 แบบครับ

1. ตรวจหัวใจ ปอด หลอดเลือด โดยไม่สอดใส่อะไรเข้าไปในร่างกาย (Noninvasive Procedure)
2. ตรวจหัวใจ ปอด หลอดเลือด โดยสอดใส่อะไรเข้าไปในร่างกาย (
Invasive Procedure) ภายใต้การดูแลของแพทย์ เช่น ตรวจสวนหัวใจเพื่อการรักษา (Cardiac Catheterization) ตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงผ่านหลอดอาหาร (Transesophageal Echocardiography) ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Cardiac Pacemaker Implantation) ควบคุมเครื่องพยุงหัวใจชนิดลูกโป่งเสริมความดันในหลอดเลือดแดง (Intra Aortic Balloon Pump)
3. งานที่เกี่ยวกับการผ่าตัดผู้ป่วยหนัก/ฉุกเฉิน จะควบคุมเครื่องต่างๆ ในการพยุงชีพผู้ป่วยขณะแพทย์ทำการผ่าตัด เช่น เครื่องควบคุมหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต (
Heart Lung Machine and accessories) ติดตามการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต (Hemodynamic Monitoring) คุมเครื่องล้างเม็ดเลือดแดง (Cell saver) การควบคุมเครื่อง Arterial Blood Gas คุมเครื่อง Activated Clotting Time  คุมเครื่อง Heater Cooler คุมเครื่อง Bare Hugger

ขั้นตอนการฉีดสีสวนหัวใจ ตามทฤษฎี ..

1. ฉีดยาชาเฉพาะที่ก่อนเจาะหลอดเลือดแดงบริเวณข้อมือหรือขาหนีบ
2. สอดท่อพลาสติกอ่อนเข้าไปในหลอดเลือดแดง เพื่อเป็นทางผ่านเข้าออกของสายสวนหัวใจเข้าสู่หลอดเลือดแดงใหญ่ของหัวใจ
3. ฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในสายสวน สารจะผ่านเข้าสู่หลอดเลือดหัวใจ ทำให้เห็นภายในหลอดเลือดว่าตีบตรงไหน
4. ระหว่างการตรวจฉีดสีสวนหัวใจ จะมีการตรวจติดตามความดันโลหิต ชีพจร ความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดและอาการของผู้ป่วยเป็นระยะ
5. หากแพทย์พบความผิดปกติของหลอดเลือดที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการสวนหัวใจ แพทย์จะขยายส่วนที่ตีบแคบของหลอดเลือดนั้นด้วยบอลลูนและขดลวดถ่างขยาย (Stent)
6. เมื่อเสร็จ แพทย์จะดึงสายสวนหัวใจและท่อพลาสติกออกจากหลอดเลือดแดงบริเวณข้อมือหรือขาหนีบ และกดห้ามเลือดประมาณ 10-15 นาที หากมีการขยายหลอดเลือดด้วย อาจต้องคาท่อพลาสติกไว้อีกประมาณ 4-6 ชั่วโมง จึงจะนำท่อออก

อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการตรวจสวนหัวใจ (ลอกจากแผ่นพับที่เขาให้มาอ่านครับ)
1. ความผิดปกติเกี่ยวกับหลอดเลือด 0.43% เช่น ก้อนเลือดอุดตัน ฟองอากาศอุดตัน เลือดออก
2. หัวใจเต้นผิดจังหวะ 0.38%
3. แพ้สารทึบรังสี 0.37%
4. ระบบไหลเวียนผิดปกติ 0.26% เช่น ความดันต่ำ เหนื่อย แน่นหน้าอก
5. เสียชีวิต 0.11%
6. อัมพฤกษ์ อัมพาต 0.07%
7. กล้ามเนื้อหัวใจตาย 0.05%
8. การบาดเจ็บของเส้นเลือด 0.03% เช่น เส้นเลือดปริแตก ทะลุ


และขอบใจไอ่หนูนี่ ที่ช่วยให้เขียน blog เรื่องที่ 219 ได้สำเร็จ ไม่ได้เปิดมาเกินปี เจ้านี่ก็ตายยากเหมือนกัน.


ไม่มีความคิดเห็น: