While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บ๊าคต้องเข้าโรงพยาบาล / Sat. 9 Nov., 2013


ทั้งหมดนี่ ผมมาเขียนหลังจากอาการเขาดีขึ้นมากๆ แล้วน่ะครับ ราว 7 วัน อันนี้เขียนวันที่ 16 (โน๊ตไว้คร่าวๆ สั้นๆ แล้วมาพล่ามทีหลัง การ up ข้อความขึ้น blog เราเลือกวันเวลาที่ต้องการได้ครับ) .. เดี๋ยวจะว่า ลูกมึงป่วยหนัก ยังมีอารมณ์มานั่งเขียน blog อีกเหรอวะ .. ทั้งสัปดาห์ ผมนั่งลูบเขาตลอดน่ะแหละ พูดคุย ลูบหัว ลูบตัว กอดเขา .. มันสำคัญ มันช่วยได้ เขารู้สึกดี มีความสุข ร่างกายเขาก็จะฟื้นตัวได้เร็ว เหมือนคนแหละครับ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
เช้ามา ไม่อ้วก แต่พ่อเจ้าประคุณก็ไม่กินข้าว อาหารหมาไม่ต้องพูดถึง อะไม่กินไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ถึงมือหมอแล้ว .. ไปฉี่ไหม เดินตุปัดตุเป๋ ไปฉี่ .. ผมไม่ได้อาบน้ำมา 1 วันเต็ม แต่คิดว่าถ้าไปถึงโรงพยาบาลเร็ว คนอาจจะยังมาไม่มาก เวลาต่างครึ่งชั่วโมงที่บ้าน อาจทำให้ต่างถึง 2 ชั่วโมงในการนั่งรอตรวจ คิดได้ดังนี้แล้ว ผมก็แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมออกเดินทาง วันนี้พอบอกว่า มาป๊าอุ้ม เขากลับไม่ยอมให้อุ้ม อยากเดินเองทั้งที่เดินแทบไม่ไหว ลากสังขารไปถึงรถได้ก็ไม่มีปัญญาขึ้นรถเอง ผมเอาขาหน้าแปะไปบนเบาะหลัง แล้วช่วยยกก้นขึ้นไป วันนี้นั่งเรียบร้อยอยู่ที่ด้านซ้ายชิดหน้าต่างตลอดทาง ไม่มีเดินเพ่นพ่านเลยครับ แต่ก็ไม่นอนเหมือนกัน (นั่นหลังจากเสียหลักหัวคะมำไป 1 ครั้งแล้ว ตอนออกจากบ้าน) ถ้าเป็นคนอื่นๆ ป่วยขนาดนี้ เขาจะนอนหมอบเงียบกริบกันทุกคน
รถติดอย่างเหลือเชื่อ เราใช้เวลากันราวชั่วโมงครึ่ง ซึ่งปกติผมมาซื้ออาหารหมาวันอาทิตย์ จะใช้เวลาราว 40 นาที โชคดีที่คนยังมาไม่มาก มีรถจอดอยู่ไม่กี่คัน ผมเอาบัตรไปให้เจ้าหน้าที่ก่อน บอกเขาว่าเดินไม่ได้ ขอเอารถเข็นไปใส่ คุณ รปภ. เขาก็ใจดีมาช่วยเข็น ทั้งๆ ที่ผมบอกว่ามันดุมาก แต่สภาพลูกบ๊าคค่อนข้างแย่ ดูไร้พิษภัย (มันไม่จริงหรอกครับ)
พอเปิดประตูรถ เขาก็กระโจนลงมาหาที่ฉี่ เดินไปได้หน่อยก็ล้มแผละ ผมอุ้มเขาใส่รถเข็น คุณท่านก็กระโจนลงมา (ขอบบนของกรงรถเข็นสูงเกือบ 2 ฟุตจากพื้นถนน แต่สูงจากพื้นกรงราวฟุตเดียว) ผมปล่อยให้เขาล้มๆ ลุกๆ อยู่พักนึง ทนดูความทุเรศไม่ไหว ก็รวบตัวอุ้มแบบเอาหลังแนบอก เข้าโรงพยาบาล ..
ผมคิดว่าคุณหมอธนิกาคงตรวจคนไข้ในก่อน ผมอาจต้องรอนาน หรือต่อคิวตรวจเบื้องต้นกับคุณหมอท่านอื่นก่อน ก็น่าจะเป็นชั่วโมง ดูจากคนที่มานั่งรอ แต่คุณหมอธนิกาท่านใจดีมากๆ ผมรอราว 5 นาทีท่านก็เรียกตรวจ ผมยังงงๆ เมื่อเห็นหน้าท่าน คิดว่าจะเจอคุณหมอท่านอื่นตรวจเบื้องต้นให้ก่อนเสียอีก เมื่อซักอาการอย่างละเอียด รวมถึงอาการ 1 หน้า A4 ด้วยลายมือไก่เขี่ยของผม ประกอบกับฟิลม์ x-ray เมื่อปีก่อนที่พบแคลเซียมจับที่กระดูกสันหลัง .. ท่านก็ฟังเสียงปอด หัวใจ จับชีพจร ยังปกติ แค่ตื่นเต้นมาก ทำให้การวัดความดันไม่มีความจำเป็น วัดไปก็ไม่ได้ค่าที่ถูกต้อง
คุณหมอท่านว่าดูเจ็บมาก ท่านฉีดยาแก้ปวดให้ ตามด้วยการให้น้ำเกลือใต้ผิวหนัง ขนาดล็อคคอไว้แน่น ดันตัวชิดผนัง แถมใส่ตะกร้อครอบปาก พอคุณหมอเสียบเข็ม พ่ะขู่ฟอด เห่าด้วย คุณหมอต้องรีบถอยไปตั้งหลัก .. จากนั้นก็ไป x-ray กัน ครึ่งตัวหลังถึงบั้นท้าย 2 ฟิลม์ .. ไม่ว่าลูกบ๊าคจะเดินไปทางไหน ต้องมีคนคอยดูต้นทาง เปิดทางให้ ยิ่งใหญ่จริงๆ พ่อคุณ ขนาดแย่ๆ และใส่ครอบปาก เขายังพุ่งใส่โกลเด้นเฉยเลย ผมมัวแต่ห่วงว่าเขาจะล้ม ไม่คิดว่าเดินไม่ไหวแล้วยังซ่าส์ได้อยู่ ทำเอาคุณพ่อคุณแม่เจ้าโกลเด้นตกใจ ผมก็รีบขอโทษเขา ก่อนที่เขาจะเปิดปากด่า
การจับลูกบ๊าค x-ray วันนี้ ง่ายกว่าตอนแรงดีๆ นิดหน่อย คุณผู้ช่วยพูดขำๆ ว่า เจอกันทุกที .. เขารู้ฤทธิ์ลูกบ๊าคดี รวมทั้งคุณหมอด้วย ท่านเลยให้ผู้ช่วยผู้ชายตัวโตอีกคนมาช่วย ผมกดด้านหัวโดยต้องเอาตัวกดลงไปบนตัวเขา จับขาหน้าไว้ข้างละมือ เขาถึงจะดิ้นไม่ได้ อีกคนกดบั้นท้าย อีกคนกดกลางตัว .. ในท่าหงายท้องดึงขาหลังยืดออกเพื่อดูสะโพก คงทำให้เจ็บมาก ลูกบ๊าคร้องลั่น ผมก็ใจจะขาด แต่วันนี้ต้องรู้ให้ได้ .. ถ้าบ๊าคแรงดีๆ ไม่มีทางทำได้ ทุกครั้งจะ x-ray เขาได้แค่ฟิลม์เดียว เขาจะดิ้นจนคุณหมอกลัวว่าจะช็อคตาย แล้วเราก็ต้องเลิก ช่างเป็นเด็กที่เหลือเชื่อจริงๆ
ผล x-ray ออกมาว่า กระดูกสะโพกยังสวยงามมาก เบ้าสะโพกด้านซ้ายไม่เรียบนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตัวปัญหาคือกระดูกสันหลัง 5 ท่อนสุดท้าย หมอนรองกระดูกมันหมดไปแล้ว คุณหมอบอกว่าถ้ายังมี ตัว Glycoflex จะช่วยเพิ่มน้ำเลี้ยงข้อได้ดี แต่นี่ไม่ช่วยอะไรแล้วให้หยุดได้เลย เปลืองเปล่าๆ .. ก็นะ ถุงละ 1950 กินได้ 2 เดือน (นี่ซื้อกับคุณฝนนะ ถ้าซื้อโรงพยาบาลแพงกว่านี้) .. กระดูกข้อสุดท้ายมีแคลเซียมจับอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เจ็บมากเพราะไปโดนเส้นประสาท การวางน้ำหนักลงทำให้เจ็บจนขาสั่นเกร็งจนเดินไม่ไหว ถ้าเส้นประสาทถูกกดจนทำงานไม่ได้ เขาจะเดินไม่ได้ คือหลังเท้าจะพับไปด้านหลัง ไม่สามารถวางอุ้งเท้าลงไปได้อย่างปกติ .. ที่นี่ การ x-ray และ ultrasound จะดูได้ผ่านระบบ lan จากทุกห้องตรวจ สะดวกดีครับ
ทางรักษาคือกินยา ถ้าไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ก็ต้องใช้กายภาพบำบัดร่วมด้วย ถ้าไม่ได้ผลอีกก็ต้องผ่าตัดเปิดข้อด้านบนเพื่อลดความดันในข้อ ซึ่งต้องวางยา ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเพื่อเข้าเครื่อง MRI สแกนกระดูกก่อน ว่าควรผ่าที่ข้อไหน ไม่มีใครเข้าไปยุ่งได้ แล้วมันจะรอดรึ .. แต่นี่คือขั้นตอนที่ใช้ในการรักษา ผมถามคุณหมอว่า การผ่าตัดสำเร็จกี่เปอร์เซนต์ ท่านว่าราว 50 เปอร์เซนต์ ผมพูดออกมาว่า ไม่มากพอ แล้วนึกอยากตบปากตัวเองที่ปากไวเหลือเกิน คุณหมอท่านว่า มากกว่า 50 เปอร์เซนต์ของสุนัขก็ตอบสนองต่อยาได้ดี และเป็นขั้นตอนแรกในการรักษา ต้องลองดูก่อน
ท่านว่าประสาทมันก็มีการเรียนรู้ (เรื่องนี้ผมค่อนข้างกระจ่าง จากความเข้าใจเรื่องการทำงานของระบบประสาทในเด็กเล็ก ถ้าไม่มีหลาน ผมก็ไม่มีวันรู้อะไรดีๆ  อีกเยอะแยะจากพ่อของเขา ซึ่งเอามาปรับใช้ได้กับทั้งหมา ทั้งคนโตๆ) ท่านว่า เหมือนเราเจ็บอยู่ทุกวัน เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันจะปรับตัวและทนได้ เราแค่ต้องช่วยให้เขาผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ (เป็นคำพูดที่ง่ายๆ แต่ผมรู้สึกประทับใจจัง) และการประคบอุ่นตามแนวกระดูกสันหลัง ตั้งแต่ข้อที่มีปัญหาลงมา จะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทได้ดีขึ้น
อีกเรื่องที่เป็นปัญหา น้ำเกลือ .. ท่านถามผมตั้งแต่ตอนแรกว่า ให้น้ำเกลือทุกวันอยู่รึเปล่า ผมไม่ได้ให้เลย ท่านว่า 3 วันแรกต้องให้เช้า-เย็น ครั้งละ 500 cc ถ้ามากกว่านี้เขาจะเจ็บ หลังจากนั้นให้วันละครั้งก็ได้ แล้วถามผมว่า จะให้เองหรือเอาไปให้ที่คลีนิคดี ผมทำการตัดสินใจ (ซึ่งไม่ได้ยาก) แล้วบอกท่านว่า ให้เองดีกว่า เอาไปคลีนิคก็อย่างเงี้ย ยิ่งกว่านี้อีก ท่านเลยสอนวิธีให้ เดี๋ยวผมจะสรุปให้อ่านช่วงท้ายละกัน เป็นทริคที่เข้าท่า เจ้าบ๊าคของผมเขาค่อนข้างละเอียดอ่อน ทำหยาบๆ ไม่ได้ คงเพราะชื่อเขามาจาก โจฮานน์ เซบาสเตียน บ๊าค (Johann Sebastian Bach) เขาเลยค่อนข้างจะอารมณ์ศิลปินไปหน่อย ..
คุณหมอบังคับผม โดยการจัดน้ำเกลือให้ 3 ขวด คุณผู้ช่วยเสียบสายให้เรียบร้อย ให้เข็มเบอร์ 18 มา 6 อัน (เหมือนบอกผมว่า) ยังไงมึงก็ต้องให้แล้วล่ะวะ แล้วบอกว่า หมดแล้วไปซื้อที่คลีนิคก็ได้ .. แต่ผมรู้ว่าคงแพง ผมเลยไปซื้อร้านขายยาส่งในฉะเชิงเทรา (ร้านหมอไฝน่ะครับ) ขวดละ 60 บาท สายน้ำเกลือ 15 บาท เข็ม ไม่รู้ครับ ซื้อยาด้วยแล้วไม่ได้ถาม
ส่วนอาการอาเจียน ถ่ายเหลว อาจเป็นผลจากค่าไตที่สูงขึ้น (ผมไม่เล่านะ มันยาว ลองไปอ่านเกี่ยวกับหมาเป็นโรคไต แล้วจะกระจ่างแจ้งครับ) คร่าวๆ ว่าของเสียย้อนเข้ามาในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระคายเคืองน่ะครับ คุณหมอว่าถ้าถ่ายดำ ให้กิน ulsanic 1000 mg. เคลือบกระเพาะก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ส่วน ondansetron 8 mg. ถ้าไม่มีอาการคลื่นไส้ก็ไม่ต้องกิน ยานี้ร้านขายยาไม่มีขาย และแพงเช็ดเม็ด
ยาที่ต้องกินมี ..
Previcox 227 mg. แก้ปวด ลดการอักเสบ กินวันละ 1 เม็ด 4 วันจบ
Vultin 300 mg ครั้งละ 1 เม็ด เช้า-เย็น ลดอักเสบเส้นประสาท กิน 14 วัน แล้วลดเหลือวันละครั้ง กินไปอีก 14 วัน
Tramadol 50 mg. ครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ลดปวด กิน 7 วัน แล้วลดเหลือครั้งละเม็ดครึ่ง ต่ออีก 7 วัน
ยาหมดก็หยุดเลย ถ้าร่างกายตอบสนองต่อยา อาการจะดีขึ้นภายใน 3 วัน หลังเริ่มให้ยา แต่จะกลับมาเดินได้ดี (หรือปกติ) ภายใน 3 สัปดาห์ ถ้ายาหมดแล้วมีอาการอีก จะเป็นภายใน 1 สัปดาห์ ก็ต้องเริ่มกินยาใหม่ ผลข้างเคียงของยาคือ น้ำลายไหล ง่วงหลับตลอดเวลา ให้โทรมา เพื่อคุณหมอปรับลดขนาดยาให้เหมาะสม .. นี่คือวิธีการที่ใช้ในการรักษาลูกผม ใช้กับหมาตัวอื่นไม่ได้ เล่าให้ฟังเฉยๆ เพราะอยากเล่า คุณต้องพาหาหมอ x-ray ดูสภาพของหมา เพศ อายุ น้ำหนักตัว โรคประจำตัว ตรวจเลือด มันเป็นเรื่องของรายละเอียด เพื่อคนที่คุณรัก กลับมาเดินได้เหมือนเดิม หรือเกือบเหมือนเดิม เขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ไปมากกว่าการต้องเกิดเป็นหมา เราควรช่วยเท่าที่ช่วยได้ จริงไหมครับ เพราะในความคิดเขา เราเท่านั้นที่เขาพึ่งได้ทุกอย่าง เป็นทุกอย่างในชีวิตเขา ..
เขาเรียกรับยาตอน 10.15 คุณหมอท่านมาอธิบายยาให้ด้วยตัวเอง ท่านรู้สันดานผม คงเกรงว่าเดี๋ยวมันสงสัย ถามนั่นถามนี่ แล้วเจ้าหน้าที่จะตอบไม่ได้ แล้วผมก็ถามจริงๆ แหละ (ก็มันเป็นสันดาน) พอหมดเรื่องถาม คุณหมอท่านก็ว่าเอาบ๊าคไปใส่รถก่อนไหม ผมก็ว่าดี เพราะวันนี้มีทั้งยาทั้งน้ำเกลือ ผมไม่ถามลูกบ๊าคล่ะ รวบอกได้ก็อุ้มไปจับยัดใส่รถ สตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ เปิดกระจกนิดหน่อย แล้ววิ่งกลับมาเอายา
ค่าใช้จ่ายวันนี้ราว 3800 ไม่จัดว่าแพง เพราะมันหลายเรื่อง และยามันแพง .. เงิน ไม่ใช่พระเจ้า แต่ถ้าไม่มีเงิน พระเจ้าจะช่วยบ๊าคยังไง ผมไม่ได้ดูหมิ่นพระเจ้านะ ทรงประทานชีวิตที่ดี หน้าที่การงานที่ดี ให้ผมมีเงินพอใช้จ่าย มีความสุข ขอบคุณพระเจ้า .. โดยส่วนตัว ผมไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่ซื้อเครื่องสำอางค์ ไม่ซื้อเสื้อผ้าแฟชั่น ไม่ซื้อความบันเทิง ผมว่าผมเป็นคนที่รู้คุณค่าของเงินพอสมควร ผมใช้มันตามความจำเป็น .. เป็นค่ายา ค่าอาหารของหมา อาจเป็นเรื่องไร้สาระของคนอื่น แต่คนที่เลี้ยงหมาเหมือนลูกจะเข้าใจดีว่า เราจะทำทุกอย่างตามกำลัง ให้เขามีชีวิตที่ดีเท่าที่เราจะทำได้ มันเป็นเรื่องต่างจิตต่างใจ (อย่ามาชวนเถียงเลย มีทะเลาะกันเปล่าๆ)
ถึงบ้าน 11 โมงครึ่ง ลูกบ๊าคก็เดินเป๋หาที่ฉี่ และกินน้ำเยอะแยะ พักนึงก็อ้วกเป็นน้ำที่กินเข้าไปน่ะแหละ ผมกินกาแฟ 1 แก้ว แล้วไปทำงานช่วงบ่าย โดยไม่ได้อาบน้ำ ..
ตอนเย็นลูกบ๊าคกินได้นิดหน่อย ผมมานึกได้ว่าทำไมกูหน้ามืดวะ ไปหาข้าวกินตอน 1 ทุ่ม เมื่อวานก็เหมือนกัน เลยได้รู้ว่า พระฉันวันละมื้อและทำงานวัดด้วย อยู่ได้จริง และการไม่ได้อาบน้ำ 2 วัน มันโคตรเหม็นตัวเองเลยว่ะ ไม่สบายตัวสุดๆ
ลูกบ๊าคหลับไปแล้ว โอเค ยังหลับได้ ไม่อ้วกแล้วด้วยครับ.
การให้น้ำเกลือใต้ผิวหนังสำหรับสุนัข
ทำไมจำเป็นต้องให้น้ำเกลือในหมาป่วยโรคไต เพราะถ้าไม่กินน้ำให้มากพอก็ต้องอัดเข้าไป ให้เขาอยู่รอด
ผมคำนวนปริมาณน้ำที่ต้องได้รับต่อวันไม่เป็นนะ (ในเนทมี ลองศึกษาดูได้ ของผมคุณหมอคำนวนมาให้แล้ว) อย่างลูกผม หนัก 35 โล ควรกินน้ำอย่างน้อยวันละลิตรครึ่ง ถ้าให้ดีต้อง 2 ลิตรครึ่ง ถึงจะเพียงพอให้ผ่านไต ขับของเสียออกมา ค่าของเสียคือ BUN ดูร่วมกับค่า Creatinine ซึ่งบอกความเสียหายของหน่วยไต (หรืออาจเป็นเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอสำหรับหมาที่เป็นโรคหัวใจร่วมด้วย อย่างลูกผม) ค่าปกติคุณหาดูได้ในเนท ไว้มีอารมณ์ผมจะมาเล่าสรุป ตอนนี้ยังครับ .. รายละเอียดมันมากอยู่เหมือนกัน ต้องศึกษา และผมไม่ใช่หมอ ยังไม่บังอาจ
แต่สรุปคร่าวๆ คือ ถ้ากินน้ำไม่มากพอ อาการเขาจะแย่ลง 2 ค่านั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อย สุดท้ายการอาเจียนก็คุมไม่ได้ อันนี้คุณหมอธนิกาท่านบอกมา โดยท่านกรุณาไม่ใช้คำว่า แล้วก็ต้องตาย ..
การให้มีน้ำในร่างกายมากพอ ทำได้โดยการป้อนน้ำ (ใช้ไซริงค์ค่อยๆ ดันเข้าไปที่กระพุ้งแก้มให้เขาค่อยๆ กลืน ไซริงค์ใหญ่สุดที่มีขายก็ 25 cc คิดเอานะ เมื่อไหร่จะได้ 1000 ของลูกชายผมลืมได้เลย 30-40 cc เขาก็ทำท่าสำลักแล้ว), เอาน้ำผสมในอาหารบังคับให้ต้องกิน ถ้าเขากินนะครับ (ปกติผมผสมน้ำเย็นไปด้วย ในสัดส่วนที่อาหารจะพองตัวได้เต็มที่ โดยไม่ไปดึงน้ำในร่างกาย เอาส้อมคนๆ หน่อย น้ำแกงก็อร่อยแล้ว) สุดท้ายคือให้น้ำเกลือ ซึ่งคุณหมอธนิกาท่านว่า ง่ายสุดแล้ว ก็จริงครับ
ถ้าอาการหนักก็ต้องให้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือดดำ (ซื่งได้ผลเร็วกว่า) โดยสัตวแพทย์เท่านั้น ต้องใช้เวลา (นับ 1 2 3 หยด อย่างนี้) .. ไม่หนักก็เข้าใต้ผิวหนังให้ซึมผ่านเนื้อเยื่อเข้าไป เจ้าของทำเองได้ ไม่ยากครับ สะดวก, ไม่ต้องเดินทางให้หมาบักโกรก, ให้ตอนไหนก็เลือกเอาเอง (ควรเป็นเวลาเดิมๆ), หมาไม่ตื่น (สำหรับหมาไม่เชื่อง) และค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก เพราะต้องให้ทุกวัน จนกว่าจะกินน้ำมากพอ ผมภาวนาอยู่ .. เดิม ที่ไม่ได้ให้ เพราะความสงสาร กลัวว่าเขาต้องเจ็บทุกวัน และเขาก็ดูสบายดี แข็งแรงดี .. แต่เมื่อจำเป็น มันก็ต้องทำ เพื่อให้เขาได้อยู่แบบดีๆ มีความสุขตามสมควร ยังไงก็ดีกว่าปล่อยให้เขาตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าช่วยได้ แต่ไม่ช่วย ถูกไหมครับ
เอาล่ะ วิธีการและรายละเอียด .. ผมใช้เวลาค้นหาข้อมูลอยู่ 4-5 วัน อ่านแม่งเรื่อยไป (ส่วนใหญ่ print มาอ่านบ้านตอนนั่งลูบลูกบ๊าค) กับที่คุณหมอธนิกาบอกมา ที่ถามคุณหมอฝน ที่คนร้านขายยาเล่าให้ฟัง .. อาจเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้บ้าง
1.       การเช็ดแอลกอฮอล์กว้างๆ หน่อย เอาแฉะๆ ไปเลย เดี๋ยวไม่ถึงหนัง
2.       ขย้ำๆ หนังระหว่างไหล่ (หรือขึ้นมาด้านคอหน่อยก็ได้ จะมีพื้นที่ให้น้ำเกลืออยู่มากหน่อย) จะทำให้ชา เวลาทิ่มเข็มเขาจะไม่รู้สึกเจ็บ
3.       ใช้มือซ้าย (หรือข้างที่ไม่ถนัด) ดึงหนังขึ้นตามแนวเดียวกับคอให้เป็นกระโจม (นึกถึงหลังคาบ้านเรือนไทย ทิ่มด้านหน้าจั่ว จะได้ไม่ทะลุออกข้าง)
4.       ใช้เข็มทิ่มเข้าไป 45 องศา จริงๆ แล้วผมทิ่มแค่ 15 องศา กลัวโดนเนื้อ โดนไปครั้งหนึ่ง บ๊าคร้องลั่นบ้าน ดีไม่หันมากัด หมอนี่ดุจริง แต่ไม่เคยกัดผมเลย เว้นตอนเมายา (coffee ที่เชื่องๆ งับมือผมบ่อยๆ แต่เหมือนจับมือไว้มากกว่า พอบอกงับทำไม ปล่อยสิ เขาก็ปล่อยอย่างว่าง่าย) ก็ดูเอาครับ ตามความเหมาะสม ลูกบ๊าคมีลักษณะทางกายภาพเหมือนร็อตไวเลอร์ หนังที่คอเขาเยอะมาก
เบอร์เข็ม .. ถ้าใช้เข็มเบอร์ 18 จะเร็วมาก (เหมาะกับหมาขี้รำคาญ) น้ำเกลือไหลเป็นสายเลยครับ ใช้เวลาราว 5-7 นาทีเท่านั้น (ที่ 500 cc) เข็มความยาว 1 นิ้วก็พอ จะได้ไม่ต้องกลัวทะลุหนังออกมา
การแทง .. เอาด้านแหลมไว้ด้านล่าง (ถ้าไว้ด้านบน พอเราปล่อยเข็ม หน้าตัดมันจะกดลงบนเนื้อเขา เจ็บและน้ำเกลือไม่ไหล ลองแล้วครับ) ดันให้สุดเข็ม อย่าเพิ่งปล่อยหนังที่ดึงขึ้นไว้ เปิดน้ำเกลือแล้วกดโคนเข็มแนบผิวหนัง ราว 10 วินาที จากนั้นค่อยปล่อย มันจะลื่นไหล หมาไม่เจ็บ น้ำเกลือที่เข้าไปจะพยุงเข็มไว้ ไม่ให้ปลายทิ่มลงบนเนื้อ  (อันนี้จากประสบการณ์ 1 สัปดาห์)
เข็มที่มากับสายน้ำเกลือเป็นเข็มเบอร์ 21 ยาวนิ้วครึ่ง เสียบเข้าง่าย แต่ต้องระวังทะลุหนัง เสียบครึ่งเข็มก็พอ ที่ 500 cc ใช้เวลาราว 15 นาที .. เข็มเบอร์ 21 ยาว 1 นิ้วก็มีครับ คงดีกับหมาตัวเล็ก ได้รูเล็กๆ แผลปิดเร็ว แต่ใช้เวลานานกว่า 2 เท่า .. ผมกำลังจะเปลี่ยนมาให้ตอนเย็นแทน สัปดาห์ที่แล้วผมตื่น 6 โมงกว่า (ปกติ 7 โมงเกือบครึ่ง) ให้น้ำเกลือ เตรียมอาหาร คะยั้นคะยอให้กิน พาไปฉี่ไปอึ (พ่อคุณโยกโย้ ใช้เวลานานกว่าเดิมมาก) ป้อนยา ป้อนน้ำนิดหน่อย หมดเวลา .. ตอนนี้กินเองแล้ว เดินได้ดีขึ้นมากแล้ว มาให้น้ำเกลือตอนเย็น ผมจะได้ไม่ต้องลนลานมากตอนเช้า คงดี
เข็ม ให้ใช้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่งั้นอาจติดเชื้อแล้วเป็นหูดเป็นฝีขึ้นมา ลำบากต้องตัดออกอีก เข็มราคาไม่แพงครับ ประหยัดไปจะไม่คุ้ม .. ระวังมือให้ดีด้วย ใช้สติในการเก็บเข็ม ผมโดนไปทีนึงแล้วครับ หลังใช้แล้วด้วยสิ เลือดออกเยอะเลย ไล่สิ่งสกปรกให้เสร็จ เลยไม่จำเป็นต้องใส่ยา ช่างเป็นนวัตกรรมที่น่าทึ่งจริงๆ ครับ (ความจริงลืมครับ เรื่องมันเยอะจนความสนใจตัวเองลดลงไปมาก ช่วงนี้โสโครกสุดๆ)
ตอนดึงเข็มออก อย่าชักช้ามากนัก เดี๋ยวมันจะไปโดนเนื้อให้เจ็บ แล้วเอาสำลีกดปิดปากแผล ให้แผลปิด เข็มใหญ่จะมีเลือดกับน้ำเกลือซึมออกมานิดหน่อย ไม่ต้องตกใจ กดแป๊ปนึงก็หยุด
น้ำเกลือ 1 ขวด ใช้ได้กี่มะน้อย .. ถามคุณฝนมา (ท่านเป็นสัตวแพทย์เกรียตินิยมจุฬา เชื่อได้แน่นอน) ท่านว่า เมื่อเปิดขวดแล้วปกติก็ใช้แค่ 2-3 วัน ถ้าเป็นหมาตัวเล็กๆ ซื้อขนาดเล็กๆ ก็คงมี ผมเคยเห็นอยู่นะ แต่เรื่องราคาไม่รู้เหมือนกันครับ
สายน้ำเกลือ ถ้าเป็นคุณหมอเขาคงบอกให้ใช้ต่อขวด แต่ตอนผมไปซื้อที่หมอไฝ คนขายเขามาคุยด้วยเมื่อเห็นผมระบุชนิดน้ำเกลือ เขาถามว่าเอาไปให้หมาเหรอ ผมก็งงว่ารู้ได้ยังไง ของเขาก็ต้องให้ เป็นมินิเอเจอร์ตัวกระปิ๋ว .. อันนี้คุณต้องใช้วิจารณานกันเอาเองนะครับ ผมจะเล่าสิ่งที่เขาเล่าให้ฟัง .. เขาใช้แบบ 1000 cc ให้ได้ 5 วัน สายน้ำเกลือใช้ต่อไปได้เรื่อยๆ เหตุผลคือน้ำเกลือขวดใหม่ เปิดให้ไหลผ่านไล่น้ำเกลือเก่าออกไป มันก็สะอาดแล้ว เข็มน่ะแหละที่ต้องเปลี่ยนทุกครั้ง ไม่งั้นอาจติดเชื้อ
น้ำเกลือที่ใช้ได้ .. 2 ตัวนี้เหมือนกันครับ ตัวแรกสุวรรณชาดให้มา ตัวหลังซื้อร้านขายยา
ACETAR – each 100 mL contains
Calcium Chloride .2H2O             0.02 g
Potassium Chloride                    0.03 g.
Sodium Chloride                        0.60 g.
Sodium Acetate .3H2O               0.38 g.
Water for injection                      q.s. to 100 mL
ACETATE RINGER’S INJECTION
Calcium Chloride                       20 mg
Potassium Chloride                    30 mg
Sodium Chloride                        600 mg
Sodium Acetate                         380 mg
อ่านในเนทให้ตายห่า เขาว่าคนละตัว คนขายเขาบอกตัวเดียวกันแค่คนละแบรน ผมยังว่าเขาว่า ชัวร์นะ เขาบอกเขาใช้อยู่ ผมซื้อมา 7 ขวด เอากลับมา ก็มานั่งเทียบดู เป็นสารประกอบตัวเดียวกันและสัดส่วนเท่ากันจริง สิ้นสงสัยครับ .. น้ำเกลือ 2 ตัวนี้ ใช้ได้กับหมาโรคไตและตับ อย่างปลอดภัย
น้ำเกลือ NSS 0.9% จะมีปริมาณของ Sodium Chloride 0.9 g หรือ 900 mg มากเกินไปสำหรับหมาโรคไต .. แต่ถ้าหาไม่ได้ ก็อาจใช้แก้ขัดได้ หรือเปล่า กรณีอย่างช่วงน้ำท่วมใหญ่แล้วน้ำเกลือ ACETATE ขาดตลาด
น้ำเกลือที่ป้ายมีบอกว่า 5%D/NSS, 5% D in 1/3 NSS ตัว D หมายถึง Dextrose มันคือน้ำตาล ใช้ไม่ได้กับหมาที่เป็นโรคตับ เพราะน้ำตาล ไปกระตุ้นให้ตับทำงานหนักขึ้น และจะทำให้เนื้อเยื่อเน่าได้กับหมาทั่วไป .. ผมรู้เท่านี้พอครับ เพราะลูกผมไม่ได้เป็นโรคตับ แต่ที่แน่ๆ ตัว Acetate จะปลอดภัยที่สุด
ยังไงก็อย่าเชื่อผมมากนักนะครับ ลองปรึกษาคุณหมอดูอีกที .. condition ในอาการป่วยของหมาแต่ละตัว ต้องการการรักษาที่ไม่เหมือนกันครับ.

ไม่มีความคิดเห็น: