While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คืนวันอันเดียวดาย / Wed. 29 Oct., 2014



ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 7 โมงเช้า เมื่อคืน ตีหนึ่งกว่า และไม่ต้องทำอะไรตอนเช้าอีกแล้ว แต่กลับรู้สึกตัวเองตอน 6 โมงเช้า ไม่รู้ว่าบ๊าคปลุก หรือความเคยชิน ก็ไม่น่าใช่ความเคยชิน เพราะผมต้องอาศัยนาฬิกาปลุกทุกวัน แทบจะไม่เคยตื่นเองเลย ผมพยายามนอนต่อให้ถึง 7 โมง ก็ไม่หลับดีๆ
เมื่อคืน นอนบน topper ของเขา มันให้ความรู้สึกสบายจริง ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกอบอุ่น เหมือนเรายังนอนอยู่ด้วยกัน เหมือนที่ผ่านมา แต่ผมกลับหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน
ลุกจากที่นอน ผมก็ไปเปิดประตูหน้าบ้าน เปิดหน้าต่าง ยังคงคุยกับเขา บ๊าคยังอยู่รึเปล่า ไปขี้ไป .. ผมงงตัวเอง ทำอะไรไม่ถูก พาตัวเองไปกินข้าว แล้วเดินออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มีเวลา 15 นาทีก่อนเข้าห้องน้ำ  ผมตั้งนาฬิกาไว้เตือน เผื่อจะเพลินจนลืมเวลา คว้าสายประคำไปด้วย สวดให้เขาสักหน่อยคงดี
เดินไปได้หน่อย ผมก็รู้สึกอยากสัมผัส ความรู้สึกของเขายามเหยียบย่างลงไปบนหญ้าชุ่มน้ำค้าง ผมถอดรองเท้า แล้วเดินไปทั่วบริเวณที่เขาจะเดิน ตอนที่เขายังเดินได้ วิ่งได้ หญ้าช่างนุ่มเท้า เย็นสบาย และเปียก เขาจะรู้สึกอย่างนี้ไหมนะ เดินมาจนถึงหลุมฝังศพเขา ก็ยืนสวดให้เขาพักใหญ่ ขากลับยังนึกสงสัย บ๊าคเห็นอะไร ผมนั่งยองๆ ลงในระดับสายตาเขา มองไปรอบๆ คงเห็นแบบนี้กระมัง
เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วยังเหลือเวลา ผมมานั่งสวดสายประคำให้เขาต่อ จะว่าผมบ้าก็ไม่มีปัญหา .. ผมบนนักบุญร็อค ด้วยสายประคำ 10 สาย ให้เขาไปสบาย ไม่ต้องทรมานมาก ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ถึงมันจะใช้เวลานานหน่อย แต่ทุกอย่างก็ลงตัว เวลาที่เขาไป ยังเหลือเวลาให้ฝัง ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมต้องทำตามสัญญา
ก่อนออกจากบ้านยังบอก บ๊าค ป๊าไปทำงานนะ เดี๋ยวเที่ยงเจอกัน ไม่ต้องตามมา เดี๋ยวหลง
ผมไปทำงานแบบมึนทึม เมื่อวานผมโทรบอกลูกน้องว่า ไม่เข้า บ๊าคจะไปแล้ว เพื่อนร่วมงานอีกคนก็โทรมาถาม ผมบอกแบบเดียวกัน วันนี้พวกเขาเลยไม่ถามอะไร ขอบคุณ ผมกำลังเปราะบาง แค่คุยทางเมล์กับคุณหมอธนิกา อ่านข้อความที่ผมเขียนขึ้น blog หรือเห็น comment ของเพื่อน ผมก็น้ำตาร่วงแล้ว นั่งซับน้ำตากันไปทั้งวันนั่นแหละ
เที่ยง ผมกลับบ้านตามปกติ ยังทักทายเขาเป็นปกติ ผมยังเผลอรู้สึกว่าเขายังอยู่อยู่บ่อยๆ เปลี่ยนชุด กินข้าวได้ 3-4 คำก็รู้สึกกินไม่ลงแล้ว ยังออกไปเดินหน้าบ้าน ที่เคยพาเขาไปฉี่ จะพูดว่า ที่ๆ เขาลากผมไป จะถูกต้องกว่า .. ผมคิดถึงเขา และถือโอกาสย่อยอาหารไปในตัว ผมเรียกเขามาด้วย บอก บ๊าค ไปฉี่กัน ถ้าวิญญาณเขายังอยู่ เขาคงไม่เข้าใจที่ผมเปลี่ยนไป ผมยังคงทำแบบเดิมๆ เพียงแต่ผมไม่ต้องใช้สายจูง เหมือนที่เคยทำ
กลับเข้าบ้านมา ยังเหลือเวลาอีก 20 นาที ผมไม่ง่วง ก็นั่งมองพื้นไป พลางเห็นภาพ เขานอนตรงนั้นตรงนี้ไปทั่วห้อง ผมเก็บที่กั้นไปวางพิงไว้ข้างบันไดขึ้นบ้านตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ต้องกั้นอะไรอีกแล้ว .. นั่งจนหมดเวลาก็กลับไปทำงานต่อ
วันนี้ไม่ค่อยมีอะไร ผมนั่งพิมพ์ diary ที่เขียนไว้ และจะเอาขึ้น blog เมื่อพิมพ์และตรวจทานเสร็จ เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ในความรู้สึกระหว่างคนกับหมา เป็นประโยชน์ในการใช้ยา และการรักษาพยาบาล ผมไม่เคยให้ยามั่วๆ กับเขา ทุกอย่างปรึกษาสัตวแพทย์ แค่นั้นยังไม่พอใจ กลัวหมอมั่ว มานั่งหาข้อมูลในเนทอ่านอีก ถึงผลของยาและผลข้างเคียง มันจะเป็นประโยชน์ ถ้ามีคนที่ต้องการมาเจอมัน
ผมแจ้งข่าวการจากไปของบ๊าคให้คุณหมอธนิกาทราบ และถามถึงการบริจาคยาและของใช้ ท่านปลอบโยนผมด้วยการบอกว่า ผมดูแลบ๊าคได้ดี เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุขตลอดช่วงชีวิตของเขา ซึ่งน้อยคนจะทำได้ .. แค่นี้แหละ ผมก็น้ำตาร่วง ท่านว่าทางโรงพยาบาลรับบริจาคยาและของใช้ เดี๋ยววันอาทิตย์ผมจะเอาไปให้เขา มันจะได้เป็นประโยชน์กับหมาตัวอื่นๆ เป็นการทำบุญให้บ๊าคไปด้วย
ผมบอกน้องที่ฝากซื้อแผ่นรองซับที่ผมจ่ายเงินไปแล้ว แต่มันยังอยู่ในรถ ว่า ถ้ามึงใช้ก็เอาไว้ เขาว่าเดี๋ยวเขาจ่ายตังค์ ผมก็บอก ไม่ต้องหรอก ไม่เอาก็เอามา เดี๋ยวกูเอาไปบริจาคได้ เขาเลี้ยงหมาเล็กๆ ไว้หลายตัว ผมไม่รู้เขาต้องใช้หรือเปล่า หมาไม่ป่วยคงไม่ต้องใช้ จะไปยัดเยียดให้เขาทำไม ผมก็เข้าใจ ว่าเขาอยากช่วย แต่มันไม่มีความจำเป็น
ผมกลับบ้านเร็วเหมือนทุกวัน ผมยังปรับตัวไม่ได้ และถ้าบ๊าคยังอยู่ เขาอาจไม่เข้าใจว่า ทำไมป๊ากลับช้ากว่าที่เคย ถึงบ้าน ผมก็ทักเขาอย่างที่ทำทุกวัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไปแล้ว มันก็ไม่ต่าง หลังๆ นี่ เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร ตอนยังดีๆ เมื่อรู้ว่าผมกลับมา เขาจะเดินสลับซ้ายขวาอยู่หน้าที่กั้น ดีใจว่า ป๊ามาแล้ว หิวแล้วป๊า เอาอาหารให้บ๊าคกินหน่อย ภาพแบบนั้น ผมเห็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าโรงพยาบาล ถึงวันนี้ก็เกือบ 2 เดือนแล้ว แต่มันยังชัดเจน
ผมเปิดประตูหน้าบ้าน บอกเขาว่า ไปขี้กัน ผมเปลี่ยนชุดแล้วตามออกไปพร้อมกล้อง ด้วยความสงสัยว่า bach’s vision เป็นยังไง ผมนั่งยองๆ ในระดับสายตาเขา ถ่ายรูปจากหลายมุม ถ่ายภาพหลุมศพเขา พลางถามเขาว่า บ๊าคจะเอาต้นอะไร บุหงามันจะหวานไปไหม หาอะไรที่มันแมนๆ หน่อยดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ป๊าดูให้
ผมเสร็จจากหน้าบ้านก็ไปถ่ายรูปทางหลังบ้านบ้าง เมื่อ 5-6 วันก่อน บ๊าคยังเดินได้ดี สภาพแวดล้อมยังไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ผมจะเก็บไว้ดูตอนคิดถึง
การเดินไป ลุกๆ นั่งๆ ไป ทำให้เหนื่อยน่าดูเหมือนกัน เมื่อถ่ายรูปจนพอใจ ผมก็มาเก็บอึของเขาไปทิ้ง ดึงถุงพลาสติกออกมา 2 ใบ แล้วนึกได้ว่า ไม่ต้องหุ้มที่เก็บอึอีกแล้วนี่ ไม่เป็นไร เอาไปเก็บปลาตายข้างบ่อได้ ผมเลยเก็บเอาไปทิ้งพร้อมๆ กัน
กลับมาเก็บจานชามที่ล้างตากไว้หลายวัน เก็บที่ปั่น ที่ผมปั่นอาหารให้บ๊าคแล้วล้างคว่ำไว้ เห็นแล้วก็ใจหาย .. เมื่อคืนผมเก็บของกินของบ๊าคออกมารวมไว้ หมาพ่อกินได้ เดี๋ยวถามเขาก่อนว่าเอาไหม ไม่เอาก็ให้โรงพยาบาลไป แต่ผมคงไม่ทำให้ ให้พ่อจัดการเองแล้วกัน ผมไม่อยากยุ่งกับหมาอีกแล้ว ไม่ว่าตัวไหน
ยังเหลือ n/d 4 กระป๋อง renal 1 กระป๋อง กับแบบเม็ดอีกครึ่งกระสอบ คงสัก 8-9 โลได้ ceasar 13 ถาด sleeky 2 กระปุกกว่า ปลาเส้นหมาเกือบเต็มถุง .. เมื่อกี้เก็บยาแล้วก็นั่งมอง renovet เหลือ 1 กล่อง โรงพยาบาลคงไม่ได้ใช้ มันช่วยบำรุงไต ไม่มีอะไร หมาพ่อก็กินได้ ถ้าไม่เอาก็ยกให้หมอวรรณพงศ์ ยาอะไรแพงสุดๆ ถ้าซื้อคลีนิค กล่องละ 2000 ซื้อคุณฝนที่ละกล่อง 1600 ทีละ 2 กล่องเหลือ 1400 มี 100 เม็ด กินวันละ 2 เม็ด .. แต่ก็คงสู้ vetmedin ไม่ได้มั๊ง 100 เม็ด 4300  กินวันละ 4 เม็ด ก็แรงเหมือนกัน แพงกว่ายาโรคหัวใจของคนหลาย 10 เท่า .. ส่วนป๊ามันกินยาประกันสังคม ไม่ต้องเสียตังค์
คิดว่ายาที่เหลือ มีไม่เท่าไหร่ พอรวบรวมแล้วกลับเยอะแฮะ ใส่ลังน้ำเกลือได้เกือบเต็มลัง มี ..
Neurontin 300 mg          23         tabs                  Cavumox 625 mg          12         tabs
Digoxin 0.0625 mg        210       tabs                  vetmedin 5 mg              เกือบเต็มกระปุก
amlopine 5 mg              10                                Hyles (spironolactone)    10
tritace 5 mg                   10                                ultracarbon                    20         tabs
ulsanic 1000 mg            20                                ursolin 100 mg               20                   
Genta drop                    1          ขวด                  tear naturale                  1            
nanowound 50 ml           2                                 Glucose 50% (10cc)       22         หลอด
Acetate Ringer’s            4          ขวด                  ชุดให้น้ำเกลือ                 4          ชุด
เข็มเบอร์ 18                    48         อัน                    แผ่นรองซับ                     3         
pack
ผมไม่ได้ list รายการยาในลังให้เขา แต่พิมพ์ใส่ลังไว้ว่า “Bach ขอบริจาคยาและของใช้ให้ทางโรงพยาบาลครับ
ผมติดนิสัยการดูนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา กับความรู้สึกที่กระตุ้นตัวเอง ให้ต้องลุกไปทำโน่นทำนี่ ต้องให้ยา ป้อนข้าว พ่นยา หวีผม กวาดบ้าน พาบ๊าคไปฉี่ ไปอึ .. ตอนนี้ผมต้องบอกตัวเอง เมื่อความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นว่า ไม่ต้องทำอะไร  ซึ่งมันก็เกิดขึ้นเกือบจะตลอดเวลานั่นแหละ .. ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ ร่างกายและจิตใจมันถึงจะเคยชิน กับการไม่ต้องทำอะไร
ผมเอา notebook มาเปิด เพื่อโหลดภาพจากกล้องลง harddisk แล้ว back up ลง external harddisk อีกที .. งานต่อไปของผมคือ พิมพ์ diary นี้ให้เสร็จ แล้วย้อนไปพิมพ์ diary ที่เขียนไว้กับเขาปลายปีที่แล้วให้เสร็จด้วย

ไม่มีความคิดเห็น: