While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เสกสุสานวัดเซนต์ปอล, 20-21 February 2015



(กำหนดพิธีเสกสุสานปี 2559 -- วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559)

ตามสัญญาครับ ที่ว่าจะเอาภาพการเสกสุสานวัดเซนต์ปอลมาฝาก นี่เป็นพิธีตอนค่ำวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 เช้าวันเสาร์จะมีพิธีอีกครั้ง ที่นี่เขาทำอย่างนี้ทุกปีครับ เผื่อให้ สำหรับคนที่ไม่สะดวกมาในเช้าวันเสาร์ ดีจัง

ภาพที่ 1. เพิ่งมาถึงครับ ราว 6 โมงครึ่ง บรรยากาศเริ่มสลัวๆ แต่กล้องถ่ายรูปของผมมันแปลก จับแสงได้ดีมากๆ ที่นี่เขากางสแลนไว้บังแดดให้ผู้มาร่วมพิธี เฉพาะช่วงเสกสุสานของทุกปี .. บังแดด แต่ก็บังลมด้วย ผมเคยมาตอนกลางวัน ร้อนจนเหงื่ออาบ ดูๆ แล้ว ผมคิดถึงหนังเรื่อง hero เลยนะ ในท้องพระโรงของจิ๋นซีฮ่องเต้น่ะครับ
ภาพที่ 2. แท่นบูชากลางสุสาน มีการเตรียมสถานที่ไว้ สำหรับผู้มาร่วมพิธีบูชามิสซา
ภาพที่ 3. ที่เห็นทั้งหมดนี่ คือบรรพบุรุษฝั่งแม่ของผม หลายท่านเป็นของนำเข้าจากประเทศจีน ซ้ายสุดเป็นคุณยาย ถัดไปเป็นคุณตา ที่ผมเรียกก๋งแล้วตามด้วยชื่อ คุณปู่ผมก็เรียกก๋งตามด้วยชื่อเหมือนกัน หลุมที่ 5 เป็นพ่อแม่ของก๋ง มาจากเมืองจีน ด้านไกลสุดเป็นกางเขนอย่างเดียว 2 อัน เป็นเพื่อนของพ่อก๋งที่มาจากเมืองจีนด้วยกัน ไม่มีญาติพี่น้อง บ้านเราก็จุดเทียนให้ด้วย ถือเสมือนญาติ
ภาพที่ 4. ทางเดินเข้าสุสานครับ มี 2 ทางด้วยกัน ทั้งสุสานมีต้นมะขามปลูกไว้เป็นระยะ ร่มรื่น หรือจะร่มครึ้มก็ตามแต่ ซึ่งตอนเด็กๆ ตั้งแต่ที่ผมจำความได้ ต้นมันก็ใหญ่โตมากแล้ว น่าจะมีมาพร้อมอายุของสุสาน ศพที่ฝังในดินก็เสร็จมะขามหมดแหละครับ มันถึงได้งามไง ได้ยินว่า มีคนมาเก็บไปขายด้วย คนกินคงไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่เป็นไร เล่นแร่แปรธาตุเรียบร้อยแล้ว กลั่นกรอง สะอาดบริสุทธิ์ จากธรรมชาติแท้ๆ มะขามออแกนิคส์ ส่งตรงจากสุสาน
ภาพที่ 5. ลักษณะที่ฝังศพของที่นี่ ค่อนข้างจะฟรีสไตล์ครับ หลากหลายมากๆ มีตั้งแต่เป็นกางเขนอย่างเดียว รูปแบบมาตรฐานที่มี 3-4 แบบ แบบโบร่ำโบราณ และแบบเหนือจินตนาการ ขึ้นอยู่กับยุคสมัยที่ได้รับการฝัง กำลังทรัพย์ของญาติพี่น้อง รวมถึงวัตถุประสงค์ของผู้ตาย น่าตื่นตาครับ
แต่ด้วยความที่ใกล้มืดเต็มที ผมเลยไม่กล้าเดินไปถ่ายรูปจากทุกมุมของสุสาน เขาเพิ่งลงทรายใหม่ บางส่วนก็ยังเป็นดินอยู่ ซึ่งทรายหรือลูกรังมักจะมีงูป่าตัวเล็กๆ แมงป่อง ตะขาบ ติดมาด้วย
ภาพที่ 6. ลองชมหลุมฝังศพเก่าแก่ที่อยู่ตรงกลาง คงเป็นของชาวจีนโพ้นทะเล และน่าจะได้รับการฝังไว้ในช่วงแรกๆ ของการมีสุสาน ดูเก่าแก่และทรุดโทรม ใช้วิธีก่ออิฐฉาบปูนแบบโบราณ ญาติๆ ของท่านผู้นี้ อาจเสียชีวิตไปทั้งหมดแล้ว หลุมฝังศพของท่านจึงมีสภาพเช่นนี้ แต่ก็คลาสสิคมากครับ
ภาพที่ 7. ด้านซ้ายคือพ่อ ด้านขวาคือแม่ ของแม่ ของก๋ง(ปู่)ผมอีกที จะเรียกว่าเป็นต้นตระกูลของผมก็คงได้ ท่านเดินทางมาจากเมืองจีน ตั้งรกรากทำนา มีลูกหลานมากมาย เมื่อตอนที่พ่อผมนึกสนุก ทำแผนผังวงศ์ตระกูล ซึ่งก็ไม่ง่ายครับ พ่อต้องไปคุยตามบ้านที่เรารู้แน่ๆ ว่าเป็นญาติ ไล่เรียงสายตระกูลออกมา ใช้เวลาเป็นเดือน แต่ก็ทำให้เราพบว่า คนพื้นที่ของวัดเซนต์ร็อคเกือบทั้งหมด เป็นญาติกัน มาจากเลือดเส้นเดียวกัน แต่ตอนนี้ ไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกันเท่านั้นเอง
หากจะนับท่านเป็นรุ่นที่ 1 ของตระกูล ผมก็เป็นรุ่นที่ 5 แล้วครับ รุ่น 6 เพิ่ง 5 ขวบได้ ในขณะที่สายอื่นปาเข้าไปรุ่นที่ 7 (ในกรณีที่แต่งงานเร็ว) ก็เหมือนกับตระกูลอื่นๆ ที่แตกสายไปมากๆ (ท่านมีลูก 7-8 คนมั๊ง) พอถึงรุ่น 4 รุ่น 5 ไปแล้ว จะนับญาติกันก็ได้ ถึงไม่นับญาติก็คงไม่แปลก หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกันก็แทบจะไม่รู้จักกันแล้ว ว่าใครเป็นใคร
ท่านทั้งสอง เสียชีวิตก่อนที่จะมีสุสานวัดเซนต์ร็อค ลูกหลานจึงนำศพท่านลงเรือล่องมาตามคลองนครเนื่องเขต ออกมาที่แม่น้ำบางปะกง ขึ้นที่ท่าน้ำวัดเซนต์ปอล อันมีหอระฆังที่มีเรื่องหลอนๆ ให้ต้องผ่าน แม่เล่าว่า เมื่อก่อน เขาจะพักศพที่หอระฆังกัน  ก่อนที่จะนำเข้าวัดน่ะครับ ชาวบ้านก็เล่าลือกันว่า เจอผีตอนเดินผ่าน กลางวันแสกๆ ก็เจอ ที่ผมจำได้คือสภาพมันเหมือนบ้านหลังใหญ่ มีสะพานไม้อย่างแข็งแรงทะลุผ่าน (หนาเหมือนไม้หมอนทางรถไฟเลยครับ) ด้านข้างมีพื้นที่ขนาดใหญ่เว้าเข้าไปทั้ง 2 ด้าน แสงน้อยกว่าข้างนอกเกือบครึ่ง (ถ้าได้คนแถวนั้นมาเล่าคงสนุกกว่า)
ปัญหาของแม่คือ บ้านก๋งของผมอยู่ด้านหลังวัด มักจะตั้งวงเหล้ากับลูกน้อง กินกันตั้งแต่เย็นไปจนดึกดื่น (เลยพูดกันไป ว่าตำรวจขี้เมา จริงๆ อาชีพอื่นก็ขี้เมาได้เหมือนกันนะคุณ ให้โอกาสเขาได้เกิดกันบ้างสิ) เมื่อเหล้าหมดก็ใช้ให้แม่ไปซื้อ ซึ่งร้านค้าอยู่ด้านหัวสะพาน ต้องผ่านหอระฆังไป แม่บอกว่า ตอนผ่าน วิ่ง ถ้ามืดแล้ว ไม่มีเด็กคนไหนเดินผ่านแบบทอดน่องแน่นอน (แม่กับน้องๆ ต้องผลัดกันไป เพราะกลัวผี จะไปคนเดียวหรือไปกี่คน ก็กลัวเท่ากัน เลยไม่มีประโยชน์ที่จะต้องกลัวหลายๆ ครั้ง) ถ้าผมไม่กินเหล้า ผมคงไม่เข้าใจก๋ง และขอบคุณทั้ง 2 ก๋งเลยครับ ที่สร้างภูมิด้านความคุ้นเคยและความทนได้ไว้ให้ในกระแสเลือด ไม่งั้นผมอาจไม่ได้สัมผัสสุนทรียภาพในรสสุรา ซึ่งคงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างที่สุด
ชาวคริสต์วัดเซนต์ร็อคที่เสียชีวิตในช่วงก่อนมีสุสาน ต้องนำศพมาฝังที่นี่ทั้งหมดครับ ไม่เห็นมีใครอยากฝังในเขตบ้านตัวเองนะ หรือก็อยากอยู่ แต่ลูกหลานไม่ทำให้ ผมเคยคุยเรื่องนี้กับพ่อ ท่านยังไม่ยอมทำให้ผมเลย ผมก็อยากได้รับการฝังใกล้ๆ ลูกๆ ผมเหมือนกันนะ .. ในยุคแรกๆ เป็นการฝังโลงศพลงดินทั้งหมด จนราวๆ 40-50 ปีก่อน จึงเริ่มก่ออิฐฉาบปูนแล้ววางโลงศพไว้ข้างใน จึงไม่นิยมขุดย้ายกระดูกบรรพบุรุษที่อยู่ในดินกันสักเท่าไหร่ เพราะขุดแล้วแทบไม่เหลืออะไรเลย ผมว่าแบบนั้นมันดีนะ เราอาศัยในร่างกายนี้ เมื่อมันเสื่อมสภาพจนอาศัยไม่ได้แล้ว เราก็คืนมันสู่โลก ที่ๆ มันถูกสร้างขึ้น ด้วยอาหารที่หล่อเลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิด จากรุ่นสู่รุ่น
ภาพที่ 8. ภาพจากอีกมุมมองหนึ่งครับ
ภาพที่ 9. อีกมุม
ภาพที่ 10. นี่ก็อีกมุม ด้านหน้าจากซ้ายไปขวา หลุมที่ 3 สีขาวสว่างสุด คือหลุมฝังศพของอาจารย์สุภาพร สอนเจริญ และสามี ศิษย์เก่าโรงเรียนดัดดรุณีฉะเชิงเทรารุ่นใหญ่ๆ คงจำท่านได้ ท่านเป็นคุณน้าของผมเอง
ท่านเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อหลายปีก่อน สามีท่านเสียชีวิตก่อนท่านหลายปี น้าชายเป็นพุทธครับ ก็ทำพิธีทางศาสนาพุทธ มีการเผา เก็บกระดูกไว้ที่บ้านตามปกติ เมื่อคุณน้าผมเสีย ญาติพี่น้องเห็นพ้องกันว่า ควรนำอัฐิของน้าชายใส่ในโลงศพ ฝังไปพร้อมกัน ซึ่งทางวัดก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เราจึงวางโถเก็บอัฐิของน้าชายไว้เหนือไหล่ของน้าหญิง
ผมยังมีญาติอีก 2 ท่าน คุณพ่อเป็นพุทธ คุณแม่เป็นคริสต์ ลูกชายรับศีลล้างบาป แต่ภายหลังบวชเรียนแล้วไปนับถือทางพุทธ พ่อกับลูกชายเสียชีวิตแล้ว ก็ทำพิธีทางพุทธ เผา เก็บกระดูก แล้วนำมาไว้ในหลุมฝังศพที่เตรียมไว้สำหรับคุณแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะยังไง เราก็ยังอยากให้สังขารที่เหลืออยู่ ได้อยู่ใกล้ๆ กัน และการนำศพคนคริสต์ไปไว้ในสุสานพุทธ ค่อนข้างลำบากกว่าในเรื่องการจัดเตรียมสถานที่ อย่างนี้ก็โอเคนี่นะ
ภาพที่ 11. ด้านซ้าย ใกล้สุด คือหลุมฝังศพที่ผมพูดถึง แต่ภาพนี้ได้มาเพราะคุณยายที่ยืนอยู่ เป็นภาพที่ผมสะดุดเมื่อมองผ่านๆ มันเกิดความรู้สึกแปลกๆ ในใจ ที่อธิบายไม่ถูก จึงแอบถ่ายภาพท่านมา ให้คุณได้รู้สึกแปลกๆ ไปด้วย
ภาพที่ 12. ดูเหมือนจะเก่าแก่รองๆ จากภาพที่ 6 ภายในน่าจะเป็นของนำเข้าเช่นกัน สัตว์ 2 ตัวด้านข้างเป็นสิงโตจีนครับ ผมเองก็อยากรู้ปีที่สร้าง กล้องจับแสงได้มาก ทำให้ภาพดูสว่าง แต่ความจริงมืดจนมองไม่เห็นงูที่พื้นแล้ว (ถ้ามันมี) ผมเลยไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ๆ คิดว่าถ้าโดนงูกัด คงไม่คุ้มความเสี่ยง อีกทั้ง ดูเหมือนอักษรจะหลุดร่อนออกไปหมดแล้ว ซึ่งก็คงเป็นอักษรจีน ผมไม่พยายามหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า
ภาพที่ 13. ฮวงซุ้ยแบบจีนก็มีในสุสานคาทอลิกเหมือนกัน ถ้าผมจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ ที่ฝังศพนี้ก็หน้าตาอย่างนี้แหละ แต่เก่าแก่และทรุดโทรมมากๆ ใช้อิฐโบราณ ลักษณะเป็นอิฐแดงก้อนใหญ่ก่อสร้าง ฉาบปูน ซึ่งร่อนไปแล้วเกือบทั้งหมด ตัวอิฐก็ร่วงหล่นเป็นบางส่วน ภายหลังญาติๆ จึงบูรณะซ่อมแซมให้ใหม่ จนมีสภาพสวยงามอย่างที่เห็น
ภาพที่ 14. ด้านซ้ายเป็นกำแพงสุสานแล้วครับ
ภาพที่ 15. มืดแล้วครับ แต่ทางวัดก็ติดตั้งนีออนกระจายไปทั่ว ทำให้ดูไม่น่ากลัว .. แสงจากสถานที่จริง จะน้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่ง ถ้ามองด้วยตาเปล่า
เมื่อเริ่มมิสซา เราก็เริ่มจุดเทียน มองไปรอบๆ แล้วดูสวยงามมากกว่าน่ากลัว ที่นั่งอยู่นั่นคือคุณน้าอีกคนของผมครับ ถ้าเห็นหน้าชัด คงต้องทำสีทึบปิดตา แต่ไกลอย่างนี้คงไม่เป็นไร ผมจะจองมิสซาภาคค่ำของทุกปี พร้อมกับคุณน้าท่านนี้ และอีกท่านที่ยังมาไม่ถึง ภาคเช้าจะเป็นของญาติที่เหลือครับ ก็ .. จากมากมายจนนับไม่ถ้วน เดี๋ยวนี้ หายไปมากจนผมขี้เกียจนับ ก็เข้าใจครับ โลกทุกวันนี้มันมีตัวแปรเยอะ เราไม่ว่าใคร เพราะเราเองก็ยังไม่ดีพอ
ภาพที่ 16. แสงสีเริ่มมา หลังความมืดมาเยือน
ภาพที่ 17. สวยงาม สงบสุข แต่ถ้าไม่มีไฟ อาจกลายเป็นสยองขวัญได้ง่ายๆ ก็นอนกันอยู่เต็มเลย อยู่ทั้งตัวด้วย ไม่ได้มีแค่กระดูก
ผมเคยเข้าไปในสุสานวัดเซนต์ร็อคตอน 2 ทุ่มกว่า 2 ครั้ง คุณน้องชายเขามาถึงดึก เราออกไปซื้อน้ำแข็งสำหรับเครื่องดื่มมึนเมา แล้วคิดกันว่า พรุ่งนี้คงขี้เกียจ ไปไหว้ป้าเลยแล้วกัน
ครั้งแรก ไม่กล้าลงจากรถครับ รถเขาติดฟิลม์ค่อนข้างมืด เมื่อมองออกมาด้านนอก เลยดูมืดกว่าความเป็นจริง ผมบอกเขาว่า อย่าลงเลยว่ะ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจเรื่องวิญญาณ เขาก็ยังประสบการณ์น้อย เขาตอบมาว่า ไหว้ในรถแล้วกัน
ครั้งหลัง ผมเข้าใจเรื่องวิญญาณดีแล้ว หลังจากตายไปรอบนึง ไม่ได้เห็นอะไรหรอกนะครับ ถึงเห็น ผมก็คงจำไม่ได้ ความจำผมหายไปเกือบเดือน เพราะยาและหัวฟาดพื้น ออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงสมองราว 3-4 นาที รอดมาได้ ก็เริ่มทำความเข้าใจถึงความกลัวผีที่เคยมี (ของผมน่าจะอยู่ที่ระดับ 3 ใน 10) ทำให้รู้ว่า มันไร้เหตุผลสิ้นดีที่จะกลัววิญญาณพวกเขา และผมขอบคุณพระเจ้า ที่ให้โอกาสครั้งที่ 2 กับผม ให้ผมได้ทำ สิ่งที่ควรทำ ให้ผมได้เรียนรู้ สิ่งที่ควรรู้และควรเข้าใจ ชีวิต จิตวิญญาณ ความเชื่อ โลกใบนี้ และชีวิตหลังความตาย
ส่วนไอ้น้องชาย ประสบการณ์สูงขึ้น เพราะต้องเข้าป่าไปดู site งานก่อสร้าง บางที 2-3 ทุ่ม นั่งรออยู่คนเดียว คนงานกลับออกไปแล้ว ผู้รับเหมามาช้า ด้วยความเคยชิน เขาก็เลิกกลัวไปเอง ก็มันไม่เคยมีอะไร
คราวนี้ เรากล้าลงจากรถ แต่ไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะกลัวงู มันมืดสนิทจริงๆ ไฟทางส่องผ่านปากประตูสุสานเข้ามาราว 3 เมตร ทั้งสุสานมืดสนิท เห็นกางเขนรางๆ ไม่ดีกว่า เดี๋ยวโดนงูกัดจะยุ่งกันใหญ่ เราเลยยืนสวดกันตรงที่แสงส่องเห็นพื้น แล้วกลับ
ภาพที่ 18. ระหว่างพิธีมิสซา ค่ำนี้ คนมากันน้อยกว่าปีก่อน คุณลองดูต้นมะขามเทศเปรียบเทียบกับคนที่ยืนอยู่สิ ราว 1 คนโอบเห็นจะได้
ภาพที่ 19. อีกมุมหนึ่ง
ภาพที่ 20. ซูมเข้าไปอีกนิด ผมเคยได้ยินมาว่า แท่นที่ยกสูงขึ้น ที่คุณพ่อนั่งกันอยู่น่ะครับ ข้างใต้ฝังศพบาทหลวงไว้หลายท่าน เมื่อก่อนเป็นยกพื้นเรียบๆ มีบันไดทางขึ้น ยังไม่มีหลังคาด้านบน ผมเคยเดินขึ้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และไม่รู้ว่ามีหลุมฝังศพอยู่ข้างใต้ มากันกับน้องๆ ตอนที่ไม่ได้มีพิธีอะไรน่ะครับ แล้วกลับไปเล่าให้แม่ฟัง โดนด่ายับ .. ตอนเด็กๆ ซนมากครับ มาบ้านยายที ก็ลากมอเตอร์ไซค์ของน้าๆ ชวนน้องๆ ขี่ไปตามสวน เคยไปถึงสาวชะโงกโน่น ลัดเลาะไปตามสวนน่ะครับ โดนหมาไล่กวดกันนับครั้งไม่ถ้วน ผมมีพี่ลูกคุณน้าอีกคนที่โตกว่าผมมากแล้ว เขาไม่เล่นกับเด็ก ผมก็ต้องชวนน้องเล่นดิ งั้นใครจะเล่นกับผมล่ะ
ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจข้อมูลของแท่นกลางสุสานนี้เท่าไหร่ ยังสงสัยว่า อาจโดนหลอกมาก็ได้ แต่ก็น่าจะจริง เพราะเมื่อก่อน เราจะฝังศพบาทหลวงไว้กลางสุสาน จุดที่เป็นแท่นสำหรับทำพิธี ที่สุสานเซนต์ร้อคก็ทำ หากใครรู้รายละเอียด ก็ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ
ภาพที่ 21. เสร็จพิธีแล้วครับ ราวเกือบ 2 ทุ่ม กำลังจะกลับ .. หลุมฝังศพสีดำตรงกลาง สร้างเป็นปิรามิด ผมนึกสงสัยว่า ผู้สร้างคิดว่ารูปแบบมันสวยงาม หรือเชื่อในศักยภาพของมิติของปิรามิดกันแน่ เรื่องมิติของปิรามิดนี่น่าสนใจครับ เคยมีการทดลองในต่างประเทศ ปิรามิดตามสัดส่วนของคีออปส์ สามารถชลอการเน่าเปื่อยได้จริง แต่ต้องวางก้อนเนื้อไว้ที่ตำแหน่งเฉพาะ  ถ้าผมจำไม่ผิด คือ ที่ความสูง 1 ใน 3 จากพื้น จากนั้นเขาทดลองกับมีดโกนหนวด คือใช้แล้ววางไว้ เทียบกับอันที่ใช้แล้ววางไว้ภายนอก อันที่อยู่ในปิรามิด สามารถรักษาความคมไว้ได้นานกว่า
ตัวมหาปิรามิดของจริง สร้างคลื่นแม่เหล็กที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามันทำได้ยังไง เพื่ออะไร เคยมีการเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบในห้องโถงพระราชา มีการสแกนปิรามิดทั้งหลังเพื่อหาช่องว่างภายใน ผลของการสแกนแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน และมีคลื่นแทรกตลอดเวลา ผมจำรายละเอียดไม่ได้ เพราะอ่านผ่านมาหลายปี
ปิรามิดหลังนี้น่าจะไม่ได้หวังผลเช่นนั้น แต่หากโลงศพอยู่ต่ำจากพื้นไปราว 1 ฟุต ก็จะตรงกับตำแหน่งของห้องโถงราชินีพอดี
ภาพที่ 22. ภาพสุดท้ายแล้วครับ ถ่ายจากประตูทางเข้าด้านซ้ายของสุสาน นีออนสี ให้แสงที่สงบ เย็นตา แสงสีชมพูที่หลุมฝังศพ เป็นแสงเทียนนะครับ ไม่ต้องจินตนาการ สรุปว่า ภาพถ่ายวันนี้ ไม่ติดวิญญาณครับ พวกเขาอาจกลัวเป็นข่าว เดี๋ยวเด็กๆ จะพากันมาพิสูจน์ผี เป็นการรบกวน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันพอดี
หากใครมีภาพถ่ายตอนกลางวัน อยากเพิ่มเติม ก็เชิญได้เลยนะครับ โดยแจ้ง email ของคุณไว้ใน comment ให้เว้นวรรคหน้าและหลัง @ .. พวกโปรแกรมจับ email ในเนทเพื่อไว้ส่ง spam จะได้หาไม่พบ แล้วผมจะติดต่อกลับไปครับ.

อยากบอกว่า เรื่องนี้ ใช้เวลาไป 4-5 ชั่วโมง ในการเขียนเรื่องและ crop ขนาดภาพ ตัดขนาดอย่างเดียวเลยครับ ไม่ได้แต่งสีภาพแต่อย่างใด




ดูเรื่อง เสกสุสานวัดเซนต์ร็อค
เยี่ยมชมเวบไซต์ วัดเซนต์ปอล

2 ความคิดเห็น:

Aoey กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะคุณ victor
เพิ่งได้ออก blog ของคุณและทราบว่าหลุมของคุณตา และคุณยายของคุณ (ในภาพที่ 3)นั้น อยู่ใกล้ๆกับหลุมคุณยายและคุณทวดของเราค่ะ (หลุมของท่านเหล่านั้นอยู่แถวถัดมาเลยค่ะ) แม่เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนั้นยังไม่มีถนนตัดเข้ามาที่สุสาน ต้องนำร่างของคุณยายลงเรือมาที่ท่าเรือ เช่นเดียวกัน ผ่านหอนาฬิกาออกมาที่สุสาน

เราพยายามพาคุณแม่ไปพิธีเสกสุสานทุกปี และปีนี้ก็เช่นกัน แต่เคยไปแต่ตอนกลางวันนะคะ ไม่เคยทราบว่ามีพิธีกลางด้วย
และถ้าเดาไม่ผิด เราน่าจะเคยเจอคุณยาย ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แทุกๆปีเห็นท่านจะนั่งเศร้าที่หน้าหลุมคุณตาตลอดเวลาที่ทำพิธีเลยค่ะ

พิธีตอนกลางวันไม่น่ากลัวเลยค่ะ คนเยอะมาก แต่อากาศร้อนมากที่สุด

ปีนี้ก็จะไปเช่นกันค่ะ แต่ยังไม่ทราบวันที่จะพิธี

victor phichaisrisawad กล่าวว่า...

ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณ Aoey .. ถือว่าเรามีญาติร่วมสุสานกันก็แล้วกันนะครับ
กลางวันร้อนมาก เห็นด้วยครับ และผมทำงานวันเสาร์ด้วย เลยเลือกที่จะไปกลางคืน
เราคงไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุย น่าเสียดาย
แต่รู้สึกยินดีจริงๆ ครับ ที่ได้พบคนที่มีญาติอยู่หลุมศพใกล้กัน ในอินเทอร์เนท.