While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แดก ให้มันผอม!

อ่านไม่ผิดครับ ไม่ได้ประชดด้วย แต่ใช้วิจารณญาณนะ นี่มันประสบการณ์จริงของผม กินแล้วนอน ลดน้ำหนักได้ว่ะ มันได้ผล แต่ไม่ได้ความแข็งแรง ถ้าต้องการแข็งแรงคุณต้องออกกำลัง ไม่มีทางลัด ไม่มีทางเลี่ยง .. ประเด็นของเรื่องต่อไปนี้ อยู่ที่การจัดการกับระบบเผาผลาญอาหาร (ที่ทำงานผิดพลาด บกพร่อง เสียหาย ปิดตัว) หรือเมตาบอริซึ่ม หรือจะเรียกอะไรก็ช่างคุณ! .. ผมใช้วิธีนี้มาปีครึ่ง ได้ผลตลอด คราวนี้มัน error เลยคิดอยากเขียนเพื่อแชร์ ปัญหา สาเหตุ หนทางแก้ไข
รูปนิ เพื่อนผมทำไว้แกล้งผมโดยเฉพาะ ซ้ายตอนท๊อปฟอร์ม ขวาปัจจุบัน
อ้างอิงจากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน น้ำหนักผมขึ้นมาถึง 63-64 โล! แม่ม อยากจะกรี๊ด .. ที่ความสูง 168 ปกติน้ำหนักผมจะอยู่แถวๆ 57.5-58.5 ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำและอาหาร ถ้ากินมาก กินไม่คิด อาจไปถึง 59.5 แต่ไม่เคยแตะ 60 มาเป็นปีละครับ .. มาตรฐานหญิงไทย!
ว่าด้วยเรื่องน้ำหนักมาตรฐาน บางทีคุณก็อย่าไปสนใจมันมากเลยครับ ชายไทยใช้ส่วนสูง-100 หญิงไทยใช้ส่วนสูง-110 ผมว่ามันเป็นค่าอ้างอิงหยาบๆ ที่เฉลี่ยมาจากคน 60 กว่าล้าน! เราปัจเจกกว่านั้นรึเปล่าวะ .. เราแต่ละคน มวลกระดูกแตกต่างจากการกินอยู่ อายุ ระดับฮอร์โมน ขนาดของกระดูกแตกต่างตามกรรมพันธุ์ มวลกล้ามเนื้อแตกต่างจากการใช้งาน ตัวแปรช่างมากมาย ดูตัวเองดีกว่าไหม ถ้าคล่องแคล่วดี รูปร่างดี แข็งแรงดี รู้สึกสบายตัว มันก็น่าจะอยู่ในขอบเขตของคนสุขภาพดี ตัวผมเอง รู้สึกดีที่สุดที่น้ำหนัก 58 จึงพอใจจะคุมน้ำหนักให้มันอยู่แถวๆ นั้น
ปกติผมคุมอาหารแบบ ตามใจกู! และออกกำลังวันละชั่วโมงกว่า ด้วยเวทแบบไม่หนักมาก เป็นโรคหัวใจอ่า หนักมากก็ตายห่าดิ .. มันเลยเป็นแบบกึ่งเวทกึ่งคาร์ดิโอเสียมากกว่า ช้าๆ เป็นจังหวะ ควบคุมการหายใจให้ดี ใช้รูปแบบของแอโรบิค คือให้อากาศเข้าปอดมากๆ ใช้ออกซิเจนมากๆ ผมไม่สามารถทำอะไรที่ต้องเกร็งค้างไว้ได้ แพล๊งเพลิ๊งเหี้ยไร มึงทำกันไปเถิด
ผมใช้น้ำหนักเวทน้อยมากนะ ดัมเบลข้างละ 3 โล ที่ดัดเหล็กก่อสร้าง 3 อันมัดรวมเอาเทปน้ำตาลพันๆๆ ได้น้ำหนัก 8-9 โล ของเหลือในบ้านทิ้งไว้ก็เสียเปล่า เราดัดแปลงได้นี่ ผมเคยนึกถึงเหล็กกลมตัน S15C, S45C ราคาถูกมาก ถูกกว่าบาร์เบลเป็น 10ๆ เท่า สั่งให้ตัดได้ที่ขนาดและน้ำหนักตามใจเรา (อย่าไปเล่นเหล็กข้ออ้อยนะ จับยาก เจ็บมือ) มีขายตามร้านขายเหล็กทั่วไป เผื่อเป็นไอเดียถ้าคุณไม่คิดจะใส่จานน้ำหนักเพิ่ม ผมไม่คิดอะ พื้นที่ออกกำลังผมน้อย และผมก็ไม่ได้อยากล่ำบึ้ก เพื่อไรอะ .. ผมใช้ท่าพื้นๆ ที่หาได้จากเนท เพื่อสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันเฉพาะจุด รูปร่างสร้างได้ไม่ยากจริงๆ ครับ เป้าหมายผมคือ ไม่มีไขมันเป็นกองๆ มีกล้ามเนื้อพอให้ใช้งานได้ ก็พอละ
มันเคยมีช่วงที่ผมทิ้งการออกกำลังไปเลย หลายเดือน การกินดื่มแบบที่ผมจะเล่า ทำให้น้ำหนักไม่เพิ่ม .. แต่ไม่แข็งแรงไงครับ ผมไม่สามารถยกน้ำ 1.5 ลิตร 2 แพ็ค ขึ้นบันได 20 ขั้นได้ ก็พอทำได้แต่มันเหนื่อยจะตายห่าเอา อันนี้เป็นตัววัดสมรรถนะของร่างกายผม ผมทำงานชั้นบน มักจะซื้อน้ำไปทิ้งไว้ที่ทำงานครั้งละ 8 แพ็ค เพื่อให้มีกินวันละ 2 ขวด มีแต่น้องผู้หญิงไม่รู้จะใช้ใคร จึงควรทำเอง หิ้วข้างละแพ็ค 4 รอบต่อเนื่อง .. 1.5 x 6 = 9 ลิตร = 9 โล สองข้าง 18 โล บันได 20 ขั้น เดินอีก 20 ก้าว ควรทำได้ช่ะ เบากว่าบ๊าคตั้งครึ่ง ผมทำงานบ้านและงานสวนด้วยตัวเองทั้งหมด นี่คือเหตุผลที่ผมต้องออกกำลัง ถ้าคุณไม่มีอะไรให้ต้องทำ ก็ไม่ต้องแข็งแรงได้ ... เหรอ?
ที่น้ำหนักเพิ่มมา 4-5 โล เนื่องจากกินเหล้ามาก เลยนอนมาก กินอาหารน้อย ดื่มน้ำน้อย activity ต่ำ .. ร่างกายมันก็ปรับทันทีครับ กักเก็บทั้งน้ำทั้งอาหาร เลิกใช้ เก็บให้หมด มันคงกะให้กูจำศีลไปเลย! ไอ่ชิบหาย กลัวตายมากไปปะ .. ผมรู้ว่ามัน error จากการกิน ก็ต้องแก้ด้วยการกินครับ ง่ายๆ แค่นั้นเอง
หลังจากที่ผมเอาน้ำหนักออกไปได้ เลยนึกถึงว่า มีคนจำนวนมากนะที่ไม่ได้กินอะไรมากนัก ดูน่าจะกินน้อยกว่าใช้ ทำไมอ้วนนไม่เลิก เมื่อก่อนผมก็เคยเป็น ตอนหนัก 78 โล ผมกินแค่ 2 มื้อเองนะ .. อ่านมาเยอะ ทำได้ผล เขียนดีไหม สไตล์กู คงไม่มีใครทำอะไรไร้รูปแบบได้เท่านี้ 555++ เอาน่ะ มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน คุณอาจบอกไม่เป็นไร กูอ้วนแข็งแรงโว๊ย วันนี้ไม่เป็น สักวันมันจะเป็น คุณทำให้ร่างกายรับภาระเกินกว่าที่จำเป็นนานๆ ไม่ได้ มันจะปฏิวัติคุณ
ตอนนี้ ผมกลับมาเป็นปกติละครับ สับดาห์แรกผมกลับไปกินดื่มตามปกติ แล้วเดินกับเวท เดินเพื่อรีเซตระบบน้ำ เวทเพื่อเช็คน้ำท่วมปอด (ผมต้องให้รู้ชัดว่ามันไม่ใช่เพราะหัวใจ) น้ำหนักไม่ได้ลด แต่การถ่ายเทของเหลวกลับมาเป็นปกติ (เข้า=ออก) .. น้ำหนักผมมาลดลงในสัปดาห์หลัง ที่กินกับนอนจริงๆ ผมกิน 7 มื้อต่อวันนะ นี่เรื่องจริง .. ผมนอนสี่ทุ่ม ตื่นมากินตอนตีหนึ่งแล้วนอนต่อ ไม่ออกกำลังแม้แต่นิด เอาดิ มันลงว่ะ วันละ 3-4 ขีด ดีใจสัส
เมื่อร่างกายเก็บกักน้ำ มันก็เกิดอาการบวมน้ำ ถามกู๋ครับ อ่านๆๆ จนได้คำตอบ  อันนี้ผมแก้ไขโดยดื่มน้ำเข้าไปให้มากเท่าที่เคยดื่ม ให้ร่างกายมันรู้ว่ากุมีน้ำใช้พอ มันก็จะเลิกกักเก็บน้ำ การดื่มน้ำมากๆ เป็นการกระตุ้นให้มีการแลกเปลี่ยนของเหลวระหว่างเซลล์เยอะๆ ด้วยนะครับ ผลข้างเคียงที่ได้คือทำให้เซลล์มันตื่นขึ้นมาทำงาน เผาผลาญเพิ่มขึ้น
เมื่อบวมน้ำ มันจะบวมไปทุกอวัยวะ ทั้งภายในภายนอก ลองเป็นดู แล้วจะรู้ซึ้ง ทนครับ ทำไงได้อ่า ผมไม่มียาขับน้ำในยาที่หมอสั่ง ถ้าไม่อยากไปหาหมอ ก็ต้องรักษาตัวเอง ใจคิดว่าอดทนเอา ไม่ไหวค่อยไปโรงพยาบาล มันยังไหวแค่แย่หน่อย ผมมั่นใจว่าไม่ใช่หัวใจ หลอดเลือดข้างขวาเอาเลือดกลับไม่ได้ เพราะมันไปแค่ตาตุ่ม ตีนกูไม่บวม เย่ส
โตแล้วต้องช่วยตัวเอง พี่รองบอก ผมว่าจริงว่ะ บางที การรับความช่วยเหลือจากคนอื่นง่ายไป จะทำให้เราจัดการกับตัวเองได้ยากขึ้น หรืออีกแง่ อ่อนแอลง!
อาการอ้วนสัส โดยไม่ได้แดกเยอะสัส .. 80-90% เป็นผลมาจากการแดกไม่เป็น
อะ จริงดิ? .. ถ้าในหลายสิบบทความที่ผมอ่านมามันจริง นี่ก็เป็นคำพูดที่จริง เราอยากแก้ไขก็ต้องทำจริง ถ้าไม่จริงจัง ก็อย่าเสียเวลาอ่านเลย การบอกตัวเองว่าเดี๋ยวทำ มันก็เดี๋ยวอยู่นั่น .. ผมเคย brief เรื่องพวกนี้ให้คนอื่นฟังด้วยนะ ห่วงเขาน่ะ แต่เราก็รู้กันดีว่า การให้ในสิ่งที่ไม่ได้ร้องขอ เรียกสั้นๆ ว่า เสือก กับคนที่ใส่ใจ เราจะเต็มใจ สุขใจที่ได้ทำ .. เขียนตรงนี้มันดี เพราะผมได้แบ่งข้อมูลให้ใครก็ไม่รู้ที่สนใจจะอ่าน ผมไม่รุ้จักคุณ ผมไม่รู้สึกอะไรกับคุณ แต่ผมบอกหมดเปลือก คุณก็ได้ข้อมูลเถื่อนๆ ไปใคร่ครวญและใช้ประโยชน์ที่อาจมี !  555++ คิดหนักไหม
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ร่างกายคือระบบเซนเซอร์ที่โคตรจะสมบูรณ์แบบ แต่ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เราปิดมันไปรึเปล่า เราทำให้รวนไปแค่ไหน .. อย่าทุกข์ตรมกับอดีตมากนัก มันไม่ช่วยอะไร สิ่งที่ต้องใส่ใจตอนนี้คือ เราจะทำยังไงให้ร่างกายเรากลับมาเป็นปกติ การใช้พลังงานราบรื่น คุณต้องเปิดระบบเผาผลาญขึ้นมาใหม่ หลอกให้มันกลับมาทำงานให้เต็มประสิทธิภาพ
อย่าคิดว่าคงไม่ไหว ผมเคยหนักถึง 78 โล ตัวเกือบแตก เคยจะตายด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพราะความอ้วนนั่น วันนี้ผมหนัก 58 และแข็งแรงดี ทำงานหนักได้เท่าที่คนปกติจะทำไหว ผมโคตรขี้เกียจผมยังทำได้ คุณคิดว่าไง
วิธีของผมบ้านๆ มาก เพราะผมไม่สนอาหารคลีน ไม่สนใจจะมานั่งเตรียมอาหารต่อมื้อ เสียเวลาว่ะ ผมเอาง่าย มีอะไรก็กิน ไม่ทำอะไรให้เป็นการเพิ่มภาระให้ตัวเอง คุณอาจลองดู เผื่อมันจะเป็นวิถีที่ปฎิบัติได้ง่าย ถ้าจะพูดให้ตรง สำหรับคนขี้เกียจและไม่ต้องการความยุ่งยากอะไรทั้งนั้น .. นอกเหนือจากงาน ความยุ่งยากเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือยไร้สาระ คุณคิดอย่างนั้นไหม
ความจริงเมื่อเริ่มเปลี่ยนวิถีการกินอยู่หลับนอน คุณต้องดูการตอบสนองของร่างกายตัวเองเป็นเฉพาะคนไป คุณอาจเป็นคนปกติ คือยังไม่พบโรค ไม่พบอาการแสดงที่ผิดปกติ แต่แน่ใจหรือว่าคุณปกติจริงๆ คุณแข็งแรงกว่าผู้ป่วยบางคนที่เขาพยายามดูแลตัวเองรึเปล่า อาจารย์ตอน ม.4 เคยบอกครับ ให้เรียกผู้ป่วย อย่าใช้คนป่วย เวลาผวนเล่นแล้วมันจะลำบากใจ
เราแต่ละคนโคตรจะแตกต่าง เรื่องกรรมพันธุ์ การกินอยู่ การดำเนินชีวิต เป็นความเฉพาะตัว คุณไม่อาจไปกินเท่าคนที่มีระบบเผาผลาญดีๆ ที่กินได้เท่าควายแต่ไม่ยอมอ้วน เพื่อนผมคนนึงมันกินยังกับมันมี 4 กระเพาะ แต่รูปร่างดีเพราะ activity สูง หรือบางคนกินแค่สองมื้อ แต่ร่างกายก็ไม่เข้า save mode เพราะมันเดินทั้งวัน แดกน้ำทั้งวัน ฉี่ทั้งวัน เซลล์มันโดนกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา .. เราทำอย่างเขาได้ไหม .. ไม่ได้
ผมเคยอ่านเจอ ใครพูดไม่รู้ ลืมไปละ เขาบอกว่า คนเรามักทำสิ่งเดิมๆ แล้วหวังว่าผลมันจะเปลี่ยน เออ บางเรื่องผมก็เป็นว่ะ .. ถ้าคุณทำสิ่งเดิมๆ มาตั้งนาน แล้วมันไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ลองเปลี่ยนวิธีดูดีไหม .. เริ่มจาก คิดให้ถูก แล้วทำให้ตัวเองเชื่อว่า คิดถูก คิดดีละ คุณจะได้มีความสุขที่ได้ทำ ไม่มีอะไรให้ฝืนใจ
ระบบร่างกายเรามันอัติโนมัติมาก มันตอบสนองกับสิ่งที่รับหรือขาดหายไปจากเวลาที่เคยได้รับปกติทันที มันไม่ได้ฟังสิ่งที่เราพูดหรือคิด ถ้าใครเคยผ่านตาเรื่องพวกนี้มาบ้าง คงเข้าใจดี ครั้งแรกที่คุณเริ่มทำให้มันมีปัญหา นานแค่ไหนแล้วล่ะ สะสมมานานแค่ไหน .. อย่าสนใจ มาเริ่มใหม่กัน เราเริ่มใหม่ได้เสมอ แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องเริ่มอะไรใหม่บ่อยๆ มันจะยากขึ้น
ร่างกายเรามันก็เหมือนหมาหรือเด็กแหละครับ เราเรียนรู้จากเขาว่าเขาต้องการอะไร แล้วปฏิบัติต่อเขาเพื่อให้เขาตอบสนองต่อเราในแบบที่เราพอใจ มันจะกลายเป็นความพอใจทั้งสองฝ่าย ร่างกายเราก็เป็นอย่างนั้น กับใครๆ ก็เหมือนกัน ดังนั้น เสียเวลาเรียนรู้นิดนึง เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ!
เอาเรื่องน้ำก่อนไหม บางคนก็อ้วนเพราะบวมน้ำนะ เมื่อคุณดื่มน้ำน้อยไป ร่างกายมันก็กักเก็บ เพราะ 70% ของร่างกายเราคือน้ำ มันต้องการน้ำ มันกลัวตาย หรือการกินอาหารเค็มๆ มันก็จะพยายามเก็บน้ำไว้เพื่อเจือจางระดับเกลือที่มีอยู่ในร่างกาย จะมีโรคบางอย่างที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำ ซึ่งถ้าไม่เข้าข่าย ก็ข้ามไปครับ
มันมีหลากหลายแนวคิดมากครับ เกี่ยวกับการดื่มน้ำ บ้างก็ว่า 8 แก้วดี บ้างว่า 8 แก้วมันสำหรับปริมาตรร่างกายแบบคนยุโรป-อเมริกัน บ้างว่าดื่มเมื่อกระหาย เพราะนั่นร่างกายบอกว่าต้องดื่ม เหรอ .. บ้างว่าดื่มมากไตทำงานหนัก คือ พออ่านมากๆ ผมก็มึนเหมือนกันนะ แต่ละที่มาก็น่าเชื่อถือหมด เลยเอาที่กูสบายใจละกัน
สำหรับผม ถ้าดื่มน้ำน้อย ผมจะมีปัญหาเรื่องระบบขับถ่ายเป็นอย่างแรก ถัดมาคือร่างกายกักน้ำ บวมน้ำ อันนี้เพิ่งเจอหลังการดื่มหนักคราวล่าสุด น้ำตามน้อยไปหน่อย .. การจิบน้ำไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องน่ารำคาญ ถึงมันจะดีมาก ผมมักดื่มครั้งละครึ่งแก้วทุกครึ่งชั่วโมง เมื่อทำทุกวัน มันจะรู้เวลาของมันเอง ครึ่งชั่วโมงก็คอแห้ง หิวน้ำ เห็นปะ หลอกง่ายสัส ฝึกแพพเดียวเอง
ตามหลัก น้ำสะอาดชะล้างสิ่งสกปรก ช่วยให้การแลกเปลี่ยนของเหลวระหว่างเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น นั่นเป็นการกระตุ้นให้เซลล์ตื่นตัว น้ำจัดการกับไขมันได้ไหม ในทางตรงผมไม่คิดอย่างนั้นนะ มันแยกจากกันชัดเจนอยู่ แต่ในทางอ้อมอาจช่วยกระตุ้นให้มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น .. น้ำในปริมาณมากไป จะถูกขับออกมาเอง (ค่าไตผมปกตินะ ที่น้ำ 4 ลิตรต่อวัน) เอาเป็นว่า ยังไงๆ ผมก็เชื่อว่าน้ำมากๆ ดี และจะดื่มมันมากๆ อย่างนี้ต่อไป น้ำที่ดื่มก็น้ำธรรมดาอะครับ น้ำแร่จากเทนเนสซีนานๆ ดื่มที ดื่มไปก็ดมกลิ่นไม้โอ๊คและสารพัดสิ่งที่อยู่ในส่วนผสมไปด้วย มันแพงอ่า ต้องดื่มด้วยความดื่มด่ำครับ
ความจริง ถ้าคุณจริงจังมากๆ ก็ควรงดเหล้า เบียร์ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิด มันทำให้ระบบเผาผลาญทำงานด้อยลง ผมทำไม่ได้ และจะไม่ทำ 555++ นานๆ ทีน่า ไม่เป็นไรหรอก แต่บทเรียนที่ต้องจดจำคือ ต้องดื่มน้ำตามในปริมาณมากๆ มันเป็นรูปแบบการดื่มด้วยมั๊ง ผมมักดื่มเพียวๆ น้ำตาม สุนทรีย์ แต่ไม่ดีกับสุขภาพ สัปดาห์ถัดมา ผมลดการดื่มจาก 45-50% แอลกอฮอล์ เป็น 35% และผสมน้ำเปล่า ลดปริมาณลงจาก 400 ซีซี เหลือแค่ 200 ซีซี อาการดี ไม่มีเอฟเฟกต์ เล่าให้ฟัง จะเอาไปทำมั่งก็ไม่ได้ว่าอะไร
มาเรื่องอาหารต่อเนอะ ที่ผมกินยิ่งง่ายใหญ่เลย .. แม่ทำอะไร ผมก็กินไปครับ แม่ผมติดเค็มมัน ผมเคยบ่นทุกวันจนเลิกบ่นไปเอง เดี๋ยวนี้ถ้าผัดผักน้ำมันมากไป เค็มไป ผมก็เทน้ำทิ้ง ถ้ายังมันเค็มอยู่ ก็เอาน้ำร้อนใส่ ตะเกียบคีบส่ายๆ ล้าง กินได้ละ ต้มจืดก็กินแต่ผัก ในน้ำแกงมันมีอะไรมั่งล่ะ มองดูเอาละกัน ง่ายไหม ไม่ยากเลย
ผมเคยอ่าน พระท่านสอนพระด้วยกัน อย่าทำตัวเป็นคนเลี้ยงยาก เราโชคดีกว่าพระเท่าไหร่ที่เลือกแดกได้ พระต้องฉันสิ่งที่คนถวายคิดว่าดี ดีจริงหรือเปล่าในแง่ของสุขภาพ คราวหน้าตักบาตร หาของที่คิดว่าแม่ตัวเองกินได้ ถวายท่าน โอเคนะ อย่าให้ตัวเองบาปที่ไปทำท่านเสียสุขภาพ
กฏสำคัญมากๆ ของผม .. ห้ามอดอาหาร ห้ามปล่อยให้หิว อย่ายอมให้ท้องร้องเด็ดขาด เราต้องแดก เพื่อให้ร่างกายมันรู้ว่ามีจะแดก .. อะ ผมพูดจริงครับ ต้องกิน กินบ่อยๆ ด้วย ทุก 2 ชั่วโมงได้ยิ่งดี นี่เป็นการหลอกร่างกายให้ทำงานตลอดเวลา สันดาบ เผาผลาญ มีอาหารตลอดนะ มึงไม่ต้องเก็บ ใช้ไป ใช้ไปเรื่อยๆ
ผมค้นพบว่าตัวผม ไม่ว่าจะแดกไปมากแค่ไหน ผ่านไป 2 ชั่วโมงมันก็หิวอีกอยู่ดี ผมเลยแบ่งมื้อให้มันเล็กลง เพราะเดี๋ยวก็ต้องกินอีก ไม่กินมันก็คิดว่าไม่มีจะกินแล้วเก็บง่า ผมให้อาหารหลอกบ้าง(แคลอรี่ต่ำมากๆ) สลับมื้อกันไป .. การลดขนาดกระเพาะอาหารสามารถทำได้ไม่ยากนะ ควบคุมความอยากให้ได้ก่อน ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารต่อมื้อ กระเพาะมันจะหดลงเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่ต้องทรมาณกับความหิวมากนัก ส่วนการขยายขนาดกระเพาะเป็นเรื่องง่ายมาก ง่ายสัส ทนจุกมื้อเดียวก็ได้ผลละ อย่าเผลอนะ
ในกรณีที่คุณไม่หิว เพราะเคยชินกับการกินน้อยมากๆ กินห่างมื้อมากๆ จงหาอะไรใส่ปากไปตามเวลา ผลสัมฤทธิ์คือคุณต้องเริ่มหิวตามเวลา ถ้างานมันมากจนลืมเวลา ก็ตั้งนาฬิกาปลุกนะ เห้ย ผมซีเรียสจริงๆ นี่คือการกระตุ้นให้ระบบมันกลับมาทำงาน
สิ่งที่กินสำคัญกว่า .. ให้กิน แต่ไม่ใช่ว่าจะกินอะไรก็ได้นะครับ นั่นนรกเลย!
จำไว้อย่าง ไม่ว่าอาหารนั้นจะเลิศรสแค่ไหนในความรู้สึกคุณ ในความเป็นจริง ร่างกายมองมันเป็นแค่พลังงานกลุ่มหนึ่งเท่านั้น สารอาหารดีร้ายที่รับเข้าไป จะกลายเป็นภาระให้ร่างกายเราต้องจัดการ ผมไม่มีปัญหากับรสชาติของอาหาร เพราะเคยฉันรวมๆ แบบพระอยู่หลายเดือน ไม่ได้บวชครับ แค่อยากรู้ว่าพระทำแบบนั้นเพื่ออะไร อ่านแล้วไม่เก๊ทก็ลองทำ นั่นดีตรงที่ได้ฝึกให้ตัวเองรู้จักการกินเพื่ออยู่ รู้ปริมาณที่ควรกินต่อมื้อได้ชัดเจน เมื่อเลิกติดกับรสชาติ เราจะมีความยับยั้งชั่งใจในการแดก มากขึ้น
เอาเป็นว่า จงให้อาหารตัวเองในปริมาณที่เพียงพอ สารอาหารครบหมู่ แต่พยายามลดแคลอรี่ เข้าใจตรงกันนะ ผมให้อาหารตัวเองมื้อละถ้วยน้ำพริกพูนๆ ส่วนคุณจะให้แค่ไหนก็เรื่องของคุณ .. ทำยังไงก็ได้ ให้มันรู้ว่าของกินมาละ ไม่อดละ มันต้องการรู้แค่นั้นล่ะ มันก็จะดึงพลังงานใช้ของมันไปเรื่อย ไล่เรียงไปตามลำดับ (หลอกมันได้ กูสะใจ) พลังงานชุดแรกที่ดึงใช้คือน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรต ห่าอะไรแล้วแต่จะเรียก ถ้ามันใช้หมด มันจะไปดึงพลังงานชุดสองมาใช้คือไขมัน นี่คือกลไก
มีสายฮาร์ดคอร์ที่ผมเคยอ่านเจอ จะลองฟังไหม ผมเคยลองละ ก็ได้ผลจริงครับ แต่ไม่ควรทำยาวๆ ต้องดูอาการตัวเองด้วย คืองดคาร์บและน้ำตาลจากทุกแหล่งไปเลย ให้มันดึงไขมันใช้โดยตรง พวกใจร้อนอะครับ ปัญหาคือ ในสัปดาห์แรก คุณจะหมดแรง อาจหน้ามืด เวียนหัว วืดไป ไหวรึเปล่า สัปดาห์ที่สอง ร่างกายจะเคยชินในการปรับไปใช้พลังงานจากไขมันเป็นหลักละ อาการหมดเรี่ยวแรงเดินจะหายไป วิธีนี้ได้ผล แต่จะทำให้คุณได้รับสารอาหารไม่ครบ อวัยวะสำคัญต้องการคาร์บจริงๆ นะ ผมไม่แนะนำให้ทำ แต่ถ้าอยากลองก็เชิญ ผมลองอยู่เกือบเดือนก็เลิกไป ไม่ประทับใจครับ
วิธีที่ถูกคือ ลดคาร์บลงให้เหลือในปริมาณที่จะใช้นิดหน่อย แล้วต้องดึงไขมันใช้ต่อ ปริมาณคือเท่าไหร่ วันๆ คุณทำอะไรมั่งหล่ะ อันนี้ผมบอกให้ไม่ได้ ไปหาเอาเองมั่ง ถ้าพื้นๆ ของผมก็เหลือข้าว 3-5 ช้อนต่อมื้อ ไหวปะ ไม่ไหวก็เพิ่มไปก่อน ค่อยๆ ลดนะ อย่าทรมานตัวเองมากนัก สงสารมัน .. คาร์บที่ดีคือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คืออะไร ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต แป้งไม่ขัดขาว พวกนี้จะไม่สะสม ถ้าคุณกินคาร์บเชิงเดี่ยว(ข้าวขาวงี้อ่ะ) คุณใช้ไม่หมด มันจะสะสมเป็นไขมันต่อ
การลดของมัน หมายถึงน้ำมันที่เลี่ยงไม่ได้ในผัดผัก น้ำมันจากเนื้อสัตว์ในน้ำต้มจืด ไขมันในเนื้อสัตว์ อะไรพรรค์นี้ ไม่ใช่ลดปริมาณการกินหมูสามชั้น เป็ดย่าง ขาหมู ของทอดต่างๆ .. ผักต้มผมก็ไม่ไหวว่ะ ถ้าให้กินผักต้มผมขอเป็นผักดิบจิ้มซอสพริกแล้วกัน อร่อยกว่าเยอะ ทำไมต้องซอสพริก ที่ทำงานผมเขาขำกันนะ ซอสพริกมีความเค็ม แต่แคลอรี่น้อยกว่าน้ำสลัดที่แคลอรี่ต่ำสุด นั่นคือเหตุผลของผม เค็มก็อย่าจิ้มมาก ผมกินผักเปล่าๆ ให้อร่อยไม่ได้อะ ส่วนเรื่องน้ำพริก ยุ่งยากเกินไป
พวกของทอดทั้งหลาย ต้องใจแข็งให้มาก ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ เอาทิชชู่ห่อไปหลายๆ ชั้นครับ แล้วกำให้มันแน่นๆ ให้ทิชชู่ซับน้ำมันออกมา ผมเพิ่งทำไปกับปาท่องโก๋ที่อยากกินจนหน้ามืด เห็นน้ำมันแล้วน่าตกใจ ถ้าแดกเข้าไปหมดนั่นต้องเดินกี่โลถึงเอาออกหมดวะ แต่ก็กินครับ สัส แป้งและน้ำมัน กินไป 3 ชิ้น เอาให้หายอยาก แล้วลาขาดกันหลายๆ เดือน .. เนื้อสัตว์ติดมัน เลิกนะ ถ้าชอบก็ทำใจเอาครับ เนื้อวัวเนื้ออะไรที่มันนุ่มๆ ทั้งหลายคือไขมันแทรกทั้งนั้น อย่าแดก ..
ถ้ามันห้ามใจไม่ไหวจริงๆ หรือ ห่า ขออาทิตย์ละครั้งได้มะ วันนี้กูขอจัดเต็ม เอาเลยครับ ทริคของผมคือผักสดที่มีกากใยมากๆ กินเข้าไปเยอะๆ กินไปด้วยกัน มันจะช่วยดูดซับก้อนไขมันที่คุณเคี้ยวๆ ไปนั่น เพื่อความสุขของปาก เอาที่สบายใจเลยครับ .. แต่คนเรา ถ้าปล่อยให้มีครั้งแรก ครั้งต่อไปมันจะง่ายขึ้น ว่ามะ ถ้าตั้งใจจริง ก็อย่าตามใจตัวเองบ่อยนัก เปลี่ยนไปเลย ทำให้มันเป็นนิสัยจะดีกว่า
สิ่งที่ผมมักเลือกกิน คือ ไข่ ปลา อกไก่ กุ้งเล็กน้อย ปลาหมึกเป็นสิ่งที่ไม่ควรกินมากๆ แคลอรี่มันสูง ทำไมพูดถึงปลาหมึก ผมชอบง่า ไม่พูดถึงปูเพราะมันกินยาก ไม่ชอบครับ .. บางคนโฟกัสไปที่ไขมันดีไขมันเลว แน่นอนว่าเราไม่ควรกินไขมันเลว แต่ไขมันดีก็ต้องไม่เกินจากที่เราจะใช้ ไม่งั้นมันก็สะสมอยู่ดี เอาเป็นว่า นึกถึงแคลอรี่ให้มาก เราใช้กันวันละเท่าไหร่ อย่ากินเกิน ถ้าจะลดขนาดตัวเอง ก็เอาใส่เข้าไปให้น้อยกว่าที่ต้องใช้ แคลอรี่กับปริมาณเป็นคนละเรื่องกันนะ ผักและน้ำเปล่าเป็นสิ่งที่กินเท่าไหร่ก็ได้
ของที่ผมเคยชอบตอนอ้วนเป็นพระสังกัจจายน์ ก็ยังชอบอยู่นะ กินปีละครั้งสองครั้งพอ บังคับตัวเองเอา จริงๆ พอมันเคยชินเป็นนิสัย เราจะไม่กล้ากินมันเอง จะเกิดความรู้สึกสงสารตัวเองถ้าจะกินมัน นึกถึงผลเสียที่จะตามมา พอคิดใคร่ครวญให้ดี ก็เลิกคิดที่จะกิน
ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด คิดสิ แคลอรี่เท่าไหร่ ไขมันเท่าไหร่ อ่อก๋วยเตี๋ยวอีกอย่าง เดี๋ยวนี้ถ้าผมอยากมากๆ ผมสั่งวุ้นเส้นเย็นตาโฟ ไม่ใส่หมูสับ หมูสับมันนุ่มเพราะเป็นเนื้อหมูผสมมันไงครับ ยิ่งไอ่เศษหมูที่ลอยในน้ำ ซดเข้าไปแล้วฟินสัสอะ มันหมูทั้งนั้น ผมเลือกวุ้นเส้น เพราะแคลอรีน้อยกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่หลายเท่าในปริมาณเท่ากัน ไม่ต้องกินหมูแดงด้วย แต่ไปเล่นแมงกระพรุนกับปลาหมึกกรอบแทน! เอาวะ อย่ากินบ่อย ..
ที่เล่าเป็นฉากๆ มานี่ เพราะผมอยากให้คุณดูส่วนผสมของอาหารด้วย ว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ไม่ใช่ดูแต่ภาพรวมที่มันสวยงาม อร่อยสัส .. เขาว่า การคิดมากบั่นทอนความสุข คำถามของผมคือ มากน้อยเอาอะไรวัด พาลสงสัยไปถึงคนที่พูดคำพูดนี้ออกมาเป็นคนแรกด้วยว่า เขาพูดบนพื้นฐานของอะไร คิดรอบด้านแล้วหรือยัง .. ตัวผมเชื่อว่า คิดมากดีกว่าคิดน้อยแน่ๆ ใครว่าคุณคิดน้อย คุณโกรธไหมล่ะ
ผมเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์มีสีอย่างจริงจัง ทำไม .. เนื้อสัตว์สีขาวปลอดภัยกว่า (ถ้าเราไม่คิดถึงไก่อัดฮอร์โมนอะนะ) ในขณะที่เนื้อสัตว์มีสี มีสาร myoglobin (ฮีโมโกลบินคุ้นอยู่เนอะ เลือดเราสีแดง, myoglobin คือสารที่ทำให้เนื้อเยื่อมีสีแดง) พอเราเอามาทำให้สุก มันก็จะกลายเป็นสาร heterocyclic amines ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง! งั้นกินแม่มดิบๆ อ่า! แค่นี้พอเนอะ เรื่องทางวิชาการก็ให้นักวิชาการเขาเขียน ผมคนบ้านนอก รู้เท่าที่จะใช้ คุณอยากรู้ไปเจาะอ่านเพิ่มเอา ผมต้องเลี่ยงเพราะผมมีกรรมพันธุ์เรื่องเซลล์เนื้อเยื่อผิดปกติ เคยเป็นแล้วด้วย ก็ต้องระวังมากกว่าคนปกติ ผมห้ามพ่อแม่กินไปด้วย ห้ามได้หรือ ไม่ได้หรอกครับ เราก็อย่าตักมาใส่ปากเอาเอง
ไข่ต้ม กินเข้าไปเถิด มันดีตรงไม่ต้องกินน้ำมันไปด้วยไง ไข่ขนาดมาตรฐานทั้งลูกมีพลังงาน 70 แคล มีโปรตีน 7 กรัมซึ่งเป็นโปรตีนที่ดีที่สุด บ้างว่าให้กินแต่ไข่ขาว ไข่แดงเขาว่าคลอเรสเตอรอลสูง แต่มันมีไขมันดีอยู่ไง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A B1 B2 B3 B6 B12 เหล็ก โฟเลต โครีน ประโยชน์เยอะมากนะ B6 B12 นี่ก็ช่วยเรื่องระบบประสาทโดยตรงเลย เมื่อก่อนผมก็ไม่กินไข่แดง เดี๋ยวนี้กินหมดครับ .. เรื่องไข่นี่ รายละเอียดเล่ากันไม่หมด ถ้าพอมีเวลา ลองศึกษาเพิ่มเติมนะครับ หาข้อมูลจากหลายแหล่งหน่อย อย่าเชื่อตามๆ กันไป อย่าให้ใครหลอกคุณให้เชื่ออย่างเขา
คนปกติกินไข่ได้วันละกี่ฟอง ขึ้นอยู่กับคุณจะใช้มันทำอะไร ผมใช้แทนโปรตีนต่อวัน ในกรณีที่ไม่มีโปรตีนจากแหล่งอื่น หรือมีแต่กินไม่ได้ เพราะผมต้องการรักษากล้ามเนื้อไว้ คนปกติควรได้รับโปรตีนจากสัตว์อย่างมากหนึ่งฝ่ามือต่อวัน(ไม่รวมนิ้วนะ) ไม่งั้นจะเป็นภาระให้กับร่างกายมากเกินไป ถ้าคุณจะออกกำลังเอากล้าม คุณก็กินได้มากกว่านั้น ไข่เป็นโปรตีนชั้นดีที่ปลอดภัยที่สุด
พูดถึงเนื้อสัตว์นิดนึงละกัน เราต้องการกรดอะมิโนจำเป็นจากเนื้อสัตว์ ตัวที่เราสร้างเองไม่ได้อะครับ มันจะมีปริมาณที่ใช้ต่อวัน เกินจากนั้นก็ต้องขับทิ้งอยู่ดี กลไกร่างกายเรามันไม่เก็บไว้ใช้ต่อพรุ่งนี้อะ ถ้าไม่อยากกินเนื้อสัตว์โดยตรง ก็อาจเลี่ยงไปหาเอาจากวิตามิน บางอย่างละลายในน้ำ บางอย่างละลายในไขมัน อะไรประมาณนี้ เคยต้องจัดให้บ๊าคก็พอรู้บ้าง ลืมหมดละ .. ไม่รู้ดิ ผมกินเนื้อสัตว์น้อยมาก ไม่กินวิตามินอัดเม็ด แต่ก็แข็งแรงดี
ผมไม่ค่อยเล่นไข่ดาวทั้งๆ ที่ชอบมาก จะไม่ให้มีน้ำมันๆ ก็ไม่อร่อย กระทะไร้น้ำมันก็เคยทำ เข้าเวฟเป็นไข่ดาวต้มก็น่ารักดี ปัญหาของผมคือ ขี้เกียจว่ะ ก็ปรับตัวให้ง่ายเข้าไว้ โดยอย่าไปกินมัน
ไข่เจียวก็เป็นสิ่งที่ผมชอบ ใช้กระทะไร้น้ำมันไข่แม่มด้าน เราเจียวเองใส่น้ำมันช้อนนึงกับไข่ 2-3 ฟอง ก็ได้ไข่แห้งๆ แข็งๆ มา ไม่อร่อย กินนอกบ้านอย่างอร่อย ผมแอบดู เขาใช้น้ำมัน 1 กระบวยเล็ก ยกขึ้นมา น้ำมันอยู่ในไข่หมดเลย กูไม่กินก็ได้วะ เอาออกยังไงอ่า
อกไก่ เป็นสิ่งที่ผมซื้อติดบ้าน มันเป็นส่วนที่ไขมันน้อยสุด แม่มักหมักแล้วอบ คุณไม่จำเป็นต้องไปใช้น้ำมันช่วยให้มันสุก แปะๆ กับกระทะมันก็สุกละ กินไป อย่าเรื่องมาก .. เรื่องอาหาร ผมกินตามมีตามเกิดจริงๆ เลยจะไม่ลงลึกนะ ข้อมูลมีทั่วไปในเนทครับ
ก็แค่คิด ก่อนเอาอะไรยัดใส่ปาก เข้าไปแล้วกว่าจะเอาออกมาได้ ต้องลำบากไหม เดินหมื่นก้าวใช้พลังงาน 500 แคลเอง .. ร่างกายเราคือทางผ่านของพลังงาน ควบคุมขาเข้ากับขาออกให้เท่ากัน ส่วนที่ขาดหรือเกินก็แปรผันไป คิดบ่อยๆ เข้าไว้ ทำให้มันเป็นนิสัย จาก 7 habits นิสัยสร้างได้ใน 21 วันเท่านั้น ลองดู ผมลองมาแล้วมันจริง .. อะ อ้างหนังสือดังนิดนึง จะได้ดูทรงภูมิ 555++
อ้วน เพราะไขมันๆ พอกอยู่ คุณต้องเอาไขมันออกไป ถึงจะเจอกล้ามเนื้อตัวเอง คุณเคยดูภาพจาก the body world ไหม แรกๆ ผมแปลกใจ แบบไม่รู้อ่า เหมือนเด็กไร้เดียงสา ก่อนหน้านั้นไม่เคยดูเขาผ่าศพ ผมไม่ได้โรคจิตนะ ดูเพื่อศึกษาเรื่องอสุภกรรมฐานน่ะ ก็สงสัย ทำไม คนบริจาคร่างกายรูปร่างดีทุกคนเลยเหรอ จริงๆ แล้วไม่ใช่ เขาแค่เลาะผิวหนังและชั้นไขมันออก มันจับตัวเป็นกลุ่มก้อน แผ่กระจายไปทั่ว ใต้ชั้นผิวหนังของเราไง เมื่อเราสะสมไว้และไม่เคยใช้มัน มันก็นอนเป็นสุขอยู่อย่างนั้น
ถ้านึกไม่ออก ลองไปดูแผนกขายเนื้อสัตว์ตามห้างนะครับ ขั้นเบสิค คุณจะเห็นกายภาพ ตับไตไส้พุง อาหารมาจากไหนไปไหน ผ่านอะไรมั่ง มัดกล้ามเนื้อ การเรียงตัวของชั้นไขมัน กลิ่นเนื้อดิบๆ ไม่ต่างกับของคนมากนักหรอก ดูแล้วก็ย้อนดูความคิดความรู้สึกตัวเองไปด้วยแล้วกัน คุณจะซาบซึ้งได้มากกว่า อาจง่ายกว่า ถ้าคุณหาภาพกายวิภาคดู แต่มันจะไม่ซึ้ง
ผมเคยไปดูเนื้อสัตว์โดยไม่ได้คิดจะซื้อ เพราะอยากเข้าใจ ผมไม่กินและไม่ให้พ่อแม่ผมกินด้วย ไม่ได้เคร่งครัดอะไร แค่รู้ว่ามันไม่ดี กินนับครั้งได้ .. เดี๋ยวนี้ มีปศุสัตว์ใดเลี้ยงโดยไม่ให้ยาเร่งบ้างครับ สัตว์น้ำลึกเหรอ ก็โอเคนะ แคลอรีสูงไหม กินได้กี่ชิ้นต่อคนต่อวัน ไม่รู้ครับ ผมไม่ใช่คนสรรแดก!
การควบคุมอาหารเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผม อาจยากมากสำหรับคุณ พยายามนะ เราต้องรู้จักควบคุมความอยากของตัวเอง เพื่อสุขภาพ! หลายคนว่าผมว่า ระวังเรื่องอาหารมาก แต่ยังดื่มเหล้า ดื่มกาแฟวันละ 3-4 แก้ว สูบบุหรี่วันละซอง ผมก็ทำเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ตัวเองมีความสุขตามสมควรน่ะนะ จะให้ชีวิตมีแต่เรื่องเฉยๆ หมดเลยหรา
มาต่อเรื่องรสชาดของอาหารดีกว่า คุณพยายามอย่าให้รสจัดมากก็พอ มันจะทำให้ระบบรวน นี่ผมพูดจริงๆ นะ ค่อยๆ ลดความเข้มข้นของรสชาติลง ไม่ต้องทรมานตัวเองมาก มันจะเหนื่อย ลดเรื่อยๆ เดี๋ยวลิ้นมันก็ปรับตัว อย่างช้าสองเดือน คุณจะรู้สึกว่าอาหารรสไม่จัด น่ากินกว่า อร่อยกว่า พยายามเอาครับ เอาแบบที่ง่ายต่อการปฎิบัติจริง บางทีรายละเอียดเยอะไปจนทำไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร .. อ่อ เขาว่ารสเผ็ดเพิ่มการเผาผลาญ ก็อาจจริง แต่ผลเสียมากกว่าหรือเปล่า คุณก็ลองทบทวนดู
ผลไม้ ดีจังที่ผมไม่ชอบ ใครชอบและคิดว่าดี ผมไม่ได้เถียงครับ แต่ดูปริมาณน้ำตาลแฝงของมันด้วย จริงๆ ถ้างดน้ำตาลได้จะดีมาก แต่ผมเปล่า ทั้งอาทิตย์มานี้ ผมกินขนมหวานทุกวัน แต่หลังมื้ออาหารที่กินผักไปมากมาย .. การงดน้ำตาลที่รู้ชัดเป็นเรื่องดี เพราะมันมีน้ำตาลแฝงอีกบานที่เราไม่รู้ชัด หรือไม่ได้จำเป็นจะต้องจำ ผมไม่มานั่งจำอะนะ
ผมกินกาแฟ 3in1 ซึ่งไม่มีใครควรกิน มันบ่อนทำลายมากๆ ทั้งน้ำตาลทั้งครีมเทียม แต่ผมสะดวก ก็กินไปครับ กินแบบร้อนๆ นะ กาแฟเย็นเลิกเถอะ น้ำเย็นก็ไม่ควรกิน ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องเอาครับ ของเย็นค่อนข้างอันตราย ไปหาอ่านต่อเอานะว่ามันไม่ดียังไง เล่าจะยาว เดี๋ยวไม่จบ .. ผมมีกาแฟให้เลือกแค่ 2 อย่าง กับชีวิตแบบที่ผมดำเนินอยู่ ไม่ 3in1 ก็กาแฟเปล่าๆ วิธีให้มันสะสมน้อยที่สุดคือน้ำ ก่อนและหลังอย่างละแก้ว เพื่อเจือจางและขับออก แค่นี้แหล่ะ ยากหรือ น้ำคือชีวิต โคตรจะจริง .. อ่อ กาแฟดำ มีแคลอรี่ราว 18 แคลนะครับ และการดื่มก่อนออกกำลังภายในครึ่งชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เขาว่างั้น .. ผมไม่เคยสน ดื่ม เมื่ออยากดื่ม
ไม่ออกกำลังเลยได้จริงเหรอ ได้จริงครับ น้ำหนักผมลดในสัปดาห์ที่สอง ลงวันละ 3-4 ขีด ซึ่งไม่ได้ออกกำลังเลย กินกับนอนแม่ม คือ 2-3 วันที่กินเหล้าหนัก ก็ราวๆ 400 ซีซีต่อคืน อาจไม่หนักมาก ทำให้ไม่อยากอาหาร ก็ไม่กิน พอกินก็เล่นไขมันกับของแคลอรี่สูงๆ ร่างกายไม่ใช้พลังงานไปแล้ว พอรับเข้ามาก็เก็บต่อ พุงกองเลยครับ ป่องราวชูชกยังไงยังงั้น ผมต้องเอาไขมันออก ก็ตามวิธีข้างต้น ไม่ได้ตั้งใจ แค่กลับไปใช้ชีวิตปกติเดิมๆ ได้ผลว่ะ 555++
ว่าด้วยเรื่องการลงพุง ผมเคยอ้วนมาก หนักสุดราว 78 ตอนนั้นอายุยังไม่มาก พุงไม่กอง มันอ้วนแบบขยายทั้งตัว ตอนลดน้ำหนักลงมาคือ เหี่ยว หนังหดไม่ทันครับ ตอนนี้ผมอายุ 45 มันไม่อ้วนน่ารักแบบนั้นแล้วดิ ถ้าอ้วนพัพ ไขมันไปกองที่พุงเลย
คุณรู้เนอะ ว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยประคองอวัยวะภายใน ถ้ามันไม่แข็งแรง ไส้และไขมันจะช่วยกันทำให้พุงคุณย้อยออกมา บริหารมันบ้าง ไปหาภาพกายวิภาคดูครับ จะได้รู้ว่ามัดกล้ามเนื้อบริเวณนั้นมันเป็นยังไง จะต้องบริหารยังไงให้มันแข็งแรง ที่แน่ๆ คุณจะไม่มีวันได้เห็นมัน ถ้าคุณเอาไขมันออกไปไม่ได้ แต่ถึงไขมันจะพอกอยู่ เราก็บริหารมันได้นะ .. ส่วนเรื่องซิกแพค ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย ถ้าคุณไม่คิดจะไปถ่ายแบบเอาตังค์ อย่าไปเสียเวลาเหนื่อยยากกับมัน
ก็ไม่อยากออกกำลังไง งั้นแขม่วพุงบ่อยๆ ช่วยได้ .. ผม โคตรจะลืม ใครจะไปนั่งแขม่วมันทั้งวันวะ แต่นักกล้ามเขาทำกันนะ เขาใช้เข็มขัดเล่นเวทใส่ไว้ตลอด เพื่อบังคับให้ตัวเองต้องเกร็งหน้าท้องไว้ตลอดเวลา เขาว่า อย่าหย่อนยานในการดูแลตัวเอง อะบาดใจ .. ผมไม่ทำงั้น แต่พยายามเกร็งหน้าท้องเมื่อนึกได้ ถ้าลุกเดินก็เกร็งมันจนเป็นนิสัยแล้วอะครับ
สำหรับผม การซิทอัพเป็นสิ่งที่ผมทำไม่ได้จริงๆ ผมก็ใช้ท่าอื่นที่มันต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนนั้นแทน จริงๆ มันเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ต่อๆ กัน คุณไม่ต้องไปรุนแรงกับมันนัก แค่ทำให้แต่ละมัดต้องยืดหดตัว บิดตัวรับแรงบ้างก็พอ ลองนึกถึงท่าดัมเบลฟลายเพื่อสร้างกล้ามอกส่วนบน ไม่ได้หนักหนา น้ำหนักไม่ต้องมาก  แค่ต้องรู้ทริคว่าจะโฟกัสยังไงให้กล้ามเนื้อมา .. กล้ามเนื้อหน้าท้องค่อนข้างสำคัญ ถ้าแข็งแรงพอ มันจะช่วยพยุงหลัง ลดปัญหาระยะยาวของกระดูกสันหลังที่ความโค้งและหมอนรองกระดูกเสื่อมตามวัย
ถ้าจะไม่ออกกำลังกันจริงจัง ก็เดินและเคลื่อนไหวให้มันกระฉับกระเฉง ร่างกายมันจะรับรู้ว่า เราต้องใช้พลังงานประมาณนี้ในโหมดปกติ มันจะเตรียมพร้อมของมัน แน่นอนว่าดีกว่าการปล่อยให้เซลล์อยู่ในสภาพหลับไหล เฉื่อยชา
หายใจให้เป็นก็ช่วยได้ อย่าเพิ่งเถียงว่ากูก็หายใจมาทั้งชีวิต ไม่เรียกว่าเป็นเหรอ .. คนส่วนใหญ่จะหายใจสั้นๆ ถี่ๆ เมื่อไม่รู้ตัว นั่นคือไม่ถูก การหายใจยาวๆ ลึกๆ ดีกว่าในทุกๆ ด้าน มันทำให้เราใช้พลังงานมากขึ้นด้วย เอามันทุกทางเลยแล้วกัน .. ลองดูครับ เริ่มจากบังคับมันทุกครั้งที่นึกได้ ลากลมหายใจยาวๆ ลึกๆ แรกๆ มันจะอึดอัดแหละ แต่เดี๋ยวก็ชิน พอชินแล้วมันจะรู้สึกสบายกว่า แล้วมันจะเป็นไปโดยอัติโนมัติเอง นี่ผมไม่ได้มาหลอกให้เรียนเรื่องการฝึกสตินะ อย่าระแวงดิ
ฟังดนตรีที่มันเร้าใจ ก็ช่วยได้จริงครับ เซลล์สมองลุกขึ้นมาโยกหัว เซลล์ทั้งตัวมันก็ลุกมาดีดดิ้นหมดแหละคุณ ผมกำลังหมายถึงการสั่นสะเทือนในระดับเซลล์อะนะ แค่นิจบครับ ถ้าอยากรู้ให้ลึก ไปหาอ่านต่อเรื่องการส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท แล้วจะเข้าใจแจ่มแจ้ง ..
หรือ การจินตนาการถึงการออกกำลัง พลังงานจะถูกใช้มากกว่าปกติ นั่นก็เรื่องจริง แต่คุณจะไม่ได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ไม่ได้ skill ไม่สามารถทำอะไรที่ต้องใช้กำลังได้เท่าคนที่ผ่านการออกกำลังมาจริงๆ
หรือเราจะออกกำลังกันบ้างดีไหม เพราะส่วนที่จริงที่สุดคือ กล้ามเนื้อมีน้ำหนักมากกว่าไขมัน และช่วยให้การเผาผลาญไขมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมต้องออกกำลัง เพราะผมอยากแข็งแรง ทำงานหนักเท่าที่คนปกติทำเองได้ เป็นโรคหัวใจต้องระวัง แต่ก็ออกกำลังได้ครับ เอาแบบที่เหมาะกับเรา คำเตือนสำหรับผู้ที่เริ่มออกกำลังแต่น้ำหนักไม่ลง ให้ดูรูปร่างก่อนครับ ถ้ากล้ามเนื้อมา ไขมันไป ก็เป็นอันใช้ได้นะ อย่าได้ท้อใจ
ตัวผม ไม่วิ่งให้ปวดเข่า หมอนรองกระดูกมันเสื่อมไปเยอะ จากการแบกน้ำหนักเกินไป 20 โลอยู่หลายปี .. ผมไม่ปั่นจักรยานให้เจ็บก้น จริงๆ ไม่มีอารมณ์ครับ ไม่เคยเข้าใจว่ามันน่าสนุกตรงไหน .. ผมไม่ว่ายน้ำให้ตัวเปียก คือ ยากผมอะ หน้าบ้านเป็นคลอง ซึ่งไม่รู้มีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ไปสระเหรอ ไม่อะ เชิญคุณเหอะ
แต่ผมเดินเอา เวทเบาๆ ตามกำลัง ผมเคยเดินอย่างเดียววันละ 40 นาทีอยู่หลายเดือน ผ่าท้องครับ ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แผลเป็นแนวยาว ต้องรอให้เนื้อเยื่อประสานกันดีๆ ก่อน หมอบอกต้องเดินนะ เดี๋ยวไส้ติดยุ่งชิบหายอีก ผมเริ่มเดินตั้งแต่ตอนนั้นล่ะครับ การผ่าตัดใหญ่ไม่ใช่เรื่องสนุก ห่า แค่จะอาบน้ำยังยากเลย
การเดินของผมคือ เกรงหน้าท้องไว้ บิดตัวมากๆ แรกๆ ก็เจ็บ ทนได้ก็ทนเอา ทนไม่ไหวก็หยุด เลยรู้ว่าไอ้การเจ็บจนหน้ามืดมันเป็นยังไง ผลพลอยได้คือพุงหายไปเลย แต่นั่นคุมอาหารด้วยนะ ภายใน 4-5 เดือน อาการเจ็บแผลเกือบหายสนิท ก็เริ่มออกกำลังกล้ามเนื้อหน้าท้องเบาๆ ได้ หลังผ่า 7-8 เดือนก็ออกกำลังหน้าท้องได้เท่าคนไม่เคยผ่า ผมเลิกเดินแล้วมาเล่นคาร์ดิโอเวทของผมอยู่เป็นปี เพราะรู้สึกว่าการเดินใช้พลังงานน้อยไป เสียเวลา มันก็จริง แต่ตอนนี้ยอมรับแล้วว่า เดินก่อนครึ่งชั่วโมง ตามด้วยเวท ดีกับร่างกายมากกว่า ตามหลักการมันทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีกว่าด้วย
มันเป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์ คุณแค่หาที่เหมาะกับตัวคุณ ถ้าคิดจะทำ คนเราจะหาวิธี หาเวลา เพื่อทำมัน ข้ออ้างมีไว้เพื่อที่จะไม่ทำแค่นั้นเอง เลือกเอาครับ ถ้าสุขภาพคุณแย่ ส่วนที่เหลือของชีวิตก็ดูไร้ค่านะ ดูแลตัวเองก่อน แบ่งเวลาเพื่อมันบ้าง
อีกอย่างคือเรื่องความหนักของการออกกำลัง เมื่อเริ่ม ร่างกายจะเอาน้ำตาลมาใช้ก่อน ถ้าคุณไม่หยุดและหนักพอเหมาะร่างกายจะดึงไขมันใช้ ไม่ต้องสนใจว่ากี่นาที เอาเท่าที่ทำได้ไปวันๆ อย่าตั้งเป้าให้ตัวเองหมดกำลังใจ แต่ก็อย่าปล่อยจนไร้วินัย ลุกขึ้นมาออกกำลังทุกวัน มันคือหน้าที่และความรับผิดชอบต่อตัวเอง
ผมเคยอ่านเจอ บ้างว่าต้องออกกำลังกี่นาทีถึงจะเอาไขมันมาใช้ แล้วผมก็เคยอ่านบทความทางการแพทย์ หมอบอก มันไม่เกี่ยวว่ะ การใช้พลังงานก็คือการใช้พลังงาน เรากินไม่เท่ากันนะ มันขึ้นอยู่กับว่าเรากินอะไรเข้าไป
ตัวผม เดิมเล่นเวทอยู่ 7-8 ท่า ท่าละ 3 เซต เซตละ 10 ครั้ง ตามด้วยการกำคัมเบตชกลมอีก 3 เซต เซตละ 50 นี่คือสิ่งที่ผมใช้กำหนดตัวเอง ทำไปเรื่อยๆ รู้สึกดีที่ยังมีกำลังยกดัมเบลขึ้นมา ทำไปช้าๆ ควบคุมการหายใจให้ยาว สม่ำเสมอ ผมใช้เวลา 50 นาที ในขณะที่คนปกติอาจใช้แค่ครึ่งชั่วโมง โคตรเสียเวลา ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ต้องให้เวลากับสุขภาพของตัวเองบ้าง ให้คนอื่นยังให้ได้ ใช่มะ ถ้าดูแลตัวเองไม่ได้ เราจะมีศักยภาพพอที่จะไปดูแลคนอื่นได้ยังไง ที่แย่กว่าคือ ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง เราอาจจะกลายเป็นภาระให้คนอื่นต้องมาดูแลเรา ผมเคยมาหมดแล้ว จึงรู้คิด!
ทีนี้ให้ระวัง ถ้าออกกำลังหนักเกินไป ร่างกายจะไปเอาพลังงานจากกล้ามเนื้อมาใช้ พวกนักกีฬาทำได้ เพราะเขาให้อาหารมันตามสูตร ถ้าจะเอาขนาดนั้น ก็ไปศึกษาให้ตรงประเด็น .. อ่อ อย่าลืมวอร์มอัพ วอร์มดาวน์ กระตุ้นและคลายกล้ามเนื้อด้วย นั่นสำคัญมากนะ
พอออกกำลังเสร็จ ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานต่ออีกครึ่งชั่วโมง ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ราวๆ นี้แหละ .. จงแดกภายในครึ่งชั่วโมง ไม่กินตอนนี้ เดี๋ยวก็หิวอยู่ดี ผมกินทุกวันครับ เท่าที่หาได้จากตู้เย็น อันนี้ผมก็กินเหมือนมื้อเย็นเลยครับ แค่ลดปริมาณลง ถ้าสะดวกในการจัดเตรียม ควรกินอะไรหลังออกกำลัง ไปศึกษาต่อเอานะครับ เพื่อประสิทธิผลที่สูงกว่า .. ผมไม่รู้ ผมไม่สน ผมกินเท่าที่มี
ระบบขับถ่าย ดูแลมันให้ดีด้วย ล้างไส้ทุกวัน ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงดีทอกซ์นะ ซึ่งผมไม่ค่อยเห็นด้วย นั่นเป็นการไปป่วนระบบให้มันทำงานผิดปกติ เรายังมีเซลล์ผนังลำไส้ให้ต้องนึกถึง การล้างไส้ของผม คือการกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อให้ถ่ายหมดวันต่อวัน การไม่กินของมัน จะทำให้ผนังลำไส้ไม่โดนพอกจับไว้ด้วยไขมัน แล้วทำให้เซลล์ผนังลำไส้สูญเสียประสิทธิภาพในการทำงาน ใยอาหารที่มากพอและการออกกำลังส่วนท้องหรือการเดิน จะกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนตัวมากกว่าคนไม่ทำอะไรเลย มันจะได้ไล่ของเก่าออกมา มะเร็งลำไส้เป็นเรื่องน่ากลัว ญาติทางแม่ผมเป็นตั้งสองคน ผมควรกลัวปะ .. ผมเป็นคนธาตุแข็งมาก กินผิดนิดเดียวไม่ถ่ายสามวัน ทรมานสัส ผมต้องกินน้ำมาก ผักมาก นมเปรี้ยวขวดเล็กวันละขวดและแอปเปิ้ล 1 ลูกในมื้อดึก อันนี้เพื่อนผมเพิ่งบอกมา เออ ถ่ายง่ายขึ้นจริง รู้สึกสบายไส้!
นอนเร็วๆ ให้เวลาโกทธฮอร์โมนได้ทำงาน มันจะช่วยให้การเผาผลาญดีขึ้นอีก .. ปกติผมนอนวันละ 5 ชั่วโมง แต่การนอนวันละ 9 ชั่วโมงทำให้น้ำหนักลด ก็คงเกี่ยวนะ แต่ผมไม่นิยมการนอนเกิน 5 ชั่วโมง เลยไม่เคยใส่ใฝ่รู้เรื่องนี้ .. สัปดาห์หน้า ผมจะกลับไปออกกำลัง และนอนวันละ 5 ชั่วโมงเหมือนเดิมแหละ ให้นอนวันละ 9 ชั่วโมงหรา ไม่ต้องทำเหี้ยไรกันละ
อดทนนะ กูจะไม่อ้วน .. ผมตั้งใจอย่างนี้จริงๆ ครับ เคยอ้วนมาก เข็ด แบกน้ำหนักเกินไว้ทำไมอ่ะ

มันก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่ง กว่าผมจะปรับตัวเองมาใช้วิถีนี้ ผมก็รับข้อมูลมามากมาย ทั้งจากการรื้ออ่านไปทั่ว คำแนะนำจากเพื่อนฝูง เราทำตามใครได้ทั้งหมดไหม ก็ไม่นะ เราทำได้ในแบบที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของเราเท่านั้น กลั่นกรอง ทดลอง แล้วจะพบเส้นทางของตัวเอง เอาใจช่วยครับ.

ไม่มีความคิดเห็น: