While I thought that I was learning how to live, I have been learning how to die - Leonardo da Vinci

บทความเหล่านี้ หากเป็นประโยชน์กับท่าน ผมก็ดีใจ หากจะนำไปใช้ที่อื่น ผมก็ยินดี แต่กรุณาอ้างอิงที่มานิดนึง จัดเป็นมารยาทพื้นฐานในการใช้บทความของผู้อื่นใน internet หลายเรื่องผมต้องค้นคว้า แปลเอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง กลั่นกรอง เรียบเรียง ใช้เวลา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ การก๊อปไปเฉยๆ อาจทำให้คนอื่นคิดว่าคนที่นั่งคิดนั่งเขียนแทบตายห่ากลายเป็นคนก๊อป ผมเจอเพจที่เอาเรื่องของผมไปตัดโน่นนิดนี่หน่อยให้เป็นงานของตัวเอง ไม่อ้างอิงที่มา ไม่ละอายใจหรือ .. สงสัยอะไร comment ไว้ ผมจะมาตอบ แต่ถ้าใครมาแสดงความไพร่หรือด่าทอใครให้พื้นที่ของผมสกปรก ผมจะลบโดยไม่ลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว อยากระบายไปหาที่ของตัวเองครับ หมายังขี้เป็นที่เป็นทางเลยจ้ะ นี่ก็เคยเจอ ไม่รู้พ่อแม่สอนมายังไง!!!

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

กวีบทสุดท้าย

สรรพสิ่ง ราวเมฆหมอก ในความฝัน
โลกจริงนั้น โหดร้าย เกินรับไหว
หากไม่สุข ทุกข์จะหนัก ได้อย่างไร
เพียงพัดพลิ้ว วูบไหว ดุจสายลม .. หวูเจี้ยน

ผมไม่ได้เขียนบทกวีแบบเป็นเรื่องเป็นราวมานานพอสมควร และคิดว่าหลังจากนี้คงไม่เขียนอีก มันเป็นเรื่องเกินความสามารถ

เขากล่าวกันว่าอย่าดูถูกตัวเอง ผมไม่เคยดูถูกตัวเอง แต่บางเรื่อง เราก็ต้องยอมรับว่าเรามีความสามารถไม่มากพอ ดีกว่าการพยายามดิ้นรนทำในสิ่งที่เกินกำลังจากตัวตนของเรา

วันนี้ อยู่ดีๆ ความรู้สึกถึงความจริงที่เหมือนความฝัน หรืออีกด้านหนึ่ง มันอาจคือความฝันในความเป็นจริง ปรากฎขึ้นในห้วงความคิด ผมจึงอยากเขียนกวีสักบท พรรณาถึงสิ่งที่ดูเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้เสียยิ่งกว่าจับต้องไม่ได้

เราอยู่กับความเป็นจริงเสมอ แต่เราไม่อาจละทิ้งความฝันและจินตนาการ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ทั่วไป

แม้บางครั้ง ความฝันมันสวยงามจนเกินไป จนเรารู้สึกไม่คู่ควร จะต่างอะไร ในเมื่อมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือ เมื่อเราตื่น มันจะเกิดการเปรียบเทียบในใจ จนทำให้โลกแห่งความเป็นจริงของเรา ดูช่างน่าเศร้ากว่าที่มันเคยเป็น

แต่สุดท้าย มันจะผ่านไปราวสายลม ความเศร้ายังคงจับต้องไม่ได้ เฉกเช่นความฝัน.

ไม่มีความคิดเห็น: