While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตและความตาย (between life and death) / Wed. 1 Oct., 2014



ผม .. ไม่เคยคิด ว่าตัวเองจะได้มีโอกาสเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความตายของตัวเอง ผมหยุดหายใจไป 4 นาที ซึ่งผมเชื่อว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมตายไปแล้ว และถ้าสมองขาดเลือดถึง 6 นาที การฟื้นขึ้นมาของผม คงเหมือนมนุษย์ผัก เพราะแค่ 4 นาทีที่ว่า ก็ทำให้ความจำของผมหายไปมากมาย และจำเรื่องราว 2 สัปดาห์ต่อมาไม่ได้ .. อาจเพราะหัวฟาดร่วมด้วยก็ได้
คำถามที่ผมสงสัยคือ ตอนที่ตาย จิตวิญญาณของผมไปไหน เห็นอะไรไหม .. ซึ่งผมควรต้องทำใจ ผมจำเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ได้หลายวัน จนมาถึง 2-3 วันก่อนออกจากโรงพยาบาล รวมๆ แล้วเวลาหายไปเกือบ 20 วัน ถ้าผมเกิดเห็นอะไรขึ้นมา ก็คงจำไม่ได้อยู่ดี .. ถ้าอยากมาก อาจต้องไปหาคนสะกดจิต(พวกหมอโรคจิตเมืองไทยทำได้มั๊ยไม่รู้) .. แล้ว เพื่ออะไร เห็นในสิ่งที่ตัวเองอาจไม่เชื่อ เช่นนั้นหรือ
เรื่องนี้จัดเป็นบันทึกส่วนตัว ที่อาจไม่มีเรื่องอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับใครเลย แต่ผมก็อยากแบ่งปันประสบการณ์ และบันทึกเรื่องราวที่ผมคิดว่ามีความสำคัญในชีวิต เท่าที่ผมได้จดไว้ในสมุดเล่มหนึ่งซึ่งไม่รู้เอามาจากไหน และจากการสอบถามจากคนรอบข้าง อาจมั่วๆ ไปหน่อย ก็คนมันจำไม่ได้อะครับ จะเรียบเรียงความคิดให้ดี ก็คงยาก
คืนวันที่ 7 กันยา 2557 ผมนอนไม่ได้ เพราะอาการเจ็บหน้าอกทั้งคืน อาการแน่นหน้าอกมีมา 2-3 วันแล้ว แต่วันที่ 7 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ผมก็ยังอาบน้ำให้บ๊าคได้อยู่ .. ยังซักผ้า ถูบ้าน เหมือนอย่างที่เคยทำ
เช้าวันที่ 8 หลังจากจัดการกับไอ้ลูกชายแล้วไปเข้าห้องน้ำ ก็เกิดหน้ามืดขึ้นมา ผมให้พ่อพาไปหาคุณหมอชัยฤกษ์เช้านั้น คุณหมอท่านให้ไป x-ray และตรวจเลือดที่ lab ใกล้ๆ ซึ่งเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียน ป.6 ทำงานอยู่ ไอ้เล็กลูกตาปั่น (คือจำได้ว่าตอนเรียนประถม เราจะเรียกชื่อตัวตามด้วยชื่อพ่อหรือชื่อแม่น่ะครับ ตอนเด็กๆ พวกคุณเป็นอย่างนี้ไหม) จำได้ว่าดีใจมากที่ได้เจอกัน คุยกันพักใหญ่ แต่จำไม่ได้เลยว่าคุยอะไรกัน
ผมกลับมาบ้านก่อน ตอนเที่ยงค่อยเอาผล lab ไปให้คุณหมอชัยฤกษ์ดู ท่านสงสัยว่าผมเป็นโรคหัวใจ จึงตัดสินใจส่งต่อให้คุณหมอวินัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจโดยตรง .. ความมันส์อยู่ตรงนี้แหละครับ ในขณะที่ผมข้ามถนนมาอีกฝั่ง เพื่อรอให้พ่อผมวนรถมารับ ผมก็ล้มลงไปเฉยๆ .. มันเป็นถนนสายคุณหมอ คือมีแต่คลีนิคเยอะแยะไปหมด เลยมีคุณหมอหลายท่านมาช่วยกันทำ CPR ไม่สำเร็จ เหล่าคุณหมอท่านเลยฉีดยากระตุ้นหัวใจ แล้วใช้ไฟชาร์ท (แบบในหนังละมังครับ) อีก 4 ที ถึงกลับมามีชีวิต .. ผมขอกราบขอบพระคุณ คุณหมอทุกท่านที่ร่วมด้วยช่วยกัน เอาจนผมรอดมาได้ รวมทั้งชาวประชาอีก 20-30 คนที่มารุมล้อมร่วมให้กำลังใจ
และ โชค เทวดาฟ้าดิน พระผู้เป็นเจ้า บรรพบุรุษ หรือใครก็ตาม .. เพราะพ่อผมกำลังไปเอารถมารับ ถ้าผมขึ้นรถแล้วหลับไป พ่อผมอาจคิดว่าผมพักสายตา แล้วผมก็คงไม่รอด แน่นอน .. กว่าพ่อผมจะรู้ว่าเป็นผมก็พักใหญ่ เมื่อไม่เห็นผมรออยู่ และเห็นคนรุมล้อมอะไรสักอย่าง จนลงจากรถมาดู
จากนั้นคุณหมอๆ ก็เรียกรถฉุกเฉินโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรามาพาไปเข้าห้องฉุกเฉิน ให้ Oxygen อยู่อีกชั่วโมง ซึ่งภายหลังผมไปขอบคุณเขา เขาเล่าว่าการตอบสนองดี ตอนใส่ท่อดิ้นพราดๆ แต่เขาก็เกรงว่าจะไม่รอด เพราะเคสแบบนี้ ส่วนใหญ่ไม่รอด .. ในขณะเดียวกันก็ติดต่อไปที่โรงพยาบาลชลบุรี เพื่อเตรียมห้องผ่าตัดไว้รอท่า จากนั้นให้รถจากโรงพยาบาลเมืองไปส่ง โดยมีพ่อผมที่นั่งปลงไปตลอดทางว่า ตายก็ตายวะ กับคุณพยาบาลอีกคนที่คอยเคาะกระจกให้คนขับไปเร็วๆ ซึ่งยากลำบาก เพราะเส้นทางสายฉะเชิงเทรา-ชลบุรี กำลังทำถนนอยู่ตลอดสาย รวมทั้งคนขับที่เอาแต่พูดว่า ที่พามาไม่รอดสักราย พ่อผมเลยยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่
เมื่อถึงโรงพยาบาลชลบุรี ผมก็เข้าห้องเชือดทันที .. ผลแลปบอกว่า เส้นเลือดใหญ่หัวใจตีบ 2 เส้น เส้นหนึ่งไปแล้ว 90% อีกเส้นไป 50% เขาเลยผ่าต้นขา สวนหัวใจ ทำ balloon ไปเส้นนึง จากนั้นย้ายมาอยู่ห้อง CCU 3 วัน (CCU ย่อมาจากห้องผู้ป่วยหนักโรคหัวใจครับ ที่แรกงงชิบหาย มาเห็นในเอกสารของโรงพยาบาล ถือว่าได้ความรู้ใหม่ก็แล้วกัน) .. พ่อบอกว่า ท่านโทรหาคุณอาซิสเตอร์ตอนเย็นๆ ท่านก็มาถึงภายในครึ่งชั่วโมง ท่านอยู่แถวพัทยากลางน่ะครับ และผมก็รู้สึกซาบซึ้งจังที่ท่านห่วงผมจนรีบร้อนมากขนาดนั้น
เขาไม่ให้คนเฝ้า พ่อก็บอกจะนอนระเบียง พยาบาลเขาก็ว่า มันจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไอ้หมอน้องชาย(ลูกน้า)ที่ทำงานที่นั่น มาคอยติดตามอาการอยู่กับพ่อผม เขาก็จะหาที่นอนให้พ่อ ไล่ตั้งแต่บ้านเขา ไปจนถึงห้องพักแพทย์เวร พ่อผมก็จะนอนตรงระเบียงอยู่ดี สุดท้าย น้องผมที่ตีรถมาจากกรุงเทพ ราวๆ 3 ทุ่ม ก็ลากพ่อกลับมานอนบ้าน ซึ่งก็ไม่มีใครนอนหลับสักคน น้องผมมานอนบ้าน 2 คืนติดกัน และนอนไม่หลับทั้ง 2 คืน
ลูกเมียไม่ได้มาด้วยเพราะฉุกเฉินมากและหลานชายต้องไปโรงเรียน เขากางเต๊นท์นอนหน้าทีวีเหมือนปกติ พลางนึกไปว่า ผมคงจำได้ที่เราเคยคุยกันตั้งแต่ตอนป้ายังอยู่ ว่าถ้าใครตายก็มาให้เห็นด้วย จะได้รู้ว่าผีมีจริงรึเปล่า เขานอนไม่ค่อยหลับ ด้วยความกังวลว่าผมจะรอดไหม ถ้าไม่รอด จะมาเดินให้เห็นไหม เขาไม่ได้กลัวผมเป็นผีมาหลอก แต่เขากลัวผมตาย เขาก็คอยดูอยู่ จะได้รู้ว่าผมตายไปแล้วหรือยัง (ดูมันคิดดิ) กลายเป็นเขาเห็นแม่เดินออกจากห้อง มาดูตรงที่ผมนอนกับบ๊าคทั้งคืน แม่อาจคิดแบบน้องผมก็ได้ ถ้ามันตาย มันคงกลับมาหาไอ้บ๊าคลูกรักของมัน
พ่อมาเล่าอีกที ตอนที่กลับมาบ้านแล้ว ว่าอาซิสเตอร์ชวนกันสวดให้พระคุ้มครองผม ไอ้หมอน้องชายก็มาพนมมือสวดด้วย เฮ๊ย กูซึ้งว่ะ (เขาเป็นพุทธ แต่ตอนเด็กๆ เคยมาอยู่กับยาย แล้วก็ไปเข้าวันคริสต์กับยายอยู่หลายปี) แล้วพวกเขาก็คิดจะเชิญบาทหลวงที่เป็นญาติกันมาให้ศีลเจิมคนไข้ ซึ่งแม่ผมเรียกว่าศีลก่อนตาย ฮาครับ แม่เขาไปเล่าให้ใครฟังเขาก็ขำกันว่า ไม่จำเป็นต้องตายก็ได้
เอาเป็นว่าผมเล่าให้อ่านละกัน สำหรับชาวพุทธหรือชาวคริสต์เองที่ไม่เคลียร์เรื่องนี้ .. ศีลที่ว่านี่ ถ้าไม่ใกล้ตาย ก็ไม่มีใครเขาเชิญบาทหลวงมาให้กัน แต่ว่ากันตามในหนังสือก็คือ ป่วยหนักก็ให้ได้ ไม่จำเป็นต้องใกล้ตาย แต่มันกลายเป็นความเชื่อบางส่วนว่า ถ้าไม่แน่ใจว่ามันต้องตายแน่ๆ แล้ว อย่าทำจะดีกว่า อาจสร้างความรู้สึกเป็นลางร้ายอะไรแบบนั้นน่ะครับ ..
แต่ก็ไม่ใช่ชาวคริสต์ทั้งหมดที่ตายจะได้รับศีลนี้ คนที่ตายแบบไม่รู้ตัวก็อดนะ หรือที่ไม่คิดว่าจะตายก็เหมือนกัน คุณป้าผมไม่ได้ศีลนี้ แต่คุณอาผู้ชายได้รับ เพราะคุณป้าผมป่วยนอนโรงพยาบาลแต่ไม่มีทีท่าว่าจะตาย ส่วนคุณอาผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย คือดูจากอาการแล้วต้องตายแน่ๆ แค่วันไหน .. สุดท้าย การตอบสนองของผมดีขึ้นมาก พวกเขาเลยล้มเลิกความคิดนี้ไป ไม่เช่นนั้นผมก็จะได้รับประสบการณ์อีกอย่าง ที่ผมจะจำไม่ได้ ซึ่งมีแต่คนที่จะต้องตายและรู้ตัวเท่านั้นถึงจะได้รับ
เพื่อนเล่าว่า วันที่ 9 มันไปเยี่ยมกัน 2-3 คน (ขออนุญาติบันทึกชื่อนะ - ไอ้ป้อม ไอ้แง้ว ไอ้หมวย) ผมยังไม่รู้ตัว แต่ก็วุ่นวายดิ้นรนต่อต้านการใส่ท่อช่วยหายใจ กับท่อ feed อาหาร รวมทั้งเข็มที่ทิ่มไว้ให้ยาอะไรพรรค์นั้น จนพยาบาลเขาถามว่า ผมเป็นคนดื้อไหม เพื่อนผมมันว่า ก็ดื้ออยู่ค่ะ เขาก็ว่าต้องขออนุญาติมัดแขนขาไว้กับเตียง เพื่อให้ผมอยู่นิ่งๆ .. ผมเลยเข้าใจบ๊าค ช่วงที่ต้องให้น้ำเกลือ พอเริ่มไหวขึ้นมาก็ลืมได้เลย มันช่างเหมือนป๊ามันยิ่งนัก .. ผมมาถามทีหลังว่าถ่ายรูปกูไว้ไม๊ มันว่าไม่ได้ถ่าย เพราะคิดว่าผมคงไม่อยากเห็นตัวเองในสภาพนั้น ที่จริงผมควรได้เห็นนะ เผื่อมันจะรู้สำนึกอะไรได้บ้าง ผมอยากจำสิ่งที่จำไม่ได้ การคืนชีพจากเถ้าถ่าน เฮ้ย ผมไม่ใช่ฟีนิกซ์นิ่หว่า คืนชีพด้วยมือคุณหมอต่างหาก
จากนั้น วันพฤหัสที่ 11 กันยา ผมอาการดีขึ้นจนสามารถถอดท่อต่างๆ ได้แล้ว เขาก็ย้ายตัวมาที่ตึกชลาทรห้องหมายเลข 13 ถ้าเป็นคนอื่นอาจหวั่นไหว แต่เลข 13 กับผม ผูกพันกันมานานมาก ตั้งแต่รหัสนักเรียน รหัสพนักงาน จนผมรู้สึกว่าโอเค มันก็แค่ตัวเลข lucky number ของผมล่ะวะ ที่ข้อมือมีแต่รอยห้อเลือด ซึ่งผมก็ทั้งงงทั้งเจ็บว่ากูเป็นไรวะ เลยได้รับคำบอกเล่าจากเพื่อนนั่นล่ะ วันนี้ไอ้ป้อมบอกว่าพาพี่ไก่มาเยี่ยม แล้วช่วยกันเช็ดตัวให้ผม เพราะพี่ไก่เขาเชี่ยวชาญในการดูแลพ่อเขา มันว่าผมทำท่าสะบัดสะบิ้ง ไอ้ห่ากูยัง virgin อยู่นะโว๊ย .. อืม หมดกัน แต่ก็ขอบคุณมากๆ ครับพี่
วันไหน ใครมาเยี่ยมบ้าง ผมจำไม่ได้ พ่อผมก็ไม่รู้จัก ผมก็บันทึกเท่าที่รู้แล้วกัน .. ผมขอกราบขอบพระคุณ(ขออนุญาติบันทึกชื่ออีก - ไอ้ฝน ไอ้กวาดและพี่เขย อาจมีใครอื่นอีกก็ไม่รู้) ที่พวกมึงเป็นห่วงกัน ขับรถกันมาไกลๆ และต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมจำไม่ได้เลย รวมทั้งไอ้ต่ายที่อยู่เมืองนอก แต่ยังอุตส่าห์สั่งดอกไม้พร้อมการ์ดมาให้ .. เห็นพ่อบอกว่า ผมก็คุยกับพวกเขารู้เรื่องดีตอนที่พวกเขามา .. คือ อาจเป็นเพราะหัวฟาด สมองกระทบกระเทือน หัวยังโนอยู่เลย ยังเจ็บอยู่ด้วย และผมหายไปกระจุกนึง .. เวร ความหล่อของผม คงกลายเป็นดูคล้ายพวกอดีตเด็กตีกันแน่ๆ .. ถือว่ายังโชคดีละกัน ที่ไม่เอาด้านหน้าลง
วันเสาร์ที่ 13 (อันนี้จดไว้ครับ) ตอนเย็นๆ ผมรู้สึกตัวขึ้นมาแบบงงๆ ตื่นขึ้นมาในห้องๆ หนึ่ง เพื่อนๆ จากที่ทำงานมาล้อมวงกัน 7-8 คน กับลิงหลอกเจ้าอีก 2 ตัว คุยกันไปคุยกันมาอยู่พักใหญ่ๆ พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไป .. ปัญหาคือ ผมจำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง และไอ้ลิงหลอกเจ้าที่ผมจดไว้ มันเป็นใคร (คงเป็นลูกน้องผมแน่เลย) มาคุยกับน้องอีกคนตอนหลัง เขาว่าพยาบาลต้องตีแขนแรงมากผมถึงรู้สึกตัว
อีกพักนึง น้องชาย น้องสะใภ้ และหลายชายสุดที่รักก็โผล่มา คุยๆๆ แล้วพวกเขาก็สรุปว่า จะไปนอนเป็นเพื่อนแม่ เพราะพ่อมานอนเฝ้าผม ก่อนกลับเจ้าหลานชายเขียนอวยพรให้ผมหายเร็วๆ แล้ววาดรูปพร้อมเขียนว่าผีโรงพยาบาลไว้หลอกผมด้วย เอากับเขาสิ .. พ่อบอกว่า ตอนเช้าคุณอาสะใภ้ข้างบ้านและน้องทั้ง 3 มาเยี่ยม ตอนเที่ยงไอ้ป้อมก็มา
ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมคือ เมื่อหลายวันก่อนเกิดเรื่อง ผมรู้สึกเจ็บลึกๆ ทีอกซ้าย เหนื่อยง่าย คิดช้า ผมเลยตัดสินใจไปหาคุณหมอชัยฤกษ์ คุณหมอที่เอะอะอะไรบ้านเราก็วิ่งหากันก่อน  รักษากันจนตายไปเป็นคนๆ ละครับ .. ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้โทษท่านนะครับ คนเรามันก็เป็นไปตามสังขาร และคราวนี้ผมรอดมาได้ก็ด้วยมือของท่าน ..
ต่อให้เป็นหมอฮัวโต๋ก็อาจทำไม่ได้ หมอที่ช่วยผ่าหัวให้โจโฉ รอดมาวางรากฐานของหนึ่งในสามก๊ก จนสุดท้ายตระกูลซื่อหม่ามาเป็นหมาคาบไปแดก ... หรือความเลื่องลือในการผ่าหัวธนูพร้อมขูดพิษจากกระดูกของกวนอู ที่ไม่รู้เล่าเว่อร์ไปหรือเปล่า แต่ก็ทำให้ท่านกลายเป็นหมอเทวดามากว่า 2 พันปี นั่นล่ะครับที่ผมพูดถึง
เรื่องของโจโฉน่าสนใจมากครับ ถ้าย้อนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ในการบันทึกเรื่องราวในยุคสามก๊กเอง จากพงศาวดาร มาที่งิ้ว ถึงนักเล่านิทานข้างถนน จนถึงยุคสมัยที่นำมาเขียนเป็นนวนิยาย จะมีเรื่องของการเมืองเป็นตัวแปรสำคัญในการดำเนินเรื่องราว สิ่งแรกที่เรารู้ๆ กันอยู่ ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ อีกกระแสกล่าวว่าการที่ตัวนวนิยายที่เขียนในช่วงราชวงศ์ชิง (ไม่ใช่ชาวจีน เข้ามาปกครองคนจีน) เนื้อเรื่องจึงบิดเบือนให้เกิดความสับสนถึงราชวงศ์ฮั่นเดิม การล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นที่เกิดจากน้ำมือของคนในราชวงศ์ฮั่นเอง ซึ่งอาจหมายถึง การชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องในการปกครองของราชวงศ์ ของชาวจีนเอง
การที่โจโฉไม่เคยคิดชิงราชสมบัติ แต่ก็อยู่เหนือฮ่องเต้ผู้อ่อนแอ เพื่อให้ก๊กใหญ่อยู่รอด และถ้าจะให้ความยุติธรรมกับเขาหน่อย เขาก็จัดเป็นนักปกครองที่ยอดเยี่ยม แต่รุ่นลูกของโจโฉกลับสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้ตั้งราชวงศ์ใหม่ สุดท้ายลูกของซือหม่าอี้ (ซือหม่าอี้ จัดได้ว่าเป็นคนเดียวที่พอจะทันกันกับขงเบ้ง) ก็ชิงราชสมบัติและรวม 3 ก๊กเข้าด้วยกัน
ถ้าคุณย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นราว 400 ปี เรายังมีจิ๋นชีฮ่องเต้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนจากยุคชุนชิวจ้านกว๋อ ที่มีถึง 8-9 ก๊กให้เป็นหนี่ง เป็นกษัตริย์ที่เก่งกาจทั้งด้านการเมือง การปกครอง และการสงคราม จนคำว่าอ๋องไม่พอเพียง เลยเริ่มใช้คำว่าหวงตี้หรือฮ่องเต้ในตอนนั้นเอง
แต่ด้วยการปกครองที่ผิดพลาด โหดร้าย รุนแรง ทำให้ราชวงศ์ฉินมีฮ่องเต้เพียง 2 พระองค์ แต่ก็ทำให้ทุกวันนี้ เราเรียกจีนว่าจีน ซึ่งมาจากฉินนั่นแหละครับ ฉิน = จีน , CHIN = CHINA .. เขารวมจีนให้เป็นหนึ่ง สร้างกำแพงเมืองจีนป้องกันการรุกรานของชนเผ่าซงหนู ทำให้ทั้งแผ่นดินใช้อักษรและระบบชั่งตวงวัดแบบเดียวกัน แบ่งระบบการปกครองที่ใช้กันมาถึงปัจจุบัน ไทยเราก็เอามาใช้ .. ผู้คนจึงให้คำจำกัดความกับฮ่องเต้พระองค์นี้ว่า มหาราชหรือทรราชย์ ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นทั้ง 2 อย่าง เพราะเขายังเผาตำราฆ่าบัณฑิต ทำให้คนต้องตายมากมายในการสร้างกำแพงเมืองจีนและสุสานของเขา
ผู้ที่จัดการกับราชวงศ์ฉินที่แท้จริงคือฉู่ป้าอ๋อง(หรือฉ้อปาอ๋อง อาจรวมถึงขันทีที่ป่วนบ้านเมืองอยู่ในขณะนั้นด้วย) ปัญหาของฉู่ป้าอ๋องคือเก่งแต่สงคราม ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเมือง เลยโดนฮั่นเกาจู่สหายร่วมรบหักหลังจนต้องตายในที่ล้อม ฮั่นเกาจู่ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ฮั่นเอง ก็เป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เพราะขุนพลใหญ่ที่ช่วยให้ชนะสงคราม สุดท้ายก็ถูกสั่งประหารด้วยเกรงว่าจะเป็นภัย (โดยเอาพระมเหสีมาอ้างว่าเป็นคนสั่งประหาร ตัวเองไม่รู้เรื่อง) เออผมนึกชื่อขุนพลผู้นี้ไม่ออกแฮะ ที่ปรึกษาอีกคนที่เก่งมากๆ หลี่ซือ ก็ต้องหนี คือรีบๆ ลาออกจากราชการไปก่อนจะเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน
แต่การผูกเรื่องเป็นนิยายหรือภาพยนตร์ เป็นการชักจูงในผู้เสพเห็นคล้อยตามผู้สร้างเรื่อง เราจึงควรให้ความยุติธรรมกับทุกบุคลที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยอ่านให้มาก แล้วพิจารณาให้รอบด้าน ก็จะเข้าใจว่าแต่ละคนมีความจำเป็นอะไร แรงผลักดันคืออะไร .. อ๊ะ ดีจัง ผมยังจำเรื่องพวกนี้ได้อยู่
กลับมาที่ชีวิตจริงของผมกันดีกว่า
ด้วยความที่คุณหมอชัยฤกษ์เป็นเพื่อนที่เรียนมากับคุณอาท่านหนึ่งของผม เราเลยมีความสนิทสนม คุ้นเคย และไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งท่านเชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมและศัลยแพทย์ น้องของท่านก็เปิดคลีนิคทันตกรรม แต่คนอย่างผมจะไม่มีวันเข้าร้านทำฟันถ้ามันไม่ปวด เป็นเรื่องของความปอดแหกอย่างแท้จริง
พล่ามมาเสียยาว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า 2-3 วันก่อนหน้านั้น ผมปวดหัวใจ คือบริเวณอกด้านซ้าย ไม่มาก ก็ทนๆ เอา คิดว่าไม่เป็นไร วันที่ตัดสินใจว่ามันคงไม่ใช่แค่ไม่เป็นไร ก็เจ็บมากแล้ว จนรู้สึกได้ว่าไม่ไหวแล้ว และเริ่มกลัวตาย แถมมีหน้ามืด เป็นลม
ผมชวนพ่อไปเป็นเพื่อน แล้วก็อย่างที่เล่าในตอนแรก ล้มลงไปเฉยๆ คนใกล้ๆ ก็วิ่งไปตามหมอชัยฤกษ์ ท่านวิ่งมาพร้อมผู้ช่วยอีก 2 คน ทำ CPR แล้วไม่ฟื้น เลยต้องชาร์ทไฟ ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องหรอกครับ ไม่รู้เรื่องไปอีกตั้งหลายวัน แต่เท่าที่พ่อเล่า ผมไม่รู้ตัวไปหลายนาทีจนคุณหมอเกรงว่าสมองจะได้รับความเสียหาย .. ผมว่า ผมหัวฟาดด้วยแหละ มันบวมและเจ็บชิบหายเวลาสระผม (เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์กว่าๆ แล้วด้วยนะ)     
ความทรงจำของผมบางส่วนหายไปเฉยๆ หาที่มาที่ไปไม่ได้ ที่ผมกำลังทำอยู่นี่คือการพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตัวเอง โดยให้คนรอบข้างเล่าให้ฟัง ซึ่งฟังแล้ว ผมก็นึกอะไรไม่ออกอยู่ดี มันเอ๋อไปเลยครับ นอนกับกิน ไม่ขี้ด้วย ให้ตายดิ
มีเพื่อนๆ มาเยี่ยมหลายกลุ่ม จำได้ว่าคนมากมาย แต่จำไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไร ไอ้ที่ผมคิดว่าฮาสุดๆ คือพ่อผมน่ะครับ .. ท่านไม่ให้ผมมีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว (แต่ผมมี 50 บาท ที่พ่อไม่รู้ มาจากไหนไม่รู้) สิ่งที่ท่านมีให้ผมคือ ยาหม่องตราเสือ ยาดมอั้งกี้ แซมบัค โบตัน ไซลิทอล ริกรี่ ดับเบิ้ลมิ้นต์ .. อืม ฮาไม่ออกว่ะ
ผมไม่มีบัตร ATM มีมือถือเครื่องเดียวที่ใช้งานแบบมือถือ รุ่นโนเกีย X2 ที่มีรหัส ibanking ซ่อนอยู่ กับ password ที่อยู่ในหัว (เอ ผมคงต้องหาที่จดแยกไว้ด้วยแล้ว พักนี้ไว้ใจหัวตัวเองไม่ได้เลย) .. ปัญหาคือ ผมจะไปหาร้านขายบุหรี่ในโรงพยาบาล ที่มี online banking เพื่อซื้อบุหรี่ได้ที่ไหน ฝันเฟื่อง เลอะเทอะ ลืมๆ มันไปเถอะวะ เงิน 50 บาทก็ซื้อบุหรี่ไม่ได้ เพราะมันซองละ 65 แถมในโรงพยาบาลคงไม่มีบุหรี่ขาย ถึงมันจะมี 7-11 ก็เถอะ แล้วผมก็หน้าบางเกินกว่าจะไปเดินขอบุหรี่คนอื่นสูบ โอเค จบ
คืนวันอังคารที่ 16 ไอ้ป้อมต้องมานอนเฝ้าผม เพราะพ่อกับแม่ต้องไปงานศพญาติท่านหนึ่งแต่เช้า แล้วยังไงๆ ผมก็ไม่เอาพยาบาล .. ไอ้ป้อมเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ม.4 แถมยังทำงานด้านสาธารณสุข เลยต้องเดือดร้อน มานอนเป็นเพื่อน .. กูกราบขอบพระคุณ ด้วยความซึ้งใจ .. อีกครั้งที่ผมจำได้ว่าคุยอะไรกันเยอะแยะ แต่จำไม่ได้สักเรื่อง
คืน 17 พ่อมานอนเฝ้าผมเหมือนเช่นเคย ชีวิตก็เหมือนเดิม กินกับนอน แต่วันที่ 19 แม่ผมมีนัดที่ศูนย์มะเร็งชลบุรี ถ้าพ่อมานอนอีก ก็ต้องออกตี 4 ไปรับแม่ที่บ้าน ผมเลยบอกให้พ่อกลับไปตั้งแต่ 4 โมงเย็นวันที่ 18 บอกท่านว่า ผมอยู่ได้ ไม่มีอะไรหรอก ที่กดเรียกพยาบาลก็อยู่ใกล้ๆ .. คือ ผมคงนอนไม่ได้แน่ ถ้าต้องอยู่กับคนไม่รู้จัก และผมก็เกรงใจไอ้ป้อม ที่มันไม่รู้ต้องขับรถมาจากฉะเชิงเทรากี่รอบแล้ว จนไม่กล้าขอให้มันมาอยู่เป็นเพื่อนอีก .. เออน่า ผมก็เกรงใจคนเป็นเหมือนกัน
แต่พอกินข้าวเย็นเสร็จ ยังไม่ 6 โมง ผมก็อาบน้ำละ จินตนาการมันมาครับ เมื่อคุณอยู่ในโรงพยาบาลประจำจังหวัด ผมว่าคุณก็คงคิดได้ไม่ยากว่า ห้องทุกห้อง เตียงทุกเตียง เสื้อผ้าทุกชุด ผ่านคนตายมาแล้วทั้งนั้นแหละ ผมเอาสายประคำเหล็กซึ่งปกติวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงมาคล้องคอ ผมเอาแม่พระหนึ่งในสององค์ขึ้นวางบนเหยือกน้ำของโรงพยาบาลที่คว่ำอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง จะได้อยู่สูงๆ รัศมีจะได้แผ่กระจายไปทั่วๆ ห้อง แม่พระอีกองค์ที่เป็นที่บรรจุน้ำเสกในตัว พ่อผมเอาน้ำเสกพรมห้องตั้งแต่วันแรกแล้ว ผมไม่ได้เปิดไฟมากกว่าคืนอื่นๆ แต่เปิดทีวีช่อง Net Geo ไว้ทั้งคืน แล้วก็รู้ตัวทุก 2 ชั่วโมง ไม่รู้ว่ากลัวหรือดีใจจะได้กลับบ้าน .. ไม่ๆ ผมไม่กลัว .. แค่ระแวงเฉยๆ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบการทำ surprise เป็นอย่างยิ่ง (โดยเฉพาะกับผีที่ไม่รู้จัก)
อย่างตอนที่ป้าผมเสีย ที่เล่าไปตอนช่วงแรกๆ ว่าใครตายให้มาให้เห็นกัน .. ผมบอกท่านเลยว่า มาให้เห็นตอนนี้เลย ตอนที่ผมตั้งตัวได้ อย่ามาตอนเพลินๆ เดินเจออะไรอย่างงี้ ผมไม่คิดว่าผมจะกลัวเขา แต่กลัวว่าตัวเองจะตกใจที่ได้เห็น คนที่จิตสำนึกรู้ว่าจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว ทำนองนั้น .. จนกลางดึกวันหนึ่งหลังท่านเสียไป 1 เดือนพอดี ราวตี 2 ท่านมายืนอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าปลายเตียง ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นแบบนั้น พอกระพริบตาท่านก็หายไปแล้ว แต่ผมมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน จำได้ว่าผมดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นท่านอีก .. คือผมนอนกับท่านมาตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ จนท่านเสียไปแล้วผมก็ยังนอนในตำแหน่งเดิม หมอนของท่านผมก็จัดวางไว้เหมือนตอนที่ท่านอยู่ จนมีลูกหมา รุ่นไอ้บ๊าคน่ะแหละครับ เลยระเห็ดลงมานอนชั้นล่างกับหมาแทน แล้วสุดท้ายแม่ก็เก็บที่นอนเมื่อเห็นว่าผมไม่กลับไปนอนอีกแน่แล้ว และมีแมวจรจัดแอบมาออกลูกบนที่นอน
ชีวิตผม คงต้องเปลี่ยนอีกเยอะ เมื่อวันก่อน (ไม่รู้วันไหน) คุณพยาบาลท่านหนึ่งใส่ผ้าปิดจมูก (รูปร่างดีมากๆ ท่าจะสวยด้วย) เขามาวัดความดันที่ต้นแขน ปลายนิ้ว และที่รูหู .. ด้วยความที่ผมคันมากๆ ผมเลยเปิดให้เขาดูแผ่นกลมๆ ที่มีเหมือนกระดุมตรงกลางแปะอยู่ 4 ที่ แล้วถามเขาว่าเอาไว้ชาร์ทไฟกระตุ้นหัวใจเหรอครับ เขาก็ว่าใช่แต่เอาออกได้แล้วล่ะ เออ ผมน่าจะถามใครสักคนมาตั้งนาน ทนคัน(โง่)มาเสียหลายวัน .. แล้วคุณพยาบาลเขาก็ว่า 2 ใน 4 เส้น เบื้องบนส่งคำเตือนมาแล้ว พร้อมๆ กับมองไปที่รูปแม่พระ 2 รูปที่โต๊ะข้างหัวเตียง ที่คุณอานำมาให้ ผมเลยพูดว่าสวรรค์ ผมไม่รู้ว่าเขายิ้มหรือเปล่า เขามองหน้าผมแล้วออกไป วันหลังเขาถามผมว่าเป็นคริสต์นิกายไหน ผมก็บอกเขาว่าโรมันคาทอลิก เขาว่าเพื่อนเขาเป็นคริสเตียน ซึ่งต้องบริจาครายได้ 10 เปอร์เซนต์ให้กับโบสถ์ ผมเพิ่งรู้แฮะ ก็คุยกันไม่กี่คำ ดูเขาอัธยาศัยดีจัง มีพยาบาลอีกท่านอายุเยอะแล้ว ก็ใจดีเหมือนกัน แต่ชอบแกล้งทำท่าดุๆ ใส่ผม
พรุ่งนี้จะได้กลับบ้าน แต่ผมเชื่อว่าบุหรี่ที่ผมซื้อไว้เดือนละครั้ง คงไม่อยู่แล้วแหละ ผมอยากมากๆ แต่ก็อยู่มาได้ 2 สัปดาห์โดยไม่ได้สูบเลย แต่มันก็ยังอยากอยู่ดี ผมคงหามาลองสักมวนแล้วดูอาการตัวเอง .. ห่วงของผมคือลูกบ๊าคสุดที่รัก แม่บอกว่า 2 วันแรกที่ผมเข้าโรงพยาบาล มันไม่กิน หลังจากนั้นยอมกิน แต่หงอยเหงาเศร้าสร้อยมาก ยาหลายอย่างของบ๊าคที่ต้องกินกันทุก 6 ชั่วโมง ต้องยัดลงไปจนถึงโคนลิ้นซึ่งแม่ผมทำไม่ได้ ยาหยอดตาที่ต้องหยอดทุก 6 ชั่วโมงอีกล่ะ ผมกลัวนะ กลัวว่ายิ่งนานวัน ยิ่งจะช่วยไม่ทัน ขอ Saint Roch คุ้มครองไอ้ลูกชายของผมให้รอดด้วยเถอะ
ไอ้น้องชาย เล่าให้ผมฟังว่า โทรศัพท์ของผมอยู่ที่เขา วันๆ มีคนโทรเข้าเป็น 10 ถามโน่นถามนี่ กูก็ไม่รู้ว่าใครมั่ง .. ผมเลยมีเลขาส่วนตัวเป็นเด็กโยธา ป.โท ไปเลย แล้วพวกเขา คือทั้งพ่อ น้องชาย ไอ้หมอ ต้องพยายามกันไม่ให้แม่มาเห็นสภาพของผมในวันแรกๆ
วันศุกร์ที่ 19 เช้ามา พ่อเขาก็ไปส่งแม่ไว้ที่ศูนย์มะเร็งแล้วมาหาผม เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน เรารอให้หมอสั่งยา ทำใบรับรองแพทย์ จนแม่เสร็จเรื่องแล้ว ผมยังไม่เสร็จเลย ผมเลยให้พ่อไปรับแม่มาก่อน พอได้มาขึ้นรถ ผมตื่นเต้นดีใจมาก ระหว่างทางเอาแต่ถามถึงลูกบ๊าคว่ามันตายไปหรือยัง ผมเป็นคนประเภทที่ expecting the worse เพราะมันจะไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านั้นอีกแล้ว ผมมีความหวังว่าบ๊าคยังอยู่ แต่ผมก็กลัวว่าการไม่ได้กินยาโรคหัวใจไป 2 อาทิตย์ มันจะยังรอดเหรอ
เมื่อถึงบ้าน ผมตะโกนเรียกบ๊าค พร้อมกับลนลานหากุญแจเข้าบ้าน ซึ่งมันก็ซ่อนอยู่ที่เดิมน่ะแหละ แต่ผมจำไม่ได้ บ๊าคส่งเสียงให้รู้ว่ายังอยู่ ผมปรี่เข้าหาบ๊าค พ่อลูกดีใจจนตัวสั่น กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันแบบเหม็นๆ .. ไม่มีปัญหา ก็ผมรักของผมนี่นา หลังจากนั่งคุยกันพักใหญ่ คลอเคลีย คลุกเคล้า .. ด้วยความอยากบุหรี่ในระดับที่เรียกว่าเงี่ยน (อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยได้ยินคำๆ นี้ คุณมันคุณหนูชัดๆ) บวกกับความประสาทเสียกับสภาพห้องที่เปลี่ยนไป ผมก็เอารถออกไปซื้อ LM สีเขียวแถวบ้าน อ่อนๆ ละกัน ให้พอหายอยาก ..
แค่หยิบกุญแจรถ บ๊าคก็โวยวายลั่นบ้าน เขาคงกลัวว่าผมจะหายไปเฉยๆ อีก ผมคิดว่าที่ผมหายไป 10 วัน เขาคงคิดว่าจะไม่ได้เจอผมอีก ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะอยู่ได้ยังไงโดยไม่มีผม ก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก และมันต้องเป็นการตายที่ทุกข์ทรมาณทั้งทางกายและทางใจของบ๊าคเลยทีเดียว
เอาล่ะ ผมเจองานใหญ่ เพราะแม่ผมเขาอยากจะจัดที่นอนให้ผมใหม่ โดยให้นอนคนละส่วนกับบ๊าค (ทำไมต้องทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้) แล้วมันก็ทำให้เกิดมุมอับ ลมไม่ผ่าน ห้องกลายเป็นคับแคบ ก็จากหนึ่งแบ่งเป็นสอง โดยเอาตู้หนังสือ 2 ตู้มากั้นด้านปลายเตียงน่ะคุณ ผมเริ่มโวยและย้ายของกลับที่ของตัวเอง เอาผ้าปิดจมูกมาใส่กันฝุ่น พ่อกับแม่เขาก็มาช่วยเพราะกลัวผมซ็อคตาย มึนไปหมด กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไป 2-3 ชั่วโมง .. ผมจัดการกวาด ถูพื้น แล้วเอาบ๊าคไปอาบน้ำ เช็ดตัวเสร็จก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่า ได้หมาหอมๆ สักที แต่ผมก็เอาตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียง เพราะถ้าผมไม่ดีขึ้นเร็วๆ ผมก็คงดูแลลูกผมให้ดีๆ ไม่ได้
เรื่องของเรื่องคือ ผมจำอะไรแทบไม่ได้เลย เท่าที่รู้คือที่พ่อและคนอื่นๆ เล่าให้ฟัง ผมไปโรงพยาบาลชลบุรีเพราะเครื่องไม้เครื่องมือที่โรงพยาบาลฉะเชิงเทราไม่มี และเพราะมีญาติเป็นหมออยู่ที่นั่น ทำให้เรื่องราวสะดวกยิ่งขึ้น ผมใช้สิทธิประกันสังคมต่างโรงพยาบาล คือไม่ต้องเสียค่ายา แต่เสียค่าห้องพิเศษเอง (ผมเลิกทำประกันชีวิตไปนานมากแล้ว ตั้งแต่มีปัญหากับตัวแทนคนหนึ่ง) พ่อบอกว่าเพื่อนๆ ผมมาเยี่ยมมากมาย ผมพูดคุยกับพวกเขา แต่ผมกลับจำอะไรไม่ได้เลย แถมหัวก็ยังเจ็บชะมัด คงฟาดลงไปเต็มแรง
ก่อนกลับ 2-3 วัน ผมบอกหมอว่าเจ็บหน้าอก เขาก็ให้เจ้าหน้าที่พาซิ่งไปตรวจคลื่นหัวใจ เหมือนที่ทำกับบ๊าคเลยครับ แต่ไม่ต้องจับกดกันเท่านั้น แล้วก็ไป x-ray จากนั้นคุณหมอไม่เห็นว่าอะไร คงโอเคมั๊งผมว่า ที่ผมว่าไม่โอเคคือ เสียงผมมันเซ็กซี่มากๆ มันแหบพร่า อาจเป็นเพราะท่อทั้งหลายที่เขาใส่เข้าไปตอนที่ยังหายใจและกินอาหารเองไม่ได้
ไอ้น้องชายเล่าว่า คืนวันที่ 8 มันไปถึงโรงพยาบาลชลบุรีตอน 3 ทุ่มครึ่ง คุณอาบอกให้เขาโทรบอกเพื่อนสนิทของผมให้รู้ ท่านหมายถึงไอ้ป้อมน่ะแหละ ผมคิดว่า คุณอาคงคิดว่าผมอาจไม่รอด ให้มาดูใจ แต่น้องผมไม่โทร มันว่าดึกเกินไป เช้ามามันก็โทรบอกเพื่อนผม จากนั้นเพื่อนๆ ที่ทำงานก็โทรเข้ามือถือผมบานเตจนน้องผมมึนไปเลย
วันเสาร์ที่ 20 ผมแวะเข้าไปที่ทำงานสัก 10 โมงกว่า คิดถึงเจ้านายน่ะครับ (อืม ตอแหลจริงๆ) .. คือไปบอกกล่าวให้เป็นเรื่องเป็นราว พร้อมกับบอกเขาว่าจะมาทำงานวันที่ 1 นะ เขาก็โอเค ผมลองเปิดคอมดูว่ามันเจ๊งไปยัง เออยัง เพื่อนๆ ที่ทำงานต่างทักทายพร้อมตั้งคำถาม มึงจำกูได้มั๊ย กูชื่ออะไร ไอ้ลูกน้องตัวแสบก็มาถามว่า พี่เห็นนรกหรือสวรรค์ ผมเลยบอกไปว่า เห็นพ่อมึงน่ะสิ .. แล้วแวะไปฝ่ายบุคคลว่าต้องเขียนใบลาเลยไหม เขาว่ามาแล้วค่อยเขียนก็ได้
ออกมาหน้า office เจอแม่บ้าน ผมเลยคุยกับเขาให้เขามาตัดหญ้าที่บ้านให้หน่อย หญ้ารกมากและผมคงทำเองไม่ได้อีกนาน เขาก็ตกลงว่าจะมาทำให้วันอาทิตย์ .. หมาที่ถูกคนเอามาปล่อยหน้าโรงงาน ที่ผมอยากเอามาเลี้ยงด้วยความสงสาร พยายามให้ใส้กรอกหลอกล่อมาราวอาทิตย์กว่าก่อนเข้าโรงพยาบาล พวกเขาก็ว่ามันออกลูกมา 5 ตัว มีคนเอาตัวผู้ไปแล้ว ผมให้เงินไว้บอกเขาว่าหาอะไรให้มันกินหน่อย แล้วตีซี้ไว้ ผมจะเอาไปเลี้ยงแล้วทำหมันเอง ..
หลายวันผ่านไป ผมกลับคิดอีกอย่าง ตัวผม มีอะไรแน่นอน เกือบต้องตายไปแล้ว ถึงเวลานั้นมันจะลำบากเปล่าๆ หรือกลายเป็นสร้างภาระไว้ให้พ่อแม่ของผมซึ่งอายุมากแล้ว ว่ากันจริงๆ ถ้าเราตายกันหมดบ้าน ก็คงมีบ้านร้าง 3 หลังอยู่ตรงนั้น หญ้าคงสูงท่วมหัว ต้นไม้คงกิ่งก้านระเกะระกะ นานๆ ญาติที่เหลืออยู่จึงจะมาดูสักที .. เจ้าหมานั่น อยู่ตรงนั้น ยังมีคนเลี้ยงดูมันทุกวัน มีที่อยู่ที่มันอาจพอใจอยู่แล้ว ผมควรปล่อยวาง .. ควรเป็นเช่นนั้น
กลับมาบ้าน 11 โมงกว่า ให้ยาลูกบ๊าคแล้วเข้าตลาดกันกับพ่อ พ่อผมชวนให้เอากระเช้าไปขอบคุณคุณหมอชัยฤกษ์กับที่แผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา ไปถึงหน้าคลีนิค ปิด อาแปะคนหนึ่งถามผมแล้วแนะนำว่า ฝากไว้ที่คลีนิคทำฟันที่เป็นน้องคุณหมอก็ได้ บังเอิญผมมีญาติห่างๆ ห่างมั๊ยวะ พ่อเขากับก๋งผมเป็นพี่น้องกันน่ะ ทำอยู่ร้านใกล้ๆ แล้ววันเกิดเหตุเขายังอาสาเอารถพ่อไปไว้บ้านเขาด้วย เราก็แวะทักทาย ขอบคุณ เขาเลยพาไปเข้าหลังบ้านคุณหมอชัยฤกษ์ ได้เจอภรรยาคุณหมอ คุยกันอยู่พักใหญ่ ท่านคิดว่าผมไม่รอดเสียด้วยซ้ำ ระหว่างทางเจอคนหลายคนแถวนั้น ทำท่าดีใจด้วยที่รอดมาได้ ผมดังไปแล้ว
จากนั้นพ่อผมก็โยนผมเข้าร้านตัดผมใกล้ๆ ซึ่งตัดได้เร็วมาก 10 นาทีมั๊ง เรื่องความเรียบร้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ แล้วไปโรงพยาบาลกัน ผมเจอเจ้าหน้าที่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน เลยบอกเขาว่าฝากกระเช้ามาขอบคุณ เขาว่าให้เข้าไปเลย ผมก็เข้าไปที่เคาน์เตอร์บอกเขาว่า มาขอบคุณครับที่ช่วยชีวิตผมไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เขาจำได้ทันที เขาก็คิดว่าผมไม่รอดเหมือนกัน ดูเขามีความสุขที่เห็นผมรอดมาได้ พูดคุยถามไถ่อยู่พักใหญ่ ผมก็ลาออกมา ทำให้ผมเข้าใจสปิริตของคนทำงานด้านนี้มากขึ้น พวกเขาทุ่มเท ทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้ใครก็ตามที่ผ่านมือพวกเขา ได้ชีวิตกลับคืนมาสู่ครอบครัว

อันนี้ ผมเขียนขึ้นเพราะอะไรก็ไม่รู้ .. ผมบันทึกมันไว้ด้วยแล้วกัน สักวัน ผมอาจจำได้ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะดีหรือไม่ดี เมื่อผ่านวัย 40 มาแล้ว ผมก็เข้าใจว่า เรื่องบางเรื่องเราก็ควรจำ แต่เรื่องบางเรื่องที่เราไม่ควรจำให้เสียหัว เรากลับไม่ลืม ผมพยายามควบคุมใจ แต่บางครั้งมันก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง .. แต่ที่แน่ใจได้ เราต้องรับกรรมบางอย่างที่อาจจำเป็นหรือไม่ก็ได้ด้วย ถ้าเราควบคุมใจไม่ได้
เมื่อคุณมาถึงจุดหนึ่งในชีวิต ที่สมองของคุณอยู่ในช่วงเวลาที่สับสน
คุณจดจำความรู้สึกบางอย่างได้ชัดเจน แต่ลืมบางอย่างไปทั้งหมด
คุณต้องฟังเหตุผล ที่คุณไม่เห็นด้วยเลย
เมื่อความเชื่อและความศรัทธาในตัวตนของตัวเองถูกทำลาย
ตัวตนที่ทำให้คุณ เป็นคุณ
ผมไม่เข้าใจ เราจำเป็นต้องทำลายตัวตนของคนๆ หนึ่ง ในระยะเวลาสั้นๆ จริงหรือ
แล้วมันจะทำได้ จริงหรือ
ตอนที่ผมอายุน้อยๆ ผมเคยไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้คิด ไม่รู้ทางเลือก ไม่เข้าใจชีวิต
แต่คนเรา เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ก็มีตรรกะมากขึ้น
มีวีธีคิด พิจารณาเหตุผล อันเป็นปัจเจกบุคคล
ผมใช้คำว่าปัจเจกบุคคล เพราะมีความเชื่อว่าคนเราแต่ละคน มีความจำเป็นแตกต่างกัน
ให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ แตกต่างกัน จากสิ่งที่หล่อหลอมให้เป็นคนๆ นั้นขึ้นมา
สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้า ต้องฝ่าฟัน ต้องผ่านมันมา .. ไม่มีใคร เหมือนใครเลย
ถ้าคนเรา ต้องละทิ้ง ทุกสิ่งที่เราเชื่อมาทั้งชีวิต
หรือต้องละทิ้งบางชีวิตที่เขามีเพียงเรา มันไม่เท่ากับเราละทิ้งชีวิตของตัวเองหรือ
แล้วจากนี้ไป เราจะเชื่อในอะไรได้อีก ถ้าเราไม่สามารถเชื่อตัวเอง
คนที่ไม่เคยสูญเสียอะไร จะเข้าใจได้อย่างไรว่า ความสูญเสียคืออะไร
ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญในสิ่งที่คนอื่นให้ความสำคัญ
มันอาจแปลว่า เรามองเรื่องนั้นๆ ไร้สาระ มันอาจหมายถึง เราดูถูกความคิดของคนอื่น
มันเป็นเรื่องเดียวกัน แต่แตกต่างด้วยความหมายอย่างสิ้นเชิง
แล้วยังจะมีอะไรให้คุยกันได้อีก ... ถ้าความคิดมันแตกต่างกันขนาดนั้น.

เรื่องฮาเรื่องแรก แต่ผมขอเขียนไว้เป็นเรื่องสุดท้าย เพราะมันงี่เง่าสุดๆ ผมจำรหัสผ่านโน๊ตบุคที่บ้านไม่ได้ ลองอยู่หลายรอบ เข้า safe mode ก็ไม่ได้ จนต้องโทรหา programmer ที่ปรึกษาของบริษัท ตอน 2 ทุ่มครึ่ง เขาก็ไม่เจออะไรอย่างนี้มานาน จนบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะดูให้จากที่ทำงาน ที่บ้านผมก็ไม่มีแผ่นพวก hiren หรือ win7 สักแผ่น ผมวางสายแล้วลองอีกรอบ ปรากฏว่าเข้าได้ ต้องโทรกลับไปรบกวนเขาอีกครั้งว่าได้แล้วครับ ไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณมากครับ เขาไม่ด่าแม่ก็บุญแล้ว ไม่รู้ภรรยาเขาแอบด่าแม่ผมรึเปล่าเพราะเขารับสายทั้ง 2 ครั้ง คงไม่นะ เราเคยเจอกันอยู่ ผมเลยปลดรหัสผ่านออกซะ ในขณะที่ทำได้

ไม่มีความคิดเห็น: