While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Temple - เกมล่าฝ่าวิหารมรณะ



หลังจากกล้ำกลืนกับนิยายไทยน้ำท่วมทุ่งไป 2-3 คืน ก็มีโอกาสได้สัมผัสหนังสือเล่มใหม่ .. มันต้องอ่านให้จบไงครับ ไม่งั้นคงติดใจไม่เลิก แล้วมันไม่เหมือนหนัง จะได้ forward ให้มันจบๆ ไปได้ภายใน 10 นาที หนังสือเรื่องนี้ผมอ่านเร็วสุดๆ ก็น้ำมันท่วมทุ่ง บทสนทนาวนไปวนมา เซ้าซี้พิรี้พิไร ผมเลยจำเป็นต้องอ่านผ่านๆ  มันช่างไร้อรรถรสเสียจริง .. พาลนึกไปถึงนักเขียนอีกท่าน ที่บอกว่าหนังสือนี้เขียนได้ดี แล้วเขาเขียนสไตล์เดียวกันรึเปล่า ถ้าใช่ล่ะตายห่าเลย 14 เล่มแน่ะ ซื้อมาแล้วด้วย
มาว่ากันด้วยหนังสือเล่มใหม่ ที่ผมเพิ่งอ่านไป 100 หน้า เมื่อคืน .. อันนี้ก็อ่านได้เร็ว เพราะความสนุกครับ หน้าแรกๆ ช้ามาก ต้องปรับตัวเยอะ เพราะไม่ได้อ่านอะไรที่มันมีส่วนผสมอย่างนี้มานาน จัดได้ว่าเป็นหนังสือแบบที่หาคนเขียนได้ยาก เพราะต้องค้นหาข้อมูลหลายด้านจริงๆ และต้องแน่นมากด้วย หาไม่ คนที่มีความรู้จะด่าแม่เอาได้ เมืองนอก คนวิจารณ์หนังสือ เขาใส่กันไม่ยั้งหรอกครับ ถ้าเขียนห่วยๆ ก็ไม่ต้องขายกันไปเลย ..
ความจริง เรื่องนี้ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นะ หนังสือจะดีหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของคนกลุ่มเล็กๆ ที่บอกว่าควรจะได้รางวัลอะไร หรือคำว่า best seller เพียงอย่างเดียว .. จะว่าไป พวกนักวิจารณ์ เชื่อถือได้แค่ไหน ของพวกนี้มันก็อยู่ที่รสนิยมในการอ่านด้วยนะครับ หนังสือที่ผมอ่านแล้วรู้สึกดีเหลือหลาย  นักอ่านอีก 70-80 % อาจไม่คิดอย่างนั้นก็ได้ .. best seller มันก็ช่วยการันตีความสนุกได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าหนังสือที่ไม่มีตราประทับ best seller จะเป็นหนังสือที่ไม่ดี มันอาจดีกว่าก็ได้ คุณจะรู้ได้ยังไง ถ้าไม่ลองหยิบมาอ่านดู
temple ชื่อไทยคือ เกมล่าฝ่าวิหารมรณะ เขียนโดย matthew reilly แปลโดยคุณนรุตฆ์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2552 มี 2 เล่มจบ จำนวนหน้ารวม 733 หน้า .. ที่หน้าปกเขาบอกว่าเป็นแนว ancient history - tech - thriller / bestseller novel พร้อมรูปเมืองโบราณของชาวอินคา
ส่วนประกอบมีความกลมกลืนและน่าสนใจ .. ใน 100 หน้าแรก มีเรื่องของอาวุธปืน อาวุธนิวเคลียร์ หน่วยกรีนเบย์เล่ต์ อารยธรรมอินคา (ราว 500 ปีก่อน) การบุกรุกของสเปน บันทึกของนักบวชชาวคริสต์ในยุคสมัยนั้น (คราวนี้ spoil แค่ 100 หน้าก็แล้วกันครับ)
ไม่ได้จะมายกยอปอปั้นกันเองนะครับ แต่ด้วยความที่ชาวคริสต์มีมิชชันนารีมากมายในยุคบุกเบิก เดินทางไปทั่วโลก พวกเขาจดบันทึกสิ่งที่พบ เขียนรายงานส่งกลับ ทำให้เรามีบันทึกถึงอารยธรรมต่างๆ อยู่มากและค่อนข้างครบถ้วน .. มากพอที่จะเป็นประโยชน์ในทางโบราณคดี บางเรื่องกลายเป็นบันทึกหลัก ที่ทำให้มีการค้นพบอารยธรรมโบราณบางแห่งด้วยซ้ำไป
สำหรับเรื่องนี้ เทวรูปสำคัญรูปหนึ่งของชาวอินคา เป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง เนื่องจากทำจากแร่ธาตุที่กองทัพต้องการ ผู้ก่อการร้ายก็อยากได้ .. ทำให้มีการรวมตัวของนักภาษาศาสาตร์ นักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์หลายสาขา นักเคมี นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ความรู้ด้านดาราศาสตร์ยังมีแทรกเข้ามาด้วย
ผมคาดว่า หลังจากที่พวกเขาค้นพบเงื่อนงำของที่เก็บรักษาเทวรูป ก็คงเป็นการผจญภัยที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะด้านของแต่ละคน และคงมีฉากปะทะ ยิงกันทะลุหน้ากระดาษ น่าจะมันส์จนปิดหนังสือไม่ลงเป็นแน่
หน้าที่ 93 อ่านแล้วทำให้ผมนึกถึงอาจารย์สอนเคมีตอนมัธยมปลายท่านหนึ่ง ท่านตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารัก แต่ดุชิบหาย และใจดีไปพร้อมๆ กันด้วย ผมจำหน้าท่านได้ แต่นึกชื่อท่านไม่ออกเสียแล้ว กับอาจารย์สอนฟิสิกส์อีกท่าน ที่ผมเคยโดนท่านฟาดจนก้นเป็นแนวมาแล้ว .. ไม่ ผมไม่ได้เฮี้ยวขนาดนั้น มีคนโดนฟาดอีกหลายคน โทษฐานลอกการบ้าน ลอกกี่ข้อก็โดนเท่านั้นที ก็มันยากนี่ ... โดนกันเกือบทั้งห้อง อาจารย์ฟาดจนปวดมือมั๊ง (ใช้ไม้บรรทัดไม้ กว้างนิ้วครึ่ง ยาวราว 2 ฟุต ถ้าผมจำไม่ผิด) มีบางคนฉลาดใส่กางเกงยีนส์ไว้ข้างใน โดนสั่งให้ไปถอด เลยโดนหนักกว่าที่ควรจะโดน ปกติเขาจะใส่กางเกงขาสั้นกันอยู่แล้ว เออ น่าสงสารอยู่เหมือนกัน

น่าเสียดายที่เด็กเดี๋ยวนี้ ครูตีไม่ได้ มันเลยเหี้ยกับแบบไม่มีขอบเขต เด็กเมื่อก่อนจะเหี้ยยังไงก็พอเอากันอยู่ แต่ก็คงจะไม่เป็นการยุติธรรมนัก ถ้าเราไม่ย้อนกลับไปดูที่ตัวคุณครูด้วย ครูสมัยนี้กับครูสมัยก่อน จุดยืนไม่เหมือนกัน ความคิด ความอ่าน ความรับผิดชอบ แตกต่าง .. เอาเถอะ ลูกใครลูกมันก็แล้วกันครับ
แล้วเลยรู้สึกเสียดาย ถ้าผมสนใจเรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ให้มากกว่านั้น ผมคงซาบซึ้งกับสารคดี หรืออะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ได้มากกว่าที่เป็นอยู่. 

8 August 2014
มาต่อครับ .. เพิ่งอ่านจบเมื่อคืน ต้องบอกว่าประทับใจมากครับ เป็นนวนิยายที่สนุกที่สุดที่ผมเคยอ่านมา ผู้เขียนมีจินตนาการล้ำมากๆ รายละเอียดมหาศาล ผู้แปลก็สามารถใช้สำนวนทั้งสุภาพ ทั้งห่ามดิบ ได้อย่างสนุกสนาน (ประมาณว่าพวกคุณหนูอาจรับไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หยาบคายอะไร) เป็นหนังสือที่ผมอยากจะบอกให้คุณๆ ที่ผ่านมาเจอ ไปหาซื้ออ่านทันที ถ้าคุณชอบเรื่องราวแบบ action and adventure ความจริง ในตัวเรื่องยังมีเกือบทุกด้านที่คุณจะไม่คาดคิด
เอาเท่าที่ผมพอจำได้นะครับ
ประวัติศาสตร์ของเปรูย้อนไปในยุคของอินคา (ราว 500 ปี) และอารยธรรมก่อนหน้านั้นอีก 500 ปี อันเป็นสถานที่และเหตุการณ์ ที่ตัวเรื่องย้อนกลับไปกล่าวถึงความสำคัญของเทวรูป ที่กองกำลังหลายฝ่ายพยายามตามหา ยื้อแย่งมาไว้ในครอบครอง เพื่อใช้มันเป็นสสารหลักในการเร่งปฏิกิริยาจุดระเบิดอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างโลกได้ถึง 2 ใน 3 ส่วน .. ทั้งนี้บางฝ่ายเพียงต้องการมีไว้เพื่ออำนาจการต่อรอง บางฝ่ายก็อยากทำลายโลกและผู้คนจริงๆ
ฝ่ายร้ายก็มี ลัทธิญี่ปุ่นที่เคยก่อการร้ายในประเทศตัวเอง อดีตนาซีที่ยังแสวงหาโลกใหม่ที่จะปกครอง อดีตทหารอเมริกันที่ถูกปลดประจำการเพราะผิดวินัย คนเหล่านี้ทำมาหากินอย่างผิดกฎหมาย บ้างหวังประโยชน์จากการต่อรอง บ้างบ้าจริง ตั้งใจทำลายล้าง
อีกด้านเป็นทัพบกและทัพเรือของอเมริกัน .. คนของรัฐบาลเยอรมันยุคใหม่ ที่พยายามปกป้องเทวรูปไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายร้าย
มันจึงตามมาด้วยการพูดถึงหลักฐานทางโบราณคดี บันทึกเบาะแสที่จะนำไปสู่การค้นพบเทวรูป การบรรยายภาพสถาปัตยกรรมโบราณ รวมถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ของป่าอเมซอนทั้งในอดีตและปัจจุบัน และที่ขาดไม่ได้คือแนวความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมของชาวอินคาโบราณ
ด้านสัตวศาสตร์ ที่เห็นหลักๆ คงเป็นจรเข้เคแมนดำ (เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวราว 7 เมตรหรือมากกว่า) ก็เป็นการพูดลงลึกไปถึงระดับสปีชีส์ อันมีความเกี่ยวข้องกับจรเข้น้ำเค็มออสเตรเลีย การใช้ชีวิตและการหากิน เหมือนได้ดูสารคดีสรุปชีวิตของเคแมนเลยครับ สัตว์อีกอย่างที่มีผลต่อท้องเรื่องมากๆ คือ เสือดำราปา เป็นเสือดำขนาดใหญ่ในความเชื่อของชาวอินคาว่าเป็นเทพเจ้า ก็คล้ายได้ดูสารคดีสรุปเรื่องเสือดำในตำนานอีกเรื่อง ทั้งในด้านตำนานความเชื่อ และตามหลักสรีระ + ชีววิทยา เจ้าเสือนี่ถึงจะโหดแต่ก็มีความน่ารักเล็กๆ ซ่อนอยู่ด้วย
ด้านวิทยาศาสตร์ .. เริ่มกันที่นิวเคลียร์ฟิสิกส์ อาวุธนิวเคลยร์นั่นเลย ตามมาด้วยอาวุธปืนสารพัดอย่างและคุณสมบัติพิเศษที่เอามาเล่าให้เรารู้จัก คนชอบปืนถึงกับคลั่งล่ะครับ .. hardware ทางการทหาร ซึ่งหมายถึงยานพาหนะทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ประกอบกับเทคโนโลยีด้านอาวุธอันน่าตื่นตาตื่นใจ แร่ธาตุที่ลงลึกถึงระดับอะตอม ยังมีการผสมสารละลายเข้าด้วยกัน กลายเป็นระเบิดมหึมา
มีการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ สำหรับสำรวจหาแหล่งโบราณคดีและแร่ธาตุ ซึ่งผมเข้าใจคร่าวๆ ว่า เป็นการตรวจหารังสีที่ส่งออกมาจากพื้นโลก ที่จะเจือจางหากมีอะไรมาบดบัง งานนี้ต้องรู้ค่าความหนาแน่นมาตรฐานของต้นไม้ ก้อนหิน ดิน สัตว์ จึงจะได้ค่าที่ไม่น่าสนใจซึ่งจะถูกตัดทิ้งไป คงคล้ายๆ การทดสอบความหนาแน่นของคอนกรีตที่น้องชายผมเคยเล่าให้ฟัง
ผมเคยรู้เรื่องการสแกนหาพื้นที่ว่างในพีรามิด ที่นักอียิปต์วิทยาเชื่อว่ามันน่าจะมีห้องมากกว่าที่เราค้นพบกัน ปรากฎว่ามีสนามแม่เหล็กมากจนค่าที่วัดได้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนหาความแม่นยำไม่ได้ ในที่สุดต้องล้มเลิกไป .. ซึ่งคงเป็นงาน field เดียวกัน แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้งเท่าที่นิยายเล่มนี้เล่าให้อ่าน และมัน make sense ทุกด้าน .. ผมกล้าพูดเพราะผมเองก็สนใจสารคดีต่างๆ หลากหลายรูปแบบ เขาเอาวิทยาการที่มีอยู่จริงๆ มาสอดแทรกไว้ในส่วนต่างๆ ทำให้เรื่องราวมีรสชาด ตื่นตาตื่นใจ
ยังมีการนำเรื่องของตรีโกณมิติมาใช้ในการคำนวนระยะทางด้วย (ให้ตายห่าดิ สอน sin cos tan ด้วยครับ) จากนั้นก็เป็นทักษะในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบต่างๆ การรบทั้งแบบโบราณ แบบปัจจุบัน การใช้ธนูไปจนถึงสไนเปอร์ กระทั่งรบกันด้วยเครื่องบินรบขนาดเล็กและเรือยนต์ที่ใช้ในการทหาร
เรื่องราวดำเนินรวดเร็ว มีแต่เนื้อๆ ทั้งสิ้น การแก้ปริศนาและปัญหาต่างๆ ช่างน่าประทับใจ ผมคิดว่าถ้าเป็นนักเขียนคนอื่นๆ อาจได้ลากยาวกันไปเป็น 10 เล่มกระมัง เป็นหนังสือที่ผมนั่งอ่านไปเรื่อยๆ โดยลืมเวลา ลืมหิว สรุปได้ว่าสนุกกว่าหนังแอคชั่นเรื่องไหนๆ ไม่ว่าจะเป็น mission impossible หรือ the expandable ก็ไม่อาจเทียบ .. มีคำพูดหนึ่งของผู้เขียนที่ผมเห็นด้วย เขาว่า ภาพยนตร์มีขีดจำกัดในเรื่องงบประมาณการผลิต หนังสือมีขีดจำกัดในเรื่องของจินตนาการของผู้เขียน .. มาดูกันครับว่าจินตนาการของแมทธิวเขาบรรเจิดขนาดไหน .. ผมกำลังจะอ่านอีกเรื่องของเขา แล้วจะมาเล่าให้ฟังกันนะครับ.

ไม่มีความคิดเห็น: