While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อมนุษย์ เสือกมีความรู้สึก


วันนี้เราจะมาเล่นเรื่องความรู้สึกกันล้วนๆ .. ถ้าจะว่ากันแบบพุทธๆ ความรู้สึกมันเป็นเรื่องไม่เที่ยง ที่ไม่เที่ยงกว่าอะไรอย่างอื่น มันเกิดในห้วงความคิด มีเวลาอยู่กับเรานานเท่ากับความยึดติดของตัวเราเอง แล้วสุดท้ายมันก็จากไปถึงแม้เราจะพยายามยึดมันไว้ .. แต่ขอโทษเถอะครับ จะมีสักกี่คนที่เมื่อความรู้สึกเกิด แล้วนั่งมองมันได้ตั้งแต่มันเกิดขึ้นจนมันหายไป โดยไม่ไปเสริมสร้างจินตนาการต่อ .. งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า ไอ้ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง และส่งผลอะไรต่อเรากันได้บ้าง
ผมยังไม่เคยพูดเรื่องของความรู้สึกในแบบที่เจาะจงลงไปเรื่องเดียว เลยอยากจะลงรายละเอียดดู .. มนุษย์หรือคน มันมีเรื่องต้องยุ่งยากมากมาย ก็เพราะไอ้ความรู้สึกนี่แหละ ซึ่งส่วนใหญ่ที่จะส่งผลกับเรามากกว่าอย่างอื่น คือความรู้สึกผูกพัน สิ่งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เราทำอะไรได้หลายอย่าง ถ้าคุณนึกอะไรที่มันชัดเจนไม่ออก ลองนึกถึงลูกคุณว่า ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับเขา ส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง คุณรักเขา พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตที่ดี ยอมให้ตัวเองลำบากลำบนสารพัด เสียสละได้ทุกอย่าง นี่คือผลจากสิ่งแรกที่ก่อตัวขึ้น .. ความผูกพัน .. และมันก็ไม่ได้มีความสวยงามแต่เพียงอย่างเดียว ในบางกรณีมันก็อาจกลายเป็นเรื่องร้ายกาจได้เช่นกัน .. จริงๆ แล้ว ความผูกพัน มาก่อนความรักนะครับ ผมไม่รู้ว่าทำไม เราถึงใช้คำว่า ความรักความผูกพัน ซึ่งที่จริงแล้ว ถ้าเราไม่มีความผูกพันกับบุคคลนั้นมาก่อน เราก็คงรักบุคคลนั้นไม่ได้ และคงไม่สามารถทำอะไรเพื่อเขาได้
มนุษย์ .. ที่เขาว่าเป็นสัตว์ชั้นสูง (ก็ไม่ได้เป็นกันเสียทุกคนหรอกครับ .. ซึ่งก็ดี มันทำให้สังคมของเรามีความหลากหลายมากขึ้น) คำว่าชั้นสูงในความคิดผมคงไม่ใช่พวกไฮโซไฮซ้อทั้งหลาย แต่มันน่าจะหมายถึงบุคคลผู้ตระหนักรู้ถึง คุณธรรม ความดีงาม สมบัติผู้ดี(จากหนังสือน่ะ) เกียรติยศ ศักดิ์ศรี คุณค่าของความเป็นคน อะไรพรรค์นี้ล่ะครับ ซึ่งบางทีผมก็รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องเพ้อฝันซะมากกว่า .. และเรายังมีความรู้สึกด้านลบกับผู้อื่นในบางครั้งหรือบางคน ซึ่งบางทีก็มากเสียจนเป็นแรงผลักดันให้เราทำในสิ่งที่คนปกติไม่ทำกัน นั่นช่วยทำให้ความเป็นสัตว์ชั้นสูงของเรากลายเป็นอุดมคติไปได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น .. และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากความรู้สึก ที่เราจับต้องไม่ได้ กินให้อิ่มท้องไม่ได้ แต่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเราได้
ความรู้สึก .. ว่ากันด้วยเรื่องทางใจละกันครับ ถ้าทางกาย ผมคงต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์มาอธิบาย บังเอิญว่าผมไม่เคยเรียนด้านนั้นมาเลย ต้องขอตัวครับ ไม่อยากมาปล่อยไก่ตรงนี้ .. ทีนี้ไอ้ความรู้สึกทางใจ มันก็มักจะเกิดจากความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เรามาไล่กันไปตั้งแต่คนที่ใกล้ชิดที่สุด ไปจนถึงคนที่แทบจะไม่รู้จักกันเลย ดีไหมครับ
คนในบ้าน .. เอาเป็นพ่อ แม่ ลูก หรือคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน ใครก็ได้ .. เรื่องนี้มันสั้นนะ แต่เรื่องสั้นๆ บางเรื่องมันก็ละเอียดอ่อนมาก จนกระดาษพันหน้าก็อธิบายได้ไม่หมด .. บางทีความที่ใกล้ชิดกันมาก อาจทำให้เรารู้สึกว่า เขาเข้าใจเราทุกอย่าง บางทีมันก็ใช่ บางทีก็ไม่ หรือก็เข้าใจแหละ แต่แสดงออกให้มันนุ่มนวลอ่อนโยนกว่านี้ได้ไหม มันจะได้ไม่มีความรู้สึกแย่ๆ แวบเข้ามา .. บางทีความที่เรารู้จักกันดี อาจทำให้เราลืมฟังความต้องการของอีกฝ่าย ใส่ใจกันอีกนิด รักษาความรู้สึกกันอีกหน่อย คงไม่ได้ทำให้เสียเวลาส่วนตัวไปมากนัก การคิดให้ละเอียด จะทำให้เราเห็นสิ่งที่เมื่อก่อนเราไม่เห็นหรือมองข้ามมันไป หรือทำสิ่งเล็กน้อยที่ไม่ได้สำคัญแต่นำความสุขมาให้คนอื่น ซึ่งเป็นประโยชน์มากในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ผมเคยมีโอกาสได้สัมผัสครอบครัวหนึ่งที่ผมรู้จัก ดูผิวเผินเหมือนจะรักกันดราม่าเลยทีเดียว วันหนึ่งมันมีสถานการณ์เกิดขึ้น และคนในครอบครัวแสดงท่าทีว่าสถานการณ์นั้น ยุ่งยาก .. สร้างความรู้สึกปวดร้าวให้กับคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเขา ที่แย่คือ ผมรู้ว่าเขารับรู้ แต่ไม่มีคำพูดใด มีเพียงน้ำตาไหลออกมา สุดท้าย สิ้นใจไปกับความรู้สึกค้างคา .. มันทำให้ผมและทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ รู้สึกหดหู่ .. เวลาเล็กน้อย อดทนที่จะไม่แสดงออกกันไม่ได้หรือ และนี่คือเรื่องร้ายกาจจากความผูกพันที่ผมพูดถึง .. คุณเชื่อไหมว่า สิ่งที่คุณทำ วันหนึ่งมันจะย้อนกลับมาหาคุณ ในช่วงเวลาที่คุณระลึกรู้ได้ ทั้งเรื่องที่เคยทำและเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณน่ะแหละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องเลว .. อ่านไปทั่วๆ แล้วคุณจะเจอเรื่องพรรค์นี้บ่อยๆ
อีกครอบครัวที่ผมได้สัมผัส เขามีลูกติดยา ในสถานการณ์แบบเดียวกัน มันมีแต่ความรัก ความห่วงใย ไม่มีพฤติกรรมบาดตาบาดใจให้ใครเห็น และมันมีส่วนในการทำให้ญาติทุกคนเต็มใจบริจาคเลือดของตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่า มันต่อชีวิตไปได้อีกไม่กี่วัน (ใช้เกล็ดเลือดน่ะครับ)  งานนี้ไอ้หมอ คงได้เห็นหัวใจคนที่เป็นญาติกันจริงๆ .. แล้วคุณรู้สึกว่าใน 2 กรณีนี้ ระหว่างคนติดยากับนักธุรกิจ คนไหนมีความเป็นคนมากกว่ากัน .. ผมกำลังถามความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจคุณ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ... เห็นไหม มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ญาติ .. ญาติผมมันมีหลายระดับมาก ตั้งแต่คนติดยา ข้าราชการ นักบวช นักธุรกิจ วิศวะ ไปถึงแพทย์ แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องของหัวโขน .. เรื่องทางใจ อาชีพวัดไม่ได้นะ ที่ผมเจอมา คนติดยายังมีความรู้สึกเป็นคนมาตรฐานมากกว่านักธุรกิจบางคน บางคนก็อัธยาศัยแสนดี บางคนก็ดูเหมือนจะมีอาการแปลกประหลาด เช่น เย่อหยิ่ง จองหอง อกตัญญู ที่ภาษาชาวบ้านเขาเรียก วัวลืมตีนน่ะ หรือพฤติกรรมอันน่ารังเกียจ ที่เกิดขึ้นในคนที่นำเสนอตัวเองว่าเป็นผู้ดี สูงส่ง .. ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ ผมไม่เคยเป็น เลยไม่เข้าใจความคิด ความรู้สึกของเขา ... แต่ต้นเหตุก็คงมาจากการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม หลายสิ่งในชีวิตของแต่ละคน
ญาติบางคน ก็แค่รู้ว่า เออญาติกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่มีความผูกพันอะไร บางคนก็ใส่ใจพร้อมจะช่วยทุกเมื่อ บางคนก็เห็นเราเป็นเหมือนลูก สิ่งเหล่านี้มาจากความรู้สึกที่เชื่อมโยงถึงกัน มีพื้นฐานจากความใกล้ชิด ความรู้สึกถึงเลือดสายเดียวกัน .. ผมเคยทำร้ายจิตใจญาติคนหนึ่ง ที่ผมรู้ว่าเขารักผมเหมือนลูก มันไม่ใช่ความตั้งใจ มันเป็นแค่การละเลย ที่ทำให้คนๆ หนึ่งเสียใจ .. นี่คือเหตุผลว่าทำไม เราต้องระวังสิ่งที่เราไม่ได้กระทำด้วย .. ที่มันแย่คือ ผมไม่เคยขอโทษเขาสักคำ ผมรู้สึกผิดและเสียใจนะ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ที่ทำได้คือระวังความหยาบคายของตัวเองให้มากขึ้น กับการกระทำและการไม่กระทำ รวมทั้งการพูดและไม่พูดของตัวเองด้วย เพื่อให้ไม่ไปทำร้ายความรู้สึกของคนที่รักผมอีก
เพื่อน .. เรามีเพื่อนกันเป็นร้อยเหมือนกันนะ แต่มีกี่คนที่เป็นเพื่อนเราจริงๆ คำว่าเพื่อนในความคิดผม ค่อนข้างเป็นรูปแบบของคำจำกัดความที่กว้าง ผิดที่มีความต้องการสูงเกินไป เลยหาคนที่จะเรียกว่าเพื่อนไม่ค่อยได้ .. เพื่อน บางทีก็ไม่ได้พูดหรือทำได้ทุกอย่างหรอกครับ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับระดับความสัมพันธ์อีกนั่นแหละ แต่ก็อย่าลืมว่าเขาอาจคิด อาจรู้สึก ในสิ่งที่เราสะเพร่า พูดหรือทำอะไรลงไป คุณอาจเคยรู้สึกแย่ๆ กับคำพูดบางคำ การกระทำบางอย่าง ที่ก็รู้ว่าเพื่อนคุณเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บหรอก แต่สันดานมันเป็นอย่างนั้นเอง .. หรือบางทีเขาอาจตั้งใจก็ได้ ใครจะรู้ ก็ดูๆ กันไป .. เพื่อนบางคน ปีหนึ่งแทบจะไม่ได้คุยกัน แต่ก็รู้ว่าเป็นห่วงกันอยู่ หรืออาจไม่เคยสนใจกันก็ได้ .. มันก็คิดได้หลายอย่าง แต่เราคงไม่อยากให้คนที่เราแคร์ ต้องไปรู้สึกอะไรที่มันไม่ดี ใช่ไหม
เพื่อนร่วมงาน .. คนที่ต้องทำงาน ก็ต้องมีเพื่อนประเภทนี้พ่วงมาด้วย แต่ความจริงมันไม่ควรเป็นคำว่าเพื่อนนะ มันน่าจะเป็นผู้ร่วมงานเสียมากกว่า เราจะเจอหลากหลายมาก .. จุดแรกเลยคือ เราแต่ละคนจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจนอยู่ ที่จะต้องจัดการให้มันสำเร็จลุล่วง ซึ่งอาจต้องอาศัยความร่วมมือกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรืออาจมีผู้ช่วย .. มันก็คงไม่มีปัญหาอะไร ถ้าผู้ช่วย มันช่วยได้จริง หรือแต่ละคนรับผิดชอบงานในส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่ .. ปัญหามันเกิดก็ตรงที่ มีใคร .. ไม่ทำงานของตัวเองให้ดีน่ะแหละ คุณเคยเจอไหม แบบว่าแม่งโยนงานมันมาให้กูหน้าตาเฉย แถมมีท่าทีว่ากูทำถูกแล้วด้วยนะ ด้วยเหตุผลว่า ช่วยหน่อย .. ความรู้สึกเกิดตรงนี้แหละ เซ็ง ไม่พอใจ โกรธ อะไรก็ว่าไป .. วิธีการง่ายๆ และได้ผล คือ อย่าไปทำให้มัน แต่มันอาจเหมือนหักหาญน้ำใจกันไปเลย ซึ่งผมว่ามันก็โอเคนะ ก็เล่นโยนงานมาให้เราแบบนี้ มันรักษาน้ำใจเราตรงไหนวะ
คนรู้จัก .. อันนี้ผมมีเยอะมากๆ ไอ้การที่จะเป็นให้มากกว่าคนรู้จัก มันก็ยากนะ ต้องได้รับความร่วมมือจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งสำหรับผม ค่อนข้างยุ่งยากและไม่ค่อยมีเวลากับโอกาส แต่เราก็ยังต้องสนใจความรู้สึกของคนรู้จักอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ก็อย่าไปล่วงเกินเขา ให้ถึงจุดที่เขารู้สึกเจ็บแค้นใจ จนต้องทำอะไรสักอย่างกับเรา .. มีศัตรู มันระวังไม่ไหวหรอกครับ ตอนวัยรุ่น ผมเคยพกปืนไปไหนมาไหนอยู่หลายปี เพราะมีเรื่องไปทั่ว (.38 special น่ะครับ หนักจะตายห่า) แต่ถามจริง คุณจะระวังตัวอยู่ได้ตลอดเวลาไหม ถ้ามีใครสักคนอยากฆ่าคุณ ขนาดนักเลง มีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง ยังเอาไม่อยู่เลย .. กรณีแบบนั้นมีให้ผมเห็นอยู่ 2-3 ราย ที่ผมรู้จักดี ต้องใช้รถสลับคัน มีปืนอยู่ในกระเป๋ากางเกงกระบอกนึง ในรถอีก 2-3 กระบอก  .. พอโตแล้ว ผมรู้สึกว่า การเดินตัวเปล่า ไม่มีแม้แต่กระเป๋าสตางค์หรือโทรศัพท์มือถือ มันสบายกว่ามากเลย
เพื่อนใน facebook .. ก็พูดยากแฮะ มันคือโลก cyber โลกแห่งความว่างเปล่า .. เอาเป็นว่าผมมีเพื่อนใน facebook อยู่ 14 คน ที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่รู้จักอยู่ 2 คน แต่ที่เป็นเพื่อนกับเขา เพราะเขาเป็นเพื่อนกับคนที่ผมรู้จัก .. บางคนมีเพื่อนเป็นร้อยเป็นพัน เราให้ความสนใจกันจริงๆ กี่คน ถ้ามีใครตายไป เราจะรู้ไหม เราเคยเข้าไปดู update ข้อมูลของเพื่อนเหล่านั้นไหม ว่าเขาอยู่อย่างไร เป็นไปยังไง อยากพูดอะไรไหม .. มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ ผิวเผิน ..
ก็นั่นแหละ สิ่งที่สร้างความรู้สึกให้เกิด เพราะงั้นทำอะไร คิดถึงคนอื่นให้มาก นึกถึงตัวเองให้น้อย ไม่ง่ายนะที่จะปฏิบัติเช่นนี้กับคนทุกคนที่เราเกี่ยวข้อง งั้นก็ไม่ต้องทุกคนหรอกครับ เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนพอใจได้อยู่แล้ว อย่าไปพยายามเลย มันจะเสียเวลา .. จำกัดวงเอาเฉพาะคนที่เขาแคร์เราก็คงพอ มองในมุมกลับกัน หากเป็นเราก็คงคิดเหมือนกัน เรื่องนี้อาจไม่มีผลได้ผลเสียอะไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันก็แค่การแคร์ความรู้สึกกันก็เท่านั้น จะมากจะน้อยก็ตามแต่ มันเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่มันก็บอกตัวตนของเราจากการปฏิบัติกับบุคคลอื่น .. บางคนใส่ใจคนอื่นน้อยเกินไป ก็ทำร้ายคนที่รักเขา .. บางคนใส่ใจคนอื่นมากเกินไป ก็กลายเป็นทำร้ายตัวเอง .. อีกเรื่องที่น่าระวัง .. บางครั้งความรู้สึกก็ทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีเหตุผลได้เหมือนกัน
จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรนักหนา วันหนึ่ง เมื่อเราตาย (ถ้าไม่ได้ถูกฆ่าหมกป่าหาศพไม่เจอน่ะนะ) ..  เราก็จะได้โลงศพขนาดพอดีตัวคนละใบ คนพุทธก็เอาไปเผา เอาขี้เถ้าจากเลือดเนื้อผิวหนังไปทิ้งน้ำ กระดูกใส่โกฎเล็กๆ เก็บไว้ บางทีก็ทิ้งหมด  ..ถ้าเป็นคริสต์ก็เอาไปฝังในพื้นที่ ๆ ใหญ่กว่าโลงไม่เท่าไหร่ .. ที่เหลืออยู่ในโลกนอกเหนือจากนี้คือ .. ความรู้สึกในใจคนอื่น .. เท่านั้นแหละ.

ไม่มีความคิดเห็น: