While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สมาธิแบบลงนรกไปเลย


อารมณ์อยากปล่อยของครับ อยากเล่าเรื่องการทำสมาธิ! แต่ผมจะไม่มาบอกว่าวิธีที่ถูกทำยังไงนะ (ไปเรียนรู้จากครูอาจารย์โดยตรงจะได้ความรู้กว้างขวางลึกซึ้งกว่า ผมไม่สามารถ) แต่เรื่องความผิดพลาดของผมน่าสนุกกว่า เอามาเล่าแล้วกัน ถือเป็นการแชร์ประสบการณ์ ผมเสียเวลาไปหลายปีครับ กับความเข้าใจแบบไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง!
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผมเป็นคน 3 ศาสนา!!!
1.       คริสต์ ผมนับถือมาตั้งแต่แบเบาะ เกิดในครอบครัวคาทอลิคนี่ครับ พระคัมภีร์เหรอ อ่านไม่ทะลุหรอก เช่นเดียวกับพระไตรปิฏกนั่นแหละ ก็มันยากและน่าเบื่อ .. ผมมักสนใจหลักธรรมที่กลั่นกรองมาแล้วเสียมากกว่า มาแตกฉานก็ตอนโต จากความสนใจใคร่รู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้นะครับ ใช่ว่าคริสต์จะไม่มีความเชื่อที่ผิดหรือเรื่องงมงาย ครูบาอาจารย์แย่ๆ ก็มีมากไม่แพ้ศาสนาอื่น
อาจเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ที่ผมมีญาติเป็นนักบวชคริสต์สายวิชาการ เขายังอยู่ในกลุ่มของการแลกเปลี่ยนและร่วมมือกันพัฒนาสังคมกับนักบวชทางพุทธด้วย ผมเรียนรู้จากเขาได้เยอะเลย ที่สนุกที่สุดในประเด็นการพูดคุย คงไม่พ้นเรื่องศาสนาเปรียบเทียบนี่หล่ะ
2.       พุทธ เมื่อ 5-6 ปีก่อนผมเริ่มสนใจว่าแก่นของพุทธคืออะไร ก็หาอ่านหาฟังไปไม่เจาะจงพระอาจารย์ จนกระทั่งเจอหลวงพ่อชาถึงเก๊ท ท่านสอนง่ายนะ ฟังง่าย เข้าใจง่าย คนฟังจะไม่ท้อที่จะเรียนรู้เสียก่อน (ทำไมผมไม่เรียกหลวงปู่ชา เพราะผมรุ้จักท่านตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีใครเรียกท่านว่าหลวงปู่ ดังนั้น ผมชินที่จะเรียกท่านว่าหลวงพ่อมากกว่า รุ้สึกใกล้ชิดมากกว่าด้วย)
ปัญหาคือ ผมเข้าใจได้ลึกซึ้งแค่ไหน จากพื้นฐานของคนอย่างเราๆ บางทีต้องนึกเผื่อไปถึงสภาพสังคม  ความรู้ความคิดของพระอาจารย์(ท่านพูดแบบคนที่เข้าใจลึกซี้งดีแล้ว เราล่ะ?) พื้นความรู้ความคิดของผู้รับสารหรือกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลานั้น หลายอย่างประกอบกัน
การปรับความคิด วางใจให้เหมาะสม จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น มากขึ้น พระเมื่อก่อนกับพระสมัยนี้สอนไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับการอ่านไบเบิ้ล อันนี้คุณอาให้คำแนะนำมา ผมก็ทดลองจนเห็นผลสัมฤทธิ์
เมื่อเริ่มต้น ผมพยายามเรียนรู้แบบกว้างๆ ในสายปฏิบัติ ทฤษฏีก็เอาด้วย ลงลึกจนเพื่อนคนพุทธยังไม่เห็นด้วย เขามองว่ามันจะเยอะไป ไม่จำเป็น มันจะไปไม่ถึงไหน ซึ่งผมเข้าใจเจตนาดีของเขา แต่ไม่เชื่อ! บางคนว่าผมสุดโต่ง ซึ่งผมฉุนมากเลย ผมไม่ได้สุดโต่ง แค่พยายามเรียนรู้สิ่งที่ถูก มึงต่างหากละเลยลู่ทางที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้พูดหรอกครับ มันจะคล้ายเป็นการดูถูกกันไปเสียเปล่าๆ
ผมไม่ได้อยากจะเป็นนักธรรม แค่กลัวว่าผิดไปจะไม่รู้ วัตถุประสงค์ที่ผมอยากรู้กว้างๆ คือ เพื่อให้รู้สิ่งที่ถูกไว้ก่อน จากนั้นเราจะแยกได้ว่านี่ถูก นี่ผิด ตัดเรื่องไร้สาระออกไป งมงายไม่เอา เดรัจฉานวิชาไม่เอา พุทธพันธุ์ทางไม่เอา
เมื่อเริ่มศึกษา มันให้ความรู้สึกกระจัดกระจายมากครับ 84000 พระธรรมขันธ์มันน้อยอยู่หรือ แต่ปัจจุบัน ผมพอจะจับประเด็นได้ละ ถ้าคุณยัง ลองดูแผนภูมิปฎิจจสมุปบาทกับโพธิปักขิยธรรม คุณจะเห็นภาพรวม ค่อยๆ ทำความเช้าใจไปทีละส่วน แล้วมันจะง่ายขึ้นเยอะเลย ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมด ไม่ต้องไปเสียเวลาท่องจำนะ มันเยอะ จำไม่ไหวหรอก แค่เข้าใจก็พอ
3.       วิทยาศาสตร์ อาจเพราะ ม.ปลายผมเรียนสายวิทย์มา เลยมีพื้นฐานที่แทบไม่ได้ช่วยอะไร! 555+ แค่มันไม่อคติกับวิทยาศาสตร์เท่านั้นเอง แค่นั้นก็พอแล้ว มารู้ๆๆ เอาตอนโต จากความสนใจส่วนตัว อ่านบ้าง ดูคลิปบ้าง มันก็ช่วยเพิ่มพูนความคิดในด้านตรรกะและความเป็นจริง
ดังนั้น ผมจึงยิ่งห่างไกลจากไสยศาสตร์ จนเกิดความรู้สึกด้านลบกับมัน ถึงขั้นดูแคลน รังเกียจเดียดฉันท์ ผมไม่เชื่อเรื่องของขลัง ผมเชื่อพลังของสติ กาย ใจที่เป็นกุศล มันคุ้มครองเราได้แน่นอน เพราะในคำว่าโชคชะตา  90% เกิดจากทางเลือกของเราเอง (ไปหาอ่านดูนะ) ก่อนจะเถียงผม คุณลองนึกถึงคนที่มีของขลังติดตัวแล้วถูกยิงตายสิ เยอะแยะไป
ทีนี้ มาว่าด้วยการเล่นสมาธิของผมกันดีกว่า พอดีช่วงนี้ผมใส่ใจเรื่องการดูจิต อ่าน+ฟังหลวงพ่อปราโมทย์ครับ ท่านสอนได้เข้าใจง่ายดี เมื่อคืนเจอเรื่องสมาธิ ซึ่งผมทิ้งไปเป็นปีเลย เพราะเรารุ้ตัวละว่า เอาดีไม่ได้แน่ ฟุ้งซ่านขนาดนี้ ผมชอบคิดครับ จินตนาการของผมจะอลังการมาก แล้วยังไง มันก่อทุกข์ไง หนักเข้า เลยนึกอยากพ้นทุกข์ขึ้นมา คราวนี้รู้สึกเบื่อหน่ายจริงจัง
แล้วมันเกี่ยวกับสมาธิยังไง มันจำเป็นต้องมีควบคู่ไปกับการดูจิตไง แต่ผมไม่เคยสน ไม่คิดว่าจำเป็น เลยเกิดเรื่องสิ
ผมมองตัวเองว่า ก็โอเคนี่ ดูเหมือนจะเสถียรดี ใจนิ่งพอประมาณ ไม่มีอะไร อารมณ์ดี ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย สบายอกสบายใจดีอยู่ .. แต่ในระดับจิตใต้สำนึก สภาวะทางจิตย่ำแย่ โทสะเต็ม ความเครียดซ่อนเร้น แถมมีคลื่นยักษ์ใต้น้ำที่พร้อมทำลายล้างทุกสิ่ง
ผมมารุ้ตัวจากการที่พบว่า อารมณ์แกว่งเกินไป สุขทุกข์สุดทาง(ความจริงค่ามันเท่ากันเลยนะ) โทสะปะทุง่ายมากและรุนแรงด้วย การนอนหลับผิดปกติ ลักษณะการฝันยุ่งเหยิง สื่อถึงความสับสนทางจิต แปลว่าข้างใน ส่วนที่เรารับรุ้ด้วยการคิดไม่ได้ มีปัญหา
ก่อนที่จะคิดถึงการไปพบจิตแพทย์ (ซึ่งผมเชื่อว่าผมมีความรู้ด้านนั้นพอเอาตัวรอดได้ว่ะ) จึงลองกลับไปฟังคำสอนแบบเข้มข้นดูก่อน ผมคิดว่ามันอาจมาจากการดูจิตที่ผิดวิธี เลยพบต้นเหตุของปัญหา ดูจิตผิดจริงๆ ด้วย ผมเพ่งเกินไป ไม่ได้แค่รุ้เห็น เลยเป็นการสะสมกิเลสตระกูลโมหะ+โทสะไว้บาน แถมไม่เคยให้มันได้พัก เพราะขาดสมาธิที่ถูกต้อง  นี่ผมโชคดีมากที่รู้ตัวก่อนประสาทจะแดก
ดังนั้น เบื้องต้นของการดูจิต หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกว่า ให้เลือกกรรมฐานสักอัน ที่ทำแล้วไม่เครียด ไม่เคลิ้ม เพื่อฝึกฝนสติขึ้นมาให้ฉับไว ไว้ไปรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกายใจ ที่ต้องไม่เคลิ้มเพราะเราฝึกให้ตื่นไม่ได้ฝึกให้หลับ สมาธิจะเกิดเมื่อจิตไปจดจ่อกับสิ่งที่ให้ความรุ้สึกสบาย ได้สมาธิสั้นๆ ก็ใช้การได้ละ
กรรมฐานที่ผมเคยคิดว่ารู้จักดีพอสมควรคือ อานาปานสติ เพราะผมรุ้จักมาตั้งแต่อายุ 16-17 แต่สิ่งที่ผมรุ้ตื้นเขินนัก เพราะมีความรู้พื้นฐานเฉพาะทางที่ตื้นเขิน จึงเข้าใจได้ตื้นเขิน
ณ เวลานั้น ผมจับมาแค่สมถะ นั่งสมาธิตามลมหายใจ ก็ได้ความสงบ มีเห็นนิมิต ทำอยู่ปี 2 ปีก็เลิกไป ไม่ได้ศึกษาพุทธด้วยซ้ำ เพราะตอนมัธยมผมเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด โดนบังคับให้เรียนพุทธศาสนา ต้องไปปักกลดนั่งสมาธิเอาคะแนน ใจมันเลยต่อต้าน ไม่สนใจอีก (สมัยวัดธรรมกายก่อตั้งใหม่ๆ ลายยังไม่ออกน่ะครับ อาจารย์ให้นอนสนามบาสโรงเรียนกันคืนนึง มีกลดปักๆ ให้คนละอัน กลางวันอยู่ในหอประชุม พระท่านมาสอนกรรมฐานเพ่งพระพุทธรูปแก้ว! ก็เป็นกสิณชนิดหนึ่ง แต่ตอนนั้นผมไม่รู้จักนะ ไม่รู้ว่าคืออะไร จำได้ว่าเช้ามืดวันถัดมาโดนปลุกมานั่งสมาธิผมก็เห็นพระพุทธรูปลอยอยู่ในที่ว่างนะ แต่ความที่ไม่รุ้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร ผมเลยไม่ได้ทำต่อ วันไน๊ท์ สแตน!)
ที่มาสนใจเอาตอนแก่เพราะมันมีบางช่วงที่ผมว่าง(อยู่กับหมา จะดูทีวี ฟังเพลง ก็เกรงใจหมา เลยหาหนังสืออ่านน่ะครับ) ที่สำคัญไม่มีใครมาบังคับ  มีบางโมเม๊นต์ที่อยากเข้าใจเรื่องทางจิตวิญญาณของชาวพุทธบ้าง เพราะเบื่อโลกียะ แล้วเขาเด่นด้านละโลกียะสู่โลกุตระนี่ เลยลองศึกษาดู พอเริ่มแล้วก็อยากรู้อยากเห็นไปไกล ผมเป็นคนแบบนั้น รู้ผิวเผินมันติดใจ เอาลึกๆ ให้กระจ่าง จะได้สิ้นสงสัย
พุทธ คือความลับดำมืด สร้างความสับสนในความคิดผม คำสอนจากหลากหลายแหล่ง บ้างขัดแย้ง บ้างตรงกัน สำนักมากมายทั้งแท้-เทียม วิถีหลากหลาย วาริเอชั่น! บ้างผสมผสานลัทธิความเชื่อจากนอกศาสนาเข้าไปด้วย เช่น จีน(เต๋า ขงจื๊อ เทพเซียน) ทิเบต(จีน ลัทธิบอน) ไทย(พราหมณ์ ผี)
ทำให้ผมรุ้สึกน่าสนใจที่จะศึกษา ว่าพุทธเปล่าๆ แบบที่พระพุทธเจ้าสอน ที่ไม่ผสมอย่างอื่นเลย คืออะไร (เช่นเดียวกับที่ผมอยากรู้ว่าพระเยซูต้องการให้เราเข้าใจอะไรนั่นแหละ) ผมแค่ต้องการเรียนรู้ศาสนาที่ยังไม่แปดเปื้อน เลอะเทอะ
ตอนนี้ ผมมาไกลพอสมควร หมายถึงความรู้แบบคิดเอานะครับ ถ้าในเส้นทางสายปฏิบัติ ผมยังจัดว่าเป็นเด็กน้อย ล้มลุกคลุกคลาน ผิดทาง ฟั่นเฟือน ที่ไม่ทิ้งเพราะเห็นประโยชน์ชัดเจนตามทฤษฏี ผมว่ามันมีหลักการที่เม๊คเซ๊นส์นะ วิธีการก็บอกชัดเจนพอ ทำอย่างนี้นะ 1 2 3 4 แล้วยังวัดผลได้ด้วย ใยไม่พิสูจน์ทฤษฏีเล่า
จากการฟังๆๆ ที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน ผมก็จับมาเน้นๆ ในส่วนที่ผมต้องแก้ไข เช่น
เอาประโยคแรกที่ทำให้ผมหัวเราะลั่นบ้านก่อน ท่านว่า เรียนๆ ไปนะ แล้วจะรู้ว่าที่ทำมาผิดหมดเลย .. ผ่าง! มันจริงกับผมอ่ะ
ทีนี้ อานาคือ ให้รู้ลมแบบรุ้ตัวทั่วพร้อม คือดูทั้งตัวเนี่ยหายใจเข้า-ออก อย่าดูตัวลม มันจะกลายเป็นกสิณลม เล่นแสง สู่ทางอภิญญาไป (ซึ่งเป็นทางที่ผมชัดเจนแล้วว่าไม่เอา)
การรู้สภาวะที่เกิดกับกายใจ ให้รู้สบายๆ ถ้ารู้แข็งๆ ทื่อๆ คือผิด จะเกิดความเครียด ความกดไว้ เกิดโทสะขึ้นมา (อันนี้ผมเจอเองกับตัว ไม่สงสัยละ)
สมาธิจะเกิดเมื่อใจสบายเป็นสุขเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องไปนั่งแช่ด้วย นี่ทำได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับ ผมลองละ มันเหมือนได้อยู่ในโลกแห่งการรับรุ้ใบใหม่ สนุกมากเลย ..
เดิม .. ผมผิดเต็มๆ เรื่องของสมาธิ จากการตีความภาษาผิด (เหี้ย โง่ชิบหาย) คือผิดวัตถุประสงค์น่ะ หรือผมจับปลาสองมือก็ไม่รู้นะ ถ้าต้องการสมถะ ไอ่ที่ผมทำ ก็พอได้อยู่นะ แต่ผมอยากได้ทั้งความสงบทั้งสติในคราวเดียวกันนี่สิ ที่นี้เลยมั่วกันมันส์เลย .. นึกๆ ดู ผมอาจมีของเก่าติดตัวมามั่งล่ะมั๊ง เลยผิดไม่รุนแรง จนถลำไปไกลเกินแก้ไข
ผมมักเริ่มจากดูตัวลม เลยจะยากช่วงแรก คือพอเราเอาจิตไปจดจ่อที่ลม มันก็อยากจะไปลากให้มันยาว การหายใจจึงผิดจังหวะ ผิดธรรมชาติของมัน ถึงเราจะรุ้ตัวละว่าเราแทรกแซง แต่มันก็ยังไม่ปล่อยอยู่ดี  การหายใจเป็นระบบประสาทอัติโนมัติ เมื่อเราพยายามไปคุมให้มันยาว ร่างกายจึงได้รับออกซิเจนเกินความต้องการ มันเลยหายใจติดขัด เหนื่อย .. ฟาย!
ลมหายใจปกติคือ มันจะเข้าไป หยุด แล้วออก หยุด แล้วเข้า วนไปอย่างนี้ สั้น-ยาวแล้วแต่สภาพร่างกาย จิตใจ ในขณะนั้น (ในบางสถานการณ์เราอาจเข้าแทรกแซงเพื่อให้ร่างกายสบายขึ้นได้) เข้าไปถึงไหน ก็แล้วแต่จะอยากจินตนาการ กายวิภาคบอกเราว่าต่ำสุดของปอดอยู่ที่ชายโครง แต่สมถะลม! อาจไปได้ไกลถึงท้องน้อย หรือไม่รุ้สึกถึงลมเลย
วิธีที่ผมแก้ความเหนื่อยคือ ดึงการรับรุ้ขึ้นไปที่หัวกบาล มันจะดีขึ้น คือเอาจิตไปอยู่ที่หัวแล้วดูลมที่จมูก แต่ก็จะตึงๆที่หว่างคิ้วพักนึง อันนิรู้ตัวนะ ว่าพยายามบังคับให้มันอยู่ตรงนั้น มันก็จะเพ่งจากตรงนั้นแหละ แต่ลมหายใจจะกลับไปเป็นปกติ ดูลมเข้าไปสัก 4-5 ที ลมมันก็ละเอียดขึ้น วันไหนใจนิ่งๆ สัก 10 ที ลมก็หายไปละ! จากนั้นผมค่อยปล่อยตัวลม (ก็มันไม่มีอะไรให้รู้สึกผ่านระบบทางเดินหายใจแล้วนี่) หันไปรู้ร่างกายหายใจแทน .. กรรม :(
รู้ร่างกายหายใจของผมคือ ไปรับรู้ถึงอกกระเพื่อมขึ้นลง ตอนนี้จะรู้ทั่วทั้งตัวดีเชียวนะ แขนขาอยู่ตรงไหน แต่ละส่วนมันมีอาการยังไง จนกระทั่งลงภวังค์! ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเรียกอะไร แต่ผมจะดิ่งลงไปหาความเงียบสงบ ความมืดในจอตาจะน้อยลงหน่อย แต่ก็ไม่ได้สว่างขึ้นมาหรอกนะ หูยังคงรับรู้ถึงเสียงต่างๆ แต่ไม่รู้สึกว่ามันรบกวนอะไร ก็มาจบแค่นี้ พอเบื่อก็เลิก
ผมจะนั่งสมาธิก่อนนอน วันละไม่มาก อาจ 5-15 นาที ไม่ตั้งนาฬิกาปลุก เอาแค่เบื่อก็พอ ไม่ได้กลัวว่าจะนานไปแล้วเวลานอนน้อยลง เพราะรุ้ดีว่าสมาธิทำให้สมองได้รับการพักผ่อนได้ดีกว่าการนอนหลับเสียอีก แล้วทำไมไม่นั่งไปทั้งคืนล่ะ มันเมื่อยไง เบื่อไง อยากทอดตัวลงนอน ยังไม่คิดจะเล่นธุดงค์วัตรครับ โหดไป
ทีนี้มาว่ากันด้วยภาพที่เห็นในขณะเข้าสมาธิ มันสนุกเชียวล่ะ ขนาดของผมเด็กเตาะแตะมากเลย
ผมเคยพบว่าตัวเองหายไป เหลือแต่ยังรู้อยู่ ไม่รู้สึกถึงร่างกาย มันดีมาก เบาสบายมาก แต่ก็ตกใจ! ตัวกุอยู่ไหนวะ รีบควานหา หายใจให้แรงขึ้นถี่ขึ้น ก็กลับมามีตัวเหมือนเดิม อันนี้หลวงพ่อชาท่านสอนไว้
อีกทีนึงเหมือนวิญญาณออกจากร่างมาเกินครึ่งตัวละ ผมกลัว ยึดร่างแน่นเลย ใจพร่ำคิด กุไม่ออกๆ เวลานั้นรู้สึกว่า ถ้าหลุดขาดจากกัน มันจะไม่ปลอดภัย กุจะกลายเป็นสัมภเวสีไม่มีร่างสิงสถิตละเปล่าวะ 555++ แต่อันนี้ หลวงพ่อปราโมทย์บอกว่า เรายังไม่ถึงเวลาตาย ก็จะกลับมาแหละ ใครที่ไหนก็มาสิงสู่ไม่ได้ แต่การออกไปเที่ยวเล่น มันไม่มีประโยชน์อะไร คอยรู้กายรู้ใจไว้ดีกว่า .. สรุป เพราะกุหัวฟาด สมองเลยเลอะเลือน ไม่ได้มีใครมาเข้าสิง ชัดเจนนะ
จิตลอยเด่นในที่ว่าง สว่างไสว เจอ 2 ครั้งในรอบ 5-6 ปี เป็นช่วงแรกๆ ที่หัดนั่งสมาธิด้วย อาจช่วงนั้นสิ่งรบกวนทางใจไม่มาก ก็สุขสงบเสียจนประทับใจ เลยคิดว่าเข้าใจคนติดสมาธิ ติดฌาน แต่โดยส่วนตัว ณ ตอนนี้เลยนะ ผมคิดว่าตัวเองโง่ครับ! โดนจิตของตัวเองหลอกเข้าให้ ยังหลงดีใจ! ความรู้ปัจจุบันบอกผมว่า ดีแล้วที่ไม่ได้เจอบ่อยๆ แล้วติดใจ พยายามให้มันเป็นอย่างนั้น นั่นมันพรหมลูกฟัก! ที่จิตเราสร้างภพขึ้นแล้วเข้าไปอยู่ ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักมรรคด้วยซ้ำ เกิดหลงขึ้นมา ก็จะมีคนบ้าอภิญญาเพิ่มขึ้นอีกคนเท่านั้น
ผมละการนั่งสมาธิมาเป็นปีๆ เพิ่งกลับมาเริ่มใหม่ 1 เดือนมานี้เอง ก็ยังทำแบบเดิมๆ :(  
ผมเริ่มจากลากลมหายใจไป 2-3 ที ลมจะละเอียดขึ้น ห้วงความคิดสงบสุขขึ้นมา ผมจะแผ่เมตตาออกไปก่อน แผ่เสร็จ ก็กลับมาโฟกัสที่ตัวลมนั่นแหละ ไม่กี่ทีมันก็หายไป จิตจำทางได้อะมั๊ง คราวนี้ไม่มีที่ว่างให้เห็นอีก การรุ้ตัวดีขึ้น อาจเพราะผมพยายามฝึกสติคอยรู้กายใจมาได้พักใหญ่
แต่ผมเจอภาพเคลื่อนไหวสามมิติแทน! เมื่อเราหลับตาไปสักพัก ความมืดจะน้อยลง จากนั้นไม่นาน จะมีภาพปรากฏขึ้นในจอประสาทตา ผมว่ามันน่าจะเป็นการเห็นทางจิตมากกว่านะ เราปิดตา ตามันจะเห็นได้ยังไง ผมจำที่หลวงพ่อชาเคยสอนได้ดี เห็นก็เห็น อย่าไล่ตาม
ที่ผมเห็นบ่อยคือ เส้นทางแคบๆ ยาวไกลที่ไม่สิ้นสุด! กลางป่าบ้าง เป็นโตรกเขาบ้าง บางทีเป็นถ้ำที่ปลายทางมีแสง แต่ไปไม่ถึงสักที  สภาพแวดล้อมมักเป็นสีขาวดำ แสงโพล้เพล้ ความฝันผมยังสวยกว่านี้เลย มันมีสีด้วยนะ ผมไม่ได้พยายามทำอะไร แต่รู้สึกว่าตัวผมเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเอง ไปตามทางเหล่านั้นเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปตามทางที่ผ่าน ผมไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิโดยรอบ ดวงจิตไร้รูป ไม่มีผิวหนัง เลยไม่มีอะไรไว้เป็นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิกระมัง
ล่าสุดไม่กี่คืนก่อน ผมไปปรากฏตัวอยู่กลางทุ่งหญ้าที่มีต้นไม้สูงโปร่งห่างๆ กัน ทุกอย่างสีเขียวสด สว่างไสว ผมเห็นหมาดำๆ 4-5 ตัว น้ำตาลหนึ่งตัว วิ่งเล่นกันอยู่ไกลๆ เริ่มด้วยเจ้าหมาสีน้ำตาลยืนมองผมอยู่ด้านหน้า ระยะราว 5 เมตรแล้ววิ่งนำไป ผมตาม แต่ไม่ทัน ..
ผมนึกไม่ออกว่าในความฝันผมเดินด้วยการก้าวเท้ากระทบพื้นไหม แต่ในสมาธิผมไม่ต้องก้าวเท้า แล้วในสภาพอย่างนั้น (เช่นความฝันหรือนิมิต) เรากะระยะทางได้ถูกต้องไหม?
จากการทดสอบทางจิตศาสตร์บอกว่า เราจะไม่ฝันถึงสิ่งที่เราไม่เคยเห็นหรอก นิมิตก็คล้ายความฝัน จิตมันเล่นละครให้เราดู มันจึงน่าจะใช้ทฤษฏีเดียวกันนั่นแหละในการอธิบาย
ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมเห็นภาพอะไร ผมจะทวนคิดก่อนทันที ขุดค้นลงไปในหน่วยความจำ ว่าเคยเห็นภาพหรือเคยจินตนาการภาพทำนองนี้ไหม ส่วนใหญ่ผมจำไม่ได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยมี (เราลืมอะไรๆ ไปมากกว่า 70% ของสิ่งที่เคยผ่านตา)  ผมจะสังเกตสภาพแวดล้อม เอาความรู้ทั้งหมดที่มีมาสังเกตสังกา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์  ประเมินสถานการณ์ด้านความปลอดภัย มองหาสิ่งมีชีวิตโดยรอบ พิจารณาแสง สี เสียง และระแวดระวังการคุกคาม!
หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ที่เห็นนั้นเขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริงคำพูดท่านลึกมาก ความหมายครอบคลุมไปถึงวัฎสังสาร ผมเห็นด้วยกับที่ท่านพูด นิมิตมันไม่มีความหมายอะไร แค่ได้ผจญภัย ก็สนุกดี มีอะไรให้เห็นก็ดูไป รู้สึกไป หากจะมองด้วยจิตวิเคราะห์ก็บอกได้ว่า ผมรุ้ตัวละว่ากำลังหลงทางและเริ่มจริงจังกับการหาหนทางสู่บางสิ่ง
ก็ช่างคิดขนาดนี้ (หรือฟุ้งซ่านเก่งนั่นเอง) ฌานจึงเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับผมแน่นอน ซึ่งฌาณ/อภิญญา เป็นเส้นทางที่ผมไม่เอาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปฝึกเพื่อมันให้เสียเวลาหรอกครับ ทำสติให้ดี ถึงเวลามันมาของมันเอง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ เพื่อจะบอกว่า อย่างผมเนี่ยอ่านเยอะมากนะ ไม่ต่ำกว่าพันหน้า A4 แน่ๆ แต่พื้นฐานความรู้ไม่แน่น กลับคิดว่าตัวเองเก่งพอที่จะเข้าใจ ก็เข้าใจแหละ แต่มันไม่ถูกทั้งหมด ยังจะไม่ชัดเจนในความต้องการของตัวเองด้วย .. มันคือความอวดดีที่ทำให้เสียเวลา เพราะงั้น ช่วงนี้ผมยอมเสียเวลาเต็มที่เลย ที่จะฟัง ทำความเข้าใจให้ถึงแก่น แล้วอดทนฝึกฝนต่อไป
การผิดทาง มันก็ดูเหมือนจะได้ผลนะ ภายนอกมันดูโอเคเลย แต่ข้างในมันเฟลเต็มที่ แล้วเราไม่รู้ด้วย เจอแค่มารตัวน้อยๆ ยังผ่านไม่ได้เลย พยายามเหอะ เอาให้มันพ้น รึจะคิดว่ากุขอแค่อยู่เป็นสุขๆ เถิด ก็คุ้มค่าที่จะทำแล้วล่ะ โชคดีนะยะ.
จิตทำงานขณะหลับเรียกว่าฝัน จิตทำงานขณะตื่นเรียกว่าคิด

ไม่มีความคิดเห็น: