While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จงขอแล้วท่านจะได้รับ (สำหรับชาวคริสต์)


ก่อนอื่นเลย ผมขอทำความเข้าใจกับผู้อ่านก่อนว่า บทความนี้เป็นเรื่องของศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียว ถ้าคุณอยากจะลองเรียนรู้และทำความเข้าใจ ไม่ได้คิดที่จะมาต่อต้านโจมตี คุณก็ควรลืมเรื่องเหตุผลใดๆ ไปเสียก่อน ศาสนาคริสต์ เป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธา ไม่ใช่เรื่องของเหตุและผล
Ask, and it shall be given you;
seek, and you shall find;
knock, and it shall be opened to you.
For whoever asks, receives;
and he who seeks, finds;
and to him who knocks, the door is opened.
matthew 7:7:8 - jesus of nazareth
แปลกันตามตัวอักษร :
ใครที่ร้องขอ จะได้รับ
ใครที่ค้นหา จะได้พบ
ใครที่เคาะประตู ประตูจะเปิดออกต้อนรับเขา
อันนี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นได้จริง และผมพิสูจน์มาแล้ว ความจริงคือผมไม่ได้ตั้งใจจะลองของกับพระเจ้าของผมหรอกครับ ผมเชื่อผมจึงขอ และผมได้รับทุกครั้งที่ผมขอ ส่วนมากเป็นเรื่องใหญ่ๆ ไม่ได้ขอพร่ำเพรื่อ ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง
การได้ในสิ่งที่ขอ ส่งผลให้ความเชื่อเพิ่มมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ กับคนที่ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวาอย่างผม พระองค์ก็ไม่ได้ละทิ้งคำขอของผม ผมซึ้งเลยครับ .. ตัวผมเอง เข้าวัดปีละ 2 ครั้ง ความจริงควรเรียกว่า ได้เข้าร่วมพิธีจะถูกต้องกว่า ในงานเสกสุสานน่ะครับ เป็นพิธีที่จัดขึ้นในสุสาน .. ญาติทางพ่อกับญาติทางแม่ ฝังไว้คนละวัดครับ ถ้าอยู่วัดเดียวกัน ผมอาจได้เข้าวัดปีละครั้ง ..
จงแก้บาปรับศีลอย่างน้อยปีละครั้ง ในกำหนดปาสกา ผ่านได้ เพราะวัดเซนต์ปอลเสกสุสานหลังพุธรับเถ้า เข้าปาสกาไปแล้ว ผมจะได้แก้บาปก็ที่นั่นแหละ คนไม่มาก เพราะเป็นพิธีตอนกลางคืน ที่นั่นมีพิธีตอนกลางวันอีกทีในเช้าวันเสาร์ด้วยครับ .. เอาล่ะ สบายใจได้ว่า ถ้าเกิดผมตายขึ้นมา จะได้ฝังในป่าช้าแล้วล่ะ .. ผมไม่ได้หวังผลขนาดนั้นหรอกครับ มันแค่ความประจวบเหมาะน่ะ .. แล้วปกติไม่แก้บาปเลยเหรอ ก็แก้ครับ แก้บาปตรงกับพระเลย บอกไปว่าผมผิด ผมเสียใจ อะไรทำนองนี้ ถ้าเล่าให้บาทหลวงฟัง ท่านคงรับไม่ได้ แต่สำหรับตัวผม มันโอเคเลยนะ ..
ความจริงเมื่อตายแล้ว ศพจะถูกปฎิบัติยังไง มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับดวงวิญญาณของคุณหรอกนะ ไม่งั้นคนมากมายที่ไม่ได้รับการประกอบพิธีทางศาสนาก็ซวยสิ การทำพิธีอย่างถูกต้อง หรืออลังการ ไม่ใช่ใบผ่านทางไปสู่สวรรค์นะครับ อย่าเข้าใจผิด
จะพูดยังไงดี เมื่อเรามีพระบัญญัติสิบประการของพระเป็นเจ้า ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 1292 ก่อนคริสตกาล กับพระบัญญัติของพระศาสนจักร ที่ใช้กันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่รู้ ผมคิดไปถึงเรื่องอันตรายเรื่องหนึ่งว่า พระศาสนจักรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ส่วนองค์พระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่เรารู้จักครั้งแรกถึงปัจจุบัน ยาวนานถึงเกือบ 3300 ปี ไม่เคยเปลี่ยน แล้วเราจะเชื่อสิ่งใดเป็นหลัก .. สิ่งที่พระศาสนจักรบอก หรือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าบอก .. ผมก็เข้าใจนะ ว่าเราต้องมีกฏระเบียบของพระศาสนจักร เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องต่างจิตต่างใจ ถ้าเราใจกว้างพอกับการคิดที่แตกต่าง เราก็ไม่ต้องทะเลาะอะไรกับใคร
ผมเคยอ่านเจอ ที่เขามานั่งถกกันว่า ศาสนาไหนอายุยาวนานกว่า ไม่รู้จะมาคุยข่มเอาชนะกันเพื่ออะไร เป็นประโยชน์อะไรกับใครไหม .. มาพูดเรื่องของเราดีกว่า ถ้านับจากคำสั่งสอนของพระเยซู ศาสนาคริสต์มีอายุ 2013 ปี แต่ถ้านับไปถึงการได้เจอกับพระเจ้าเป็นครั้งแรกของโมเสส ก็บวกเข้าไปอีกราว 1250 ปี แล้วมันสำคัญตรงไหน สำหรับผม ไม่เลย .. แค่รู้ แล้วอยากอวดว่า กูรู้ เท่านั้นเอง
หรือแม้กระทั่งสโลแกนของศาสนา มันยังเอามาเถียงกัน งงใช่ไหมครับ ยกตัวอย่างเช่น อิสลาม ศาสนาที่แท้จริง, พุทธ ศาสนาแห่งเหตุและผล, คริสต์ ไม่รู้ครับ ผมไม่ได้สนใจ ใครรู้ก็ช่วยบอกหน่อย .. คำถามคือใครเป็นคนตั้งสโลแกนเหรอครับ แล้วมันมีผลอะไรต่อผู้นับถือหรือเปล่า ช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นไหม ว่ากันจริงๆ เราสามารถให้คำจำกัดความกับศาสนาได้ด้วยเหรอ .. ลืมกันไปหรือเปล่าว่าศาสนาไม่ใช่สินค้า ไม่ได้ทำเพื่อการค้า ไม่ต้องทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ ไม่ต้องตั้งสโลแกนก็ได้มั๊ง แล้วเลยกลายมาเป็นประเด็นให้เหล่าคนพาล หาเรื่องทะเลาะกัน เพราะต่างก็จะบอกว่า ศาสนาที่กูนับถือนี่เจ๋งสุดแล้ว ... เป็นเรื่องที่น่าละอายจริงๆ
ไปเสียไกล .. จะบอกว่า ถึงวัดไม่เข้า ผมก็สวดทุกวันนะ ตอนเช้าขับรถมาทำงาน กับตอนก่อนนอน และยังใช้บทสวดเก่า สวดคนเดียวนี่ครับ เลยเวลารวมญาติสวดที่บ้าน ทำให้ผมสวดตามพวกเขาไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกน่ะแหละ ปีละครั้ง 2 ครั้งเอง และพวกเขาก็ไม่ถือ เพราะรู้จักผมดี .. คำถามคือ จะเปลี่ยนบทสวดกันอีกไหม ว่างกันมากนักหรือไง เปลี่ยนเป็นบางคำมันจำยากนะครับคุณ แต่ก็คงมีผมคนเดียวที่มีปัญหา คนอื่นๆ ไม่เห็นมีใครพูดอะไร (หรืออาจเป็นได้ว่า ผมไม่เห็นตอนที่พวกเขาพูด) .. เรื่องบทสวดที่เปลี่ยนนี้ รบกวนจิตใจผมพอสมควร ทำไมเมืองนอกเขาไม่เห็นต้องเปลี่ยน คนไทยมีปัญหาอะไร .. ก็เอาเถอะ ไว้ final เมื่อไหร่ ผมจะหัดสวดใหม่แล้วกัน
ในความคิดของผม ผมเชื่อว่ามันไม่สำคัญว่าเราจะใช้บทสวดแบบใด มันสำคัญว่าเรารู้สึกยังไงกับพระผู้เป็นเจ้าต่างหาก .. ความจริงคือ ยังมีคนอีกมากที่ใช้บทสวด สวดไปแบบนกแก้วนกขุนทอง โดยที่ใจไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ปากเปล่งเสียงออกมา ..
แล้วคุณเคยคุยกับพระเจ้ากันบ้างไหม แบบไม่ต้องใช้บทสวดเป็นสื่อกลางน่ะครับ คุยแบบที่เราคุยๆ กันเนี่ย พระองค์ตอบนะ ไม่ใช่เป็นคำพูด แต่เป็นบางสิ่งให้เราค้นพบ ซึ่งเป็นคำตอบสำหรับคำถามของเรา ใครจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วผมเอามาผูกให้เป็นเรื่องเดียวกัน ก็แล้วแต่ .. แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น เรื่องราวมันเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ
แล้วการขอล่ะ เป็นแบบนั้นเลย จงขอแล้วท่านจะได้รับ จากประสบการณ์ตรงของคนรอบข้าง ประมาณญาติสนิท ทุกอย่างเป็นไปตามนั้น แต่ทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ถ้าคุณไม่เชื่อมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะร้องขอ เพราะเรากำลังพูดกันถึงเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความจริงพระเจ้าเป็นมากกว่านั้น ใครที่นับถือศาสนาคริสต์คงรู้ดีอยู่แล้ว
ตัวผมเอง เคยขอแม้แต่เรื่องที่ไม่ควรขอ ยังได้รับ บางเรื่องได้มาแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะดี มันจะมีความยากในขั้นตอนของเรื่องที่ได้มาแล้วไม่ดี ผมเชื่อว่าเป็นคำเตือน แต่ผมยังคงดื้อดึง แล้วมันก็แย่อย่างว่า .. แต่ก็บอกได้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงตามใจเรา เห็นเราเป็นลูก ถึงเราจะดื้อดึงพูดไม่รู้เรื่อง ก็ยังยอมให้ตามคำขอ เขาถึงพูดว่า จงระวังสิ่งที่ขอ หรือคำอธิษฐาน หรืออะไรก็ตามแต่ ประโยคนี้สำคัญนะ ผมไม่อยากให้คุณอ่านผ่านๆ .. ถึงวันนี้ ผมแทบจะไม่ขออะไร ไม่ใช่ว่าหมดความเชื่อ แต่มันกลายเป็นเชื่อว่า พระเจ้าทรงรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา คำขอปกติของผมเลยกลายเป็น ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย แล้วทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดี ดีกว่าตอนที่ผมพยายามขอนั่นขอนี่เสียด้วยซ้ำ
ในชาวคาทอลิก คำพูดที่ว่า ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย อยู่ในบทข้าแต่พระบิดา ซึ่งคุณต้องสวดซ้ำถึง 6 ครั้ง ในการสวดสายประคำหนึ่งสาย .. เชื่อว่าพระเยซูทรงอธิษฐานต่อพระบิดา ก่อนถูกจับไปตรึงกางเขน แต่พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้คิดถึงคำที่พวกเราสวดออกมาไง เราเรียกร้องมากมาย ขอนั่น ขอนี่ ไม่รู้จักจบ .. เราศึกษาพระคัมภีร์ ฟังเทศน์ในวัด เราท่องบทสวดซึ่งข้อความเป็นคำสั่งสอน แต่เราไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ .. คำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่า ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่พระเยซูสอน เราจะเป็นสุขโดยไม่ต้องการอะไรมากนัก.

ไม่มีความคิดเห็น: