While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2562

เลือกตั้ง 62’ on the rock!


ผมไม่เคยเขียนบทความทางการเมืองมาก่อน มาลองดูสักครั้ง นี่เป็นกรณีศึกษาอีกอย่างในเรื่องการเมืองกับความสัมพันธ์ส่วนตัว .. เมื่อวาน ผมโพสในเฟสบุคว่า

ผมเขียนขึ้นเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง และสะกิดใจเพื่อนๆ ผม เผื่อพวกเขาจะลืมคิดประเด็นนี้ไป
ภายใน 8 ชั่วโมง มีเพื่อน 8 คนมากดไลค์ นั่นแปลว่าอะไร ..
คนที่กล้าแสดงตัว อาจเพราะ มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพปกติของเขา หรือไม่แคร์ใคร หรือมันโดนใจ กูก็อยากจะพูดแบบนี้อยู่เหมือนกัน หรือเพื่อนฝูงญาติพี่น้องเขามีแนวคิดแบบเดียวกัน ดังนั้น มันจะไม่ใช่แค่ 8 คน ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่มากกว่านั้นหลายเท่า ดีจัง
คนที่ไม่เห็นด้วย(ซึ่งผมก็รู้ว่ามีหลายคน) ต่างนิ่งเฉย ไม่มีใครมาอาละวาดหรือไปด่าผมลับหลัง นั่นเป็นเพราะเขาสามารถเคารพสิทธิในการแสดงความคิดของคนอื่นได้ ผมเชื่อว่าบางคนนั่นต้องของขึ้น เพราะผมจัดหนัก อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เมื่อเราเชื่อมั่นว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง จงทำมันอย่างหนักแน่น ชัดเจน(หรือไม่สนใจมันไปเลย) แต่คนที่ของขึ้นเหล่านั้นมีอีคิวมากพอและรู้ว่าควรแสดงออกอย่างไร นี่มันเรื่องประเทศชาติ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว พวกเขาแยกแยะเป็น
คนที่ไม่แสดงตัว ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีหรือแย่แต่อย่างไร เราแต่ละคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ต่างมีสิทธิทำอะไรก็ได้ที่มันไม่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ล่วงล้ำสิทธิของใคร ลองไปอ่านกฎหมายเรื่องสิทธิในการแสดงความคิดเห็นดู
ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของความเข้าใจในการกระทำของมิตร หากในใจไร้ความเป็นมิตร จะคิดอีกอย่าง ผมเข้าใจพวกเขา พวกเขาก็เข้าใจผมเช่นกัน แต่มันมีบางคนที่ไม่ใช่ ผมเก็บมาเล่าตรงนี้ไม่ได้เพื่อประจาน แต่มันน่าจัดอยู่ในกลุ่มคดีพิศดารที่ควรใช้เป็นกรณีศึกษา และมันเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์คล้ายกันอาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
คุณอาจต้องเกรงกลัวว่าจะทำให้เพื่อนบางคนรู้สึกไม่พอใจ คุณอาจไม่กล้าพูดในสิ่งที่คุณเชื่อ ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันถูกต้อง การก้าวก่ายเสรีภาพทางความคิดของผู้อื่น เป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้ สมมุติให้ย้อนเวลากลับไป ผมก็จะทำแบบเดิมอยู่ดี ทุกเรื่องเลย (แม้บางเรื่องจะทำให้ผมเสียน้ำตาก็เถอะ)

ที่ออฟฟิศผม มีการพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองกันแบบลั่นออฟฟิศเมื่อหลายวันก่อน(คนเกิน 10 ตะโกนคุยกัน เจ้านายไม่อยู่) เมื่อผมแสดงออกว่าผมเกลียดแม้วและไม่เอาพรรคสาขาของมัน อีกคนบอกว่าเขารักแม้วและจะเลือกเพื่อไทยเท่านั้น เราต่างหัวเราะกันทุกคน พอผมบอกว่าผมชอบลุงตู่ หลายคนถามว่าผมดูข่าวบ้างรึเปล่า ผมบอกไม่ดู เพราะสื่อมันเชื่อถือไม่ได้ พวกเขาก็บอกไปดูก่อนไป ผมหยุดโต้เถียงแล้วเริ่มหาอ่านไปทั่วอย่างจริงจัง
นี่คือการอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็น ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียด สามารถแยกแยะเรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างชัดเจน คนเหล่านี้ไม่ได้มีความรู้สูงส่ง ก็แค่เด็ก ปวส.ถึงปริญญาตรีปนๆ กัน แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์และการวางตัวให้เหมาะสม อยู่ในระดับที่ไม่เลวเลย

แต่เพื่อนคนหนึ่งกลับไปลง status message ใน  line ว่า ลำไย ใจแคบ ปากหมา กุลาก่อน  คาดว่าเขาคงด่าผมนะ(ฮ่าๆๆ) ทั้งๆ ที่ผมก็โพสในที่ของผม ไม่ใช่บนหัวหรือหน้าเฟสของเขา ก็โอเค ถ้าเขาจะเชิดชูบูชาคนชั่ว จนหน้ามืดตามัวมาด่าคนที่เขาเรียกว่าเพื่อน ..
ผมเริ่มประเมินสถานการณ์ สรุปว่าไอ้ที่คุยๆ กันมาตั้งหลายปี ระหว่างเรายังห่างไกลกว่าคนที่เขาไม่เคยคุยด้วยสักคำ งั้นตลอดมาเขาอาจไม่เคยคิดว่าผมเป็นเพื่อนเลยก็ได้ แสดงว่าผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพื่อนผม มันจึงควรสิ้นสุดกันตรงนี้ บางทีเราก็โง่เกินไป ที่คบหาและให้ความจริงใจกับคนที่ไม่คู่ควร

ลำไย ใจแคบ ปากหมา กุลาก่อน มาวิเคราะห์กัน ว่าผมเป็นอย่างที่เขาพูดจริงรึเปล่า
- ลำไย แปลว่าอะไร ผมไม่รู้ และไม่คิดจะไปค้นหาให้เสียเวลา สิ่งที่พูดออกมา บ่งบอกความคิดและความรู้สึก กับคนที่มีรูปแบบการคิดอย่างนี้ ผมไม่เห็นประโยชน์ที่จะเอามาใส่ใจ
- ใจแคบ ทุกคนที่รู้จักผม ไม่เคยมีใครคิดว่าผมใจแคบ ก็มีบางเรื่องที่ผมยอมรับว่าเปิดใจให้ไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นความไม่ถูกต้องทั้งหลายแหล่ ผิดศีลธรรม ผิดมนุษยธรรม ความรุนแรงต่างๆ นาๆ ผมไม่สามารถจะไปเห็นดีเห็นงามกับสิ่งเหล่านั้นได้ แค่รับรู้และนิ่งเฉยในบางสถานการณ์ก็น่าจะเพียงพอ  ผิดถูกผมแยกชัดเจน คนปกติก็เป็นกันอย่างนี้รึเปล่า เราอาจต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมสีเทาๆ แต่เราต้องรู้ว่าอะไรคือขาว อะไรคือดำ
การใจแคบต้องดูว่ากับใคร คุณไม่สามารถใจกว้างได้กับทุกคน โดยเฉพาะคนอย่างไอ้แม้วและพวกพ้องของมัน มันโกงกินอย่างไร้รูปแบบ ไร้ขีดจำกัด เอามันทุกบาททุกสตางค์ แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้ ทำให้บ้านเมืองชิบหายวายป่วงโดยไม่สำนึก ทำให้ผู้คนทั้งประเทศต้องเดือดร้อนไปทั่ว ชาวนาโดนหนักหน่อย(จนแสนจนยังเอาเปรียบเขา ความเมตตามีบ้างไหม) ทำลายค่าเงินผ่านนโยบายชั่วช้า สั่งเผาบ้านเผาเมือง จาบจ้วงสถาบัน ลามปามเบื้องสูง โดยพวกมันยังคิดว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดนั้นคือความถูกต้อง!
ผมไม่อาจใจกว้างกับพวกมันได้แม้แต่คนเดียว ไม่อาจใจดี นึกอยากให้โอกาสพวกมันกลับมามีอำนาจ แล้วทำเรื่องชั่วๆ แบบเดิมอีก
- ส่วนเรื่องปากหมา มันเป็นปกติของผมอยู่แล้ว ผมอาจสุภาพได้จนเพื่อนสนิทคิดไม่ถึง แล้วการด่าคนยังจะสุภาพไปทำไม ผมอาจใช้การด่าอย่างสุภาพบ่อยครั้ง แต่ก็ต้องดูด้วยว่าคนกลุ่มนั้นฟังเข้าใจรึเปล่า ครั้งนี้หยาบคายเพราะคิดว่าถ้าใช้คำสุภาพ อาจต้องให้เวลาพวกเขาคิดนานเกินไป ดีไม่ดีชาตินี้จะคิดออกไหม แต่ผมมั่นใจในความถูกต้อง ตรงไปตรงมา ของสิ่งที่พูดทุกคำ ความจริงมักบาดใจคนที่ไม่อยากยอมรับและมีชนักปักหลัง

ที่สงสัยคือพ่อแม้วของเขา สนใจเหล่าลูกๆ ควายแดงรึเปล่า จึงมุ่งเอาแต่ผลประโยชน์บนการหลอกใช้ ไม่ว่าจะให้ออกหน้าในสถานการณ์คับขันเสี่ยงตาย ที่พาผู้คนมาสร้างความไม่สงบในบ้านเมือง ทำลายทรัพย์สินไม่เลือกว่าของรัฐหรือของประชาชน ทำร้ายเพื่อนร่วมชาติ เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสหาทางหนีทีไล่เอาตัวรอด หรือสารพัดนโยบายที่สร้างผลประโยชน์ทับซ้อนมูลค่ามหาศาล รีดเลือดจากควายผอมโซ ยังทิ้งหนี้สินกองใหญ่ไว้ให้คนไทยทั้งประเทศ เราสูญเสียมากมายให้กับคนตระกูลแม้วและพวกพ้องของมัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่สนับสนุนพวกมันมองไม่เห็นความเลวเหล่านี้ หรือก็เห็นนั่นแหละแต่ผลประโยชน์มันเย้ายวนกว่า

การเมืองเวลานี้ มันแบ่งเป็นแค่ 2 พวก
1. กลุ่มคนที่จะประคับประคองชาติให้ไปรอด
2. กลุ่มคนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของไอ้แม้วผู้โกงกิน
พรรค ถูกผลิตออกมามากมาย จนผมไม่สนใจและไม่อยากจะจำ หลักๆ ก็มีแค่ 3 ฝ่าย ที่จะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมมือกันเป็นฝ่ายค้าน
1. พรรคสาขาลูกล้อของไอ่แม้ว ที่อ้างประชาธิปไตยจ๊ะจ๋า กับนโยบายปัญญาอ่อนที่สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียความเป็นไทย บางส่วนเพ้อฝันจนเป็นไปไม่ได้ ไอ้ส้มเน่าก็น่าสนใจไม่น้อย นโยบายของมันอ่านแล้วรู้สึกทุเรศสิ้นดี หรือผมอคติเกินไปว่ามันเตรียมการไว้สำหรับผลประโยชน์ทับซ้อนแบบพ่อแม้วของมัน วันก่อนมีรูปหมู่ตอนส้มเน่าไปช่วยเผาเมืองหลุดออกมา ยังมีหน้ามาตั้งพรรคร้องหาประชาธิปไตยอีกหรือ อยากเป็นนักการเมืองจนตัวสั่นเลยหรือ ไปเป็นสัปเหร่อเหมาะกว่าไหม จะได้เผาแบบที่ชอบๆ ทุกวันไง
ผมสงสัยว่ามันเมากัญชากันยกแก๊งค์เลยรึเปล่า บางพื้นที่มีแย่งฐานเสียงกันเอง บางพื้นที่มีบอกว่าขอเทคะแนนตัวเองให้เบอร์นี้นะคะ(ที่เพิ่งโดนยุบพรรคไปน่ะครับ) ฟังแล้วฮาดี เพราะคนที่พูด คราวก่อนก็สอบตก นี่มันคิดว่าชาวบ้านโง่กันมากรึไง น่าสังเวชเหลือเกิน
ผมว่ามีลุ้น เราไม่รู้ว่าคนที่รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนผมช่วงก่อนมีเยอะไหม คือคิดจะไม่ไปใช้สิทธิด้วยซ้ำ จนเพื่อนคนหนึ่งเตือนว่า ต้องช่วยกัน อยากให้ไอ้แม้วมันกลับมาได้อีกรึไง
ผมหวังว่าคนไทยจะฉลาดคิด เพื่ออนาคตของเราทุกคนบนแผ่นดินผืนนี้  ย้อนไปดูเถอะ มันทำพังได้ภายในไม่กี่ปี แต่ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกว่าเราจะลุกขึ้นมายืนอย่างสง่าผ่าเผยได้
ถ้าพวกมันได้เสียงข้างมากก็ไม่เป็นไร ให้มันบริหารประเทศไป ถ้าเหี้ยหางโผล่มาเมื่อไหร่ ก็ปฏิวัติแม่มใหม่  ผมว่าคนไทยที่มีเลือดไทยไหลทั่วร่างจะไม่นิ่งนอนใจ
ความจริงเขารวยขนาดนั้น น่าจะไปซื้อเกาะใหญ่ๆ พาผู้คนที่รักยิ่งไปอยู่ด้วยกัน ก่อตั้งประเทศ บริหารมันตามความพอใจ ไม่ต้องมาเป็นปลิงสูบเลือดคนไทยอยู่อย่างนี้

2. ฝ่ายประชาธิปัตย์ ที่บอกว่าจะไม่ร่วมมือกับลุงตู่ ผมไม่รู้พี่มาร์คเกิดคึกอะไรขึ้นมา เสียงพวกเขาจะได้เท่าไหร่ ไม่ร่วมกับลุงตู่แล้วจะร่วมกับใคร หวังว่าไม่ใช่เพื่อไทย(เพื่อแม้ว) ปัญหาคือพี่มาร์คจะมีพลังต่อต้านนโยบายของไอ้แม้ว ที่แฝงเข้ามาในพรรคสาขาลูกน้องของมันไหม
เมื่อ 5 ปีก่อนพี่มาร์คได้พิสูจน์แล้วว่าเอาไม่อยู่ จนลุงกำนันเข้ามาช่วยก็ยังไม่ไหว เพราะไอ้แม้วมันจัดอาวุธหนักและควบคุมคนของรัฐบางส่วนไว้ได้ สุดท้ายทหารต้องขี่ม้าขาวเข้ามาจัดการให้ ผมนึกไม่ออกเลยว่าบ้านเมืองของเราจะชิบหายไปได้อีกเท่าไหร่ ถ้าไม่มีใครจัดการมัน
หลายคนบอกว่าพี่มาร์คดีเกินไป ไม่อาจกำราบเหี้ยลงได้ ก็แล้วแต่ใครจะคิดยังไงนะครับ .. โดยทั่วไป ส่วนใหญ่ คนเราประเมินกันได้ด้วยผลของงาน
3. ฝ่ายลุงตู่ เอาพวกไอ้แม้วอยู่แน่ๆ และคนที่เคยเป็นทหารจะคิดแตกต่างจากนักการเมืองเยอะ ผมเลือกอันนี้แหละ ยังไงก็ต้องกันพวกไอ้แม้วออกไปก่อน ประเทศชาติถึงจะไปต่อได้
หลายคนบอกลุงตู่เผด็จการ ไม่รู้เอาสติปัญญาส่วนใดมาคิด มีสักนิดไหมเนื้อสมองน่ะ ใช้ตรรกะเป็นกันบ้างรึเปล่า พอเป็นรูปแบบพรรคการเมืองแล้วมันจะเผด็จการได้ยังไง ในเมื่อมีกฎหมายบังคับ
อยากเห็นเผด็จการแท้ๆ ต้องไปดูตัวอย่างจากไอ้แม้วโน่น ลองศึกษาการจัดการภายในพรรค การส่งคนเข้าแทรกซึมหน่วยงานทั้งประเทศ จะเห็นภาพได้ชัด เล่นกันทั้งโคตรเหง้าสักหลาดยันขี้ข้า เรียกว่าไม่หน้าด้านหน้าหนาคงทำไม่ได้
อ่านๆ กันบ้างก็ดีครับ ความรู้มีไว้ให้ค้นหา ไม่ใช่แค่ฟังต่อๆ กันมา แล้วรับเอาแต่สิ่งที่เขาอยากบอก กลายเป็นปล่อยให้เขาจูงจมูกเรื่อยไป ผมอ่านหมดนะ พยายามเปิดใจรับรู้ความคิดจากอีกฝ่ายด้วย ก็ได้ขยะแขยงกันพอดู

พักนี้จะมีการโพสเกี่ยวกับการเมืองมากมาย ผมยกตัวอย่าง แนวหน้า เขาจะโพสข่าวสั้นๆ จากนั้นจะมีผู้คนสารพัดฝ่ายเข้ามาคอมเมนท์ต่างๆ นาๆ สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นคือ ความแตกต่างด้านความรู้และความคิดของแต่ละฝ่าย
ฝ่ายไอ้แม้ว
1. มักอ่านแค่หัวเรื่อง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนิสัยไม่ชอบอ่าน หรือไม่อยากรับรู้ความเป็นจริง หรือกลัวรู้ความจริงแล้วจะหายโง่ ข้อความที่คอมเมนท์ บ่งบอกว่าอ่านแค่หัวเรื่อง ในเมื่อแค่รับรู้ยังไม่เอา เรื่องเหตุผลคงไม่ต้องหวังให้เขาเข้าใจ
2. ใช้ข้อความสับสน ไร้ตรรกะ ไม่มีเหตุผลรองรับ แค่ดื้อหัวชนฝา ใช้คำพูดดันทุรังสั้นๆ ปล่อยโง่ออกมาให้ดู
ฝ่ายตรงข้ามไอ้แม้ว
1. อ่านจนจบค่อยมาคอมเมนท์ ผมอ่านจบเช่นกัน เพราะไม่อยากเสียรู้กับข่าวล่อหลอก จากนั้นค่อยมาอ่านความคิดเห็น จึงทำให้รู้ว่าแต่ละคนอ่านมารึเปล่า รึแค่อยากแสดงความโง่ออกมาสักแห่ง ตรงไหนก็ได้
2. ความคิดเห็นส่วนใหญ่วางอยู่บนตรรกะ แม้ด่าทอก็เป็นไปด้วยความเมตตาสอนสั่ง ไม่ใช่ยืนอยู่บนอารมณ์แต่อย่างเดียว บางคนก็น่ารักดี แค่บอกว่ารักคนนั้นคนนี้ บางทีทำเป็นภาพไว้ใหญ่ๆ ให้เห็นเด่นชัด คอมเมนท์แบบนี้จะมีคนมากดรักและหัวเราะให้มากมาย ช่วยทำลายความตึงเครียดได้พอควร
โดยส่วนตัวผมไม่คอมเมนท์ แต่มีกดไลค์บ้าง ผมตะลุยอ่านเพื่อศึกษาความคิดของผู้คน อันไหนไม่ชอบก็ผ่านไป ไม่เห็นต้องไปชวนเขาทะเลาะ เราต่างคนต่างอยู่ อยากด่าก็ไปด่าในที่ของตัวเอง แล้วแต่ใครจะผ่านมาเจอ ชอบก็ดีไป ไม่ชอบก็ช่วยไม่ได้ มึงเสนอหน้ามาอ่านเอง ผมถือว่านี่โคตรจะดีพอแล้ว แต่บางคนไม่คิดอย่างนั้น มันเที่ยวได้ทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนมันไปทั่ว เหนื่อยรึเปล่าวะนั่น หรือเขาจ้างมาป่วน ได้ตังค์เยอะไหม คุ้มค่าศักดิ์ศรีรึเปล่า
อดีตเพื่อนคนนั้น ผมเห็นมันทำบ่อยไป ซึ่งผมนิ่งเฉยทุกครั้ง มันเป็นสิทธิของเขาที่เราต้องเคารพ ตราบใดที่เขาไม่เข้ามาวุ่นวายในที่ของเรา คราวก่อนก็แบบนี้ ช่วง กปปส ผมโพส+แชร์อะไรของผมไป เขามาป่วนในบ้านผม แล้วก็จากไปเอง ในขณะที่ถ้าเราไม่อยากเห็นฟีดใคร เราก็แค่ unfollow มันไปเท่านั้นเอง งงว่ามันเป็นอะไร ทำไมไม่รู้กติกา มารยาท คราวนี้ยิ่งหนักข้อ มีไปด่าลับหลัง
การก้าวล่วงสิทธิของผู้อื่น เป็นเรื่องที่ออกจะเกินไปหน่อย เอาเป็นว่าผมรู้จักเขาพอแล้ว คงไม่กลับไปคุยด้วยอีกครั้ง  ถือว่าหมดกรรมต่อกัน ยังมีเพื่อนอีก 2-3 คนรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งผมบอกพวกเขาทีละคนว่า นี่เป็นปัญหาเฉพาะผมกับมัน ไม่เกี่ยวกับพวกเขา จงคบหากันต่อไป กูไม่สน.