While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความบังเอิญ ไม่มีในโลก

เขียนโดยคนเคยตาย
เราต่างรู้กันดีว่า เรื่องบังเอิญไม่มีในโลก เราเกิดกันมาเพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง
บ้างว่า เป็นความประสงค์ของพระเจ้า
บ้างว่า กรรมเป็นตัวพา
บ้างว่า ชะตาลิขิต / ลิขิตฟ้า
บ้างว่า เป็นความต้องการของวิญญาณเราเอง
ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน แต่ผมเชื่อแน่ๆ ล่ะว่า การดำเนินชีวิตของเรา เป็นไปเพื่ออะไรบางอย่าง อาจเป็นบททดสอบ ในวิจารณญาณด้านดีชั่ว การตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ความอดทนในการใช้ชีวิต ความพยายามเพื่อบางสิ่งบางอย่าง การเผชิญหน้ากับสุข ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจ ..
ทางเลือกที่เราเลือกได้ คุณเคยสงสัยไหม ว่าเราเลือกได้จริงรึเปล่า หรือไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเลือกทางที่มานี่แหละ .. สถานการณ์ ที่สร้างเรื่องต่อเนื่องในชีวิต คุณคิดจริงๆ เหรอ ว่าเราอาจเลี่ยงมันได้
ไม่ว่าต้นเหตุในการเกิดมาของเรา จะเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ ผมว่าไม่สำคัญ .. ความสำคัญอยู่ที่ มันมีวัตถุประสงค์เดียวกัน .. เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้น จึงเป็นสิ่งที่เราต้องระวัง อย่าให้มันตกต่ำลง ..
ผมเชื่อในชีวิตหลังความตาย เมื่อเราผ่านขั้นตอนของการดำรงชีวิต เราจะได้พบอะไรบางอย่างข้างหน้า เป็นอะไรผมคงบอกไม่ได้ อาจเป็นดินแดนใหม่ อาจเป็นการเปลี่ยนสภาพของสสาร อาจเป็นภพชาติใหม่ แต่ผมยังเชื่อว่า เมื่อถึงจุดนั้น จิตวิญญาณของเรา ได้เรียนรู้บางสิ่งแล้ว จากการมีหนึ่งชีวิตในโลกนี้ เท่ากับสิ่งมีชีวิตอื่น .. คำถามคือ เราได้ใช้ 1 ชีวิตของเรา เรียนรู้เรื่องอะไร ได้มากแค่ไหน
ผมคงต้องขอบคุณพระเจ้าของผม ต่อหน้าพวกคุณ .. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกดีหรือไม่
ด้วยความที่ผมไม่คิดว่าความบังเอิญมีในโลก และผมมีพระเจ้า .. ผมเลยคิดว่าตัวเองมีครูชั้นเลิศ ที่ให้บททดสอบมากมาย บังคับให้ผมต้องเรียนรู้ด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าจากการอ่าน การดู หรือจากประสบการณ์ตรง
ผมได้เรียนรู้ในรัก และการขาดความรัก
เรียนรู้ที่จะสุข และทุกข์
เรียนรู้ที่จะมีความหวัง และความสิ้นหวัง
เรียนรู้ที่จะต้องพยายาม และการยอมแพ้
เรียนรู้ที่จะเหน็ดเหนื่อย เพื่อความสุขเล็กน้อยของใครบางคน
เรียนรู้ที่จะต้องอดทน กับความยากลำบาก ด้วยความเต็มใจ
เรียนรู้ที่จะศรัทธา และสิ้นศรัทธา
เรียนรู้ที่จะคิดทบทวน ทุกสิ่ง ทุกความคิด ทุกความรู้สึก ทุกการกระทำของตัวเอง
สิ่งเหล่านี้สอนผม ให้รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น ในห้วงเวลาต่างๆ กัน มันเหมือนบทเรียนระยะยาว กับบางเรื่องที่ต้องซึมซับกันนานๆ .. เมื่อถึงจุดอิ่มตัว ผมกลับต้องเรียนรู้มากมายในเวลาสั้นๆ มันเหมือน Intensive course ในช่วงท้าย แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อย่างแน่นอน
คนทุกคน อาจเคยรู้สึกอย่างนี้ .. วันหนึ่ง เรารู้สึกว่า เราพอแล้ว เราไม่ต้องการมากไปกว่าที่มีอยู่อีกแล้ว เรารู้แล้วว่าเราต้องตายวันไหนไม่รู้ เราจะทำเท่าที่มันจะพอ ให้เราดำเนินชีวิตอยู่ได้ ไปจนถึงวันสุดท้าย เรารู้สึกถึงความตายไม่ได้ไกลจากตัวเรา มันอาจเกิดขึ้นในอีกนาทีข้างหน้า เราจะเตรียมพร้อม เราจะระวังความคิดและการกระทำไม่ให้หลงไป และเราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย เราไม่มีห่วง ไม่มีอะไร .. (ถึงคุณมี ความตายก็ไม่ได้ถาม ยังไงก็ต้องไปเหมือนกัน)
เราไม่ลืมว่า สิ่งที่เรามี จะถูกทอดทิ้ง หรือตกเป็นของคนอื่น เราไม่จำเป็นต้องสะสมให้มาก ไม่จำเป็นต้องครอบครองให้มาก ไม่จำเป็นต้องหวงทรัพย์สินของเรา หรือให้คุณค่ากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป
เรากินแค่อิ่ม นอนแค่พอ ทำงานเท่าที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ สะสมเท่าที่จำเป็น เปิดรับสิ่งที่ไม่กระตุ้นให้เราอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น เรียนรู้ปรัชญา ศาสนา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ อะไรอื่นๆ เปิดตาเปิดใจ ..
ผมว่า ถ้าเราหยุดความอยากได้ เราก็อยู่ได้อย่างสงบและเป็นสุข จนถึงเวลาของเรา
บางที บางคน .. ก็โชคดีมากกว่า .. ที่มีบางชีวิต มาช่วยทำให้เราเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น เร็วขึ้น ..
ผมคิดว่า มันคงน่าสมเพช ถ้าเราจะลงโลงอยู่แล้ว ยังหลงอยู่กับวัตถุ กิเลส ตัณหา ประดามี.

ไม่มีความคิดเห็น: